พ.ค.32018ธรรมะพ่อครูศาสนา610422_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ทำธรรมะสองให้เป็นหนึ่งลึกซึ้งถึงวิญญาณ อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://drive.google.com/open?id=10yBgrZmb5z9dOKtXWnRKm1YpNA5dWRpI-PYdfP0vw2k ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1oce-mutK6K163GtRfNUg5D_RPKdi7mzU ดูยูทิวป์ได้ที่นี่…https://www.youtube.com/watch?v=0ARMUvAxf8s สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้ที่ราชธานีอโศก มีคนมาซื้อปุ๋ยกันมาก เพราะฤดูการทำกสิกรรมทำนา ในย่านนี้ก็จะมาซื้อกันที่นี่ ที่กทม.ตอนนี้ฉลอง รัตนโกสินทร์ศก 236 ปี แต่กิจของชาวอโศก ก็มีหน้าที่ศึกษาพระธรรมให้เกิดการลดละกิเลส เป็นการทำบุญที่จะทำลายล้างกิเลส ศาสนาพุทธที่ไม่ใช่พุทธแท้ จะบอกว่าให้ไปสวรรค์ แต่มาที่อโศกบอกว่าทำบุญคือการทำลายละล้างสวรรค์ ให้สวรรค์หมดไป ตราบใดที่ต้องการสวรรค์ก็จะมีนรกคู่กัน พ่อครูว่า…ก่อนจะเข้าสู่ธรรมะลึกๆ ถึงขนาดสวรรค์ก็ไม่เอา ก็พูดเรื่องการเมืองก่อน สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ประชาธิปไตยสามเส้า ตอน 3 การเมืองกำลังเข้าไคล จะเข้าสู่ความสุกงอม ยังไม่สุกนะ แต่มันกำลังห่าม เข้าไคล แก่จัด บ่มได้ กำลังเข้าที่ เพราะฉะนั้นก็ช่วยกัน มีอะไรแนะนำ เสนอความเห็นจะได้เป็นข้อมูลเพื่อจะเอาไปใช้ตัดสิน ขออ่าน บทความของคุณดังนั้น วิมุตินิยม …ในหนังสือเราคิดอะไร กองทัพธรรมไม่นำสู้ในรัฐสภา ในขณะที่พรรคกำลังแจ้งเกิดใหม่มากหลาย เพื่อโจนเข้าสู่สงครามแย่งชิงอำนาจรัฐ ในฤดูเลือกตั้งที่จะเปิดฉากขึ้นอีกไม่นานนัก สำหรับพรรคเพื่อฟ้าดิน ตีทะเบียนเรียบร้อยอยู่ในทำเนียบ 1 ใน 10 พรรคแรก ตั้งท่าจะเป็นพรรคการเมืองตามอุดมการณ์ เช่น ลงเลือกตั้งโดยไม่มีหาเสียง การหาเสียงเป็นการตลาด โฆษณาชวนเชื่อเพื่อค้าขายของทุนนิยม ทุนหนาก็สามารถเอาเปรียบเหนือคู่แข่งคนจน ๆ ทั้งเปิดช่องให้เกิดการซื้อเสียงอุตลุด มโหฬารโดยตรงหรืออ้อม ๆ ดังที่เป็นปัญหามาตลอด พ่อครูถึงฟันธงเด็ดขาด ประชาธิปไตยต้องไม่หาเสียง….! คสช.กกต.จะมีปัญญาฟังรู้เรื่องสัจจะนี้บ้างไหมเนี่ย…อาจจะล้ำหน้าเกินภูมิไปหน่อยมัง ฐานยังฉลาดน้อยอยู่เป็นธรรมดาไม่ว่ากัน อย่างงั้นรึเปล่าเนาะ? ยิ่งเสี่ยงให้หาเสียง ยิ่งเกิดปัญหาซื้อเสียง แก้ไม่ตกยกใหญ่ ขืนเลือกตั้งมั่วส่งเดชเสร็จ ๆ กันไป ไม่ทันได้คนดี ๆ ขึ้นมารับใช้อำนาจ ตามศาสตร์พระราชาแล้วละก็…. กลัว คสช.ปฏิวัติเสียของ ต้องไปโดดแม่น้ำโขง คงยุ่งตายหะซ้ำซาก ไม่สนุกแน่ๆ พับแผ่เถอะ! ฝันร้ายนี้ผู้น้อยฟุ้งซ่าน อธิษฐานอย่าให้เป็นจริงเลยคร้าบทั่น! อนึ่ง พรรคเพื่อฟ้าดินยังฝันเฟื่องสำคัญอีกว่า จะมีคนลงเลือกตั้งต่อเมื่อผู้คนในเขตนั้น ๆ ครึ่งหนึ่งขึ้นไปเรียกร้องส่งเสียงมาเชิญ พรรคถึงค่อยส่งสมัคร ตั้งท่าปานนั้นแน่ะ… ถึงวันนี้ พ่อครูผู้นำกองทัพธรรมประกาศลั่นเฉยเลย ไม่นำพาพรรคเพื่อฟ้าดินเดินหน้าใดๆ โดยยุติบทบาทการเมืองพรรคภาครัฐสภาทันที ท่ามกลางกระแสตื่นตัวเตรียมรับเลือกตั้ง! ทำการเมืองได้ขาดทุน เป็นกำไร ปุถุชนมักเข้าใจการเมืองเรื่องโลกีย์ยื้อแย่งแก่งชิงอำนาจกับผลประโยชน์ นักเลือกตั้งต่างพาวุ่นวายทำการเมืองน้ำเน่าดังกล่าว ด้วยเล่ห์อุบายวิชามาร หมายมั่นปั้นมือเพื่อถือครองอำนาจรัฐ คำว่า การเมือง เลยกลายเป็นคำเสีย ทั้งพระที่ขาดสัมมาทิฐิ ทั้งนักการเมืองมิจฉาทิฐิอวิชชาต่างสำคัญผิดว่า ธรรมะอย่าไปยุ่งการเมืองเลย เดี๋ยวเสียคนหมด ส่วนนักการเมืองน้ำเน่าชอบกันธรรมะไปไกล ๆ จะได้งาบลื่นคอหอย กองทัพธรรมเข้าไปทำงานการเมืองให้หายเน่าฉาวเหม็นเป็นตัวอย่างพลเมืองดี ตั้งแต่สมัยกลุ่มรวมพลัง ครั้งพลตรีจำลองศรีเมือง เป็นผู้ว่า กทม. พากรุงเทพฯ เมืองสะอาดขึ้นผิดหูผิดตา ผู้คนศรัทธามหาจำลอง คนจริง มือสะอาด ซื่อสัตย์ เสียสละ กระบี่มื้อเดียว น่าเสียดาย ท่านมหาจำลองไปไม่ถึงดวงดาว คราวก้าวกระโดดจากผู้ว่า กทม.ไปหมายฝันการเมืองระดับชาติ พ่อครูต้องตกกระไดพลอยโจนไปช่วยด้วย แต่ลุงคงจะยังศรัทธาพ่อครูน้อยไป ปัญญาไม่พอเลยเชื่อแบบที่ทำไป ที่เกิดอุปสรรคเพราะพลพรรคคนดี ๆ ยังน้อยเกินกับงานใหญ่ ประกอบกับคู่ต่อสู้เสือ สิงห์ กระทิง แรด รอบทิศ คนอิจฉาพรรคพลังธรรมจะเป็นดาวเด่น จำเป็นต้องสกัดสุดฤทธิ์ ขืนปล่อยให้ขึ้นไปเป็นรัฐบาล คณะสงฆ์มหาเถรสมาคมต้องกระเทือนลัทธิสันติอโศกจะยิ่งแพร่หลาย กรณีสันติอโศก ถึงเกิดขึ้นเพื่อปราบขบถศาสนา ถือเป็นลัทธิเสี้ยนหนาม จำต้องกำจัดให้พ้นภัย พ่อครูพาสู้อดทน ไม่ถอยหลังแม้แต่ก้าวเดียว ไม่ลงใต้ดินแม้ครึ่งเมล็ดงา เสียสละจนมหาชนเห็นประจักษ์แจ้งขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งก้าวเข้ามาต่อสู้การเมืองระดับชาติ ออกหน้าร่วมกับพันธมิตรฯ มาถึงสุดท้าย กปปส.สามารถใช้สันติ อหิงสา อโหสิ เอาชนะขับไล่รัฐบาลขี้โกงได้ตั้งสี่รัฐบาล มาถึงรายยิ่งลักษณ์ยอดยื้อจนไปต่อกันไม่เป็นคสช.ต้องเป่าคาถายึดอำนาจ ค่อยจบข่าวได้คืนความสุขให้ประเทศมีวันนี้ได้ พ่อครูพาเสียสละแม้ชีวิตเลือดเนื้อเรี่ยวแรงกำลังทรัพย์ โดยไม่เอาอะไรกลับคืน คือถือขาดทุนเป็นกำไรตั้งแต่ต้นตลอดมา ถึงวันนี้ เป็นที่ไว้วางใจเชื่อถือมากขึ้นไม่น้อยเลยว่า อโศกเราไม่เข้าไปยื้อแย่งอำนาจหรือผล-ประโยชน์จากใคร ในเมื่อเราพออยู่พอกินจนเหลือต้องแบ่งปัน ขายต่ำกว่าทุน หรือแจกฟรี เป็นต้น ยิ่งพ่อครูประกาศสละพรรคเพื่อฟ้าดิน ใครที่กลัวเราเป็นคู่แข่งแย่งอำนาจในสภาหายห่วงได้เลย?! ทำดีเพื่อบ้านเมือง ไยมีเรื่องต้องโทษสาหัส?! เป็นที่ทราบชัดกันดีอยู่ก่อนแล้วว่า กรณีปฏิบัติการประท้วงขับไล่สี่ห้ารัฐบาลที่ผ่านมาย่อมต้องเกิดละเมิดกฎหมายในการปิดถนน บุกรุกสถานราชการ จนเป็นคดีความตามหลังให้ต้องโทษส่วนตัว บางคดีถึงที่สุดแล้วด้วย ประเด็นแหลมคมสำคัญยิ่งยวดนี้ ควรจะร่วมกันพินิจพิเคราะห์เจาะลึกอย่างลึกซึ้งกว้างขวาง ระหว่างความยุติธรรมทางกฎหมาย ย้อนแย้งกับความยุติธรรม ทำดีเสียสละเสี่ยงชีวิตเพื่อสังคม ไฉนไม่ไปด้วยกันได้อย่างไรล่ะ….. คดีที่เกิดกับผู้ประท้วงตั้งแต่พวกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จนถึงคณะ กปปส.ก็ตามที ฝ่ายโจทก์ต้องทำหน้าที่เป็นตัวแทนรัฐบาลคู่กรณีกับฝ่ายประท้วงไล่ตะเพิด การตั้งข้อหากล่าวโทษ ย่อมเกิดอคติจากอิทธิพลรัฐบาลบีบบี้โดยตรงโดยอ้อมกี่มากน้อยรึเปล่า ครั้นคดีความขึ้นสู่กระบวนยุติธรรม จนถึงชั้นศาล มิติผิดถูกทางกฎหมายบัญญัติควรเชื่อมโยงวัฒนธรรมประเพณี จารีตนิยมตลอดประเด็นยุติธรรมทางสังคมตื้นลึกมากน้อยอย่างไรไฉนบ้าง… งานประท้วงรัฐบาลเผด็จโกง โดยสันติอหิงสาอโหสิ ย่อมเกิดผลประจักษ์แจ้ง เปลี่ยนแปลงสังคมการเมืองประชาธิปไตยอย่างขนานใหญ่ ได้งดงามไม่เคยเป็นไปได้มาก่อน จนกระทั่งมาถึงวันนี้ ประเทศค่อยดีขึ้นตามลำดับ นับเป็นผลพวงการประท้วงสำคัญยิ่งยอดเดชะบุญ คสช.รับช่วงไม้ต่อ สามารถคืนความสุขสังคมสงบเย็น ยั่งยืนเรียบร้อยมาได้อย่างน่าพอใจ ด้วยเหตุนี้ ขณะที่เหล่าแกนนำพวกจิตอาสาแนวหน้า ทำหน้าที่พลเมืองดี ทำคุณเพื่อแผ่นดินแท้ ๆ ไม่ได้เห็นแก่ตัวแม้แต่นิดเดียว หลายคนต้องรับเคราะห์กรรมติดคุกอยู่แล้วด้วย จะทำยังไงกันดีต่อเอ่ย…… แน่นอน สังคมจะทนดูดาย ปล่อยตามยถากรรม ตัวใครตัวมัน ไม่มีวันแล้งน้ำใจปานนั้นเด็ดขาด พ่อครูสมณะโพธิรักษ์หยิบยกประเด็น ให้เห็นความไม่ชอบมาพากล การเอาเรื่องฟ้องร้องเกิดในยุคสมัยรัฐบาลโดนไล่ตะเพิด ถึงวันฟ้าเปิด ยังจะเอาเรื่องเก่าเข้าข้างรัฐบาลโคตรโกงต่อยาวยืดเป็นคุ้งแคว มันใช่เหรอ….?! คดีความการต่อสู้ทางการเมืองเป็นเรื่องอาญาที่แตกต่างอย่างสำคัญผิดสามัญ เกี่ยวพันมหาชนประโยชน์สาธารณะเพื่อบ้านเมือง รัฐศาสตร์น่าจะต้องใช้ จนมีผู้เสนอ คสช.ให้จัดการนิรโทษกรรมแยกแยะโทษานุโทษอย่าชักช้า….!! พวกมากลากไป ใช่เสียงสวรรค์ พอเอ่ยถึงประชาธิปไตย มักจะสำคัญเสียงข้างมากเป็นสรณะ โดยเฉพาะวงการเมืองรัฐสภา พรรคไหน ๆ ต่างหมายมั่นปั้นมือ ให้ได้ยึดที่นั่งข้างมาก ไม่ได้ลำพังพรรคเดียวก็รวมหัวเกาะกลุ่ม ให้ได้กุมเสียงข้างมากเท่าที่จะมากได้ เพื่อมีอำนาจต่อรองสูง ๆ น่าจะโทษภูมิปัญญาอ่อนด้อยในทางประชาธิปไตยเป็นแน่ อย่างที่เห็นการเมืองไทยล้มเหลวมาตลอด เพราะคลั่งไคล้ประชาธิปไตยจนเลยเถิด ถึงเกิดประชาธิปไตยซื้อเสียง ซื้อพรรคเล็ก รวมหัวสำเร็จเผด็จการรัฐสภา สามารถเผด็จโกงโคตร ๆ เคยฟังพ่อครูว่าประชาธิปไตย เหมาะสมเฉพาะหมู่พระอรหันต์ ยิ่งสังคมพวกกิเลสหนา ขืนรวมหัวทำบ้าบอได้เสรี มีหรือจะไม่พัง คำพังเพยยังประชดพวกมากลากไปแม้พวกมากชนะก็อย่าชะล่าใจ แต่เรายังมีหลักซ้อนอีกว่า หลายหัวดีกว่าหัวเดียว ฉะนั้น น่าจะเรียนรู้ตามพระบรมครูตรัสว่า สภาใดไร้สัตบุรุษ สภานั้นไม่ใช่สภา เชิญฟังชัด ๆ ต่อให้ได้พวกท่วมท้นขนาดไหน เกิดขาดปราชญ์ฉลาดภูมิธรรมนำสัมมาทิฐิดีพอ ย่อมเสี่ยงสูงนัก อธิปไตยสาม ตามเป็นไปไทยนิยม เป็นกุศลล้นเหลือ เมื่อศึกษาวิถีพุทธแท้ ๆ ดีกว่าตามแห่หลงตำราฝรั่งห่างชั้นอย่างเช่น 1. อัตตาธิปไตย หมายถึงทำตัวเองให้มีอำนาจเป็นใหญ่เหนือกิเลส เพื่อชำระตนให้บริสุทธิ์ถึงวิสุทธิ์วิมุติสุดวิเศษ 2. โลกาธิปไตย คือให้พึ่งพาศรัทธาหมู่บัณฑิตเพื่อสร้างอิทธิพลจูงใจ ให้เราแต่ละคนเปลี่ยนแปลงปรับแต่งแก้ไขตัวเองให้สะอาดสว่างสงบ สลายอัตตามานะทิฐิให้เป็นหนึ่งเดียวกับมวลหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีอันเป็นทั้งหมดของวิถีพุทธ นั่นเอง สมัยใหม่จะให้ยึดถือประชาธิปไตย ก็ต้องถือเอาเฉพาะมวลประชาคงมั่นศีลแม่นภูมิธรรมเป็นสรณะหลักตัวตั้งนำสำคัญ แทนที่จะถือเอาเพียงปริมาณมวลชน มันคนละเรื่อง 3. ธรรมาธิปไตย คือให้ยึดมั่นหลักศีลถือธรรมเป็นสำคัญเพื่อสมาทานในการปฏิบัติตัดทอนสักกายทิฐินิวรณ์จนหมดวิจิกิจฉาตามลำดับ สามอธิปไตยของพุทธ ใช่จะเข้าใจง่ายทีเดียวนัก ออกจะลึกซึ้ง จึงมุ่งนำพาคนทุ่มโถมศรัทธาอำนาจฝ่ายสูง เพื่อจูงใจมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากทาสอำนาจฝ่ายต่ำ การทำอธิปไตยสามให้เกิดธรรมฤทธิ์ เป็นตัวสัมประสิทธิ์ช่วยเร่งอัตราก้าวหน้าอันสำคัญที่จะยกระดับชีวิตจิตวิญญาณสูงขึ้นขั้นโลกุตระ จึงไม่ธรรมดา ข้อนี้น่าจะชัดเจนว่า มันคนละเรื่องกับอธิปไตยที่เข้าใจกันดาษดื่น เฉพาะอย่างยิ่งหลักประชาธิปไตยในหมู่ชาวพุทธเรา เคารพนับถือหมู่สงฆ์สาวกเป็นที่พึ่ง ย่อมพากันศรัทธาบูชาพระสุปฏิปันโน ผู้ทรงศีลสะอาด มักน้อยสันโดษเพื่อเจริญรอยตามภูมิ ถึงไม่ประหลาดที่บรรพบุรุษต่างมีภูมิปัญญา คุ้นเคยดำเนินชีวิตตามรอย ไม่ห่างไกลวัฒนธรรมพระอยู่เป็นพื้น นี่คือตัวอย่างการถือประโยชน์ประชาธิปไตยทางสังคมและเศรษฐกิจอันน่าเชิดชูบูชา นำพาปฏิบัติให้จริงจังทั่วถึง เช่นเดียวกับศาสตร์พระราชา อีกหนึ่งแบบอย่างฉลาดใช้อธิปไตย เช่นผู้นำคสช. ไม่ใช่แค่ใช้ความสงบสยบความรุนแรง จนสามารถคืนความสงบสุขแก่บ้านเมืองตั้งแต่ยึดอำนาจ 22 พฤษภาเท่านั้น แรกๆ เรื่องยุ่งเหยิงเยอะกระมัง พล.อ.ประยุทธ์มักอารมณ์หงุดหงิด หัวเสียบ่อยเมื่อโดนนักข่าวจี้นั่นโน่นนี่เชิงไม่ยักเกรงใจ ท่านพอรู้จุดอ่อนไหวนี้ จึงมีสติเพียรปรับตัวแก้ไข จนเป็นคนใจเย็นนุ่มนวลมากขึ้น ในเวลาไม่สู้นาน สมเป็นผู้ใหญ่ ไม่หลงยึดศักดิ์ศรีมีอัตตาใครอย่าแตะ น่านับถือคนซื่อตรงกล้าธรรมจริงจังจริงใจเช่นนี้ ยิ่งผ่านมาเข้าปีที่สี่มีผลงาน เห็นฝีมือเข้าตาดีเหนือชั้นกว่าใคร ๆ มองไม่เห็นหน้าไหนน่าไว้วางใจเท่า อย่างหน้าเก่าเหม็นขี้หน้า ชวนเบื่อทั้งนั้น ถึงน่าให้โอกาสท่านประยุทธ์อีกซักตั้งปะไร ไม่เสี่ยงถึงไหนดอก ยิ่งฟังพ่อครูผู้นำกองทัพธรรม แม้หนุนหน้าหนุนหลังเต็มที่ ก็มีแต่ว่าขืนเป๋นอกแถว พ่อครูจะกลับลำนำทัพขับไล่อีกหน อธิปไตยได้จากงานรับใช้สังคม โลกของการเมืองมักเป็นเรื่องอำนาจและผลประโยชน์ ที่ต้องยื้อแย่งจนวุ่นวายกลายเป็นสงครามชวนน่าเบื่อ โดยไม่เห็นทางออกจากวังวนนี้ได้ ต่อให้เจตนาแสนดีเสียสละ แต่เมื่อตั้งเป้าสู่อำนาจรัฐค่อยมีปัญญาจัดการนั่นโน่นนี่่ สู้แบบนี้ต้องชนอุปสรรคหนักสาหัสเหลือกำลังตั้งแต่ต้น อย่างเหมาเจ๋อตุงต้องฆ่าคนมโหฬาร มันไม่น่าเอาตามด้วย แทนที่หักหาญโหด ๆ สู้สันติวิธีค่อยเป็นไปดีกว่า แม้กระนั้นจะเล่นเช่นพลังธรรมใหม่ ฝันบรรเจิด ทางเลือกใหม่หมายยึดอำนาจรัฐด้วยเสียงประชาชน เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมไทย ตั้งต้นพรรคเล็กไปสู่พรรคใหญ่ ไปคิดตามโลกสวย ไม่รู้จะโดนหักอกเมื่อไหร่คือต้องฝ่าด่านสกัดรอบทิศ ตลอดแก่งแย่งหาเสียงสร้างภาพ ยิ่งพรรคคนจนจะเอาอะไรไปสู้คู่แข่งทุนนิยมเจ้าเงินทุ่ม อนึ่ง ขณะพรรคเล็กคนไม่เด่นไม่ดังไม่ทันมีอำนาจ อาจรักกันดี เกิดเป็นพรรคใหญ่วันหน้า ใครรับประกันว่าจะไม่ฟัดกันเอง แบบประชาธิปัตย์ หม่อมเสนีย์ในอดีตตาฤๅษีเลี้ยงลิง หรือใครยิ่งดังเพื่อนมักแยกวง ทุกวันนี้ฟัาเปิด เกิดแสงสว่างปลายอุโมงค์ทางเลือกใหม่แท้ๆ ท้าทายลองเบิ่งตาชัด ๆ พระเจ้าอยู่หัวองค์ภูมิพลฯ ทรงทำประชาธิปไตยให้เห็นโทนโท่ ทุกลมหายใจเข้าออกคือประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม ไฉนมองข้ามไปถึงไหนๆ ไยเพ้อฝันทำไมกะอำนาจรัฐ!? รัชกาลที่ 9 ทรงพึ่งตนเอง ไม่รอรัฐบาลเจ้ามืออำนาจรัฐ ทรงงานจัดหนักเพื่อให้ได้ขาดทุนเป็นกำไร กลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลสูงสุดในแผ่นดิน จนสิ้นพระชนม์แล้ว พระบารมีถึงค่อยปรากฏการณ์ประจักษ์แจ้งแห่งไทยไกลทั่วโลก อธิปไตยนี้ไซร้ จักได้แต่ใดมา เพิ่งได้ยินพ่อครูไขประเด็นเป็นบุญหูทะลุบางอ้อว่า อธิปไตยจะได้รับต่อเมื่อประชาชนเขายกมอบให้เองจริง ๆ แทนที่จะหลงกระเหี้ยนกระหือยื้อแย่งแทบล้มประดาตาย นั่นคือไม่ต้องมัวรอได้อำนาจรัฐ ค่อยมีปัญญาตั้งต้นทำการเมือง อย่าฉลาดน้อยปานนั้นดีไหม ทั้งนี้และทั้งนั้นชาวอโศกทำการเมืองเรื่องเศรษฐกิจประชาธิปไตยสำเร็จเช่นเดียวกับศาสตร์พระราชา เชิญตามมาดูไป คือทำแบบคนจน พึ่งตนเอง กล้าขาดทุนเป็นกำไร ได้บุญกรรมตัดกิเลสไม่เอาเกินทุนเป็นกำไร กลัวบาปกรรมครับ พ่อครูลาโรงพรรคเพื่อฟ้าดิน หันมาปักหลัก พักผ่อน เป็นพรรคอ่อนน้อมถ่อมตนแบบคนจน ๆเป็นคนรับใช้ ด้วยเมตตาผ่อนประสาน อะลุ่มอล่วย ช่วยงานการเมืองประชาธิปไตยนอกสภา โดยพึ่งพาสมัครสมานผสมผสานใช้ประโยชน์อธิปไตยให้สมดุล ทั้งประชาธิปไตยเสรีนิยม สังคมนิยม คอมมิวนิสต์ แม้เผด็จการโดยประมาณพอเหมาะเจาะตามหลักสัปปุริสธรรม ลึกซึ้ง ถ้วนรอบ ยิ่งกว่าแค่รู้เรารู้เขายังไม่พอ เศรษฐกิจพอเพียงแบบคนจน นำการเมืองประชาธิปไตยโลกุตระทวนกระแส ย่อมเป็นทางเลือกใหม่อันเปิดกว้างสู่สายตาสาธุชน พ่อครูว่า…คนที่ประชาชนจะเลือกก็ต้องไปแสดงตัว ทำงานรับใช้อภิบาลประชาชน จนเข้าตาประชาชน เป็นการกระทำการประพฤติจริงๆ เพื่อรับจ้างหรือรับใช้? ถ้ารับใช้คือทำให้เขาเลย หากรับจ้างคือเอาค่าตอบแทนคืนมา ได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งชอบตามหลักทุนนิยม แต่นี่เราทำให้ฟรี รับใช้ ไม่ใช่รับจ้าง เป็นเรื่องสุดยอดของพฤติกรรมมนุษย์ แม้คนจะไม่เข้าใจแต่เรามั่นใจว่าเป็นสิ่งที่มนุษย์ควรทำ ประชาชนกับกษัตริย์ก็น่าจะมีความเสมอภาค ในลัทธิประชาธิปไตย แต่ความเป็นจริงนั้นฝ่ายไหนจะเหนือกว่าก็อยู่ที่พฤติกรรม พฤติกรรมของมวลประชาชนค่ารวม กับพฤติกรรมของกษัตริย์ ถ้ามีคุณงามความดีที่มากกว่าตามสัจจะอันนั้นก็เหนือกว่า มีการแสดงออกอย่างชัดเจนว่ามีได้มากกว่า รวมแล้ว ประชาชนเองก็ยังไม่เป็นส่ำ ก็ให้พระมหากษัตริย์ทรงแสดงออก อย่างประเทศไทย พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 ท่านแสดงออกอย่างชัดเจนจนประชาชนยอมรับ มีคนแย้งบ้างกับพวกอวดใหญ่โต แต่เป็นส่วนน้อย จนกระทั่งไม่มีท่า อยู่กับหมู่ใหญ่ในประเทศไม่ได้ หรืออยู่อย่างหมาน่อย ได้แต่เห่า อย่างอเมริกาเขาก็มีสองแบบ เสียงที่ได้จากการเลือกตั้งกับเสียงที่ได้จากวุฒิสภา ก็ต้องเอามาเลือกกันอีกชั้นหนึ่งไม่อย่างนั้นไม่แน่ บางทีจากการเลือกตั้งเอาคะแนนเสียงมากเฉยๆก็ไม่เข้าท่า ต้องออกเสียงจากวุฒิสภาเป็นตัวตัดสินอีกทีหนึ่ง ถ้าวุฒิสภาเกเร เป็นลิ่วล้อของทุนนิยมก็เสียอีก จึงเป็นความซับซ้อน ไม่เที่ยง สัจจะจริงๆเท่านั้นที่จะเที่ยง วุฒิสภาก็ต้องมีปราชญ์ที่มารวมกันเป็นคะแนนเสียงใหญ่ ถ้าหากประชาชนโง่ มีแต่กิเลส จะไปใช้ได้อย่างไร เอาเสียงของคนกิเลสมากมาใช้ บ้านเมืองก็วุ่นวาย อาตมากำลังเสนอ การเมืองประชาธิปไตยที่ต้องมีคุณลักษณะดีที่สุด คือสามเส้า คือ กษัตริย์ ประชาชน และวิญญาณ สามเส้า นี่เป็นชื่อหลัก ของ process เป็นชื่อหลักของกระบวนการในการเกิดผล ซึ่งคำว่าวิญญาณนี้เป็นตัวหลัก วิญญาณหรือจิตหรือมโน เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง คือมันจะเป็นตัวขับเคลื่อนเป็นประธาน คนสามารถสร้างให้วิญญาณเจริญ ถ้าวิญญาณ จิต มโน เป็นโลกียะต่ำชั่วมันก็เป็นประธานของคนคนนั้น คนไหนมีจิตวิญญาณที่ชั่วก็เป็นประธานของคนนั้น จะซับซ้อนมีเล่ห์เหลี่ยมสูงเอาเปรียบเอารัด จนคนไม่กล้าทำอะไร มนุษย์ก็สร้างทำแบบนี้มาแล้วมีตัวอย่างเยอะแยะ ถ้าเผื่อว่า คนที่เข้าใจสัจธรรมนี้ให้ดี แล้วก็มาสร้างใหม่ ให้เกิดพลังประธานหัวหน้าที่ดี ก็ทำให้จิตวิญญาณนี้ ดี ในโลกียะก็ดี คือเป็นผู้มีประโยชน์ต่อผู้อื่น มีศักดินา มีลาภยศสรรเสริญ ซ้อนลงไป โลกุตระของพระพุทธเจ้า ที่บอกว่าดี มีคุณค่าประโยชน์ต่อผู้อื่นช่วยเหลือผู้อื่นได้จริง แต่ไม่โลภ ลาภยศสรรเสริญอะไร ซ้อนลงไป ไม่ต้องไปนั่งติดยึด ไม่ต้องมี ประชาชนจะมีจิตวิญญาณของเขาเอง เข้าใจเองว่าท่านผู้นี้ ยิ่งได้ลาภมากได้ยศตำแหน่งมากท่านก็ไม่เอา สรรเสริญสุขท่านก็ไม่เอาประชาชนจะยิ่งเลื่อมใสศรัทธาสูงส่ง มีลาภยศสรรเสริญโดยธรรมะ โดยที่ไม่ได้ทุจริต ขี้โกง ได้สิ่งที่เป็นโลกธรรมมา โดยสุจริตดีแท้ แต่ท่านไม่เอาเป็นของท่านเอง อยู่ที่คุณจะให้หรือจะกลับคำไม่ให้ก็ไม่มีปัญหา แม้จะให้ถาวรก็เรื่องของคุณ ตัดสินเองเป็นอิสระเสรีภาพสูงสุด จิตวิญญาณเป็นตัวยิ่งใหญ่ที่สุด มนุษยชาติต้องมีจิตวิญญาณ ประชาชนแต่ละคนก็มีจิตวิญญาณ คุณสมบัติคุณธรรมของจิตวิญญาณแต่ละคนไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์หรือประชาชน ก็ต้องเป็นจิตวิญญาณที่ประเสริฐที่สุด เป็นจิตวิญญาณขั้นสูงโลกุตระให้ได้ ศาสนาพุทธสอนตั้งแต่โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ เป็นโพธิสัตว์ต่อไปอีก โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.สัมมาสัมพุทธโธ(พระพุทธเจ้า) ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า คุณก็เข้าใจสภาวะเหล่านั้นด้วยการสั่งสมสัจจะความจริง ไม่ใช่เอาของใครมา สร้างเองทำเอง จนกระทั่งเป็นจริงมีจริงพิสูจน์ได้ แม้ยุคกาลที่ทำไม่ได้ ก็จะเห็นเป็นไปตามลำดับ อย่างยุคนี้ ผู้ที่สร้างความเจริญทางจิตวิญญาณ คนที่มีดวงตามีปัญญาเข้าใจ ก็มองออกมองเห็นอย่างคนไทยที่มองออกมองเห็น อาตมาได้ชี้นำ ว่าคุณลักษณะของจิตวิญญาณที่มีความสูงส่งเป็นจิตวิญญาณโพธิสัตว์ โดยยกอ้างประวัติศาสร์ เช่น ของคานธี ไอน์สไตน์ เรื่องไอน์สไตน์เข้าใจยากกว่าคานธี ของไอน์สไตน์เป็นวิทยาศาสตร์ ยิ่งในหลวงร.9 ก็ชัดขึ้น ทางด้านวิทยาศาสตร์เรื่องนามธรรม ก็เลยเห็นได้ง่ายกว่า แท้แล้วยังมี ขั้นวิทยาศาสตร์หรือขั้นวัตถุ กับนามธรรม ยังมีนามธรรมสูงกว่าวิทยาศาตร์ ยิ่งนามธรรมสูงกว่าวัตถุธรรม เช่น ความเร็วของแสง แต่ความเร็วของจิตนั้นยิ่งกว่าความเร็วของแสง และเป็นจริงเจริญกว่า มีประโยชน์สูงกว่า ในจิตนั้นจะได้ทั้งรูปและนามแต่วัตถุนั้นได้แค่วัตถุ ทางนามธรรมก็อาศัยไป คุณควรรู้ได้ ในความซับซ้อนว่าอันไหนเหนือกว่า สูงสุดจริงๆ นามธรรมสูงสุด นี่แหละ เป็นสิ่งที่คนยากจะตัดสิน เช่น นามธรรมที่สูงส่งที่สุดมีอำนาจยิ่งใหญ่จริงๆ คือนามธรรมของพระเจ้า แต่เขาไม่รู้ชัดเจนไม่รู้รอบ ไม่รู้อย่างยืนยันว่าพิสูจน์ได้เป็น เอหิปัสสิโกโอปะนะยิโก อะกาลิโก อย่างที่พระพุทธเจ้าค้นพบ อย่างนามธรรมพระเจ้า ศาสนาพุทธหรือพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ศึกษาเป็นสายเจโตหรือศรัทธา ทะลุละเอียด พิสูจน์ได้จนตั้งสูตรไว้ตั้งแต่ อาตมาพิสูจน์มาตั้งแต่ความสงบสยบความเคลื่อนไหว ความจนที่มหัศจรรย์ ความจนที่ประเสริฐเหนือชั้นกว่าความรวย อย่างนี้เป็นต้น ความเป็นสาธารณโภคี ซึ่งเป็นสังคมคนจน มีประโยชน์กว่าสังคมคนรวย สังคมคนรวยนั้นเป็นสังคมได้เปรียบเอาเปรียบ แต่สังคมคนจนเป็นสังคมเสียสละเกื้อกูลผู้อื่น อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งความซับซ้อนลึกซึ้งพวกนี้ ถ้าพูดกับโดนัล ทรัมป์ว่า สังคมคนจนดีกว่าสังคมคนรวย เขาก็คงไม่เข้าใจ เป็นผู้ไม่ต้องสร้างอำนาจบาตรใหญ่เป็นผู้แพ้นี่แหละ ไปพูดกับคิมจองอึน หรือปูติน เขาจะฟังไหวไหม รอดูสิว่าสีจิ้นผิงจะมาร่วมด้วยไหม พลเมืองและทรัพยากรเขามีเยอะนะ อาตมาคือนักการเมืองตัวเอ้นะ อ่านหมากทุกหมากในกระดาน อาตมาแม้จะไม่มีหน้าที่รับผิดชอบเหมือนคนอื่น แต่สำหรับอาตมาต้องรับผิดชอบ แน่นอน คนอื่นอาจจะเห็นว่าใหญ่ ทำเป็นใหญ่รับผิดชอบประเทศชาติ ไม่เป็นไร อาตมาทำหน้าที่ อาตมารักประเทศชาติ อาตมาจะทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติ จะใหญ่หรือไม่ใหญ่อาตมาก็จะทำ ทำไมผิดหรือ ทำดียังไม่ได้ดีเพราะอาตมาทำดียังไม่มากพอ จะทำดีให้คนตาบอดเห็นได้ จนกว่าจะละร่างนี้ไป แต่อาตมายังไม่จบ ก็มาต่อเป็นโพธิสัตว์อีก สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ทำธรรมะสองให้เป็นหนึ่งลึกซึ้งถึงวิญญาณ เข้าสู่เนื้อหาสาระธรรมะ ซ้อนในเรื่องการเมือง กษัตริย์หรือประชาชนหรือตัวตนบุคคลเราเขา เป็นสิ่งที่ร่วมกันเป็น กาย แยกไม่ออก มนุษยชาติต้องมีกายกับจิต 2 อย่างเป็นธรรมะ 2 แยกกันไม่ได้ ธรรมะสองนี่แหละเป็นเรื่องใหญ่ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 เทวธัมมา ธรรมะ 2 จับคู่กันแล้ว ถ้า โง่ มันจะกลายเป็นเมถุน ร่วมหัวกันแล้วเสพสุขเสพทุกข์ เขาไม่อยากได้หรอกทุกข์ แต่เขาต้องได้ทุกข์เพราะมันคู่กับสุข เป็นธรรมะ 2 ผู้ใดสามารถแยกธรรมะสอง ไม่ให้ธรรมะอีกอันหนึ่งเกิด ให้เกิดธรรมะเดียวเป็นปุริสภาวะ หรือเก่งกว่านั้นเป็นธรรมะ 0 นปุงสกลิงค์ก็ยิ่งจบเลย แม้เป็นปุงลิงค์ 1 ก็จบได้ แต่ถ้าเป็นธรรมะสองอยู่เรียกว่าอิตถีภาวะเป็นอิตถีลิงค์แล้วมีสอง ขึ้นไปมากกว่าสอง ยิ่งมากยิ่งเละ ยิ่งแย่งชิงเป็นทุกข์ไปหมด งั้นเราไม่เป็นแล้ว เราไม่มีคู่ จะคู่ทั้งรัก คู่ทั้งชัง ไม่เป็นทั้งสองเลย เดี่ยว ช่วยคนที่ยังทุกข์เพราะรัก ช่วยคนที่ยังทุกข์เพราะชัง เพราะเรารอดหลุดพ้นจากรักและชัง หลุดพ้นจากทุกข์แล้ว เราจึงไปช่วยเขาด้วยใจสะอาดบริสุทธิ์ เท่าที่เรามีภูมิเท่าไหร่ก็ช่วย นี่เป็นน้ำใจเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ที่แท้จริงที่เราทำ เรามาศึกษาธรรมะ 2 เมื่อธรรมะ 2 แล้วก็จะเกิดการสังขารอีกอันหนึ่งเรียกว่า 3 ธรรมะ 1 ธรรมะ 2 บวกลบเกิดเป็นธรรมะ 3 ถ้าอวิชชาสังขารปรุงแต่งเป็นสุขเป็นทุกข์เป็นโลภเป็นโกรธเป็นหลงเป็นคู่ 2 ไปตลอดเลย แล้วก็สะสมเข้าไปเป็นเหตุปัจจัย ที่จะซับซ้อน เป็นความยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวกูของกู ที่จะเอาชนะคะคาน สมโลภ สมชัง สมชังก็สมนะ สมโลภก็สมนะ ก็สะสมทั้งโลภและชัง เพราะเป็นความโง่อวิชชา ถ้ารู้แล้วจะไปนั่งทำอย่างนั้นอยู่ตลอดกาลนาน ตายๆๆ เมื่อไหร่มันจะจบมันจะพ้นทุกข์ร้อนกันเสียที เพราะฉะนั้นจึงมาเอาความสำคัญของตัวเองก่อน คือวิญญาณของตนเอง ของคนอื่นเขาก็ต้องรับผิดชอบของเขา จะไปอยู่ในพวกที่เป็นหัวหน้า กษัตริย์ หรืออยู่ในมวลประชาชนก็เป็นของเขา แต่เราเอาตัวรอดก่อน แต่เป็นความเอาตัวรอดที่ไม่เป็นภัยกับใคร เอาตัวรอดที่จะเป็นประโยชน์แก่ใครๆ เอาตัวรอดที่จะเป็นประโยชน์แก่ประชาชน แม้ที่สุดเป็นประโยชน์ต่อกษัตริย์ เป็นหนูช่วยราชสีห์ได้ เป็นมดช่วยราชสีห์ได้ อะไรอย่างนี้ เพราะฉะนั้นต้องมาเอาตัวเราก่อน การศึกษาวิญญาณที่จะเอาตัวรอดได้ พระพุทธเจ้ามีหลักสูตรสำคัญคือศีล สมาธิปัญญา การศึกษา 3 ไม่นอกไปกว่านี้เลย การศึกษา 3 นี้แหละ เขาพากันมิจฉาทิฐิไปใหญ่เลย แยกการศึกษา ศีล สมาธิ ปัญญา เรียกว่า สมาธิก็คือรวมอธิจิต ที่ลงไปตั้งมั่น เข้าใจอธิจิตที่ลงไปตั้งมั่นไม่ได้ การตั้งมั่นของจิตมี 2 นัย นัยหนึ่งรวมอย่างสมถะ กับจิตที่ได้รวมกันตั้งลง เป็นสมาธิตั้งมั่นที่ไม่ใช่สมถะ แต่รวมลงอย่างวิปัสสนา หรือรวมลงอย่างพลังงาน ไม่ใช่พลังงานบวกหรือลบ แต่เป็นพลังงานที่ใช้พลังงาน Dynamic สังเคราะห์แล้วก็เลือกเอาสิ่งที่ถูกต้องสิ่งที่ดีงาม ให้ตกผลึกลงไปสะสม ทั้งๆที่ชีวิตปกตินั้นคือ มนุษย์ที่มีพลังงาน Dynamic เป็นพลังงานเคลื่อนที่ ที่แรง ที่มี Coefficient ที่มีพลังงานอัตราก้าวหน้าระดับคูณจนถึงขั้นยกกำลังเลยทีเดียว จะเจริญๆๆก้าวหน้าๆ จนสูญเสียน้อยหรือไม่มี ประโยชน์สูงประหยัดสุด ได้ไปเรื่อยๆๆ อย่างมีปัญญาแหลมคมแทรกซ้อนรู้รายละเอียดพวกนี้ว่าไม่ผิดพลาด ไม่ได้เดาส่ง เป็นของแท้ เป็นจริง และก็จึงเกิดจิตที่สั่งสมเป็นสมาธิจริง ในขณะที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นสูตรของสังกัปปะ 7 รู้ลักษณะสามเส้าๆ ของ dynamic static แล้วสังเคราะห์สังขารกัน จนกระทั่งเกิดผล เป็นตัวที่ 7 Dynamic กับ Static ก็สั่งสมเป็น 3 เส้า สังเคราะห์เป็นผลเพื่อจะสั่งสม เพราะฉะนั้นการตกผลึกนั้น ที่จะกลายเป็นสมาธิของพุทธ จึงไม่ใช่การทำนิ่งๆและสะกดลงไปเป็นสมาธิ แต่เป็นการสังเคราะห์ เป็นการสังขาร เอาตัวจริงที่สะอาดบริสุทธิ์เจริญสุด สั่งสมเป็นอัปปนา พยัปปนา พัฒนาทวีเป็นพยัปปนา ไปเรื่อยๆๆๆ พยัปปนา มี พ.พาน ย.ยักษ์ ป.ปลา น.หนู พ.พานมีจุดข้างล่างด้วย หมายความว่าเป็น dynamic ถ้านิคหิตอยู่ข้างบนเป็นตัว dynamic คือวงกลมข้างบนสื่อสภาพ Dynamic แล้วสั่งสมเป็นตัวข้างล่างเสมอ พ.พาน จุดข้างล่างเป็นตัวทำงาน dynamic ทำงานตลอดเวลา กลับกันนะ วงกลมเป็น dynamic จุดข้างล่างเป็น static แต่ตัว พ.พานทำงานเป็นตัวพฤติกรรม ป ผ พ ภ ม. เป็นแถวตัวทำเต็มเลย ทำตั้งแต่ ป มีผัสสะคือ ผ.ผึ้ง แล้วเจริญ แล้วเป็น พ.พาน ได้ผลดีเจริญขึ้นเป็น ภ.สำเภา ตัว โภ เป็นความเจริญก้าวหน้า ภควโต นี่คือ ภ คือการดำเนินไป ค คือก้าวหน้า เกิด คต เจริญก้าวหน้าไปเรื่อยๆ พยัญชนะรวมเป็นวลี เป็นคำ เป็นประโยค เป็นบท รวบรวมหลักฐานข้อมูลมากขึ้นเอามาเป็นตัวอย่างเป็นการเรียนรู้ ต่อๆมานั่นแหละ เข้าสู่เป้าว่า หลักธรรมพระพุทธเจ้านั้น สมาธิที่เกิดจากเกณฑ์ของขนาดหลักการปฏิบัติที่เรียกว่าศีล เริ่มต้นจาก 2 หน่วยก่อน แล้วก็มีหน่วยที่ 3 4 5 6 7 8 ไปเรื่อยๆอย่าเพิ่งไปตะกละ ถ้าทำตั้งต้นตั้งแต่ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ คุณก็ต้องเรียนรู้ว่า สัตว์นั้นคือจิตนิยามแล้ว เพราะฉะนั้นศีลข้อ 1 เกี่ยวกับสัตว์ อย่าไปให้มันเกิดวิบาก หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ เอ็นดูกันเถอะ กรุณากันเถอะ อย่าไปเบียดเบียน อย่าไปทำร้าย อย่าไปฆ่า มันเป็นวิบาก เสียเวลาเสียแรงงานไม่เกิดประโยชน์ เราจะฉลาดในการอยู่กับสัตว์ทั้งหลายไม่ให้สัตว์ทั้งหลายทำร้ายเรา อย่าให้สัตว์ทั้งหลายเป็นภัยต่อเรา แล้วเราก็ต้องเป็นประโยชน์ต่อเขา เรายิ่งเป็นประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายจะยิ่งไว้ใจเรา ใช่ไหม? สัตว์ทั้งหลายก็เลยกลายเป็นมิตรต่อเราช่วยเหลือเราด้วย ซ้ำซ้อน ไม่ใช่ไปหลอก เป็นอิสระเสรีภาพ เราช่วยเขาอย่างจริงใจสะอาดบริสุทธิ์ไม่ต้องการตอบแทนเลย ความฉลาดของสัตว์ทั้งหลายแหล่ ก็จะมี นอกจากสัตว์ที่ยังไม่เข้าใจไปบังคับเขาก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นความหมายที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในศีลข้อที่ 1 แต่ละคำจริงลึกซึ้งสูงสุดเลย คนไม่เข้าใจก็พูดไม่ถูกอธิบายไม่ได้ ละการฆ่าสัตว์ เว้นจากการฆ่าสัตว์ ละจากการฆ่าสัตว์คือไม่ฆ่าสัตว์เลย เว้นจากการฆ่าก็ฆ่าบ้าง อย่างชีวิตอาตมานี้ก็ฆ่าไวรัสบ้าง จะให้ไวรัสมันมากินแล้วตายก่อนก็ไม่ได้ทำงาน เราต้องสละส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่ เรียกว่าเว้นขาดจากการฆ่า ถ้าละการฆ่าคือไม่ฆ่าเลย แม้สัตว์ใดๆ ถ้ายังจำเป็นก็เว้นขาดจากการฆ่า อาจมีฆ่าบ้างน้อยๆ สุดวิสัยจำเป็นที่สุด ก็เว้น ต้องฆ่า ไม่ถึงกับละเด็ดขาด ยังมีขอหน่อย ก็ยังไม่ค่อยดี จะให้ดีก็ต้อง ละเลย จำเป็นก็ต้องนิดหน่อย วางทัณฑะ วางศาสตรา หมดไม่ต้องใช้เครื่องมือแล้ว เพราะเครื่องมือฆ่า เครื่องมือทำร้ายทำลายนั้นมันยังไม่แน่จริง แน่จริงอย่าใช้เครื่องมือสิ แต่นี่ไปเอาอาวุธไปเอาเครื่องมือร้ายแรงอะไรมาเติม อย่างน้อยกัดกันด้วยฟัน ซัดกันด้วยเขี้ยวก็พอทำเนา อย่าไปเอาไม้หน้าสาม อย่าเอาชะแลงมีดดาบ เอาระเบิดเอาปืนมาอีก อย่างนี้มันเอาเปรียบกันหนักนี่หว่า ฟันต่อฟัน เขี้ยวต่อเขี้ยวสิ จริงๆแล้วไม่ต้องใช้ฟันใช้เขี้ยว คนฉลาดจะละอายต่อการที่ยังใช้ฟันใช้เขี้ยวใช้อาวุธใช้สิ่งที่เป็นองค์ประกอบในการไปทำร้ายคนอื่น นั่นมันยังเดรัจฉาน ละอาย ก็ชนะกันด้วยความเป็นประโยชน์ ด้วยความเกื้อกูลเอ็นดูช่วยเหลือ มีความกรุณาหวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ ความแค่นี้แหละ อาตมาซาบซึ้งไปทะลุมหาจักรวาล อธิบายศีลข้อ 1 มากี่เดือนแล้วยังไม่จบสักที ยังไม่สิ้นความเสียที ศีลข้อที่หนึ่งเกี่ยวกับสัตว์ก็ต้องทำการพิสูจน์กับสัตว์ ลืมตาสัมผัสกับสัตว์ใหญ่สัตว์เล็กสัตว์น้อยอะไร มันจะเกิดจิตอย่างไรกับสัตว์เล็กสัตว์น้อย สัตว์น้อยมันสู้คนไม่ได้เลย คุณก็ยังจะฆ่ามันอยู่นั่นแหละ คุณไม่กลัววิบากคุณก็ทำ แต่ถ้าคุณกลัวแล้วละอาย จะต้องกลัวไม่เอาไม่ทำ แล้วอยู่รอดได้ ไม่ต้องไปฆ่าสัตว์เหล่านี้ เราเป็นสัตว์ใหญ่ก็ฉลาดกว่าเขา เราเอาตัวรอดได้ หนีไม่รอด ก็ให้มันทำร้ายจนตายก็ยังดีเสียกว่าที่คุณจะไปทำร้ายเขา เพื่อเพิ่มวิบากเข้าไปอีก เพราะวิบากที่ทำมาด้วยความไม่รู้มันนานมากี่กัปป์กี่ล้านชาติ วิบากก็ทับถมแล้ว อย่าทำทุกข์ทับถมทุกข์ที่มีอยู่แล้วอีก การจะละเว้นสัตว์ใด ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวไปจนกระทั่งถึง สัตว์สูงสุด ระดับพระพุทธเจ้า เว้นเลย ไม่ต้องไปสร้างวิบากร่วมกันอีกเลย ไม่ว่าจะเป็นวิบาก อย่างน้อยวิบากชัง เลิกเด็ดขาด วิบากรัก วิบากจะเกื้อกูลกันให้มาร่วมกันอาจจะมีอยู่ แต่ร่วมกันแล้วก็ยังไม่ลึกซึ้ง ร่วมกันแล้วก็ยังมีอวิชชาซับซ้อนอยู่ ก็ต้องวางปล่อยเลิก อย่าให้เกิดอวิชชาอย่างนั้นเลย แม้จะร่วมกันก็ร่วมกันเพื่อที่จะเป็นประโยชน์เพื่อผู้อื่นต่อไปๆๆ ไม่ใช่ว่าร่วมกันแล้วเราก็ยังจะเอาประโยชน์จากเขาอยู่ ตั้งแต่วัตถุจนถึงช่วยด้วยพลังแรงงาน จนถึงรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ก็จะได้รสทางรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เสียดสี ก็ไม่ทั้งนั้นน่ะ สูงสุดแล้วไม่ได้รับที่จะเป็นประโยชน์ต่อเรา เพราะเป็นธรรมชาติทั้งนั้น ด้วยการเห็นรูป ได้ยินเสียง ได้กลิ่น ได้สัมผัสทางลิ้น สัมผัสเสียดสีเย็นร้อนอ่อนแข็ง มันก็เป็นธรรมชาติของมัน คุณไปมีอุปาทานเองว่าอย่างนี้ชอบอย่างนี้ไม่ชอบ ชอบก็ติดยึดไป ไม่ชอบก็ผลักออกเป็นพยาบาทเป็นโกรธ ก็เป็นธรรมะ 2 อยู่นั่นแหละ แล้วเมื่อไหร่มันจะเป็น เอกสโมสรณาเสียที เมื่อไหร่มันจะเหลือ 1 เดียว ไม่เกิด 2 แม้จะกระทบเป็นร้อยเป็นล้านก็เป็นหนึ่งอย่างแข็งแรง ไม่มี 2 ไม่มีธรรมะคู่ ไม่มีเมถุน จับคู่อย่างไรก็ไม่เกิดรสชาติอีก ไม่เกิดรสปลอม ไม่เกิดรสเก๊ รสจริง ก็แน่นอนต้องดูต้องเห็นตามจริงนั้น รสแท้ ก็เป็นธรรมชาติของธาตุรู้ที่รู้ตรงกันเป็นหนึ่งเดียว สัจจะเป็นหนึ่งเดียว แต่ที่มันเก๊นั้นมันไม่หนึ่งเดียว มันต่างกัน คนชอบก็อีกอย่างหนึ่ง คนไม่ชอบก็อีกอย่างหนึ่ง แค่นั้น แยกเป็นสองก็ชัดเจนแล้ว หรือแม้จะเป็นสาม มีความเฉยๆก็ยังมีลักษณะต่างกัน อธิบายได้ยากหน่อยเฉยๆ เฉยๆ ได้อย่างกดข่ม มันเฉยจริงๆ มันวางสะอาดอย่างมีปัญญารู้ด้วย กับเฉยรู้ว่าตัวเองวางนี่แหละวางจริงหรือเปล่า ก็มีอย่างละเอียด ฉันวางแล้ว แล้ววางอย่างสะอาดแค่ไหน? มันยังมี Potential energy ซับซ้อนเป็นตัวแฝงที่ซุกซ่อน โดยที่คุณไม่รู้ทันมีอยู่ ก็พยายามตามรู้ทันตัว Potential energy กว่าจะรู้ตัว มันเพาะแตกตัวบานตะโก้เลย พลังงานแฝงที่เราไม่สามารถที่จะอ่านได้ออก แฝงตัวมา สรุปเข้ามาเราศึกษาต้องเอาทีละคู่ๆ ศึกษาให้ได้สะอาด สะอาดอย่างจริงเลย มั่นใจว่าไม่มีวิจิกิจฉา สรุปแล้ว มันสะอาดอย่างรู้เห็นชัดเจนเลยว่า มันไม่มีการเกิดอีก ไม่เกิดเลย ไม่มีตัวที่จะสั่งสมเป็นชีวะที่จะต้องมายึดถือทั้งรักทั้งชัง ไม่มีทั้งสอง ไม่มีทั้งรักทั้งชัง ถ้าจะเกิดอีกก็เป็นกลางอย่างอเนญชา อุเบกขา ที่มีคุณสมบัติถึง 5 ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เป็นกลางที่อย่างไรก็สะอาด จะไปสู้กับความเลอะเทอะรุนแรงอย่างไรก็สะอาด เพราะมีพลังงานมุทุธาตุที่เร็ว หลุดรอดได้ แล้วไม่หนี มีการเผชิญเข้าไปช่วยได้ เป็นกัมมัญญาเป็นการทำงาน ช่วยอีก อาสาช่วย อย่างนั้นก็ยังสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีตัวตนเลย จนทำงานได้อย่างสุดยอด ไม่มีใครทำอะไรเราได้ จึงเป็นผู้ที่มีกัมมัญญตา หรือจิตอุเบกขาที่มีกัมมัญญตานี้สุดยอดครบทั้ง ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา จิตนี้คือจิตประภัสสรหรือปภัสสรา สุดยอด ป คือตัวงาน ส คือตัวแรงงาน ย ร ว ส คือพลังงานตัวที่ 4 เอามาทบต่อ เอาพยัญชนะเศษวรรคเติมอีก เอาพลังงานตัวที่ 4 กับ 2 เรียกว่าพลังงานทำงาน ไม่ใช่พลังงานหยุด เป็นพลังงาน dynamic ไม่ใช่ static เอา 2 กับ 4 มาทำงานช่วยตลอดเวลาตั้งหน้าตั้งตาทำงานไม่ยอมหยุด สะอาดบริสุทธิ์อย่างนั้นเจริญขึ้นอย่างนั้น ปภัสสรา เจริญอยู่ตลอดใสสะอาดอยู่อย่างนั้นตลอด ไม่มีสิ่งที่ไม่มี สิ่งที่เราจะไม่ให้มีนั้นไม่มีแล้ว สะอาดผ่องแผ้ว ใส บริสุทธิ์ 4578 อธิบายนี้มันเข้าใจด้วยนะแต่จะทำได้หรือเปล่าเท่านั้น เข้าใจแล้วก็ค่อยๆทำไปตามลำดับ ทำได้จนเป็นตถตา เป็นอัตโนมัติ สั่งสมไป เป็นนามธรรมอย่างลึกซึ้ง ผู้ที่ไม่มีพื้นเลยไม่มีภูมิ จะฟังไม่รู้เรื่อง ก็เห็นใจนะ ก็สงสารอยากให้รู้ ก็จะดีแก่เราเองและโลก ถ้าเขาเองเขาไม่รู้อย่างเรา เขาทำเขาก็เป็นภัย แต่เราบอกว่าดีนะ เขาว่าไม่ดีก็เป็นภัย แต่ถ้าเขารู้ว่าดีก็ส่งเสริมกัน สัจจะมันก็จบอยู่เท่านี้ เพราะฉะนั้นในศีลกับสมาธิ สมาธิหรืออธิจิตที่จะเกิดสมบูรณ์แบบ จะลงตัวตกผลึกสั่งสมไปเรื่อยๆได้ ก็ต้องเกิดจากความครบรอบบริบูรณ์สัมบูรณ์ไปตามลำดับ หากคุณทำอันนี้ยังไม่เสร็จยังไม่แข็งแรงจะไปทำดีขึ้นได้อย่างไร อันนี้ยังไม่แข็งแรงไม่มีรั้วกั้นลงตัว มีพลังงานอื่นมาแทรกตัวเองพังลงไปอีกแล้วก็ต้องมาทำใหม่อีก จึงไม่เป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่แล้ว รู้แล้ว แล้วไม่รู้แล้ว คำว่า แล้ว รู้แล้ว กับคำว่า แล้วไม่รู้แล้ว คุณต้องแล้วต้องรู้แล้วบ้างสิ แล้วคุณต้องแม่นด้วยนะ ว่าแล้วแน่ๆนะ แต่ถ้าไม่รู้แล้วอยู่ ทั้งๆที่มันไม่แล้ว คุณก็ไปทำอันใหม่อีกก็เป็นเหตุปัจจัยมาพังฐานเก่า ก็ต้องเอาให้มันแล้ว พลังงานที่จะไว้ใจได้สูงสุดคือ ใช้ด้วยสังขยาเลข ต้องเลข 7 ขึ้นไป แค่ 4 เป็นความเจริญแค่สามเส้า ต้อง 7 ขึ้นไปถ้ายิ่งเป็น 9 เป็น 10 ลงตัว จะจบลงตัวแต่ละอันก็ต้องเป็น 10 อรหันต์ก็คือ 10 อรหันต์ทุกองค์คือ 0 อรหันต์จะเติมเป็นโพธิสัตว์ก็เป็น 11 12 ไปเรื่อยๆ จนเป็น 20 30 ไปหาอีก 60 90 ยกกำลังของ 90 ไปอีก อย่างนี้เป็นต้น ก็เป็นเรื่องสัจจะที่เป็นจริงที่คุณทำได้ มีเหตุปัจจัยทุกอย่างครบ จึงจะถือว่าเป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่มีการทำแล้วสิ่งโน้นกลับมาย้อนแย้งทำลายตัวเองซ้อนอีก ทำแล้วก็ครบครัน มันมีภาวะซ้อนอย่างนี้ ในศีลข้อ 1 คุณทำให้ได้ผลจนกลายเป็นสิ่งที่มั่นคงถาวร แน่นอนแล้ว ตรวจแล้วตรวจอีกๆ อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง ทำได้ทำซ้ำ จนได้ผลอย่างนี้ชัดเจน อาเสวนาทำซ้ำ ภาวนาทำได้ผลอย่างนี้ ทำอย่างไรทำให้มากๆๆ จนคุณตรวจสอบได้ว่ามันไว้ใจได้แล้วนะ ไม่มีการแปรปรวนแล้วนะ ขณะที่คุณทำอันนี้มันเกิด ไม่ได้ทำอันเดียวมันมีพลังงานซ้อน ที่เป็นพลังงาน Coefficient เสริมตลอดเวลา เมื่อจบอันนี้แล้วตัดเกรดอันนี้เสร็จ พลังงานอื่นคุณก็เลื่อนไปอีก เลื่อนไป ไม่ใช่ตัดเป็นก้อนๆ เพราะฉะนั้นมันจึงเหลื่อมกัน วิทยาศาสตร์จึงแยกไม่ออกระหว่าง quantum กับ photon ฉันเดียวกัน การเคลื่อนกับการเป็นตัวตน กระแสกับแรงเคลื่อน Static กับ Dynamic ก็แยกไม่เสร็จ static ที่สั่งสมเป็น อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เป็นความซับซ้อนที่เหลื่อมกัน มีต้นทุนและมีพลังงานเพิ่มๆ ถ้าลักษณะของ Dynamic คือสามเส้า ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ แต่อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา พยัปปนานี้เป็นตัวยาวมากเลย อัปปนา เป็นตัว static แท้ แต่ พยัปปนานี้มีตัวครึ่งอยู่ด้วย พ.พานจึงมีจุด มีสองอยู่ด้วยมีพัฒนา ตัวพฤติ จึงมี 2 อยู่เรื่อย ในพยัปปนา สั่งสมเป็น อัปปนา โตขึ้นคือ เจตโสอภินิโรปนา อปัปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา ตัวต้นเป็นตัวตั้ง พยัปปนา เป็นตัวพฤตินัย ได้เท่าไหร่ก็เป็น เจตโสอภินิโรปนา เป็นตัวสั่งสม และมีพลังงานปฏิภาคทวีซับซ้อนไปเรื่อยๆจาก Dynamic ที่เป็นพลังงานทำส่งบริษัท อปัปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา โตขึ้นไปเรื่อย เจตโส อภินิโรปนา หมายความว่า เจตโสคือจิต อภิ คือยิ่งใหญ่ นิโรปนา คือนิโรธ ตัวที่มีหรือไม่มี ที่ไม่มีก็ให้ไม่มี ที่มีก็สั่งสมที่ควรมี อภิ ยิ่งใหญ่มาก นิโรปนา มี ป.ปลา กับ น.หนู ต ถ ท ธ น กับ ป ผ ภ พ ม นิโรป ตัว น คือตัวไม่ อย่างยังมีอย่างไรก็ต้องไม่ มีอย่างไรก็อย่าไปยึดถือว่าเป็นนิรันดร คือ น ต คือ การตั้งลงหยั่งลงสั่งสมลง เอาไปใช้งาน สุดท้ายมันก็ไม่มี หมดเป็น น ในวรรคที่ 4 ต ถ ท ธ น ตั้งอยู่เพื่อจะไม่มี สายปรินิพพาน คือตั้งอยู่เพื่อจะไม่มี ตั้งอยู่ทำไม ก็ต้องอยู่เพื่อทำงาน สุดท้ายแล้วไม่มีชีวะใดที่จะเที่ยงหรือจะอยู่นิรันดร เพราะฉะนั้นจะนิรันดรหรือไม่นิรันดรก็คือเรา เราเองเราไม่นิรันดร คือเราตัดนิรันดร ตัดความไม่รู้จักจบ ที่เป็น Infinity Forever คุณก็หยุดของคุณ คุณจะสั่งอมตะบุคคล จะสั่งให้หยุดหรือต่อ ถ้าคุณได้อยู่ในฐานของอมตะบุคคลก็จบแล้ว จะปรินิพพานเป็นปริโยสานหรือไม่ก็แล้วแต่คุณ ถ้าปรินิพพานเป็นปริโยสานแล้ว กายสเภทา กายแตกแล้วแตกเลย ไม่มีการกลับมาเชื่อมต่ออีกได้ เหมือนกระเบื้องแตกออกเป็น 2 เสี่ยงต่อกันไม่ได้ ตาลยอดด้วนแล้วเกิดอีกไม่ได้ เหมือนพวงมะม่วงตกมาแตก ในขั้วอาจมีสองสามลูกแต่พวงใหญ่มันแตกไปแล้ว ไม่รวมกันติดเป็นมวลใหญ่นั้นอีกแล้ว ถ้ามีร้อยก็ไม่มีทางรวมได้ร้อยอีก หรือ H2O มีสามตัวเมื่อแยกออกจากกันแล้วก็รวมกันไม่ติดเป็นตัวเดิมอีกแล้ว แม้จับรวมกันเป็น 3 ตัวอื่นอีกก็ไม่เหมือนตัวเดิม อย่างเก่งรวมเป็นสามตัว พีชะ ก็ไม่มีวิบากอะไร ยิ่งเหลือ 2 ตัวอย่างเก่งก็เป็นสี่เหลี่ยม สี่เหลี่ยมนี้ไม่รอบตัวไม่เก่ง แต่ถ้าเป็นวงก็เป็นมวลที่วิ่ง แต่ยิ่งมีเหลี่ยมยิ่งชะงัก ยิ่งเป็นวงกตก็ยิ่งไม่ได้เรื่อง มันเป็นสัจธรรมธรรมชาติ อาตมาใช้ไม้ใช้มืออธิบาย มันจะวิ่งอย่างเป็นเหลี่ยมก็ไม่คล่อง จะเป็นสามเหลี่ยม ก็จะมีความกว้างกว่าสี่เหลี่ยม สามเหลี่ยมวิ่งเร็ววนคล่องสุดกว่าสี่เหลี่ยม แค่สี่เหลี่ยมจัตุรัสแล้วจะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าก็ยิ่งจะวิ่งไม่คล่อง ยิ่งเป็นห้าเหลี่ยมหกเหลี่ยมเจ็ดเหลี่ยม ไปถึงจุดเหลี่ยมเท่าไหร่ก็ต้องแช่ชะงัก ยิ่งหลายเหลี่ยมก็แย่ ก็จะเป็นเขาวงกตเยอะใหญ่ ไปไม่ถูกเลย สูงสุดแล้ววงวน ไม่สะดุดอะไรเลยดีสุด เป็น cyclic order เป็นพลังงานสูงสุดแล้ว มนุษย์จึงเป็นตัวเจ้าของการกระทำที่แท้จริง แม้แต่พระเจ้าก็ไม่รู้จักกรรม พระเจ้ามีแต่ God พระเจ้ามีแต่ God God นี้ย่อมาจาก กต หรือ กตัง จบหยุด นิ่งอยู่ ก คือตัวตั้งต้น แล้วก็ตั้ง เป็น ต ก็มีสระ มีโอ เข้าเป็นวงวัฏฏะ หมุน ก๊อด God เป็นภาษาฝรั่งเป็น D คือ ด.เด็กของไทย มาอยู่ที่ กต คือ ไม่ไปไหนแล้ว กต ไม่ใช่ กม ภาษาบาลีคือ กมม สันสกฤตคือกรรม ไม่รู้กรรมการกระทำไม่รู้อิริยาบทต่างๆ ก็ได้แต่นั่งนิ่ง กต จะไปรู้อะไรแล้วคุณจะไปมีอะไร จะทำอะไรก็ไม่ได้ แต่กรรมคือการกระทำจะเกิดพลังงานเกิดประโยชน์ กต ไม่มีประโยชน์อะไร นี่นัยลึกอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ศาสนาพุทธจึงไม่สงสัยในเรื่องจะเป็น ก๊อด หรือ กต เพราะชัดเจนรู้จักทั้ง กต และกรรม รู้ทั้งสองอย่างและควบคุมกรรมได้เลย แล้ว กต ก็เป็นอย่างสะอาดบริสุทธิ์ มีฤทธิ์เดชมีพลังงานมีความยิ่งใหญ่ พุทธก็สั่งสม กต ตัวนี้ แล้วยืนยันว่าเป็นตัวปรากฏการณ์สัมผัสได้ ยืนยันได้ ไม่ใช่เรื่องลึกลับอยู่ที่ไหนไม่รู้เรื่อง ก็เป็นในจางซูเหลียงในเรื่องเล็บครุฑ เป็นตัวสั่งบงการแต่ไม่เคยเห็นหน้า เห็นหน้าไม่ได้ มันลึกลับไง ผู้ทำงานด้วยยังไม่รู้ว่าหน้าตาเจ้านายเป็นอย่างไร เหมือนกับพวกที่เป็นลูกศิษย์สายเจโตเทวนิยม ยังไม่เคยเห็นพระเจ้าเลยว่าหน้าตาเป็นแบบไหน มีแต่ตัวลูกน้องแสดงความใหญ่แสดงความแรงแสดงอิทธิพล แต่ตัวใหญ่แสดงอย่างนั้นหรือเปล่า แต่ของพุทธนั้นแสดงอย่างเป็นจริง มีฤทธิ์เดชด้วย เป็นไปตามลำดับไปเลย สุดท้ายท่านก็ไม่ต้องทำ ให้ลูกน้องทำก็ได้ ได้ยืนยันว่ามีตัวมีตนเห็นตัวเห็นตนได้ ของเขาจะเป็นจริงหรือไม่เป็นจริง ก็แสดงไม่ออก ไม่มาแสดงแล้วมาพูด คนจะเชื่อถือในสิ่งที่ไม่แสดงตัว ก็เอาสิ ต่างคนต่างเลือกต่างนับถือกันก็ไม่มีปัญหา โลกจะมีสองอย่างนี้ คนที่เชื่อถือสิ่งลึกลับเขาก็เชื่อถือ เขาได้ผล เขาก็ได้ประโยชน์ ได้หน้าตาได้อะไรต่ออะไร ทางนี้เรายืนยันแล้ว แม้ที่สุด ได้หน้าได้ตาเราก็ไม่เอาเลย ไม่เอา กับไม่มี ต่างกันไหม? ไม่เอา กับไม่มี ถ้าไม่มีนี้ก็คือไม่รู้ ถ้ามีนี่มันต้องรู้ รู้แล้วว่ามี แล้วแถมไม่เอา ไม่เอามาเป็นเรา แต่ใช้ประโยชน์ก็ไม่ใช่เพื่อเรา ใช้ประโยชน์แก่ผู้ที่ควรได้ประโยชน์ ก็ใช้เต็มที่ คนที่ได้รับประโยชน์จากเรา เขาจะไปเห็นว่าเรามีประโยชน์คุณค่าหรือไม่ไม่เกี่ยว คุณจะเห็นก็ช่างไม่เห็นก็ช่าง เรามีหน้าที่ทำแล้วก็แน่ใจมั่นใจจริงใจ มีความรู้ชัดเจนว่ามันดีมันไม่ได้ไปทำร้ายคุณเลย มีแต่ประโยชน์เพื่อคุณ หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงทุกคน เท่าที่รู้จริงๆแล้วก็มีความจริง อะไรจะไปเบียดเบียนคุณสักนิดไม่ทำ อย่าว่าแต่ทำร้ายเลย เบียดเบียนคุณก็ไม่ทำ ถ้าจะเบียดเบียนคุณแล้วก็เพื่อให้คุณสะเทือน แล้วรู้ตัวตน ถ้าคุณนิ่ง กลมดิ๊ก ก็ไม่รู้ว่า คุณเบี้ยวอยู่ พระพุทธเจ้า จึงทำอย่างรอบคอบรอบรัดหมดทุกอย่าง สรุปแล้วถ้าคุณเรียนรู้เหตุปัจจัย ตามหลักพระพุทธเจ้าสอน เอาแต่น้อยไว้ก่อน ธรรมะ 2 แล้วก็ให้สมบูรณ์โดยเอาความรู้สึก คือเวทนา คุณรู้สึก แล้วก็กำหนดความรู้สึกเรียกว่าสัญญา เมื่อกำหนดความรู้สึกแล้วก็ต้องรู้ว่าพลังงานอะไรที่มันเป็นเจตนาต่อไปอีก เจตนาไปทางกุศลหรือเจตนาไปในทางอกุศล เจตนาแต่ทางมีคุณหรือเป็นโทษ คุณก็เลือกพิสูจน์พิจารณาเอาด้วยเจตนา ถ้าเจตนาเป็นโทษ เว้น ถ้าเจตนาเป็นกุศล ทำ เพราะฉะนั้นพลังงานของพระพุทธเจ้าเป็นพลังงานจิตที่ใช้งาน จึงมีตัวเวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ชัดเจน นามธรรม 5 Categories: ธรรมะพ่อครู, ศาสนาBy Samanasandin3 พฤษภาคม 2018Tags: AsokeAsoke boonniyomboonniyombuddhism with open eyesSanti Asokeชาวอโศกบุญนิยมปฏิบัติธรรมแบบลืมตาพ่อครูพ่อครูสมณะโพธิรักษ์พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรมสมณพราหมณ์สมณะสมณะโพธิรักษ์สมาธิพุทธสัมมาสมาธิสัมมาสมาธิของพระอาริยะสาธารณโภคีอริโยสัมมาสมาธิอาริยชนอาริยะอโศกบุญนิยมแบบคนจนโลกุตรธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:บันทึก งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ ๔๒NextNext post:610423_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ศีลเป็นตัวกำหนดอธิจิตจนถึงเวทนาแท้Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024