610502_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ศีลเป็นประมุขของธรรมทั้งปวง
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://drive.google.com/open?id=1Gmf9hBzgQL8lZ7frRjGqUkPNxdayuKBwC_XTKbSv5cc
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1rahp_epD8vSADF8VOI5gQ5ffx-AIJQ9i
ดูยูทิวป์ได้ที่… https://youtu.be/PEbf3MHatQI
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันพุธที่ 2 พฤษภาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ทุกวันนี้สังคมมีแต่ความหลอกลวงกัน แต่ที่นี่ก็มีแต่ความจริงให้ ใครจะมาปฏิบัติก็มาได้ ใครจะไม่มาก็เป็นอิสระเสรีภาพ เราอยู่กับสังคมที่ลดละกิเลสแสนจะสบาย เขาตกงานกัน เราก็มีงานทำกันแบบไม่มีวันตกงาน พ่อครูตอนนี้ก็อธิบายในเรื่องที่ทำให้เราได้เกิดความเข้าใจอันลึกซึ้งมากขึ้น อย่างวันจันทร์ก็สอน ความไม่ยึดมั่นถือมั่นในจิตเรา ขึ้นอยู่กับปรมัตถธรรมภายในไม่มีใครรู้กับเราได้ พ่อครูเป็นพระโพธิสัตว์ทำงานศาสนาให้สำเร็จ สร้างให้คนมีอาริยะคุณในจิตวิญญาณนั่นคือการสร้างศาสนา ให้คนเป็นอาริยบุคคลได้ตั้งแต่พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ แล้วมารวมกันอยู่เป็นชุมชนเรียกว่า ชุมชนบวร เป็นสังคมคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ ถ้าคนยังหอบกิเลสมาเยอะ รับรองได้มาอยู่อย่างนี้ไม่เบิกบาน ทำงานหนักและเหนื่อยอีก เงินก็ไม่ได้ แต่มาอย่างนี้ก็สบายเบิกบานใจได้ ไม่ต้องคิดถึงเรื่องอะไรนอกจากคิดจะลดกิเลสได้มากขึ้น จะเสียสละได้มากขึ้น
เราควรจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไร เป็นประเด็นสำคัญที่เราควรจะรู้ พระพุทธเจ้าตรัสถึงมหาปเทส 4 ต้องเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ขึ้นไปถึงจะใช้ได้ ส่วนอาริยะระดับต้นก็ใช้สัปปุริสธรรม 7 เท่านั้น อย่างพ่อครูเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านอนุโลมปฏิโลมกับคนได้มากก็สามารถดูแลคนได้มาก แต่อาริยะระดับไม่สูงก็อนุโลมได้ตามประมาณตน เห็นช้างขี้อย่าขี้ตามช้าง แต่เราก็ดูตามเรียนรู้ศึกษาตามท่านไป แม้เราจะหมดกิเลสก็ต้องฟังท่านต่อไป วิธีการทำงานกับสังคมวิธีการแสดงธรรมเป็นอย่างไร จนกว่าพ่อครูจะเป็นพระพุทธเจ้าเราก็เรียนรู้กับท่านนั่นแหละ จำไว้แล้วเราก็เอาไปทำกับตัวเอง จึงจะเป็นอย่างท่านได้ คนก็เรียนรู้ตามแบบ มีแบบให้เห็น อธิบายให้เราเข้าใจชัดเจนด้วย เหมือนนักเรียนที่ครูสอนภาษาและยกตัวอย่างให้เห็นมันง่ายที่จะทำตาม มีทั้งทฤษฎีมีคำอธิบายและมีตัวอย่างให้เห็น และมีตัวอย่างของบุคลากรที่แสดงให้เห็น มันสมบูรณ์ที่สุดแล้ว ทั้งอุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรมะครบพร้อม มีครบทุกด้าน เราสามารถปฏิบัติได้ตาม แม่นชัด มาเรียนที่นี่ถือว่าศึกษาได้ครบสูตร แนวโลกุตระที่พ่อครูพาทำ
พ่อครูว่า…ก็มีคนให้ประชาสัมพันธ์ เกี่ยวกับหนังสือในงานอโศกรำลึก เราก็จะพิมพ์หนังสือ คนจนที่มีแบบ
7 พฤศจิกายน 2561 เป็นวาระครบรอบ 48 พรรษา บนเส้นทางสัมมาอาริยมรรคของพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ผู้นำชาวอโศก และหนังสือพิมพ์ “เราคิดอะไร” ก้าวสู่ปีที่ 25 ในฉบับที่ 340 ประจำเดือนพฤศจิกายน 2561 นี้ เพื่อขอบคุณมวลสมาชิกและผู้มีอุปการคุณที่สนับสนุนตลอดมา สำนักพิมพ์กลั่นแก่นจึงได้จัดพิมพ์หนังสือ “รวมคนจะมีธรรมะได้อย่างไร เล่ม 2” เป็นบรรณาการในรูปเล่มพ็อกเก็ตบุ๊คขนาด 16 หน้ายกพิเศษ
ในวาระพิเศษนี้ใคร่ขออนุญาตเรียนแจ้งว่า เพื่อเป็นการขยับเลื่อนฐานวัตถุทานลึกซึ้งขึ้น ดังนั้นจะไม่มีการลงรายชื่อผู้ร่วมสนับสนุนในหน้าสีหรือหน้าขาวดำใดๆ ทั้งสิ้น นั่นคือการบริจาคทุกบาททุกสตางค์ของทุกท่านจะเป็นการแสดงเจตนารมณ์แห่งการให้การสละที่ไม่ติด ไม่ยึด ไม่สำคัญมั่นหมาย ไม่เอาอะไรตอบแทนกลับคืนมาแม้แต่ชื่อ-นามสกุลตัวเล็กๆ ปรากฏ
ท่านใดหรือหน่วยงานใดประสงค์จะร่วมแสดงความยินดีช่วยสนับสนุน ติดต่อได้ที่
คุณใบแก้ว ชาวหินฟ้า โทรศัพท์ 08-6486-7868
ปท.คลองกุ่ม 10244
สำนักพิมพ์กลั่นแก่น
644 ซ.นวมินทร์ 44 ถ.นวมินทร์
แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กทม. 10240
หรือโอนเงินผ่านบัญชีออมทรัพย์
ธนาคารกสิกรไทย สาขาถนนนวมินทร์ 36
บัญชี นางสาวใบแก้ว ชาวหินฟ้า
เลขที่ 038-8-66705-2
การทานวัตถุก็ดี ทานแรงงานก็ดี มีอภัยทานซ้อน ถ้ายังโลภ ยังยึดเป็นเรา เป็นของเรา
แลกเปลี่ยนอย่างโลภไว้ในใจอยู่ ก็ยังไม่อภัย ยังเป็นภัยอยู่ เป็นภัยทาน ทานวัตถุแล้วยังมีโลภ เป็น “ภัยทาน” ไม่ใช่ “อภัยทาน” ยังเป็นภัยต่อตน ต่อผู้อื่นอยู่ ภัยต่อตนก็คือกิเลส เป็นกิเลสสั่งสมโลภ
จะให้แรงงาน ให้วัตถุ แล้วก็ยังจะเอาของแลกเปลี่ยน “อยากจะได้” ยังผูกใจยึดว่าของเรานะ นี่ของเรานะ นี่บุญคุณของเรานะ นี่ของเราทำนะ นี่ของฉันนะ นี่ฉันนะ ก็ยังเป็นภัย ยังไม่อภัย โลภก็ดี โกรธก็ดีเป็นตัวภัย
ในศาสนาพุทธนี่ชัดเจน โลภ โกรธ หลง นี่เป็นตัว “ภัย” เป็นภัยทั้งของตนเองและผู้อื่น
(สมณะโพธิรักษ์ จากหนังสือ มหาทาน)
พ่อครูว่า…SMS วันที่ 30 เมษายน 2561 (พ่อครู บวรราชธานีอโศก)
_5788นมัสการพ่อครูครับ นายแสงไม่ใช่หมอแต่สามารถเอาพืชสมุนไพรรักษามะเร็งให้หายได้ หมอกระแสหลักเขาอายเลยหาเรื่องกับนายแสงครับนายแสงเป็นช่างไฟฟ้าครับ
พ่อครูว่า…ที่พูดมานี้ คุณ 5788 ไปรับรองว่า นายแสงไม่ใช่หมอ แต่รักษามะเร็งให้หายได้ มีจริงหรือเปล่า เอามายืนยัน
สมณะฟ้าไทว่า… เท่าที่คนสัมภาษณ์มา ก็มีคนหาย แต่แม้จะตายก็ตายอย่างสบาย มีพวกรับคือ คือไม่ร้อน เย็นสบาย เขาได้ประโยชน์
พ่อครูว่า…ที่จริงเป็นเรื่องการช่วยเหลือมนุษยชาติ จริงเราก็ระมัดระวังควรจะไปทำวิจัย ไม่มีใบประกอบโรคศิลป์อะไร แต่มันก็น่าจะเป็นประโยชน์ช่วยเหลืออะไรต่ออะไร จิตเป็นกุศล แล้วเขาก็ทำวิจัย ว่าเชื้อมะเร็งลดลงหรือไม่ แต่ยานี้ทำให้คนสุขภาพดีขึ้น
ถ้ามีอะไรดีขึ้นมามันก็น่าสนับสนุนส่งเสริมไม่ใช่ไปจับผิดแล้วก็ต่อต้าน ทั้งๆที่ยังไม่เกิดผลเสียอย่างที่เป็น เราก็น่าจะ wait and see
_3867นมัสการพ่อครูฯกราบขออนุญาติแก้ตัวเรื่องของแจ็คหม่าฯผู้น้อยไม่เจนจัดเรื่องการค้าไซเบอร์!ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางธุรกิจออนไลน์!แต่ที่มองว่าเขาโปร่งใส!เพราะจีน เป็นปท.คอมมิวนิสต์เข้มงวดเรื่องการคอรัปชั่น!เขาย่อมค้าตามกฎขายตามกติกาจีนอยู่แล้ว!แต่ในไทยตนมิบังอาจวิจารณ์ว่าเขาค้าขายโปร่งฤาทึบแล้วแต่คู่ค้าไทยตอบเอง?
_8498ผมรู้สึกเฉยๆกับการไปการมาของแจ๊คหม่า เพราะทุกวันนี้ผมยึดคำสอนของแป๊คหม่าตลอดเลยครับ
พ่อครูว่า..ให้อาตมามีแซ่หม่าด้วยหรือ อาตมาไม่ใช่คนแซ่หม่านะ ก็ว่ากันไป
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ศีลเป็นประมุขของธรรมทั้งปวง ตอน 1
มาเข้าสู่ การเรียนการศึกษาฝึกฝนกัน อาตมาพยายามตั้งต้นหลายทีแล้ว ว่าจะอธิบายศีล เป็นตัวกำหนดสมาธิ เป็นตัวกำหนดปัญญา เป็นตัวกำหนดวิมุติ ก็เอาของพระพุทธเจ้าตรัสว่า
อาทิ สีลํ ปติฎฺฐา จ กลฺยาณญฺจ มาตฺกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นที่ตั้งอาศัย เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั่วไป เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
พระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 378 จากท่านพุทธโฆษาจารย์ ในหนังสืออมฤตพจนาพุทธศาสนสุภาษิตหน้าที่ 98
ศีลเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องที่จะต้องมี การปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธนั้น มี ศีล สมาธิ ปัญญา หรือว่าธรรมะพระพุทธเจ้าก็มี ศีล สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหูสูตร วิริยะ สติ ปัญญา ฌาน 1 2 3 4 และ วิชชา 8 คือ จรณะ15 วิชชา 8 คือธรรมะของพระพุทธเจ้าทั้งหมด โดยมีศีลเป็นตัวต้น
วิชชาจรณสัมปันโนก็มีศีลเป็นตัวตั้ง การศึกษา 3 ก็มีศีลเป็นตัวตั้ง ทุกวันนี้ไม่สำคัญในเรื่องศีลจนกระทั่งศาสนาพุทธ ลืมศีลหมดแล้ว ภิกษุก็ไม่มีศีลมีแต่วินัย 227 ลงปาติโมกข์กันก็มีแต่ วินัย 227 ศีลไม่มี
ทุกวันนี้พูดถึงศีลของพระพุทธเจ้าคือจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลไม่รู้เรื่อง อาตมาว่า อาตมา ณ ยุคนี้อาตมาเป็นคนหยิบเอาจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลมาพูดกันอย่างสำคัญ และก็อธิบายศีล กันให้เข้าใจ
จะปฏิบัติธรรมให้ตายอย่างไรก็แล้วแต่ ไปนั่งสมาธิจนก้นเน่าก้นแฉะก้นแตก โดยไม่คำนึงถึงศีลไม่เอาศีลเป็นตัวต้นตัวตั้งตัวกำหนด กำหนดสมาธิกำหนดการปฏิบัติ อธิจิต อธิปัญญา อธิมุติ ผิดทั้งนั้นผิดหมด ไม่ใช่ศาสนาพุทธ ออกนอกรีตศาสนาพุทธไป
อาตมากล่าวจัด เข้มแรง กล่าวอย่างสําคัญ เพราะว่ามันผิดไปยังสำคัญมากและไกล เมื่ออาตมาว่าอาตมากล่าวถูก ก็เลยแย้งกับที่เขาทำกัน อาตมากล่าวขาว แต่เขาติดดำอยู่ก็เลยเหมือนกับพูดกันคนละฟากฟ้า มันก็เลยพูดอะไรกัน อาตมาเห็นแล้วรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เขาก็คงรู้สึกกับอาตมาอย่างที่ว่า แต่อาตมาก็ต้องพูดต้องทำ ต้องดึงกลับมาสู่อันนี้ เพราะมันทิ้งของศาสนาพุทธไปไกลแสนไกลแล้ว จนกระทั่ง มันไม่เห็นจะเป็นพุทธกันตรงไหน
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ปุญญภาค ปุญญาภิสังขาร ปุญญปาปปริกขีโณ
ทุกวันนี้ศาสนาพุทธมีแต่จารีตประเพณีเนื้องอก มะเร็งขั้น 4 ศาสนาพุทธทุกวันนี้ เป็นอย่างนั้นจริงๆ ยกตัวอย่างตื้นๆง่ายๆที่สุด
ทุกวันนี้ ทุกคนที่อยู่ในจิตในความรู้สึกในความเข้าใจในปัญญา หรือในภูมิสูงสุดเลยก็ตาม ภูมิธรรมสูงสุดก็ตาม ก็มุ่งมั่นแต่จะเอาบุญได้บุญ อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันผิดถนัดเลย ถ้าอาตมาไม่เกิดมาในยุคนี้ คำว่าบุญนี้ผิดทิ้งไปเลยเสียไปเลย คำว่าบุญในศาสนาพุทธ
บุญคำนี้ เป็นคำของศาสนาพุทธเป็นโลกุตระเป็นพระพุทธเจ้าบัญญัติ ไม่มีในศาสนาอื่นไม่มีในศาสนาใด ปุญญะหรือบุญสำคัญมาก เท่าที่หลักฐานเหลืออยู่ มีอะไรบ้างที่เกี่ยวกับคำว่าบุญ
-
ปุญญาภาคิยะ 2. ปุญญาภิสังขาร 3. ปุญญปาปปริกขีโณ และมีอีกประโยคหนึ่งว่า สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง กุสลสูปสัมปทา สจิตตปริโยทปนัง หลักฐานพระบาลี เกี่ยวกับบุญมีประมาณนี้
คำว่าบุญนี้ ถ้าเข้าใจ อาตมามีคำ 3-4 คำนี้ อาตมาเห็นว่า มันจำกัดความ นิยามสภาวะของบุญให้อาตมาได้รู้เลยว่า บุญมีความหมายอย่างไรชัดๆ
ไม่มีคำอธิบายไว้ตรงไหนหรอก นอกจากไม่มีแล้วอาตมาพูดนี้แหวกแหกโลกเลย เอาที่ไหนมาพูด อาตมาโมเมขึ้น อะไรอย่างนี้ โมเมไม่ได้ มันเป็นเรื่องลึกซึ้งที่สุด อาตมามีภูมิมาแต่ปางบรรพ์
ปุญญาภาคิยะหรือปุญญภาค ส่วนบุญ แปลเป็นไทยคือส่วนบุญ ภาค ก็คือส่วน บุญก็คือบุญ
มีอีกคำ คือ บุญกิริยาวัตถุ มีสาม แต่ทีนี้ ก็มางอกเป็น 10 ของพระพุทธเจ้าแต่เดิมท่านตรัสไว้มี 3 เท่านั้น แต่เขามางอกเป็น 10
ปุญญภาค หรือปุญญาภาคิยะ ที่คนไทยเรียกว่า ส่วนบุญ
บุญเป็นเครื่องมือฆ่ากิเลส ไม่เป็นกองสมบัติไม่เป็นวิมานสวรรค์อะไร มันเป็นวิบัติไม่ใช่สมบัติ ใครจะไปสะสมไว้ไม่ได้ ใครยังต้องมีบุญก็คือคนที่มีกิเลส พระอรหันต์คือคนที่มี ปุญญปาปปริกขีโณ คือคนสิ้นบุญสิ้นบาป หมดสิ้นเกลี้ยง หมดบุญ ไม่ใช่คนมีบุญอะไร
เพราะฉะนั้นยากที่คนจะเข้าใจเรื่องบุญ บุญ นี่ทำไปทำไป สูงสุดเป็นพระอรหันต์บุญก็หมดเลย บุญไม่ใช่ของสะสม ไม่ใช่สมบัติ ไม่ใช่วิมาน ไม่ใช่อะไรที่มีตัวตน บุญไม่ใช่ตัวตนนั้น แต่ขจัดตัวตนให้หมดสิ้นแล้วจะมีตัวตนอะไร พูดไปพูดมาก็วน กำจัดตัวตนหมดเป็นอรหันต์แล้วดันมีตัวตนอีกแล้วเมื่อไหร่มันจะจบ มันก็พูดไปแต่เข้าใจไม่ได้กัน
ส่วนบุญหมายถึงอะไร ในมหาจัตตารีสกสูตรที่ท่านตรัสไว้ ผู้ปฏิบัติธรรมสัมมาทิฏฐิแล้ว ก็จะปฏิบัติธรรม แต่ปฏิบัติแล้ว บุญยังไม่ครบ เริ่มกำจัดกิเลสได้บ้างเรียกว่าเสขบุคคลเป็นพระอาริยะ กำจัดกิเลสได้เป็นส่วนๆ เรียกว่าส่วนแห่งบุญ การกำจัดกิเลสได้ที่เรียกว่าได้ผลส่วนแห่งบุญคือกิเลสมันหมดไปมันเสียไป มันเสียนั่นแหละคือเราได้ แต่เราไม่ได้อะไรหรอก มันเสียกิเลสไป กิเลสสูญไปกิเลสหมดไปกิเลสดับไป กิเลสออกจากจิตของเราไปจึงเป็นบุญ ไม่ใช่ได้อะไรมา
ได้ส่วนบุญ ไม่ใช่ได้อะไรมา มีแต่เสียอะไรออกไปเป็นส่วนหนึ่ง ยังไม่หมด ถ้าหมดก็ไปอนาสวะ เป็นอเสขบุคคลเลย ถ้ายังไม่หมดก็เป็นเสขบุคคล เป็นสาสวะ อย่างนี้เป็นต้น
ส่วนคนเอาคำว่าบุญไปใช้ เช่น คำว่าแบ่งส่วนบุญให้คนนั้นคนนี้ มันเป็นเรื่องอุตริ วิตถาร ตลกมากเลย แบ่งส่วนบุญได้อย่างไร กัมมัสกะ กรรมเป็นของๆตน กัมมทายาโท ตนเองต้องรับมรดกกรรมของตนเอง ล้างกิเลสได้ก็เป็นกรรมของตนเอง ล้างกิเลสไม่ได้ก็เป็นกรรมของตัวเอง ไม่ใช่ไปแบ่งให้คนนั้นคนนี้ได้ ไม่ใช่
คำว่า ปุญญภาค ส่วนแห่งบุญ จึงเข้าใจกันไม่ได้ เมื่อไปถึง ปุญญาภิสังขาร คือเป็นหนึ่งในอภิสังขาร 3
ต่อมาคำว่า อปุญญาภิสังขาร แล้วก็ไปเป็น อเนญชาภิสังขาร คือการทำสังขารอย่างเก่ง คนที่สามารถปรุงแต่งพลังงานจิตให้สามารถเกิดบุญได้เรียกว่า ปุญญาภิสังขาร สร้างพลังงานจิตของเราให้มันมีฤทธิ์ เป็นฌาน เป็นไฟ
ฌานนี่แปลว่าไฟ กองเพลิง กองไฟ พลังอุณหธาตุ เป็นพลังงานไฟที่พิเศษ พลังงานอันนี้จะกำจัดไฟราคะ ราคะก็เป็นพลังงานอกุศลจิตที่เป็นกิเลส ท่านก็เรียก ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ ผู้ที่สามารถสร้าง ปุญญาภิสังขาร ก็เกิดพลังงาน ฌาน ไฟฌาน มีฤทธิ์ กำจัดไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะได้ จึงเรียกว่า ปุญญาภิสังขาร
ทีนี้ความพิเศษก็คือ ปุญญา หรือ ปุญญะ ทำหน้าที่แล้วเสร็จ ในปัจจุบันเท่านั้น ในขณะคนเป็นๆ คนที่สามารถสร้างพลังงานให้ถึงระดับและทำหน้าที่ทำเสร็จ แม้ไม่เสร็จก็ตาม ทำแล้วกำจัดกิเลสไม่หมด หรือกำจัดกิเลสไม่ได้แต่สร้างพลังงานขึ้นมาได้ แต่กิเลสเราเหนียวแน่นไม่ยอมก็ตาม เมื่อเสร็จวาระปัจจุบันนั้นบุญไม่ได้ตั้งอยู่ที่ใด บุญไม่มีในอดีตในอนาคต บุญมีในขณะปัจจุบัน สัมปติ บัดเดี๋ยวนั้นเลย ชั่วขณะนั้นเลย ผ่านปัจจุบันขณะนั้นไปแล้วไม่มีบุญอยู่ที่ไหน บุญไม่เป็นที่ตั้ง ไม่เป็นตัวเป็นตนที่ไหน ไม่มี
เพราะฉะนั้นอภิสังขาร 3 ผู้ที่สามารถทำอภิสังขารได้ สามารถปรุงแต่งจนเป็น ปุญญาภิสังขาร กำจัดกิเลสได้ เมื่อกำจัดกิเลสหมดเกลี้ยงแล้วก็ อปุญญาภิสังขาร เป็นสังขารของผู้ที่ไม่ต้องทำบุญแล้ว อปุญแล้ว คนนั้นคือพระอรหันต์
อปุญญะหรืออปุญญาภิสังขาร ตัวนี้จึงไม่ได้แปลว่าบาป ไม่ได้หมายถึง ความตรงกันข้ามกับบุญ เพราะบุญไม่ใช่ของคู่ บุญเป็นเอกภาพ เอกเทศ เอกังเสนะ มันไม่เกี่ยวกับใครตัวเดียวโดดเดี่ยวทำงานเสร็จมันไม่เกี่ยวอะไรกับใคร ทำเสร็จแล้วก็หายไป ทำให้เสร็จก็ตามมีพลังงานในปัจจุบันที่คุณสามารถทำให้เกิดพลังงานนี้ได้ แล้วพลังงานนี้เสร็จจากปัจจุบันของใครก็แล้วแต่ที่ทำพลังงานนี้ขึ้นมา เสร็จแล้วก็จบ พอจบแล้วไม่มีอีก อย่างเช่นพระอรหันต์ฆ่ากิเลสฆ่าอกุศลจิตหมดเกลี้ยงแล้ว พระอรหันต์ไม่สร้างบุญอีก ซึ่งพระอรหันต์ท่านเข้าใจท่านทำได้แล้วก็เป็นของจริง บุญไม่เกิด ณ ที่ใดอีกแล้ว พระอรหันต์แล้วไม่เป็นคนที่มีบุญ ยิ่งบอกกันว่า พระพุทธเจ้ามีบุญบารมีมาก เขาก็พูดอย่างนี้ก็เวรๆ ขนาดพระอรหันต์ที่เป็นโพธิสัตว์ระดับ 4 ยังไม่เป็นระดับ 5 6 7 8 9 เลย ก็หมดแล้วตั้งแต่เป็นอรหันต์
นี่เป็นความรู้ความเข้าใจที่ยากจะเข้าใจ เข้าใจความหมายผิดก็เลยไม่เกิดผลของบุญ เพราะไปเข้าใจว่าเครื่องมือฆ่านี้ กลายเป็นเพชรเป็นทองเป็นสิ่งเลอเลิศประเสริฐศรีที่เราต้องมีต้องได้เยอะๆมากๆ กลายเป็นอย่างนั้นไป มันเป็นอาวุธร้ายอาวุธกำจัดกิเลสนะ บุญ อย่าเอามาไว้ใกล้ตัวนะ มันเป็นอาวุธฆ่ากิเลส ถ้าเราไม่มีกิเลสก็อย่าเอามาใกล้ตัว โดยสัจจะคนที่ไม่มีกิเลสก็ไม่มีบุญ อย่าเอาบุญมาให้ ท่านไม่เกี่ยวแล้ว
บุญนี่ ทำเสร็จแล้ว ก็อย่าเอามาใกล้กันอีกเลย ห่างกันไปชั่วกัปป์ชั่วกัลป์เลย
เมื่อเข้าใจผิด ทำบุญเข้าใจไม่ชัดเจนจึงไปแปล อปุญญาภิสังขารกลายเป็นบาป กลายเป็นคำเสียคำผิด เมื่อไม่เป็นบุญอีกแล้วก็เป็นกลางๆหรือเป็นจิตว่าง เป็นฐานนิพพาน เป็นอุเบกขา เนกขัมสิตอุเบกขา ซึ่งมีคุณสมบัติ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา สั่งสมคุณสมบัติของอุเบกขา นี้ให้แข็งแรงยิ่งขึ้น เป็นการปรุงที่อุเบกขา ไม่ทุกข์ไม่สุขไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก เป็นฐานนิพพาน เป็นฐานจิตสะอาดบริสุทธิ์ จิตว่างจากกิเลส ยิ่งคุณปรุงอปุญญาภิสังขารก็ปรุงจิตว่าง เป็นอเนญชาภิสังขาร ยิ่งปรุงยิ่ง ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ สัมผัสกับโลกธรรมทั้งปวง จิตก็ยิ่งแข็งแรง ไม่มีหวั่นไหวคลอนแคลน ไม่มีกระดุกกระดิกเลย แข็งแรงมากยิ่งขึ้น อันนี้เป็น มงคล 38 ข้อที่ 35 จากนั้นถึงเป็น อโสกะ วิรชะ เขมัง อโศกเข้ารอบ 36 คือ 3 นักษัตร
ผู้ที่จะเข้าใจ ปุญญาภิสังขาร จะต้องเข้าใจสภาวะที่ถูกต้องจริงๆ และทำไปจนกระทั่งเข้าใจสภาพของ อภิสังขาร 3 อย่างถูกต้อง
ผู้ที่ทำหมดแล้วไม่ต้องทำบุญอีกแล้วไม่ต้องมีบุญอีกแล้ว เพราะบาปนั้นหมดแล้ว จึงเป็นปุญญปาปปริกขีโณ บุญหมดแล้ว โอวาทปาติโมกข์ 3 สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส)
ทุกการกระทำ อกรณัง คือการกระทำที่ไม่เป็นบาป ทุก กรณะ คือการกระทำ การกระทำของพระอรหันต์ก็ไม่มีบาปทั้งปวง สัพพปาปสอกรณัง มีแต่ กุสลสูปสัมปทา กุศลเป็นสมบัติสั่งสมได้ แต่บุญไม่เป็นสมบัติสั่งสมไม่ได้ หมดหน้าที่บุญแล้ว เป็นพระอรหันต์แล้วเลิก
เพราะฉะนั้นจะทำกรรมใดๆ กรณะ การกระทำใดๆจึงไม่มีบาปเลย มีแต่กุศล อกุศลก็ไม่เกิดด้วยจึงใช้คำว่า สัพพปาปส อกรณัง ไม่ว่ากรณะใดๆที่ทำแล้ว กรณะนั้นๆ ก็ไม่เกิดบาปทั้งปวง ทุกกรรมเป็นแต่กุศล กุสลสูปสัมปทา คือเข้าถึง บรรลุ มีแต่กุศล เพราะว่า สจิตตปริโยทปนัง ท่านได้ทำจิตให้หมดบาปหมดอกุศลแล้วสิ้นเกลี้ยงแล้ว นี่คือ ความหมายของพยัญชนะนิดหน่อยที่เอามาขยายเรื่องบุญตามหลักฐาน
อาตมาเคยให้ท่านดินไท โค้ด คำว่าบุญเป็นภาษาบาลี แจกวิภัชอีกเยอะ อาตมาเลยมึน เอาเฉพาะที่มั่นใจมาพูด
สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน รสชาติคือรสแท้ รสอร่อยคือรสบ้า
อาตมาไม่ใช่นักศึกษา เรียนทางศิลปะมาเท่านั้น แต่นักทำงานศิลปะทุกวันนี้ เลอะเทอะมาก บางคนเขียนภาพมาแล้วอธิบายความหมายก็ไม่ได้ อันนี้อาตมาก็ว่าเป็นจริง เพราะว่า เดี๋ยวนี้ก็เป็นศาสตราจารย์ใหญ่แล้วท่านเคยเขียนภาพประกวดชิงรางวัล ศิลป์ พีระศรีแต่มีนักข่าวมาถามว่าภาพวาดหมายถึงอะไรท่านก็ตอบไม่ได้ แต่ท่านได้เหรียญทอง ผู้เขียนแบบนี้ก็เป็นศาสตราจารย์
อาตมาเรียนศิลปะมา เหลือภาพเขียนที่ตกค้างมาเพียงหนึ่งชิ้น พอดีเอาภาพนี้ไปทำหน้าปกหนังสือคู่มือแม่บ้านไว้เขาก็เลยไปเจอ ว่าภาพนี้ฝีมือครูรัก รักพงษ์ ก็เลย Copy ออกมาเป็นสิ่งที่เหลือเป็นงานเขียนของอาตมา ในโลกนี้มีภาพเดียวนี้ เป็นภาพสีเต็มที่เลย เป็นภาพท้องฟ้าปั่นป่วนต้นไม้แห้งตาย แล้วมีกวางเหลือ 2 ตัว ที่พูดเรื่องนี้เพราะน่าสงสารเขาทำงานศิลปะออกมาเป็นความฟุ้งซ่านเป็นวิมาน ใครตามได้ก็ตามไปตามไม่ได้ก็แล้วแต่ เขาขึ้นป้ายว่าศิลปินใหญ่แห่งโลกจะขึ้นป้ายอย่างไรว่าอย่างไรก็เป็นงานที่ประเสริฐเลิศเลอสุดยอด ไอ้อย่างนั้นก็เอาเถอะ เป็นสมมติของคน แต่ดันผ่าเอาช้างม้ามีวัวควายมาทำเป็นงานวาดเขียนศิลปะ ไปขายอีก ดีไม่ดี เอาแผ่นกระดาษมากางแล้วให้ลิงจุ่มสีที่ขาแล้วเดิน เอาล้อจักรยานไปจุ่มสีแล้วแล่นบนกระดาษอย่างนั้นเป็นงานศิลปะหรือ? เขาทำกันจริงๆ แล้วขายแล้วซื้อกันด้วย อาตมาว่า คนนี้โง่หรือฉลาดนะ แล้วก็บอกว่า เซอร์เรียลลิสม์ คือเหนือที่คนจะมาหยั่งถึงได้ มาขู่คนอย่างโพธิรักษ์ไม่โง่ตามหรอก ก็รู้แต่ว่าเอ็งกำลังบ้า ไปคิดตามทำไม ก็น่าสงสาร เป็นอะคาเดมี่ของศิลปะ ไม่เข้าใจเรื่องภพชาติ อุปาทานยึดติดแล้วก็ว่าอย่างนี้มีตัวตน อย่างนี้มีอย่างนี้เป็น แล้วก็เอามาสมมุติอยู่กับโลกเขา คนที่ไม่รู้ก็หลงตามไปหมด
เช่นเดียวกันที่บอกว่า ผลไม้สละนี่ รสชาติอร่อย ไอ้ รสชาติของสละมันเป็นอย่างไร รสชาติของชาวฝรั่งเศสมาลิ้มรสนี้ซิ ฝรั่งจะชิมสละลูกนี้เอาลิ้นไปแต่ก็รสเดียวกับคนไทยเอาไปชิม เอาคิมจองอึนมาชิมก็ได้รสนี้ เอาแจ็คหม่ามาชิมก็ได้รสนี้ เอาโดนัลด์ทรัมป์มาชิมก็ได้รสนี้ รสนี้แหละ แต่ชิมแล้ว บางคนชิมเสร็จ ชิมแล้วรสนี้จะได้เป็นภาษาอะไรก็เรื่องของคุณ แต่รสนี้เป็นสภาวะสัจจะ อันเดียวกัน แต่คนที่ชอบก็บอกว่าอร่อยคนที่ไม่ชอบก็บอกว่าไม่อร่อย ไอ้ที่บอกว่าอร่อยหรือไม่อร่อยนั่นแหละ รสบ้ารสเก๊ไม่แท้ อันนี้แหละศาสนาพุทธสอนว่าอย่าไปบ้ากับอันนี้ที่บอกว่าสวยเป็นงานศิลปะอะไรนั้น มันบ้าอย่างกับรสสละนี้แหละ บ้าไปใหญ่ มุกกันขึ้นมา สมมุติกันขึ้นมาซับซ้อนแล้วก็หลอกกันไปใหญ่เดี๋ยวนี้มากในโลกนี้ไม่รู้เท่าไหร่ มันเป็นโลกียรส รสทางลิ้นนะ
รสทางภาพ เสียง กลิ่นสัมผัสก็เช่นกัน เอาเสียงมาปรุงแต่ง เอากลิ่นมาปรุงแต่ง ปรุงภาพ เสียง กลิ่น รส เย็นร้อนอ่อนแข็ง ก็หลอกกันด้วยความโง่ของ สุขขัลลิกะ สุขเก๊ สุขหลอก เป็นภพชาติ นี่คือเป้าหมายของศาสนาพุทธที่ต้องเรียนรู้ ถ้าเรารู้ทันก็ไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก มีแต่ความจริงตามความเป็นจริง ซึ่งทุกคนตรงกันหมดอรหันต์ก็ตรงกันหมด รูปท่านก็รู้รูปเหมือนกันหมด ดูตามสมมติโลก ว่า นี่ ฝัก ก็ปอกเอาเปลือกมันออกหมดเลย เอาแต่เม็ดมาโชว์ ข้าวโพดนี้ไม่มีฟันหลอเลย แน่น กิน 1 ฝักก็จุกเลย ไม่ต้องกินอะไรต่อ ขนาดนี้เต็มท้องแล้ว ฝักก็ใหญ่ เมล็ดก็ไม่มีฟันหลอเลย แน่นเปรี๊ยะ เราก็รู้ว่าดี มันมีความสมบูรณ์ดี
สมัยอาตมาเด็กๆนี่หาข้าวโพดฝักเต็มแบบนี้ยาก มีแต่ฟันหลอ ไปหาเต็มๆอย่างนี้ยาก นี่ดูสิ ฝักเต็มหมด เดี๋ยวนี้มันสมบูรณ์หมดเลย ก็มองตามประสาความเป็นจริง มันเต็มดีสมบูรณ์ดี เป็นข้าวโพดที่ได้มีคุณภาพดี ไม่เว้าแหว่ง เต็มทุกเมล็ด หรืออะไรต่างๆนานาก็แล้วแต่ ไม่ว่าข้าวโพดหรืออะไรก็ตาม ที่หยิบมาอธิบาย
สิ่งที่สร้างขึ้นมาแล้วมันก็เป็นธรรมชาติเต็มที่ ก็เรียนรู้กันไป แค่ทำธรรมชาติพวกนี้ สิ่งที่จำเป็นเรียกว่าปัจจัยชีวิต งานก็เยอะแล้ว แต่เอาพลังงานความคิด ไปคิดสร้างอะไรที่เพ้อฝันบ้าบอเอามาขายหลอกกันสารพัดเยอะแยะ เดี๋ยวนี้หลอกขายยาเสริมสวยของปลอมกัน นั่นแหละน่าสงสาร หลงความสวยอะไรไปให้เขาหลอก
ชาวอโศกเรานี่เป็นพวกที่ยอด เป็นโลกุตระ เหนือโลกๆเขาบ้าบอกัน เขาจะไปไหนเราก็เฉยไม่เห็นจะไปยุ่งกับเขา เขาจะเป็นทุกข์อะไรต่ออะไร ใช่ไหม เราก็เห็นว่า เราหลุดพ้นมา นี่คือความหลุดพ้นโลกีย์แบบโลกๆเขาเป็น เราก็เห็นชัดเจนว่า มันยังไม่หลุด ยังจมกับโลกธรรม
ลาภ ชาวอโศกก็ไม่ได้ไปแย่งลาภกับใคร
อยู่กับยศ ตำแหน่งเราก็ไม่ได้ไปแย่ง
อยู่กับสรรเสริญเราก็ไม่ได้ไปแย่งสรรเสริญเด่นดังหลงอะไร
ไปแย่งโลกียสุข โลกียสุข มี
ได้ลาภมาสุข ได้ยศมาสุข ได้สรรเสริญมาก็เป็น หรือได้กาม
สัมผัสต่างๆอย่างนี้สมรูป ยึดไว้ รูปแบบนี้ดีอร่อยสัมผัสแล้วชื่นใจอยากจะได้สัมผัสแบบนี้อีก ได้ยินเสียงได้สัมผัสเสียง กลิ่นรสทางลิ้น สัมผัสทางกายเย็นร้อนอ่อนแข็งก็เหมือนกันในกามคุณ 5 ได้สัมผัสอย่างนี้เป็นสุข นี่กาม
หรือ ไม่ใช่ตาหูจมูกลิ้น เป็นอัตตา เป็นภพชาติ ได้ดั่งที่เราต้องการให้เป็นอย่างนี้มีอย่างนี้ ไม่ใช่เป็นรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสภายนอก เป็นอย่างนี้ถ้าได้ขึ้นมาสมใจก็บำเรออัตตาเป็นสุขเหมือนกัน ก็เป็นสุขเป็นทุกข์อย่างนี้ ศาสนาพุทธเรียนเท่านี้แหละอย่าบ้าไปมีสุขเลย
ศาสนาพุทธพระอรหันต์คือผู้ที่ไม่มีสุขไม่มีทุกข์แล้ว ถ้าเข้าใจแล้ว ผู้ใดไม่ได้ไปนั่งไล่แย่งสุข สุขกับทุกข์มันก็เป็นเหรียญสองด้านแยกกันไม่ได้มันเป็นของคู่ คุณได้สุขมามันก็มีทุกข์ คุณอยากได้สุขมามันก็มีทุกข์ทันที
เราไม่ต้องอยากได้สุขได้ทุกข์เราก็เป็นคนไม่มีสุขไม่มีทุกข์ อะไรคืออะไรก็รู้ของจริงตามความเป็นจริง ว่ามันดีไหม ข้าวโพดดีๆหนอ น้ำเต้า มะไฟนี้ก็ดีหนอ ถ้ามันไม่เข้าท่าก็ปรับปรุงให้มันดี อันนี้เป็นปัจจัย 4 อาตมาถึงได้พาพวกเรามาทำสิ่งที่เป็นคุณค่าประโยชน์ อย่าไปปรุงแต่งอะไรไปกับโลกเขามาก ไปสร้างอะไรต่างๆนานา อาตมาก็เคยพาไปสร้างอะไรปรุงแต่งในโลก เป็นของใหม่ๆเอาอันนั้นอันนี้มาขาย แต่ให้เข้ามาหาแก่น จะสร้างก็เป็นธรรมชาติเลย สร้างข้าวโพด สร้างมะไฟสร้างมะม่วง สร้างบวบ ขึ้นมาให้เป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารเป็นอาหารที่มนุษย์ได้อาศัย
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน ส่งเสริมกสิกรรมไร้สารพิษ ต้านมิจฉาอาชีพ
ยิ่งเมืองไทยเป็นเมืองกสิกรรม ถ้าพยายามพากเพียรยกย่องกสิกรแข็งขลังเป็นกระดูกสันหลังของชาติ ยกย่องและส่งเสริม ให้อยู่ดีกินดีมีกินมีใช้ให้เป็นไปได้ดี ส่งเสริมกสิกรรมกสิกรให้หนัก แล้วเอาอันนี้เป็นสินค้าเป็นผลผลิตของประเทศ ส่งออก ทุกวันนี้การคมนาคมก็ดีส่งไปให้ได้ง่าย ดี อาตมาว่าจะรุ่งเรืองพัฒนาเศรษฐกิจในสิ่งที่ตนเองถนัด ตนเองเหมาะสม เราไม่ใช่พวกขั้วโลกเหนือหรือพวกตะวันตกที่เป็นยุโรป มีแต่หิมะ มีแต่ฤดูที่ปลูกพืชพรรณธัญญาหารไม่ได้ สู้เมืองไทยไม่ได้ปลูกได้ตลอดปีตลอดชาติ หน้าหนาวจะหนาวอย่างไรก็มีพืชที่ชอบหนาว ยิ่งหน้าร้อนหน้าแล้ง มีน้ำมีท่าก็สามารถทำได้ อย่าให้ขาด ทำเขื่อนแก้มลิงทำชลประทาน ก็ดูดีขึ้นเยอะประเทศไทยเพราะในหลวงท่านส่งเสริมสิ่งเหล่านี้ ประเทศไทยไม่ได้ขาดแคลนน้ำเลย การชลประทานอะไรดีขึ้นเยอะ ทำสินค้า ผลผลิตของกสิกรรมให้ได้ดิบได้ดี ไร้สารพิษมีคุณภาพดี เนื้อดี วิตามิน มีธาตุอาหารที่ดีของมันส่งไปตีตลาดโลกเลย แจกเลย ขายให้ถูกๆ แข่งเลย เดี๋ยวนี้ไทยก็ปลูกพืชทางตะวันตกได้เยอะ ปลูกในประเทศไทยนี่แหละ ซื้อของในประเทศไทยที่ประเทศอื่นไม่มีก็ส่งไป รับรองว่าเศรษฐกิจไม่เดือดร้อนอะไร แต่นี่ไปส่งเสริมเหล้า ให้ผู้ที่ทำเหล้าขาย ขายไปเลยแล้วให้เป็นเศรษฐีขึ้นอันดับโลก เพราะมีเงินมากจะได้มีหน้ามีตาว่าคนไทยมีเศรษฐี ขายเหล้าขายกระทิง ขายยามอมเมา ขายเบียร์ รวยกันเละ ก็จะไม่รวยได้อย่างไรขายสิ่งเสพติด ขายยาบ้ายาม้าขายฝิ่นก็แน่นอน ไม่เข้าเรื่องไม่เข้าท่าเลย มาขายสิ่งเหล่านี้ที่ไม่เป็นพิษ ไม่เป็นวีสวณิชชาหรือมัชชวณิชชา ที่พระพุทธเจ้าถือว่าเป็นการค้าขายที่เป็นมิจฉา
เมืองไทยถ้าศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าให้ดี แล้วทำอยู่ในกรอบไม่ให้เป็นมิจฉาก็จะเจริญมาก อาตมาพอเข้ามาทางธรรม มาเจอธรรมะพระพุทธเจ้าที่เขาไม่พูดกัน
มิจฉาอาชีพ 5 แต่อยู่ในมรรคมีองค์ 8 นี้แหละ มิจฉากัมมันตะก็มี 3 โดยเฉพาะคนต้องทำงานอาชีพ ต้องบอกให้รู้กันว่านี้เป็นมิจฉา อย่าให้มีในประเทศ โดยเฉพาะมิจฉาชีพข้อที่แย่ที่สุดคือ กุหนา ลปนา เนมิตกตา นิปเปสิกตา ลาเภนะ ลาภัง นิชิคิงสนตา เอาภาษาบาลีมาพูดก็สั้นดีกระชับ แปลเป็นไทยก็ไม่ตรงเสียทีเดียว พวกนักวิชาการหาว่าอาตมา ว่าทำไมไม่แปลตามที่ท่านแปลเอาไว้ อาตมาว่า อาตมาไม่ใช่นักวิชาการนักการศึกษา อาตมาเอาแต่บาลีตรงๆนี้ก็ดีแล้ว
ดูจากพระไตรปิฎกภาษาไทยก็ไม่พอ ต้องเอาภาษาบาลีมาจึงจำได้ง่าย
ถ้าเข้าใจศาสนาพุทธที่ส่งเสริมหรือต่อต้านไม่ให้ทำสิ่งที่เป็นมิจฉาชีพ อย่าทำอาชีพ
-
การโกง ทุจริต คอร์รัปชั่น (กุหนา) มีในงานการเมือง เป็นอาชีพที่โกงเป็นอาชีพที่เลวร้ายที่สุดต่ำที่สุดในกระบวนมิจฉาชีพ กุหนาเลวร้ายที่สุด เพราะฉะนั้นเมืองพุทธแท้แท้ มิจฉาชีพอย่าปล่อยให้เกิดให้มีให้เป็น แล้วต้องศึกษาว่าอย่างไรเป็นมิจฉาชีพ อย่างทักษิณ คือผู้ทำมิจฉาชีพที่เลวร้ายมาก ยิ่งลักษณ์ก็ทำอาชีพนักการเมืองผู้บริหารได้อำนาจมาทำให้ประเทศฉิบหายไปไม่รู้กี่แสนล้าน ถ้าปล่อยไปป่านนี้หมดแล้วประเทศไทยคงขายประเทศไทยให้แจ๊คหม่าไปแล้ว นี่คือมิจฉาชีพ แล้วก็ไม่เข้าใจกันเพราะไม่ได้ศึกษา โกงกันทุจริตกันซับซ้อนมากมายก่ายกอง นี่คืออบาย มิจฉาหนักหนาสาหัส
-
การล่อลวง หลอกลวง (ลปนา) ในนักธุรกิจ-การเมือง แปลว่ายังมีเชิงหลอกลวงปลิ้นปล้อนไม่ตรงไม่ซื่อทั้งนั้น ก็รองลงมาจากกุหนา เป็นอาชีพที่ไม่ซื่อสัตย์สุจริตอะไร นี่สองข้อแล้ว ถ้าศึกษาศาสนาพุทธเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ ประชากรเป็นพุทธศาสนิกชน 95% ถ้าเรียนรู้และบริหาร เอาธรรมะมาเป็นแกน อยากให้ประเทศไทยมีอย่างนี้ ถ้าหากบกพร่องเถรสมาคมก็ควรเอาให้รัฐบาลผู้บริหารประเทศเอาไปทำ อย่าให้ประเทศมีสิ่งเหล่านี้
พูดไปสองไพเบี้ย ทุกวันนี้ปราบคอรัปชั่นขี้โกงกันได้แค่ไหน เละเทะหนักหนาสาหัส ซ่อนแฝงกันมาก แย่ ไปไม่รอด เพราะไม่เห็นความสำคัญของธรรมะของความซื่อสัตย์สุจริต หากไม่ไปหาทุจริตอกุศลพวกนี้ก็จะไปรอด แม้จะไม่เก่งก็ตามแต่ไม่มีทุจริตแล้วก็สงบ ชีวิตสงบสุขสบายไปรอด ไม่มีความรู้ความสามารถมากก็ยังไปรอด
แต่จริงๆแล้วคนที่ไม่ทุจริตพวกนี้เอามาพัฒนา สุโปสะ จะเป็นคนที่บำรุงพัฒนาได้ง่าย สุโปสะ บำรุงง่าย ไม่ติดในทุจริตแล้วก็ส่วนพวกนี้เอามาพัฒนาให้เจริญได้ง่าย ประเทศจะเจริญพัฒนาได้ง่ายมาก อาตมาเสียดายที่ข้าราชการผู้บริหารประเทศไม่เดินในร่องรอยของศาสนาพุทธทั้งที่เป็นพุทธศาสนิกชน 95% นะ คิดดูสิ นอกนั้นก็เป็นศาสนาอื่นมีเปอร์เซ็นต์น้อย ถ้าเข้าใจและเดินตามหลักธรรมพระพุทธเจ้าประเทศไทยจะเจริญ
ขนาดที่แย่อย่างนี้ เมืองไทยพอมีเนื้อของศาสนาบ้างแค่นี้ ทั้งๆที่มันไม่ค่อยได้เรื่องได้ราว ขออภัย มหาเถรสมาคมไม่ได้พาให้ได้เรื่องได้ราวอะไรเลย ตอนนี้ก็แค่เรื่องเงินทอนวัด ที่จริงเงินโกง เงินทุจริต ขี้โกงกันเป็นกระบวนการเลย แล้วขี้โกงกันหนักนะ
ผู้ที่เอาเงินมาจากรัฐให้แก่วัดต่างๆ ชักไปเปล่าๆ 80 เปอร์เซ็นต์ เอามาให้แก่วัดแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นเรียกว่า เงินทอน 80% เอาไปขี้โกงทุจริตหมด อะไรมันจะเหลือ พระก็พูดไม่ออกเพราะว่าอยู่ดีๆได้เงิน แค่ 10 20 เปอร์เซ็นต์ก็ยังดี เขาบอกว่า กำขี้ดีกว่ากำตด
กำขี้ยังมีต่อน แต่กำตดนี้ไม่มีต่อน กำขี้นี้เหม็นฉึ่งเลย ยังได้กำ พูดไปแล้วมันสุดๆที่จะพูดกันเลย
-
การตลบตะแลง (เนมิตตกตา) ยังเสี่ยง-ยังไม่แน่แท้
-
การยอมมอบตนในทางผิด อยู่คณะผิด (นิปเปสิกตา)
-
การเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ ลาภัง นิชิคิงสนตา)
(พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 275 มหาจัตตารีสกสูตร)
สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน นานาสังวาสแล้วอธิกรณ์กันไม่ได้
อาตมาพาพวกเรามาฟื้นธรรมะเอาเนื้อแท้แล้วโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้ามา จนได้ อาตมาขอใช้คำนี้เลย จนได้จนสำเร็จจนเป็นจริง แต่ว่ากระแสหลักเถรสมาคมหรือศาสนาพุทธส่วนใหญ่เลย เขาไม่รองรับเพราะเขารับไม่เป็น พระพุทธศาสนาแก่นแท้เป็นอย่างนี้หรือ เขาก็ต้องว่า พุทธศาสนาต้องเป็นแบบเขานั่นแหละ เต็มไปด้วยจารีตประเพณีเนื้องอก มะเร็งขั้น 4 กันเต็มไปหมดนั่นแหละคือศาสนา
ยกตัวอย่างง่ายๆ ทอดผ้าป่า มันเป็นผ้าป่าที่ไหน มันอาบัติกันไปหมด พากันลงนรกกันอยู่นั่นแหละ ผ้าป่า คือผ้าที่เขาทิ้งไว้ไม่มีใครแสดงตัวเป็นเจ้าของ ไม่ได้เกี่ยวกับเงินเลยเดี๋ยวนี้แปลงตัวแปลงสาร คือแปลงสาระ จากของเดิมเขามาเป็นเรื่องการหาเงินทอดผ้าป่า แล้วก็ยังทอดปีหนี่ง มันทอดได้มากกว่ากฐิน สำหรับกฐินนั้นพระพุทธเจ้าให้ทอดได้เพียงปีละครั้งในแต่ละวัด ก็เลยไม่ค่อยเอา กฐินคือเรียกว่าใหญ่ ทอดทีนึง ก็ให้ได้มากๆ แต่สำหรับทอดผ้าป่าได้ปีละหลายครั้ง ก็เพียงแต่การหาเงินเท่านั้น มันไม่เป็นผ้าป่าอะไรเลย
ผ้าป่านั้น คือ ผ้านี้ของใครเราก็ต้องไม่รู้เอามาแสดง ทอดผ้าบังสุกุลก็เอาหาผ้างามๆมาบนโลงศพแล้วให้พระไปชัก ยิ่งกว่าลิเกหลงโรง ไม่ใช่ผ้าป่าอะไร ผ้าบังสุกุลคือผ้าที่เขาทิ้งแล้วจึงเอามาใช้ได้ คือมันกลายไป มันเป็นเรื่องที่ไม่ใช่สาระของพระพุทธเจ้า เขาแปลงสาระ เพี้ยนออกนอกลู่นอกทาง นอกเรื่องนอกราวกันไปหมด
อาตมาเองบวชมาแล้ว อยู่กับหมู่ใหญ่ไม่ได้ก็เลยประกาศขอแยกเป็นนานาสังวาสตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2518 ขอแยก อาตมาประกาศแยกต่อหน้าภิกษุ 180 รูป ที่ศาลาวัดหนองกระทุ่ม เป็นนานาสังวาสตั้งแต่บัดโน้น ก็อยู่ดีมา เพราะเขาไม่รู้ว่านานาสังวาสคืออะไร อาตมาก็อยู่ของอาตมามาตามประสาตั้งแต่พ. ศ. 2518 วันร้ายคืนร้ายพ.ศ 2532 คิดอย่างไรมาไม่รู้ ว่า มันจะแยกไปได้อย่างไรให้ดึงมันเข้ามา ทั้งที่เป็นนานาสังวาสแล้วนะ แล้วเขาก็อธิกรณ์ ถ้าเป็นนานาสังวาสแล้วจะอธิกรณ์กันไม่ได้แต่เขาก็เอามารวม มีหลักฐานเช่น
อาตมาไปขึ้นรถไฟ ฆราวาสก็ไปตีตั๋วครึ่งราคาเขาก็บอกว่าเป็นพระหรือเปล่า เถรสมาคมได้รับรองมั้ย เขารู้นี่ อโศกมีข่าวคราว เขาก็เลยเขียนหนังสือถามไปทางอธิบดีกรมศาสนา อธิบดีกรมการศาสนาก็มีหนังสือต่อไปถึงผู้อำนวยการรถไฟ บอกว่าอโศกไม่ใช่พระในสังกัดของเถรสมาคม เขาก็พูดตรง มีหลักฐานยืนยันว่าเขาตอบมาอย่างนั้นแล้วลาออกมาแล้วไม่ได้เป็นพระในเถรสมาคม แต่เสร็จแล้วเถรสมาคมเองนั่นแหละ มาดึงเราเข้ากลับไปในหมู่เถรสมาคม แล้วอธิกรณ์อาตมาพิพากษาให้สึกอะไรต่างๆนานาสารพัด อาตมาก็บอกว่าอาตมาไม่สึก เป็นเรื่องเป็นราวจนกระทั่ง อธิบดีกรมการศาสนามาถามอาตมา
ขอถามว่า ท่านโพธิรักษ์ตอนนี้สึกแล้วหรือยัง? อาตมาก็ว่า เอ๊ เราจะตอบเขาอย่างไร สึกแล้วหรือยัง อาตมาก็ยังไม่ได้สึก จะบอกว่าไม่ได้สึก ก็อย่างไร ก็เลยตอบเท่ๆว่า ไม่ขอตอบใดๆ อธิบดีกรมการศาสนาก็เลยบอกว่า ถ้าเช่นนั้นถามอีก ตอนนี้ท่านเป็นคฤหัสถ์หรือไม่ อาตมาก็ว่า เอาหนักทีนี้ สึกก็ยังไม่สึกแล้วจะเอาเป็นคฤหัสถ์ อาตมาก็บอกว่าไม่ขอตอบใดใด เขากลับบอกว่าถ้ายังงั้นก็จบกัน คือ พูดอะไรไม่ออก จะตอบอย่างไรดีคนๆนี้
คือ อาตมาว่า เป็นไปตามโลกเขา พยายามเล่นงานอาตมาสารพัด อาตมาก็ไม่ได้หยุดยั้งอะไรก็ทำงานมาตั้งแต่บวชจนถึงบัดนี้ ประกาศนานาสังวาสแล้วคุณจะทำอะไรก็ทำไป เสร็จแล้วคุณก็บอกว่าเอามาทำสังฆกรรมกัน แล้วสังฆกรรมเขาก็เอาทั้งมหานิกายและธรรมยุตมาร่วมกัน ทำปกาสนียกรรมโพธิรักษ์ โดยบอกว่า สวดอัปเปหิ อาตมาออกจากหมู่ เราก็บอกว่า เราออกจากหมู่มานานแล้ว เราไม่ต้องการอยู่ในหมู่ของคุณหรอก คุณทำเท่มาประกาศ แล้วประชาชนพุทธศาสนิกชนต้องฟังมหาเถรสมาคมไม่ฟังอาตมา อาตมาจะถูกต้องจะเป็นอย่างไรเขาก็ไม่รู้เรื่อง ยิ่งหลักธรรมวินัยเขาก็ไม่รู้เรื่อง ถ้าอยากรู้ก็ไปหาหนังสือ ประนีประนอมกันด้วยนานาสังวาส ก็ได้
ที่พูดขึ้นมาเพื่อเห็นว่าชีวิตอาตมา ได้ออกมาทำงาน อาตมาตั้งแต่อายุ 36 ปีก็รู้ตัว อาตมาอยู่ไม่ได้แล้วทางโลกเขา อาตมาปฏิบัติธรรมก็รู้ว่าชีวิตอาตมาไม่ต้องไปทำงานทางโลก ต้องมาทำงานทางนี้เป็นเรื่องของอาตมา หน้าที่ของอาตมาต้องมาทำงานศาสนา ต้องมาทำงานธรรมะของพระพุทธเจ้า อาตมาก็ทำมาตลอด โดยออกมาแล้ว อาตมาออกไปหาที่จะอยู่
จะไปอยู่วัดไหน วัดไหนๆ อาตมาก็ไม่เห็นว่าเป็นวัดกันเลยสักวัด หาวัดที่ไหนก็ไม่ได้ คุณชวน พี่ชายท่านซาบซึ้งก็วิ่งหาที่ จะซื้อที่สัก 2-3 ไร่ อาตมาไม่ถือเงินแล้ว จะอยู่คนเดียว มันก็ไม่เหมาะใจ มีคนมาบอกว่า วัดอโศการาม มี ก็ลากอาตมาไปตรงนั้น ทำไมต้องมีอโศการาม วัดอโศก บอกว่ามีที่ จะไปปลูกกุฏิบำเพ็ญก็ไม่มีปัญหา มีที่เยอะแยะเลย มีที่ริมทะเลเยอะแยะเลย อาตมาก็ไป
ไปก็พบกับเจ้าอาวาสท่านเจ้าคุณราชวรคุณ เป็นอุปัชฌาย์ของอาตมาองค์แรก ทางธรรมยุต อาตมาก็บอกว่า ถ้าผมไปสร้างกุฏิอยู่ที่ตรงนี้ชายทะเล แล้วพระอย่าไปกวนผมได้ไหม ท่านก็หัวเราะว่า คุณอยู่กับคุณให้ได้เถอะมีแต่มากวนพระนั่นแหละ ฆราวาสมากวนพระ ไม่ใช่พระมากวนคุณ พระท่านมาปฏิบัติอยู่สงบ ใครปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเราก็รับทั้งนั้นแหละ อาตมาก็อยู่ ก็ว่าพระอย่ามากวนผมก็แล้วกันผมอยากอยู่สงบๆ ท่านก็หัวเราะด้วยความเวทนาเอ็นดู ท่านก็ว่า ก็ไม่มีปัญหาอะไร ก็เลยทำทางเข้าไปในป่าแสม 50 เมตรไปสร้างกุฏิในนั้น ไม่ใช่ที่ภายนอกอยู่ริมน้ำ เจาะเข้าไปเลย 50 เมตรเข้าไป
ตั้งแต่บวชไปอยู่ตรงนั้น ก็มีคนไปติดตามอาตมามาตั้งแต่ก่อนบวช เป็นฆราวาสก็แสดงธรรมแล้ว เมื่อบวชแล้วคนก็ติดตาม บวชใหม่ๆอาตมาเคร่ง สำรวมมากเลย เดินสงบตามหลักธรรมวินัย เปรี๊ยะเลย เห็นปาสาทิโก อาการน่าเลื่อมใส เดี๋ยวนี้อย่างกับลิงกับค่าง เสร็จแล้วคนก็มา อาตมาก็ต้องเดินทางจากวัดอโศการาม อาตมาบวช ที่วัดอโศการาม บวชเป็นพระใหม่ แต่อาตมาได้ขึ้นเทศน์บนธรรมาสน์เลย ธรรมดาพระอายุพรรษาไม่เกิน 10 พรรษาไม่มีสิทธิ์เทศน์ขึ้นศาลาเปรียญธรรมของวัดอโศการาม แต่อาตมานี่ ท่านเจ้าคุณให้ขึ้นเทศน์ได้ อาตมาก็มาบรรยายธรรมะอยู่ที่วัดหลายวัด วัดนรนาถ วัดอาวุธ วัดธาตุทอง เดินเข้ามาบรรยาย ก็ไม่มีปัญหาอะไรแม้แต่ขึ้นเทศน์ในวัด เป็นพระบวชใหม่ ได้ขึ้นเทศน์ขึ้นธรรมาสน์ได้ เสร็จแล้วอุปัชฌาย์ ที่เป็นเจ้าคุณก็ไม่ว่าอะไร มีแต่ท่านสมเด็จที่วัดพระศรีมหาธาตุสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ มีแต่ท่านปรามมา เป็นคนอุบลด้วยกัน ว่าเวลาไปเทศน์ก็อย่าไปว่าเขานัก ระวังๆหน่อย สมเด็จท่านท้วงติงมา เวลาไปเทศน์จะไปว่าเขามากนักก็เท่านี้แหละ ที่ท่านปรามมา นอกนั้นอาตมาก็เป็นของอาตมามาตั้งแต่โน้น ที่พูดนี้ไม่ใช่ลบหลู่ครูบาอาจารย์แต่พูดความจริง ท่านก็ยอมรับกัน ก็ยังไม่มีเรื่องอะไร
พออาตมาไปทำอะไรขึ้นมาอีกหน่อย มีหมู่กลุ่มขึ้นมา ทีนี้แหละ อาตมาบวช 2513 ประกาศนานาสังวาส 2518 เสร็จแล้วพ.ศ. 2532 ก็มาเกิดเรื่อง ดึงอาตมาเข้าไปอย่างเก่าแล้วเล่นอาตมาเสียหนัก จนอาตมาต้องติดคุก รอลงอาญา 2 ปี ต้องไปว่าความกันตั้งหลายปี ถูกฟ้องขึ้นศาล ทั้งที่เขาฟ้องไม่ได้ ฟ้องอธิกรณ์ไม่ได้ ผิดอาบัติ ผู้ที่ฟ้องอาตมาเป็นนานาสังวาสกันแล้วฟ้องกันไม่ได้ ผิดพระวินัย แต่ท่านก็ทั้งคณะใหญ่ก็ผิดวินัย อาตมาเป็นคนถูกด่าถูกว่า อย่างนี้เป็นต้น ก็น่าสังเวชจริงๆ ประเทศไทย อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรยอมแพ้ทุกอย่าง อาตมาไม่ไปดื้อด้านดึงดันอะไร แม้แต่จะให้ขึ้นศาลก็ไป ไม่ได้ต่อต้านอะไร เป็นแต่เพียงอาตมาพูดสัจธรรมว่าท่านผิด ท่านทำไมไม่รู้สึกตัวสักที ท่านเรียกภาษานานาสังวาสว่า ปฏิโกสนา คือพูดค้านแย้งได้ ค้านอย่างจัง ทำไมมันไม่เหมือนกันเลย อาตมาก็บอกว่าทางโน้นผิด ถูกมันเป็นอย่างนี้ ให้มันเป็นอย่างนี้ ที่ผิดก็อย่าไปทำอย่างนั้นก็พูดอยู่อย่างนี้ ไม่ได้ออกนอกพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า พูดไปก็เหมือนกับพูดเอาดีเข้าตัวพูดชั่วให้คนอื่น แต่ก็พูดประวัติขึ้นมาบ้าง เขาว่าพูดถึงเรื่องเก่าๆมันคนแก่นะ อาตมายังนะ
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ศีลเป็นประมุขของธรรมทั้งปวง ตอน 2
เข้าสู่เนื้อธรรมใหม่ ที่อาตมาพยายามพูดถึงศีลเป็นสิ่งกำหนดสมาธิ เช่น ถ้าคุณปฏิบัติศีลข้อ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ คุณก็จะต้องมีชีวิตเป็นธรรมดา ศีลนี่คือ ชีวิตธรรมดา มีชีวิตเกี่ยวกับสัตว์ต่างๆ สัมผัสกับสัตว์เล็กสัตว์น้อยสัตว์ใหญ่ แม้แต่มนุษย์ก็คือสัตว์โลก แล้วเราก็ต้องมีจิต ไม่ใช้อาวุธ มีพฤติกรรมไม่ใช้อาวุธ ไม่ฆ่า เว้นการฆ่า ละการฆ่า วางทัณฑะ วางศาสตรา มีความละอาย หิริโอตัปปะ มีความเอ็นดูมีความกรุณา ในสัตว์ทั้งปวงแม้แต่มนุษย์ก็ยิ่งน่าเอ็นดู น่าเมตตาน่ากรุณายิ่งกว่าสัตว์ หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ นี่คือศีลข้อที่ 1 ถ้าเราศึกษาให้ดีและเราก็ทำใจ ทำใจเรียกว่า ทำสมาธิหรือทำฌาน หรือมนสิกโรติ มนสิการ โยนิโสมนสิการ
การทำใจให้เป็น ไฟฌาน อุณหธาตุ เป็นพลังงานบุญคือทำให้พลังงานนี้มีพลัง จิต เป็นพลังงานอันนี้มีอำนาจมีฤทธิ์เดช มีวสี วสวัตตี กำจัดกิเลสได้ทำลายไฟราคะโทสะโมหะได้ ให้ทำใจอย่างนี้
เวลาปฏิบัติศีลข้อที่ 1 เราจึงต้องพยายามสร้างพลังงานบุญ สัมผัสเกี่ยวข้องกับสัตว์ใด โดยเฉพาะมนุษย์ ให้มีเมตตามีความกรุณาหวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวง หรือหวังประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติ คุณก็ปฏิบัติจนจิตคุณสามารถเป็นได้ แน่นอนหยาบๆ คุณไม่มีแล้ว วางอาวุธ วางมือ ปากไม่ฆ่า วางอาวุธหมด ละอายที่จะไปทำร้ายเบียดเบียนใคร แล้วก็มีเมตตากรุณามีความเอ็นดูหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวง อาตมาเองแม้แต่ ว่าธัมมชโยเป็นต้น
อาตมาก็ว่าด้วยความเอ็นดูว่าด้วยความเมตตา อยากให้เขาหยุดชั่วหยุดทำสิ่งที่ไม่ควรนั้น หรือใครก็ตามเป็นฆราวาสก็ตามที่อาตมาพาดพิงระบุชื่อไป ก็อย่าทำชั่วแบบนั้นเลยมันเป็นความเมตตาเป็นความกรุณา หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ ไม่ใช่แก้ตัวนะ ไม่ได้อยากให้ตกต่ำ ไม่อยากให้เลวร้ายกว่านี้ มันร้ายและตกต่ำมากไปแล้ว หยุดเสียทีได้ไหม ศึกษาสิ่งที่ถูกต้อง พยายามกลับตัว คนเราไม่สายเกินไปหรอก ไม่มีใครสายเกินไปที่จะกลับตัว กลับตัวเสียเถิด อย่าไปหลงโลกอย่างนั้นเลย ถ้าหลงโลกมากจะเป็นอย่างองคุลีมาลอยากเป็นผู้วิเศษ อยากเป็นผู้ที่เก่งเรียนรู้ศึกษาสุดยอด องคุลีมาลก็ฉลาดและเก่งไปเรียนกับอาจารย์ เรียนได้หมดทุกวิชาเลย แต่มีวิชาสูงสุดอาจารย์บอก ถ้าจะได้วิชานี้จะต้องไปฆ่าคนมา 1000 คน ถึงจะให้วิชานี้ โดยประมาทองคุลีมาล ว่าเจอคนที่จะฆ่า 1000 คนก็ต้องถูกฆ่าก่อนแน่เลยก่อนจะครบ องคุลีมาลก็อยากได้วิชา ก็เลยฆ่าคนไป ฆ่าแล้วต้องเอาหลักฐานมาก็เลยต้องร้อยนิ้วมือ องคุลี คือนิ้วโป้ง ตัดร้อยออกไป ทำไมไม่เน่าเหม็น หรือมียาดีดองไว้ ได้มาตั้ง 999 คน ยังเหลืออีกอันเดียว นี่ก็เป็นเรื่องจริง มันยิ่งกว่านิยาย ยิ่งกว่าคนสร้างเรื่องนิยาย ยิ่งกว่าหนังกำลังภายใน เขาก็เอามาสร้างเป็นหนังด้วย แล้วก็จะต้องฆ่าคนที่ 1000 ก็คือแม่ มาให้ฆ่า ถึงจุด climax เลย สุดยอดเลย
พระพุทธเจ้าก็ต้องมาห้ามทัพ อย่างนี้ไม่ได้ปล่อยให้องคุลีมาลฆ่าแม่ก็เป็นอนันตริยกรรม ฆ่าคนก็ยังไม่เป็นอนันตริยกรรม ก็เลยไปห้าม ท่านก็ไปเดินห้าม เสร็จแล้วไปเดินกั้น องคุลีมาล ตามฆ่าแม่ไม่ได้ มีพระมาเดินกั้นก็จะฆ่าพระเข้าให้ วิ่งตามใหญ่ แต่วิ่งตามอย่างไรก็ไม่ทัน ก็เลยตะโกนว่า พระหยุดก่อนๆ พระพุทธเจ้าก็บอกว่าหยุดแล้ว องคุลีมาลวิ่งตามไม่ทัน ถ้ามีวิชาตัวเบา องคุลีมาลวิ่งตามอย่างไรก็ไม่ทันก็เลยตะโกนให้พระหยุดก่อน พระพุทธเจ้าก็เลยบอกว่าเราหยุดแล้วเธอสิยังไม่หยุด เท่านั้นแหละ องคุลีมาลมีปัญญา ว่า เฮ้ย เราหยุดแล้วเธอสิยังไม่หยุด
นี่อาตมาพูดภาษาง่ายกว่ามากแล้วนะ พวกเธอรู้กันไหม องคุลีมาลยังหยุดเลย องคุลีมาลก็เลยกราบเลย
นิยายกำลังภายในเป็นเรื่องอจินไตยทำไมเขาต้องเชื่อพระพุทธเจ้า ทำไมเขาเข้าใจพระพุทธเจ้าตรัสแค่นั้นเอง แล้วทำไมต้องอ่อนลงไปเลย แล้วก็ยอม ยอมบวชเลย ประโยคเดียวก็ขอบวชเลย โอ้โห ทำไมโพธิรักษ์พูดตั้งเท่าไหร่มีคนมาเข้าใจเท่านี้ ท่านผู้ที่ศึกษามาเฉลียวฉลาดหมดเลยเต็มประเทศไทย ทำไมท่านไม่พอเข้าใจ พูดจนเอาตำรามากองเท่าไหร่แล้ว พูดจนเอาตำราพระไตรปิฎกมาช่วยตั้งอะไรต่ออะไร ก็ยังยาก แต่ยากก็ต้องสู้ โพธิรักษ์สู้ๆ ยากก็ต้องทำ จนตายเลย เพราะอาตมาไม่มีทางเลือก อาตมาไม่ไปทางไหนไม่เห็นอะไรที่สำคัญเท่ากับที่จะให้ความรู้ นี่แหละ ความรู้อันนี้แหละ ความรู้คือธรรมะ เป็นสุดสมบัติ สมบัติสูงสุดที่มนุษย์พึงได้พึงมีพึงเป็น เป็นสิ่งที่ควรได้ควรมีควรเป็น คือโลกุตรธรรม คือธรรมะสุดยอดแล้ว มนุษย์ไม่ว่าจะเป็นศาสนาไหนหรือใครควรได้อันนี้ จริงๆ พูดแล้วเหมือนกับคนหลงใหลคลั่งไคล้สิ่งนี้
สมณะฟ้าไทว่า…เวลาเขาประกาศโลกีย์ก็บอกว่าอันนี้ดีที่สุดควรใช้อันนี้ควรกินอันนี้ เขาก็ยังบอกเลยนะครับ
พ่อครูว่า…ก็ขอพูดบ้างว่าอันนี้แหละ ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกแล้ว
สมณะฟ้าไทว่า…สีลัง โลเก อนุตตรัง ศีลเป็นเยี่ยมในโลก
พ่อครูว่า…คำนี้เป็นคำใหญ่ ศีลยอดเยี่ยมในโลก ศีลเป็นหนึ่งในโลก ศีลเป็นเบื้องต้นเป็นที่ตั้งเป็นบ่อเกิดคุณงามความดีทั้งหลายของธรรมะทั้งปวง คำว่าศีลเป็นประธานแห่งธรรมทั้งปวง ธรรมะนี้หมายถึงทุกๆอย่างเลย
ศีล เป็นประธานของธรรมะทั้งปวง ฟัง อาตมาพยายามเอาหลักฐานมาประกอบที่พูดนี้ว่า ศีลสำคัญขนาดไหน คนที่ดูถูกศีลไม่ใส่ใจเอาศีลมาประพฤติ อย่างน้อยก็รักษาทางกายวาจาไม่ละเมิดในศีล 5 สังคมก็สบายขึ้นแล้ว
กฏหมายจะร่างกันหัวผุพัง เอาศีล 5 มาตั้งและประกาศขึ้นไป รับรองว่าประเทศไทยสบายขึ้นอีกเยอะเลย ในเมืองไทยเป็นเมืองพุทธทำไมทำไม่ได้ เอาศีล 5 เท่านั้น ไม่ต้องร่างให้ปวดสมองเลย เอาของพระพุทธเจ้ามา และอ่านทำความเข้าใจให้ได้เอามาศึกษากันสิ
ถือให้เป็นกฎหมายของไทยเลยศีล 5 นี้แหละ ให้มีศีล 5 เท่านั้นก่อน นอกนั้นค่อยว่ากันทีหลัง ถ้าคุณปฏิบัติศีลและเกิดผลของจิต เรียกว่าอธิจิต
จิตมีผล เช่น ศีลข้อ1 บอกว่าไม่ฆ่าสัตว์ ละเว้นการฆ่าสัตว์ วางศาสตรา ทำได้จริงไม่ใช้อาวุธไปฆ่าใคร แม้คนหรือสัตว์ ศีลข้อ 1 ทำได้หมดจริงๆเลย วางศาสตราวางอาวุธได้จริงๆแล้วจิตมีอานิสงส์ จิตมีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ จิตเกิดความเป็นจริง ความรู้สึกเช่นนี้เข้าใจเช่นนี้แล้ว จิตใจมีคุณสมบัติจริงๆอย่างนี้ขึ้นมา นั่นคือ ศีล อบรมจิตของเราให้เป็นอย่างนี้ขึ้นมาจนแข็งแรงตั้งมั่นเรียกว่าเป็นสมาธิ
สมาธิไม่ได้แปลว่าไปนั่งเพ่ง เขาแปลกันว่าสมาธิแปลว่าการเพ่งจิต อันนั้นเอาพฤติกรรมของเดียรถีย์ที่ไปแปลสมาธิ สมาธิแปลว่าตั้งมั่น ตั้งมั่นคือ ทำให้จิตของเราเว้นขาดจากอกุศลธรรม เช่น ไม่ฆ่าสัตว์ มีใจเอ็นดูต่อสัตว์ นี่แหละคือศีลธรรมในจิตเกิดขึ้นมาแล้วตั้งมั่นแข็งแรง ให้จิตมันดียิ่งขึ้นโดยมีปัญญาเป็นผู้รู้ว่านี่เราปฏิบัติศีล นี่เราปฏิบัติสัมผัสกับสัตว์ทั้งหลาย สัมผัสแล้วเราได้ทำจิตของเราให้อย่าไปร้ายกับใคร
ขออภัย ทุกวันนี้อาตมาด่าใครว่าทำลายศาสนาพุทธ อาตมาจะเรียกเป็นคำไทยว่าด่าก็ตาม เป็นคำตำหนิท้วงว่า แรงๆ ตรงๆมากๆก็เรียกว่าด่า เป็นภาษาไทย ก็ทำด้วยเมตตาด้วยความเอ็นดูด้วยความปรารถนาดีหวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวง ไม่ได้มีความมุ่งร้ายอะไรเลย จิตใจอาตมาเป็นเช่นนั้นจริงๆ เป็นความจริงใจเป็นความซื่อสัตย์สุจริตที่พูดอย่างนั้น ถ้าเข้าใจ ถ้าใครเข้าใจแล้วตั้งใจปฏิบัติเป็นคนมีศีลธรรม
เริ่มตั้งแต่ศีลข้อ 1 เกี่ยวข้องกับสัตว์เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย
ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับของที่ไม่ใช่จิตนิยาม ไม่ใช่สัตว์ เป็นพีชะ กับอุตุ พีชะ มันมีชีวะแต่ไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ ไม่มีการจองเวรจองกรรม ไม่มีบาปไม่มีบุญ ไม่มีรักไม่มีชัง ท่านถึงจัดไว้ในเรื่องของ อย่าไปละเมิดของเขาเอามาเป็นของเราโดยไม่สุจริต ถ้าเผื่อว่า อยู่ในสังคมเรา
-
สัตว์ทั้งปวงเราปรารถนาดีต่อกันและกัน 2. เป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารเป็นวัตถุ ในโลกก็มีเพชรนิลจินดาก็ได้ว่าของทั้งนั้น มันไม่ใช่ของเราก็อย่าไปแย่งชิงอะไรเลย รู้ ให้เข้าใจว่านั่นไม่ใช่ของของตนของเรา