590207_วิถีอาริยธรรม-บ้านราชฯ-สุดทาง-มหาเถรฯ-สำนักพุทธ
คลิกที่นี่เพื่อดาวโหลดเสียง
ส.ฟ้าไทว่า…วันอาทิตย์ที่ ๗ ก.พ. ๕๙ วันนี้มีข่าวมรณานุสสติ โยมกอง นาคง ชื่อพ่อครูตั้งให้ชื่อ บัวลึก เกิดปี ๒๔๘๔ มรณะ ๖ ธ.ค. ๒๕๕๙ เป็นแม่ของคุณพลอยไพร ชาวหินฟ้า และคุณหนิง-แก่นหยก นาคง โยมกองหกล้มเมื่อปลายปีที่ผ่านมา จากนั้นก็มีระบบในร่างกายไม่ปกติ ลูกๆได้ดูแลอย่างใกล้ชิดที่บ้านราชฯ จนเที่ยงคืนวานมีอาการหายใจไม่สะดวกติดขัด หอบ พยาบาลไปดูดเสมหะออก อาการก็ดีขึ้น ตอนตีสี่ก็ย้าย ๐๔.๒๘ น.ก็เสียชีวิตด้วยโรคชรา จะเผาวันพุธ บ่ายสองโมง
พ่อครูว่างานสวดศพทั่วไปเขาก็สวด 15 นาทีก็จบ แล้วก็พักยกอย่างเก่งก็สี่เที่ยวก็จบไม่ถึงชั่วโมงหรอกสวดกันทั่วไปแต่ของเรานี่สวดกัน 2 ชั่วโมงไม่เว้นวรรคหยุดเลยไม่มีการคั่นโฆษณา
ฟ้าไทว่าถือว่าคนที่ได้มางานศพก็ได้ฟังธรรมเอาไปปฏิบัติ มาที่เรานี้ไม่เสียค่าเผาศพ คนมางานก็ได้กินอาหารมังฯ ได้ฟังสวดศพที่ฟังรู้เรื่องคือฟังธรรม
วันนี้พ่อครูจะมาพูดเรื่องที่ดังกันในสังคมที่มีพระทำผิดธรรมวินัย ที่ผ่านมามีข่าวว่าพระทำผิดพระธรรมวินัยออกในสื่อสารหลายอย่าง
พ่อครูว่า ที่นี่ตอนนี้อากาศเย็น มีลมโกรก เย็น แห้งด้วย เป็นธรรมชาติธรรมชาติหมายถึงรสที่มันปรุงแต่งกันเองความร้อนแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นพลังงานมันจับตัวกันกลายเป็นธาตุต่างๆกลายเป็นน้ำเป็นลม หรือเป็นไฟคืนเตโชธาตุจะมีลักษณะแรงขึ้นมากขึ้นเรียกว่าสะสมสภาพของตนเองมากขึ้นเช่นทางวัตถุจะไม่เป็นชีวะ ความร้อนแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้าทางฟิสิกส์มีร้อนจัดจนกระทั่งไม่รู้กี่องศาเซลเซียสอยู่ในพระอาทิตย์ร้อนยิ่งกว่าพระอาทิตย์ พระอาทิตย์ดวงใหญ่กว่าที่เรามีนี้ ต่อมาจับตัวเป็นน้ำแล้วเป็นดินเป็นไฟมาหาอากาศ แล้วก็เป็นวิญญาณ
พีชะมีสัญญากับสังขารมาก่อเป็นเวทนาก็เป็นวิญญาณ ในเวทนาก็แตกถึง๑๐๘ มักเกิดปัญญาที่จะรู้เกินสามัญเรียกว่าโลกุตระเป็นเนกขัมมะเป็นเวทนาในระดับเนกขัมมะที่แยกออกจากเคหะสิตะ
พวกเรานั้นไม่แย่งโลกธรรม ไม่มาเสพรสของสวรรค์ที่ปรุงแต่งที่โลกเขาติดยึดอยู่แล้วเลิกได้แล้ววันนี้เป็นเรื่องจริงที่แต่ละคนมีจริงถึงจะมาได้จริงอาตมารวบรวมคนที่เป็นโลกุตระเป็นอาริยะแบบนี้ตั้งแต่ออกมาเต็มตัวทำงานศาสนา 45 ปีเข้าไปแล้ว ก็ยังมีคนที่ยังมีความยึดติดตามความรู้เก่าๆยังไม่เชื่อพอหรือไม่เชื่อเลยเครียดจะมาพูดบางคนก็เริ่มเชื่อและเข้ามาศึกษาฝึกฝนตรวจสอบว่ามีของจริงยืนยันหรือไม่
เช่นของเราไม่ยินดีในอบายมุขที่เขาปรุงแต่งกันมากมายต้องมีลาภมียศมีเงินทองมาเป็นอำนาจ เอาทองคำหล่อหลอมมาอวดมาอ้างว่าเป็นรูปทองคำของอาจารย์องค์แล้วองค์เล่าเป็นร้อยเป็นพันก็ทำได้ แสดงความสามารถในการเอาของที่คนเข้าหายาก เอามาสะสม เป็นลักษณะการสะสมจากการสะสมแบบสุจริตก็อีกอย่างหนึ่งสะสมแบบทุจริตก็อีกอย่างหนึ่งจะเห็นได้ชัดเพราะฉะนั้นเขาสะสมทั้งแบบสุจริตและแบบทุจริตแห่งชาติคือทุจริตได้มากกว่าสุจริต เกณฑ์ในการตัดสินความชั่วความเลวของคน คือเขาได้แนวเอามาแบบแนวทุจริต มากกว่าได้มาแบบสุจริต และมีเล่ห์เหลี่ยมของทุจริต มากมายซับซ้อนหลายชั้นและมีปริมาณมากด้วยซึ่งสิ่งเหล่านี้มันมีปรากฎการณ์มีสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเกิดอยู่เป็นอยู่เป็นทั้งพฤติกรรมและวัตถุ ยืนยันยืนหยัดอย่างแท้จริง
ขนาดนั้นก็ยังมีอำนาจมีฤทธิ์ที่จะเอาความทุจริตของตนให้ล้มล้างไปให้ได้ อาตมาก็เห็นว่าการล้มเขาไม่ได้มันเป็นความฉิบหาย ของสังคมประเทศชาติ ยังล้มเหลวทางด้านธรรมะหรือคุณธรรม ที่มนุษยชาติคนเป็นอีกด้วยมันเคลือบใบมุกทั้งสองด้านทั้งด้านนอกและด้านธรรม
และที่จะพูดต่อไปนี้เป็นเรื่องถูกต้องยืนยัน คือ อย่างที่เปลวสีเงินเขียนไว้ในไทยโพสต์วันที่ 5 กุมภาพันธ์
สุดทาง ‘มหาเถรฯ-สำนักพุทธ’
“นายพนม ศรศิลป์” คุณเป็น ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) หรือเป็นทนาย “ธัมมชโย”? เอาให้แน่ซะอย่างนะ………
เพราะผมดูการทำหน้าที่ในฐานะ “เลขาธิการมหาเถรสมาคม” แล้ว บอกตรงๆ การทำหน้าที่ของคุณ
แทนที่จะพิทักษ์รักษาและเชิดชูพระพุทธศาสนา แต่กลับเหมือนเอาทองบนความเป็นพระพุทธศาสนาไปห่อหุ้ม “มารโล้น” ที่ซุกคราบผ้าเหลือง สำนักพุทธวันนี้….
ไม่สมคบ ก็เหมือนสมคบขบวนการธัมมชโย-ธรรมกาย คล้ายเห็นดี-เห็นงาม กับการบิดเบือนทั้งพระธรรมวินัยและทั้งวิปริตในวัตรปฏิบัติสงฆ์
นอกจากหลอกขายนรก-ขายสวรรค์แล้ว ยังสร้างรูปแบบและพิธีกรรมพยายามครอบงำเพื่อกลืนพระพุทธศาสนา
สำนักพุทธวันนี้….
ไม่เพียงปล่อยปละ ตรงกันข้ามกลับสนับสนุนพฤติกรรมธรรมกายทุกรูปแบบ ถึงขั้น บ่ายเบี่ยงจะกระทำหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย
นายพนม ศรศิลป์ ทางส่วนตัว ก็เป็นที่ประจักษ์ คุณคือสาวกธัมมชโย คลุกคลี-รับใช้ ร่วมธรรมกายมาตลอด นั่น…เป็นสิทธิ์ของคุณ
แต่ในตำแหน่งหน้าที่ คุณเป็น ผอ.สำนักพุทธ อยากถามว่า ในฐานะเลขาธิการมหาเถรสมาคม
เมื่อ ๓ ม.ค.๕๙ …….
พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดี DSI ทำหนังสือถึงคุณ ให้ดำเนินการกับธัมมชโยและเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ที่เกี่ยวข้อง ในข่ายผิดอาญา กรณีถือครองที่ดินและทรัพย์สินโดยทุจริต เมื่อปี ๒๕๔๒
แต่ดูเหมือน…คุณละเว้นที่จะปฏิบัติหน้าที่ ทั้งที่ ในท้ายหนังสือ DSI กำชับชัดว่า……..
จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น กรมสอบสวนคดีพิเศษเห็นว่า ยังคงมีประเด็นที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งทำหน้าที่สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม และผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาในฐานะเลขาธิการมหาเถรสมาคม
จะต้องพิจารณาดำเนินการต่อไปใน ๒ กรณี กล่าวคือ
๑.ดำเนินการให้พระธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิกตามลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชที่มีมติของมหาเถรสมาคมรับรองให้ถือเป็นคำสั่งที่ชอบและจะต้องปฏิบัติตามให้ครบถ้วน ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
๒.การพิจารณาความผิดและการดำเนินการกับเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ชั้นต้นซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบดำเนินการตามข้อ ๑
หากผลการดำเนินการเป็นประการใดขอได้โปรดแจ้งให้ทราบความคืบหน้าในการดำเนินการในเรื่องนี้โดยเร็วต่อไป
แต่จนถึงวันนี้ คุณก็ได้แต่อ้างว่า……….
อยู่ระหว่างรวบรวมเอกสารบ้าง เรื่องมันนานแล้วบ้าง เป็นเรื่องละเอียดอ่อนบ้าง กำลังสืบสวน-สอบถามผู้เกี่ยวข้องบ้าง
แล้วทำเฉไฉ…..การดำเนินการให้ธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิกตามพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชนั้น
“สำนักพุทธไม่สามารถไปกำหนดให้เป็นปาราชิก ไม่เป็นปาราชิกได้”!
แถมเล่นบทข้าราชการศรีธนญชัย…
“DSI ไม่ได้กำหนดมาว่าต้องตอบกลับในวันไหน แต่โดยมรรยาท เราก็ต้องดำเนินการให้เร็วที่สุด”
เร็วที่สุดของนายพนม ๑ เดือนผ่านไป ยังไม่มีอะไรกระดิก!
คุณไม่ต้องไปสืบสวนอะไรอีกแล้วล่ะ…คุณพนม
ไม่เห็นหรือ ในหนังสือที่อธิบดี DSI ส่งมาให้น่ะ ด้วยกระบวนการสอบสวน เขาทำมาให้หมดแล้ว ไม่เห็นที่เขาระบุมาในหนังสือหรือ นี่ไง……
“……..กรณีการถือครองที่ดินและทรัพย์สิน จากการสืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ได้แก่ ศาล สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มหาเถรสมาคม กองบังคับการปราบปราม ผู้ตรวจการแผ่นดิน ฯลฯ
สรุปได้ว่า การกระทำของพระธัมมชโยถือได้ว่า เป็นการกระทำที่ครบองค์ประกอบความผิดฐาน
‘เป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนเอง หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต’ และ
‘เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตและโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗ และ ๑๕๗’ ทุกประการแล้ว
แม้ในภายหลัง จะได้นำทรัพย์ที่ยักยอกไปแล้วมาคืนให้แก่วัดพระธรรมกายแล้วก็ตาม การกระทำดังกล่าว ก็เป็นเพียงการพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดที่ได้กระทำลงไป
เพียงเหตุก็เพราะ ต้องยอมจำนนต่อพยานหลักฐานเท่านั้น หาใช่ไม่เป็นความผิดก็หาไม่!
การได้มาซึ่งที่ดินในคดีนี้ แทบทุกรายเกิดจากการให้ตัวแทนไปติดต่อขอซื้อที่ดินจากเจ้าของที่ดินโดยตรงแทบทั้งสิ้น
ไม่ได้เกิดจากการที่เจ้าของยินยอมยกที่ดินให้กับทางวัด หรือบริจาคเงินให้ทางวัด เพื่อไปซื้อที่ดินให้กับพระธัมมชโยเป็นการส่วนตัว
โดยเมื่อซื้อแล้ว พระธัมมชโยก็ได้อนุมัติให้เบิกจ่ายเงินในบัญชีของวัดพระธรรมกายไปซื้อที่ดินดังกล่าว และกลับใส่ชื่อของตัวเอง แทนที่จะเป็นชื่อของวัดเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์
อีกทั้งมีการประวิงเวลา ไม่ยอมคืนทรัพย์สินให้แก่วัด กลับต่อสู้ทางคดี โดยคิดว่าจะชนะคดี ซึ่งการต่อสู้เรื่องนี้ใช้เวลานาน ๗ ปี
และก็รู้อยู่แล้วว่า หนทางเดียวที่จะทำให้พนักงานอัยการถือเป็นสาเหตุในการถอนฟ้องคดี จึงยินยอมคืนทรัพย์สินให้ทางวัด
การกระทำเช่นนี้ ‘มีเจตนา’ ในการกระทำความผิด!
ไม่อาจทำให้การกระทำความผิดที่สำเร็จไปแล้ว กลับกลายมาเป็น ‘ไม่มีความผิด’ ไปได้
ซึ่งพระลิขิตของพระสังฆราช (ฉบับที่ ๓) ยืนยันการกระทำผิดนี้ชัดเจน ว่าต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติ”
เป็นไง…คุณพนม หายเมาสวรรค์ธัมมชโยหรือยัง ยังเหรอ…งั้นอ่านต่ออีกนิดก็ได้
“………..เมื่อพระองค์ทรงมีพระวินิจฉัยในกรณีของพระธัมมชโยแล้ว มหาเถรสมาคมย่อมต้องสนองพระลิขิตที่สมเด็จพระสังฆราชประทานมาทั้งหมด ตามที่มหาเถรสมาคมได้มีมติ ที่ ๑๙๓/๒๕๔๒
ให้สนองพระดำริโดยตลอด ให้ชอบด้วยกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎหมายมหาเถรสมาคม
แต่กลับปรากฏข้อเท็จจริงว่า มีการติดตามผลการดำเนินการเพียงเรื่องเดียวคือ ติดตามรับมอบและคืนที่ดินอันเป็นของวัดพระธรรมกายเท่านั้น
ซึ่ง ถึงบัดนี้ ที่ประชุมมหาเถรสมาคมยังไม่ได้มีมติตัดสิน หรือรับรองว่า พระธัมมชโย ต้องอาบัติปาราชิก ตามพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๒ แต่อย่างใด
ยังไม่ได้มีการพิจารณาการลงนิคหกรรมพระธัมมชโยให้ต้องอาบัติปาราชิกตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช
ที่มีมติของมหาเถรสมาคมรับรองให้ถือเป็นคำสั่งที่ชอบ และจะต้องปฏิบัติตามให้ครบถ้วน ทั้งที่ผลการดำเนินคดีทางโลกได้เสร็จสิ้นแล้ว”
ทีนี้ คืนสติแล้วกระมัง…คุณพนม?
DSI ไม่ได้บอกให้คุณไปจับธัมมชโยสึก แต่เขาให้คุณทำหน้าที่ ผอ.สำนักพุทธและเลขาฯ มหาเถรสมาคม
มหาเถรสมาคม เมื่อปี ๒๕๔๒ มีมติไว้แล้วว่า พระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช ชอบด้วยกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎหมายมหาเถรฯ
แต่นี้ ที่ผ่านมา ปฏิบัติตามไปแล้วครึ่งเดียว คือครึ่งที่ไปเอาที่วัดคืน
ส่วนอีกครึ่ง คือครึ่งที่ “ธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิก”…..
“ยังไม่ได้ทำ” ให้เป็นไปตามมติมหาเถรสมาคม ที่ ๑๙๓/๒๕๔๒ ที่รับรองว่า ……
“พระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช ที่ทรงวินิจฉัยว่า ธัมมชโย ต้องอาบัติปาราชิกแล้ว นั้น ชอบด้วยกฎหมายและพระธรรมวินัย” เลย!
คุณพนม ในฐานะเลขาฯ มหาเถรฯ ก็บรรจุเรื่องนี้เข้าสู่วาระการประชุมมหาเถรฯ ซี มหาเถรฯ จะได้มีมติให้ดำเนินการในครึ่งที่ยังค้างคาอยู่
จะได้ชัดกันไปซะทีว่า มหาเถรฯ วันนี้ ….
จะยึดมติมหาเถรฯ ที่ ๑๙๓/๒๕๔๒ ที่ชอบด้วยกฎหมาย ลงนิคหกรรมธัมมชโย ต้องอาบัติปาราชิก ให้พ้นจากความเป็นพระ
หรือ…จะขัดขืนมติ อุ้มธัมมชโยให้อยู่ในคราบพระ กัดแทะพระพุทธศาสนาต่อไปเรื่อยๆ?
จะได้จะจะ แจ้งๆ กันไป………
“มหาเถรฯ-สำนักพุทธ” รวมหัวธรรมกาย “แข็งเมือง”!
พ่อครูว่า….คุณเปลวยังไม่หยุด วันเสาร์เขียนบทความอีกว่า
หน้าที่ “สำนักพุทธ-สำนักนายกฯ (เปลว ไทยโพสต์)
อธิบดี DSI “พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง” ตอบชัด (๔ ม.ค.๕๙) เกี่ยวกับอนาคต “นายพนม ศรศิลป์” ผอ.สำนักพุทธฯ
“หากไม่ดำเนินการ พศ. ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ อาจมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หาก พศ.ดำเนินการไปแล้วอย่างไร ก็ต้องชี้แจงต่อสังคมเพื่อให้สิ้นสุดข้อสงสัย
หาก พศ.ตอบมายัง DSI แล้ว จะมีการเรียกประชุมพนักงานสอบสวนอีกครั้ง เพื่อชี้มูลความผิด”
นั่นคือคำขาดของอธิบดี DSI ต่อ ผอ.สำนักพุทธฯ!
ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ก็มาตรา ๑๕๗ เหมือนคดียิ่งลักษณ์ ปล่อยปละให้ทุจริตในโครงการจำนำข้าวนั่นแหละ
สำหรับ ๒ ข้อ ที่ DSI ให้นายพนมจัดการธัมมชโย คือ
๑.ดำเนินการให้พระธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิกตามลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช ที่มีมติของมหาเถรสมาคมรับรอง ให้ถือเป็นคำสั่งที่ชอบและจะต้องปฏิบัติตามให้ครบถ้วน
ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
๒.การพิจารณาความผิดและการดำเนินการกับเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ชั้นต้น ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบดำเนินการตามข้อ ๑
นี่แหละที่ พ.ต.อ.ไพสิฐขีดเส้นใต้ และเมื่อจัดการอย่างใดแล้ว ต้องชี้แจงต่อสังคมให้สิ้นข้อสงสัยด้วย
และต้องแจ้งให้ DSI ทราบด้วย…..
เพื่อ DSI จะได้ประชุมพนักงานสอบสวน พิจารณาในเรื่องที่สำนักพุทธฯ จัดการไป จะได้ “ชี้มูลความผิด” ไปตามกรณี ตามบุคคล
ตรงนี้หมายความว่าไง?
ก็หมายความว่า ถ้านายพนมจัดการให้เป็นไปตามทั้ง ๒ ข้อนั้น ก็ถือว่า ทำหน้าที่ ผอ.สำนักพุทธฯ ได้ครบถ้วน
จัดการเป็นไปตามลิขิต “สมเด็จพระญาณสังวร” พระสังฆราช ที่ทรงวินิจฉัยไว้ว่า ธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิก พ้นจากความเป็นสมณะแล้ว
ซึ่งมีมติมหาเถรสมาคม ที่ ๑๙๓/๒๕๔๒ รับรองว่า เป็นคำสั่งที่ชอบ ต้องปฏิบัติตามให้ครบถ้วน
แต่มหาเถรฯ และ พศ.ต่อๆ มา ยังเฉไฉ ไม่จัดการให้เป็นไปตามมติเรื่อยมา จนถึงขณะนี้!
ในข้อ ๒ ที่ให้นายพนมไปพิจารณาความผิดและการดำเนินการเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ชั้นต้นนั้น
หมายถึงพระสังฆาธิการระดับ เจ้าคณะตำบล-อำเภอ-จังหวัด เรื่อยไปถึงเจ้าคณะภาค ที่วัดพระธรรมกายอยู่ในสังกัดปกครอง
ว่า…ทำไมไม่ดำเนินการ “จับสึก” ธัมมชโย ตามมติมหาเถรฯ กลับอู้อี้เหมือนถูกชีอำ ปล่อยปละจนถึงบัดนี้?
เนี่ย…นายพนมจัดการได้-ไม่ได้อย่างไร ติดขัดตรงไหน ต้องแจ้งให้ DSI ทราบ เพื่อทาง DSI จะได้ “ชี้มูลความผิด” ได้ถูกต้อง
ถ้าไม่แจ้ง ไม่ปฏิบัติให้เป็นไป นายพนมเองนั่นแหละ อาจได้รับการชี้มูลด้วย เห็นว่า ภายในกุมภานี้ จะแจ้ง
นี่เหมือน “ความวัว” ที่ยังไม่ทันหาย……..
วานซืน “ความควาย” เข้าแทรกธัมมชโยอีกคดีแล้วมิใช่หรือ?
ธัมมชโย วัดพระธรรมกาย และพระในวัดบางรูป ติดอยู่ ๑ ใน ๗ กลุ่ม ที่รับเช็ค “นายศุภชัย ศรีศุภอักษร” ที่ยักยอกจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นกว่าหมื่นล้าน
เฉพาะส่วนของวัด รับบริจาคหรือรับของโจร โดยไม่มีมูลหนี้รวมกว่า ๒,๐๐๐ ล้านบาท มีทั้งเข้าบัญชีธัมมชโย บัญชีพระเครือวัดพระธรรมกาย
เจอข้อหาร่วมกัน “ยักยอก-ฟอกเงิน” อยู่แล้ว!
DSI เขากำลังเร่งสอบสวนปิดคดี จะแจ้งข้อหา นำตัวเป็นผู้ต้องหาส่งฟ้องศาลอีกไม่นานเกินดอกดาวโรยจะร่วงหรอก
คดีเกี่ยวกับการเงินที่มีเช็คเป็นหลักฐานนี่ บอกได้เลย ถ้าเอาจริง ไม่มีใครหนีพ้น
เพราะสาวเส้นทางการเดินของเช็คได้หมด มาจากไหน เข้าไหน-ออกไหน ปฏิเสธไม่ได้ หนีไม่ออก
ครั้นจะโพนทะนาว่า “อาตมาถูกใส่ร้าย” ใครก็ไม่เชื่อ เพราะบัญชีแบงก์มันยันกระบาลใส
ยิ่งระบบออนไลน์ทุกวันนี้ด้วยแล้ว…ธัมมชโยเอ้ย….
เบาหวานกำเริบหนักแน่!?
กรรม เหมือนเงา ทำแบบไหน เงาก็ตามสะท้อนออกมาแบบนั้น ที่มืดมีให้ซ่อนเงา มีที่เดียว คือใน “หลุมฝังศพ”
กฎหมายบ้านเมืองเหมือนแสง นายกฯ ประยุทธ์ เมื่อไม่ทำตัวเป็นเมฆบังแสงเหมือนยุคก่อนๆ
เจ้าหน้าที่บ้านเมือง คือ DSI เขาก็สามารถใช้แสงคือกฎหมายฉายส่องพวกหลบซ่อนได้หมด
อย่างกรณีนายศุภชัย-ธัมมชโย มันทนโท่ว่า ร่วมกันยักยอก-ฟอกเงินสวรรค์แต่ละชั้นที่เอามาแบ่งขายสาวกธรรมกายน่ะ ตัวเองไม่ได้ไปอยู่หรอก ถึงศาลเมื่อไหร่
ได้ไป “อยู่คุก” แทนแน่!
สำหรับ “นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ในฐานะผู้กำกับดูแลงานสำนักพุทธฯ
ผมไม่ได้ตำหนิอะไรท่าน แต่อยากจะเปรียบการทำหน้าที่ของท่านว่า ท่านเหมือนท่อ พศ.หรือสำนักพุทธฯ เหมือนสวะ
สวะมันอุดท่อตัน น้ำไม่ไหลมานานแล้ว ก็ไม่รู้จะโทษสวะหรือโทษท่อ แต่เมื่อ DSI และกฎกรรมฟ้า-ดิน มาถึงทาง “ทะลวงท่อ” แล้ว
ท่อ ก็ควรเป็นเส้นทางน้ำไหลนะ!
DSI เขาจี้นายพนมให้ดำเนินการ ๒ ข้อ ท่าน…ในฐานะผู้บังคับบัญชา โปรดเอื้อเฟื้อ เอาไม้แหย่ตูดให้เต่าในระบบราชการเดินหน่อย!
กรณีนี้ ถ้านายพนมเจอมาตรา ๑๕๗ ท่านก็ไม่มีเหตุผลที่จะเถียง ถ้ามีคนพูดว่า ผู้บังคับบัญชา
เหมือน “ไร้สมรรถภาพ” ทางบริหาร!
กรณีการแต่งตั้ง “สมเด็จพระสังฆราช” องค์ใหม่เหมือนกัน ข่าวเป็นว่า เมื่อ ๕ ม.ค.๕๙…….
มหาเถรสมาคม “ประชุมลับ” มีมติเสนอชื่อสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดคือ “สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์” วัดปากน้ำ ต่อนายกฯ
เพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช!?
มันถูกต้องตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ที่ไหน เคราะห์ดีที่ท่านไม่ผลีผลามรับลูก เห็นนักข่าวไปถามถึงความคืบหน้า ท่านบอกว่า
“ทาง พศ.ยังไม่รายงานข้อมูลข้อเท็จจริงมา ไม่ได้มีการดึงเรื่อง หากส่งเรื่องไปยังนายกฯ เชื่อว่านายกฯ ต้องมีคำถาม คิดว่าอาจจะตอบคำถามไม่ได้ เรื่องนี้อยู่ในความรับผิดชอบผมเอง หากจะตำหนิ ก็ตำหนิผม ที่ไม่เร่งผลักดันให้แล้วเสร็จ…….”
ก็อยากตำหนิ แต่ไม่อยากผลักดัน การที่ไม่รีบส่งเรื่องให้นายกฯ อย่างน้อยก็แสดงว่า เลือดท่านไม่ติดเชื้อไวรัสธรรมกาย
แต่อยากบอกว่า……..
เรื่องแต่งตั้งพระสังฆราช ท่านและนายพนม ควรตั้งเข็มให้ตรงแต่ทีแรก ไม่ควรปล่อยพวกแดงทักษิณ “สร้างกระแส” ผิดๆ ให้คนหลงตาม
ผมจะยกบางมาตราใน พ.ร.บ.สงฆ์ที่สัมพันธ์กันมาให้ดู จะได้เข้าใจทั้งเนื้อหาและเจตนารมณ์ ว่านายกฯ เป็นผู้เสนอชื่อพระสังฆราช
ไม่ใช่มหาเถรฯ เป็นผู้เสนอ อย่างที่พล่าม-เพ้อเจ้อกัน!
มาตรา ๗ “พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์หนึ่ง”
ในกรณีที่ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมเสนอ นามสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช
ความในวรรคหนึ่ง เห็นได้ชัด การสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช เป็นพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์
แม้ต่อมาจะแก้ไขมาตรา ๗ วรรคสอง ให้นายกฯ โดยความเห็นชอบมหาเถรสมาคมเสนอผู้อาวุโสตามขั้นตอนกฎหมาย
ผู้เสนอคือนายกฯ ให้เถรสมาคมให้ความเห็นชอบ
ไม่ใช่ “มหาเถรสมาคม” เป็นผู้เสนอ!
มหาเถรฯ ไม่มีอำนาจตามกฎหมายเป็นผู้เสนอ มีอำนาจเพียงให้ความเห็นชอบหรือไม่เท่านั้น
การทำเรื่องเสนอเอง แถมยังแอบประชุมลับเสียอีก ยิ่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ที่ตีความกฎหมายกันว่า นายกฯ เป็นเพียงบุรุษไปรษณีย์ ต้องเสนอตามที่มหาเถรฯ ให้ความเห็นชอบนั้น พวกนี้ตีความแบบหางแดง
ยิ่งดูมาตรา ๑๑ พระสังฆราชพ้นจากตำแหน่ง นอกจากเหตุ ตาย ลาออก พ้นจากความเป็นพระแล้ว
พระมหากษัตริย์ยังมีอำนาจโปรดเกล้าฯ ถวายให้ออกได้ ขนาดเป็นแล้วยังมีพระราชอำนาจให้ออกได้
ดังนั้น ตอนแต่งตั้ง ทำไมจะพิจารณาว่าสมควร-ไม่สมควรเป็นสังฆราชไม่ได้?
ในฐานะที่นายกฯ เป็นผู้สนองพระบรมราชโองการ จึงต้องมีหน้าที่รับผิดชอบ กลั่นกรองเรื่องแทนพระมหากษัตริย์
ไม่ใช่แค่บุรุษไปรษณีย์ ตามที่หางแดงอ้าง!
ฉะนั้น เข้าใจกันให้ตรง การเสนอชื่อพระสังฆราช “เป็นอำนาจนายกฯ”
อยู่ที่นายกฯ จะเสนอ เมื่อไหร่…ก็เมื่อนั้น
มหาเถรฯ ละ-วาง เสียบ้างเถอะพระคุณเจ้า ธรรมจากโอษฐ์พระพุทธองค์ตะหาก คือยานนำสู่โลกุตระ
ตำแหน่ง “พระสังฆราช” ไม่มีในพุทธโอวาทให้ขวนขวายหรอกขอรับ.
พ่อครูว่า นี่คือภูมิปัญญาของคุณเปลวสีเงินที่ได้เรียบเรียงข้อมูลรวมทั้งให้ความเห็นของตัวเองผู้มีปัญญาก็คงจะรู้ว่าเป็นอย่างไรเป็นความจริง
ต่อมาคอลัมน์ของคุณสารส้มในแนวหน้า
หยุดอุ้มธัมมชโย กวนน้ำให้ใส(แนวหน้า)
พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ยืนยันว่า หนังสือที่ดีเอสไอส่งถึงสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)และมหาเถรสมาคม (มส.) เพื่อสอบถามถึงการปฏิบัติหน้าที่ของ พศ.และมส.ตามที่มีการร้องเรียนกรณีพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ต้องอาบัติปาราชิก จากคดียักยอกเงินและที่ดิน ตามพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชนั้น ได้ดำเนินการอย่างไรแล้วบ้าง
ประเด็นที่ต้องการให้ พศ.ตอบมายังดีเอสไอ คือ การดำเนินการตามพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งมีผลในทางกฎหมาย
พศ.ที่เป็นหน่วยงานรัฐหน่วยงานเดียวในการทำหน้าที่เลขานุการประสานกับกรรมการมหาเถรสมาคม ได้ดำเนินการอย่างไรกับพระธัมมชโยในกรณีดังกล่าวแล้วบ้าง?
การดำเนินการถูกต้องหรือไม่?
ซึ่งตามพระลิขิตกำหนดไว้ 2 ประเด็น ทั้งเรื่องอาบัติปาราชิก และเรื่องการคืนทรัพย์สิน
พ.ต.อ.ไพสิฐยังกล่าวด้วยว่า หนังสือจากดีเอสไอยังไม่ใช่การชี้มูลความผิดแต่เป็นการแจ้ง พศ.ให้ดำเนินการและหากไม่ดำเนินการ พศ.ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ อาจมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
1) หนังสือดังกล่าว ดีเอสไอระบุชัดเจนว่า พฤติการณ์ของพระไชยบูลย์ ธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เมื่อครั้งปี 2542 ที่มีการเอาเงินวัดไปซื้อที่ดินใส่ชื่อตนเองและคนใกล้ชิด ถือว่าเป็นการกระทำที่ครบองค์ประกอบความผิดฐาน “เป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนเองหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต” และ “เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตและโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด” ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 และ 157 แม้ในภายหลังจะนำทรัพย์ที่ได้ยักยอกไปแล้วมาคืนให้แก่วัดพระธรรมกายก็ตาม การกระทำดังกล่าวก็เป็นเพียงการพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดที่ได้กระทำลงไป เพียงเหตุก็เพราะต้องยอมจำนนต่อพยานหลักฐานเท่านั้น
พระลิขิตชี้ออกมาตั้งแต่ปี 2542 ทว่าธัมมชโยยังไม่คืนเงินทันที ยังสู้คดีอีกหลายปี
ดีเอสไอเห็นว่า ยังคงมีประเด็นที่มหาเถรสมาคมจะต้องพิจารณาดำเนินการต่อไปใน 2 กรณี คือ
1.การดำเนินการให้พระธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิกตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชที่มีมติของมหาเถรสมาคมรับรองให้ถือเป็นคำสั่งที่ชอบและจะต้องปฏิบัติตามให้ครบถ้วน
2.การพิจารณาความผิดและการดำเนินคดีกับเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ขั้นต้น ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบดำเนินการตามข้อ 1
2) พูดง่ายๆ ว่า มหาเถรสมาคมเพิ่งจะสนองพระบัญชาตามพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชไปเพียงครึ่งเดียว คือ การคืนทรัพย์สิน เงินและที่ดินที่ธัมมชโยยักยอกไป แต่เรื่องใหญ่ เรื่องหลัก คือ การติดตามดำเนินการเพื่อให้ธัมมชโยพ้นจากความเป็นพระ หรือปาราชิกไปตามที่มีพระลิขิตนั้น กลับยังไม่บรรลุผล
จนวันนี้ ยังเห็นธัมมชโยนุ่งห่มเหลืองอยู่ทนโท่
แถมที่ผ่านมา มหาเถระยังเสนอแต่งตั้งยศศักดิ์สูงขึ้นแก่ธัมมชโยด้วย
3) 20 กุมภาพันธ์ 2558 หลังการประชุมมหาเถร ที่มีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรรมการมหาเถรสมาคม ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นประธาน ปรากฏว่า พระพรหมเมธี (จำนงค์ ธมฺมจารี) กรรมการและโฆษก มส. ออกมาแถลงอุ้มธัมมชโยหน้าตาเฉย
อ้างว่า ไม่มีเจตนาฉ้อโกง ไม่ผิดพระวินัย ไม่ถือเป็นความผิด ถือเป็นอันยุติ ศาลยกฟ้อง พ้นมลทิน ไม่ได้ฝ่าฝืนพระลิขิต
นี่คือความพยายามฟอกตัวธัมมชโยหรือไม่?
ทั้งๆ ที่ ศาลไม่ได้ยกฟ้อง แต่เมื่อปี 2549 นั้น อัยการในยุครัฐบาลทักษิณไปขอถอนฟ้อง ศาลยังไม่ทันได้พิพากษาชี้ขาด แต่ชิงตัดหน้า ขอถอนฟ้องออกไปก่อน
4) มหาเถระ เกื้อหนุนธรรมกาย ธัมมชโย?
ธัมมชโยบวชที่วัดปากน้ำภาษีเจริญ สมเด็จช่วงบวชให้
มหาเถรสมาคมในยุคของสมเด็จช่วง มีการปฏิบัติหน้าที่เอื้ออำนวยประโยชน์แก่ธัมมชโยและวัดพระธรรมกาย หลายกรณี เช่น
8 มกราคม 2558 อนุมัติให้พระพรหมดิลก กรรมการมหาเถรสมาคม และพระวัดพระธรรมกายอีก 2 รูป เดินทางไปงานทอดผ้าป่าที่วัดพระธรรมกายฮ่องกง และวัดพระธรรมกายไทเป โดยให้ทุกรูปใช้หนังสือเดินทางราชการ
10 มีนาคม 2558 อนุมัติให้พระวิสุทธิวงศาจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคมวัดปากน้ำภาษีเจริญ และคณะเดินทางไปเจริญพระพุทธมนต์ ที่วัดพระธรรมกายบาวาเรีย สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ให้ใช้หนังสือเดินทางราชการ
30 ตุลาคม 2558 อนุมัติให้พระพรหมดิลก กรรมการมหาเถรสมาคม พระราชธรรมาภรณ์ วัดสุทัศน์เทพวราราม และคณะเดินทางไปงานทอดผ้าป่า ที่วัดพระธรรมกายฮ่องกง ให้ใช้หนังสือเดินทางราชการ
30 พฤศจิกายน 2558 อนุมัติให้พระพรหมดิลก กรรมการมหาเถรสมาคม และคณะ อันประกอบด้วยพระธรรมกายอย่างน้อย 7 รูป เดินทางไปงานทอดผ้าป่า ที่วัดพระธรรมกายแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยให้ทุกรูปใช้หนังสือเดินทางราชการ
นอกจากนี้ มหาเถรสมาคมยุคสมเด็จช่วง ยังอนุมัติให้พระวัดธรรมกายไปเป็นพระธรรมทูตในต่างแดน อยู่ตามวัดพระธรรมกายในต่างประเทศอีกมากมาย เช่น วัดพระธรรมกายนิวคาสเซิล สหราชอาณาจักร วัดพระธรรมกายชวาร์ซวัลด์ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี วัดพระธรรมกายเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี วัดพระธรรมกายนอร์เวย์ ประเทศนอร์เวย์ วัดพระธรรมกายโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น
ยิ่งกว่านั้น สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ และกรรมการมหาเถรสมาคมบางรูป ยังไปร่วมงานวันเกิดของธัมมชโย ที่วัดพระธรรมกายอยู่เสมอ พร้อมกล่าวสรรเสริญเยินยอธัมมชโยอย่างที่สุด
ก่อนหน้านั้น ธัมมชโยและวัดพระธรรมกาย ได้ถวายปัจจัยและทองคำสร้างรูปหล่อหลวงพ่อสดทองคำ หนัก 1 ตัน ให้วัดปากน้ำภาษีเจริญ และสมทบเงินกว่า 30 ล้านบาท สร้างมหาเจดีย์ที่วัดปากน้ำภาษีเจริญอีกด้วย
สมเด็จช่วงถึงกับออกปาก ในพิธีอัญเชิญรูปหล่อทองคำ ประดิษฐาน ณ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2555 อุ้มชูเยินยอธัมมชโยและ
วัดพระธรรมกายอย่างเต็มที่
“…วัดปากน้ำกับวัดพระธรรมกาย เป็นวัดพี่วัดน้อง หรือเสมือนหนึ่งเป็นวัดเดียวกัน มีอะไรก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน แต่ส่วนใหญ่วัดพระธรรมกายให้กับวัดปากน้ำ เป็นต้นว่า พระมหาเจดีย์ที่ท่านทั้งหลายกำลังนั่งเห็นอยู่นี้ วัดพระธรรมกายถวายจตุปัจจัยมา 30 ล้านบาท ทองคำอีกจำนวนหนึ่ง แล้วก็พระธาตุอื่นๆ อีกจำนวนมาก…”
นี่หรือเปล่า… ที่เขาว่า มีเงินนับเป็นน้อง มีทองนับเป็นพี่?
เมื่อคราวที่ธรรมกายจัดอีเว้นท์ “ธุดงค์ธรรมชัย” ให้พระเดินเหยียบกลีบดอกไม้กลางเมือง สมเด็จช่วงก็แสดงออกตัวแรง หนุนส่ง การันตี ลงเดินเหยียบกลีบดอกไม้ กล่าวเยินยออย่างเต็มเหนี่ยว
“…อาตมาเองตั้งแต่เกิดมาจนถึงบัดนี้ 87 ปีแล้ว เพิ่งจะวันนี้เองที่ได้เดินบนกลีบกุหลาบ จึงชื่นใจ…”
จะด้วยเหตุปัจจัยเหล่านี้หรือไม่ ที่ทำให้คณะสงฆ์ยังคงปกป้องอุ้มชูธัมมชโยเรื่อยมา ไม่ดำเนินการสนองพระบัญชาตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชโดยตลอด
กระทั่งว่า ธัมมชโยยังบริหารวัดพระธรรมกาย แผ่ขยายอาณาจักร ระดมเงิน ระดมทุน กว้านซื้อที่ดิน สร้างวัตถุ ออกอีเว้นท์กระตุ้นเงินบริจาคญาติโยมขนานใหญ่ พิธีกรรมพิสดารพันลึก พัวพันไปถึงเงินของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ฯลฯ
ทั้งๆ ที่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงมีพระล%B