610504_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ แก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบคนจนสุขสำราญเบิกบานใจ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://drive.google.com/open?id=1KCHvhHn27K6FIffJQ8B1RFuferHp6ryhMIFTOFlmR1M
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=17-h-HeOyszRd_7kq0ABgEsV-yoV3fGDf
ดูยูทิวป์ได้ที่…
https://youtu.be/qus5kfMywjg
https://www.youtube.com/watch?v=nzB0BkIvOr8&t=541s
สมณะเดินดินว่า…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ในช่วงนี้ ในประเทศไทยก็มีการตื่นตัวในเรื่องของการเตรียมตัวเลือกตั้งของพรรคการเมืองต่างๆ มีวาทกรรมที่เรียกว่าดูด นักการเมือง คนก็เปรียบเทียบเหมือนกับรถดูดส้วม บางคน ที่พูดเช่นนี้ออกมาก็บางทีแล้วไม่น่าจะพูดเช่นนี้ได้ เมื่อพิเคราะห์แล้วคงจะมีความไม่ชอบใจปนอยู่ด้วย เพราะเขาไม่ได้อ่านเวทนา ไม่สามารถล้างเวทนาได้ เมื่อไม่ชอบใจก็จะสรรหาคำพูดที่มายิงให้เข้าเป้าทะลุหัวใจได้อย่างไรออกมา ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะก็ติดตามมา นักปฏิบัติธรรมที่ไม่อ่านเวทนาก็จะทำให้เขาเป็นคนน่าเวทนา ซึ่งพูดไปกลางๆ ไม่ได้เจาะจงบุคคลใด
มีโศลกว่า อย่าเผลอใจอย่าห่างใจ เมื่อผัสสะเกิดขึ้นต้องระวังอารมณ์ที่กระทบใจว่ามีความชอบใจไม่ชอบใจอะไรเกิดขึ้นให้เรารู้เท่าทัน อนิจจัง
หากเราดูหนังจีน ฮ่องเต้ก็มี 2 อารมณ์นี้แหละ เดี๋ยวก็เอาไปประหาร เวลาพูดต้องกระแทกอารมณ์แสดงให้เหนือกว่าเขา คำว่าเอาไปประหารนี้ได้ยินจนชินหู
วันคืนที่ผ่านไปเราควรต้องมาเรียนรู้ว่าเราจะทำอย่างไรให้เรียนรู้เท่าทันอารมณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นมา ดีที่พ่อครูได้พยายามมาบอกมาให้เรารู้เท่าทันสิ่งเหล่านี้ ก็ขออาราธนาพ่อครูครับ
พ่อครูว่า…ก็บอกกล่าวให้พวกเรารู้ผู้ที่ทำโครงการค้นหาพระโสดาบันตั้งแต่ต้น ก็ดี ทำกันเป็นกิจลักษณะ ก็ขอความร่วมมือ
กราบเรียนนักบวชทุกฐานะ และเจริญธรรมชาวชุมชนทุกท่าน เนื่องจากวันที่ 5 มิถุนายน 2561 พ่อครูครบรอบ 84 ปี บวชมา 48 พรรษา อยากให้ชาวชุมชนจัดกระบวนการกลุ่มเรียนรู้ตรวจสอบตามแบบสอบถามที่ส่งมานี้ กรุณาถ่ายคลิปวิดีโอให้ด้วย ขอความกรุณาส่งแบบสอบถาม ก่อนเดือนมิถุนายน 2561 และขอเรียนเชิญทุกท่านเข้าร่วมประชุมกำหนดทิศทางการขับเคลื่อนโครงการค้นหาพระโสดาบันในตนของชาวอโศกอย่างเป็นระบบ เพื่อรองรับงานวิจัยที่จะนำเสนอในระดับสากล ต่อไป ในวันที่ 5 มิถุนายน 2561 เวลา 13 นาฬิกา ที่เฮือนศูนย์สูญ อย่างเช่นหมดปัญหาแล้วมีแต่ปัญญาเต็มแล้ว นี่คือ ศูนย์สูญ
สุดท้ายนี้หวังว่า คงได้รับความร่วมมือจากลูกอโศกทุกท่าน ติดต่อ 086 4701770
สื่อธรรมะพ่อครู(มูลสูตร) ตอน มูลสตรภาคปฏิบัติสู่ความพ้นโลกและอัตตา
ตอนนี้เข้ามาสู่เรื่องของธรรมะที่เราจะได้พูดกันไป ก่อนจะได้พูดธรรมะ อาตมาก็จะเข้าสู่เรื่องของสังคมการเมืองเศรษฐกิจก่อน ท่านเดินดินเกริ่นถึงอะไรที่ฝุ่นตลบกันหลายเรื่อง คนก็อย่างนี้แหละมีปัญหาเพราะไม่มีปัญญา คนที่มีปัญญาเพราะหมดปัญหา ผู้มีปัญหาก็ยังไม่หมดปัญหา ผู้ใดไม่มีปัญหาในชีวิตเลย ก็มีอยู่สามอย่าง
-
ผู้ที่ idiot Moron เขาก็ไม่มีปัญหาอะไรก็เพราะไม่รู้เรื่องคนไม่เต็ม
-
ผู้ที่บรรลุสูงสุด
-
ผู้ที่ไม่มีปัญหาอย่างโง่ๆ นึกว่าตัวเองมีปัญญา แต่ปัญญาเหล่านั้นอวิชชาทั้งนั้น ดีไม่ดี หลงว่าเป็นปัญญาแต่ที่จริงเฉโก (คือความฉลาดของปุถุชนทั้งหมด) ส่วนปัญญา คือความฉลาดของอาริยบุคคลเป็นของพุทธศาสนา แต่เอาปัญญาไปใช้แทนเฉโกไปหมด แล้วไม่เรียกเฉโกกัน หาว่าด่าเสียอีก หากบอกว่าคุณเฉโกจังเลย ที่จริงเขาชมนะ อาจฉลาดอย่างสุจริต รวยในลาภยศสรรเสริญฉลาดทางโลกีย์ด้วยนะ เขาก็ชมกัน
แต่ความไม่รู้ความไม่เข้าใจความจริงของภาษาที่สื่อสภาวะ มันเพี้ยนไปหมดแล้วก็เลยเอาปัญญาไปเรียกความฉลาด เละไปหมด ทำให้คำว่าปัญญาเละไปด้วย เหมือนกับคำว่าบุญ ก็เอาไปเป็นคำว่ากุศล เป็นสมบัติ คำว่าบุญจึงเละไปด้วย ซึ่งมันเป็นเรื่องยากเพราะธรรมะพระพุทธเจ้านั้น
-
คัมภีรา (ลึกซึ้ง)
-
ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)
-
ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)
-
สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่)
-
ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)
-
อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)
-
นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)
-
ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)
(พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
เป็นบัณฑิตผู้ที่มีปัญญาจนหมดปัญหามีแต่ปัญญาเต็ม
ผู้หมดปัญญาไม่มีปัญญาก็คือไม่ต้องใช้ปัญญาแล้ว มันมีปัญญาสมบูรณ์แล้ว ไม่ต้องใช้ปัญญาอีกแล้ว อะไรมาก็รู้หมดตอบได้หมด เป็นคนมีปัญญา
พระพุทธเจ้านั้นถือว่าเป็นผู้ที่มีปัญญาอย่างที่ไม่ต้องมีปัญญา รู้หมด รู้อะไร ท่านรู้โลก รู้อัตตา
รู้โลก รู้อัตตา ก็เลยไม่มีปัญหา
โลก คือองค์รวมของข้างนอกด้วย ความเป็นโลกด้วยวัตถุมันก็เป็นของมัน มันไม่มีปัญหาไม่มีปัญญาอะไร ก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน แต่ความเป็นโลกที่จะต้องพูดถึงความเป็นมนุษย์ มนุษย์นี้จะต้องรู้โลก โลกวิทู เพราะว่าโลกมันต้องเกี่ยวกับตัวเรา เราเป็นคนมีธาตุรู้แล้วสัมพันธ์กับโลก สัมพันธ์กันมาไม่รู้กี่กัปป์กี่กัลป์ ยุคต่างๆ ดินน้ำไฟลมเป็นพืชทั้งหลาย ปรุงแต่งกันมาอาศัยกันมา อีกเยอะแยะในเรื่องโลก คือทั้งหมด ทั้งหมดที่ปรุงแต่งกันเรียกว่าโลก
2.อัตตา คือจิตของเรา โดยที่เราไม่รู้มัน แล้วเราก็ไปยึดมั่นถือมั่นว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เป็นไปตามเรื่อง พอคนที่จบมีปัญญารู้จักอัตตา ไม่เอาความยึดมั่นถือมั่นในอัตตา เลือกเป็นว่าอันไหนดี มันเกิดมันทรงอยู่ มันเป็นธรรมะ มันอาศัย มันยังไม่สูญสิ้น แม้เป็นผู้ที่บรรลุแล้วเป็นพระอรหันต์เป็นพระพุทธเจ้ารู้หมดแล้ว แจ้งโลกแจ้งอัตตาหมดแล้ว ท่านก็อยู่กับโลกกับอัตตาโดยที่ไม่มีปัญหา โดยที่มีปัญญาอย่างเดียว จัดการให้พอเหมาะพอสมไป จึงอยู่อย่างช่วยโลก โลกานุกัมปายะ อนุเคราะห์โลกเป็นประโยชน์ต่อโลก พาโลกให้เป็นสุข พหุชนสุขายะ ซึ่งอาตมาเองอาตมาว่า
เราเกิดมาเป็นคน อย่างอาตมาเกิดมาเป็นคน ตั้งแต่รู้ตัวเกิดมาเป็นคนว่าจะต้องเป็นทำไมชีวิตจะเป็นอยู่ทำไม อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ซึ่งพูดไปหมดแล้ว ผ่านอรหันต์มาจนทุกวันนี้ที่ยังเกิดอยู่เป็นคน ไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานไป เป็นที่สุด เลิกจบไปเลย ยังไม่ทำให้แก่ตัวเองเพราะยังตั้งจิตเป็นพระโพธิสัตว์ ตั้งจิตที่จะปฏิบัติตนให้ถึงที่สุดของความเป็นมนุษย์ ความเป็นคนที่สูงสุดได้เรียกว่าเป็นพระพุทธเจ้า
คนนี้เกิดแล้วบำเพ็ญไปจะให้เป็นคนที่มีปัญญา มีสัมมาสัมโพธิญาณสูงสุดของศาสนาพุทธเราเป็นเช่นนั้น ก็ต้องเวียนตายเวียนเกิดอย่างนี้ไม่ยอมปรินิพพานเป็นปริโยสาน เวียนตายเวียนเกิด เพื่อบำเพ็ญโพธิสัตว์ภูมิต่อไปเรื่อยๆ อาตมาก็พูดความจริงว่าเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 คนที่ไม่รู้ก็หาว่าอวดอุตตริมนุสสธรรม หาว่าบ้าบอเพราะเขาไม่รู้เรื่องด้วย มันก็น่าเห็นใจเขาก็ว่าไป อาตมาก็มีหน้าที่พูดความจริงอธิบายความจริงอันเป็นความรู้และความจริงให้ใครๆก็แล้วแต่ มีหน้าที่ 1. ตนเองต้องบำเพ็ญไปถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีปัญญารู้สูงสุดเป็นสัมมาสัมโพธิญาณ 2. ต้องเกิดมาทำงานในหน้าที่ของคน อาตมาพูดค้างไว้ว่า เกิดมาเป็นคนทำไม
เกิดมาเป็นคนเป็นประโยชน์ไม่เป็นโทษ เกิดมาเป็นคนเป็นสัตว์โลกที่มีประโยชน์ไม่มีโทษเลย จริงๆ มีแต่เป็นคุณเป็นประโยชน์ ไม่ทำความเป็นโทษภัยกับใคร นั่นคือการเกิดเป็นคน แต่ถ้าเป็นคนที่อวิชชา คนที่ยังไม่มีปัญญา ก็ยังเป็นโทษภัยแก่มวลมนุษย์ แก่ตนเองด้วยอยู่ นี่คือความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
เกิดมาเป็นคนนี้ จะมาหาลาภให้แก่ตนเองก็เป็นโทษเป็นภัยแก่ตนเองและผู้อื่น หายศ สรรเสริญสุข ก็ยังมีโทษมีภัยให้แก่ตัวเองและผู้อื่น ผู้ยังแสวงหาโลกธรรมก็ยังมีโทษภัยแก่ผู้อื่น
ผู้ไม่แสวงหาแล้วในลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขก็ไม่เป็นโทษภัยแก่ตนและผู้อื่น อันนี้อาตมารู้ตัวตนเองเป็นปัจจัตตัง ว่าอาตมาเป็นคนที่ไม่แสวงหาลาภยศสรรเสริญโลกียสุขก็มีชีวิตไป มีไปทำไม
-
บอกแล้ว อาตมาจะต้องศึกษาเป็นพระโพธิสัตว์ไปถึงสัมมาสัมโพธิญาณ
-
เพื่อทำประโยชน์ สืบทอดศาสนา สืบทอดความรู้ของพระพุทธเจ้านี้ไป งานนี้งานหลัก งานนี้งานประเสริฐสุด เพราะฉะนั้น จะให้อาตมาไปทำงานหาลาภ ยศ สรรเสริญอาตมาไม่เอาแล้ว ให้ตายดีกว่า ไปแย่งลาภยศ สรรเสริญ โลกียสุขของคน ให้ไปทำอย่างนั้นกับให้ตาย ตายดีกว่า ไม่เอา มันไม่เห็นจะต้องทำไปทำไม
ทุกวันนี้อยู่ได้อย่างไม่มีลาภ ยศ สรรเสริญ สุขอะไรหรอก สบายๆไม่สุข คนที่ยังสุขอยู่ก็คือทุกข์อยู่ เพราะว่าสุขกับทุกข์เป็นของคู่ สุขเป็นของเท็จ สุขขัลลิกะ ถ้าทุกข์ไม่รู้จักทุกข์ก็ยังเป็นความลำบากแก่ตัวเองอยู่ อัตตกิลมถะ
ผู้ใดยังไม่ทำลายความยึดอัตตา ก็ยังลำบากอยู่ทั้งนั้นก็ยังไม่รู้จักโลกรู้จักอัตตา คนก็ยากจะเข้าใจ
ความรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าได้เสื่อมไปมากมายเขาไม่รู้เรื่องแล้ว ก็เลยพูดกับหมู่คนที่พอรับรู้กันได้เข้าใจกันได้ อาตมาไม่เป็นหมันไม่สูญเปล่า แสดงธรรมะก็ยังมีผู้ได้รับประโยชน์ได้รับฟังบ้าง ไม่ใช่พูดไปคนก็ไม่รู้เรื่องไม่มีใครรับได้เลย ก็ไม่ใช่ ยังมีอยู่ ยังมีผู้คอยรับฟังธรรมะอาตมาอยู่ โดยแอบฟังอยู่ข้างเขาสิเนรุก็มี
อาตมาทำงานก็เหมือนพระพุทธเจ้า แต่ยังไม่ใช่พระพุทธเจ้า เหมือนที่ไปเทศน์โปรดมารดาที่ดาวดึงส์แล้วพระสารีบุตรก็แอบอยู่ตีนเขาสิเนรุ เก็บเอาธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนให้แก่พระมารดา นี่เป็นเรื่องลึกซึ้งซับซ้อนมากเป็นธรรมะ ไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา แต่ทีนี้ คนไปรู้แบบเป็นเรื่องราวรูปร่างพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปดาวดึงส์เป็นภพชาติวิมาน แล้วไปสอนพระมารดาที่เป็นตัวเป็นตนอยู่บนโน้น แล้วพระสารีบุตรก็แอบฟัง ที่จริงก็คือผู้ที่อยากได้สาระของพระพุทธเจ้า อยากได้แก่นแท้แก่นเนื้อธรรมะพระพุทธเจ้า ก็จะต้องตั้งใจเข้าใกล้ เงี่ยโสตสดับเสมอ นั่นแหละคือแอบฟัง เสมอ ตั้งใจแล้วก็พยายามที่จะรู้ความจริงรู้ธรรมะรู้ความรู้ ให้หมด
คำว่าพระพุทธเจ้าสอนพระมารดา มารดาคือผู้ที่ทำให้เกิด ความหมายทางโลกก็คือตัวตนบุคคลเราเขา นั้นไม่ใช่ปรมัตถ์ ปรมัตถ์นั้นมารดาคือจอมมายา เป็นนักเล่นกล ผู้ที่จะเป็นนักเล่นกลชั้นสูง จะมีเดี๋ยวไม่มีจะเกิดเดี๋ยวไม่เกิด ปุ๊บปั๊บๆเลย เป็นนักมายากล ทำตายทำเกิดได้อย่างคนอื่นไม่รู้เท่าไม่รู้ทัน ท่านทำตายทำเกิดเองได้อย่างสมบูรณ์ เดี๋ยวก็เกิดเดี๋ยวก็ตายเดี๋ยวก็ตายเดี๋ยวก็เกิด
ผู้ที่เป็นอมตะไม่เกิดไม่ตายแล้ว ก็เกิดก็ตายได้เลย แต่ในเมื่อตนเองยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ผู้นั้นก็จะต้องมาแจกแจง ความตายความเกิด เอามูลสูตรมาขยายความดู
-
มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา)
-
มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ)
-
มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย)
-
มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา)
-
มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ)
-
มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ)
-
มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) . กัปตันรู้ยิ่งยอด
-
มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) . หลุดพ้นสุดยอดที่จะรู้ยิ่ง
-
มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา). = สอุปาทิเสสนิพพาน
-
มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) = อนุปาทิเสสนิพพาน
(พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 58)
อาตมานี้ทำเกิดทำตายก็ได้ อาตมาเป็นจอมมายา สิริมหามายา คือฉายาของแม่ พระพุทธเจ้าตรัสว่าเราเป็นพ่อ สารีบุตร โมคคัลลานะเป็นแม่ คือ ผู้ที่ต้องร่วมกันเอาธรรมะให้แก่ลูก ช่วยกันพ่อแม่ทำให้เกิดลูกเป็นธรรมะ พระสารีบุตรเป็นแม่เลี้ยงพระโมคคัลลานะเป็นแม่นม หรือผู้ที่จะสืบทอดให้เกิดธรรมะเป็นแม่ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นภิกษุสาวกทั้งหลายแหล่ แม้จะเป็นฆราวาสก็ตาม ฆราวาส ผู้ที่เป็นพระโสดาบันเรียกว่า สมณะ จะเรียกภิกษุก็ยังไม่ใช่ ต้องมาบวช แต่ฆราวาสไม่ได้ทำพิธีบวชจะเอาบาตรไปบิณฑบาตไม่ได้ก็ไม่เรียกภิกขุ แต่เป็นสมณะที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 สมณะที่ 1 พระโสดาบัน สมณะที่ 2 พระสกิทาคามี สมณะที่ 3 พระอนาคามี สมณะที่ 4 พระอรหันต์ ผู้เป็นภิกขุแต่ไม่เป็นสมณะเลยก็เยอะ เดี๋ยวนี้มีเยอะมาก เป็นฆราวาสเป็นสมณะได้ ชาวอโศกเราเป็นต้น ฆราวาสก็เป็นสมณะได้ ด้วยความจริงด้วยสัจจะ บรรลุจริงของตนๆ
ผู้ที่มาเป็นชาวอโศกนั้นมาด้วยตนเองทั้งนั้นด้วยความยินดี มาด้วยมูลคือเค้าเป็นความยินดีมาด้วยความอิสระเอง ไม่มีใครมาบังคับ ไม่มีใครหว่านล้อมปอกลอก มาเอง มีความยินดีเป็นเค้าเป็นมูล
มาในที่นี้ก็ต้องมามีการทำใจในใจ มนสิการ คุณจะมีการเกิดได้เป็นสัมภวะ คุณมาที่นี่เพื่อจะเกิด อาตมาเป็นพ่อ สมณะสิกขมาตุเป็นแม่ เพื่อจะทำให้เกิดพระธรรม มีพระพุทธมีพระธรรมมีความรู้ พุทธธรรม แล้วก็จะเกิดสงฆ์ สมณะที่ 1 2 3 4 จะเกิดผู้บรรลุเป็นพระอาริยะระดับ 1 2 3 4
พวกคุณมาที่นี่เพื่อมนสิการ แล้วก็ทำการเกิดให้แก่ตน คุณมาที่นี่คุณมาเพื่อจะเกิด ไม่ใช่มาเพื่อเอาลาภ ยศ สรรเสริญ มาเล่นมาหัว เอาชีวิตอยู่แบบโลกๆเท่านั้น แต่ความเป็นโลกที่จะต้องมีการงานอาชีพ มีอาชีวะ กัมมันตะ วาจา สังกัปปะ คุณก็ต้องมีเป็นธรรมดา ก็ทำให้เป็นสัมมา เหมือนกับพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในปัญญาข้อที่ 5 ของพระโสดาบัน ก็มาอยู่กับสหธัมมิก ศึกษาเพ่งเพียรในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา การงานของสหธัมมิก เราก็ช่วยกันไปก็มีปัญญามีความรู้ อยู่ร่วมกันอย่างนี้แหละ ทำงานไปเลี้ยงตนเองไปรอด
อาตมาเห็นว่าพวกเรามาที่นี่มาเรียนรู้การมนสิการทำใจในใจ แล้วก็พาให้ทำได้ จึงมีสมณะที่ 1 2 3 4 ได้ ถ้าทำใจในใจไม่เป็นไม่มีการเกิด สมณะ 1 2 3 4 ที่แดนเกิดของจิต
คุณต้องรู้หทยรูปที่จิต เป็นสัมภวะ โดยรู้รูป 28 อุปาทายรูป 24 อาตมาเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาขยายความจนกระทั่งละเอียดมากมาย จนผู้ที่เรียนเปรียญ 9 จบด็อกเตอร์มา เขาก็หาว่าโพธิรักษ์เอาอะไรมาพูดนักหนา เขาไม่ได้เรียนอย่างอาตมา เขาเรียนท่องพยัญชนะเป็นหมวดหมู่แล้วเอาไปสอบ ก็ต้องตอบให้ตรงอย่างที่เขามีคำตอบ ได้เป็นบัณฑิต
แต่อาตมาไม่ได้ให้มาเรียนแบบนั้น เขาสอบก็ได้เป็นยศ เป็นสมเด็จไป หรือไม่ก็เรียนปฏิบัติออกนอกรีตหลับตาเก่งเป็นพระกรรมฐาน เป็นพระธุดงค์ไป ศาสนาพุทธไม่มีการธุดงค์ เคร่งธุดงควัตรเป็นความเคร่งอย่างพระมหากัสสปะ ซึ่งทำมาไม่รู้กี่ชาติเป็นเรื่องนอกรีตเป็นเรื่องที่เกิน เป็นอัตตกิลมถะ แต่ก็ไม่เข้าใจกัน อาตมาก็มาพูดความจริงว่าไม่ต้องไปหลงอะไรมากมายอย่างนั้นหรอก ทำเกินไม่ได้เรื่องอะไร แต่คนไม่เข้าใจก็นึกว่าสุดยอดทุกวันนี้ พูดไปแล้วมันไปทำลายที่เขาเชื่อถือที่เขาเข้าใจกัน
คุณฆ่ากิเลสตายก็เป็นพระอาริยบุคคล ฆ่ากิเลสตายหมดก็เป็นพระอรหันต์ จากการทำใจในใจแล้วปฏิบัติจะต้องมีผัสสะ ถ้าไม่มีผัสสะไม่เป็นการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นการเป็นนั่งหลับตานั้นมันไม่มีผัสสะทั้ง 5 มีแต่อยู่ในใจๆ มันออกนอกรีต ออกนอกคำสอนของพระพุทธเจ้าเยอะแยะ มีพระสูตรบอกไว้ตั้งมากมายตั้งแต่พรหมชาลสูตร ไม่มีผัสสะไม่มีเวทนาไม่มีทางปฏิบัติเป็นกรรมฐาน แต่น่าสงสารทุกวันนี้เป็นนั่งหลับตากันเต็มบ้านเต็มเมืองถือว่าเป็นพระปฏิบัติกัน นั่งหลับตาแล้วได้อันนั้นอันนี้เป็นวิมานเก่งรู้หมด เป็นพระอรหันต์กันหมดนั่นไม่มีหรอก นั่งหลับตาว่าบรรลุอรหันต์นั้นไม่มี มีแต่ลืมตาแล้วรู้ปฏิบัติทุกอย่าง เป็นโลกเป็นอัตตา ที่สำเร็จทุกอย่างจึงจะเป็นอรหันต์ อรหันต์ยังลืมตาไม่เป็นผู้ลึกลับ ยิ่งไปหลับตายิ่งเป็นผู้ลึกลับ รโห หรือ รหัส อรหันต์คือผู้ที่หมดความลึกลับแล้ว อรหะ +อันตะ คือ ไม่ลึกลับจนถึงที่สุดแล้ว ไม่ลึกลับในอัตตาสูงสุด เป็นอรหัตตา
ผัสสะ เป็นสมุทัย ในภาคปฏิบัติของมูลสูตร ไม่ใช่ สมุทัยในทุกข์อริยสัจ เพราะฉะนั้นหากไม่มีผัสสะไม่เป็นเหตุให้เกิดการปฏิบัติได้ผล ไม่ว่าจะสำนักไหนในโลกชาวพุทธทั้งโลก
ต้องมีผัสสะเป็นสมุทัย จึงเกิดเวทนาเป็นที่ประชุมลง แล้วจึงจะมีสมาธิเป็นประมุข ประชุมลงเป็นสมาธิ เพราะเรียนรู้เวทนา 108 โดยเฉพาะ มโนปวิจาร 18 เรียนรู้ อันนี้เป็นโลกโลกียะเป็นเคหสิตตะ อันนี้เป็นโลกุตระ เป็นเนกขัมมะ ก็ทำให้เป็นอรหันต์ไปเป็นลำดับทำให้จิตเป็นเนกขัมมะ จิตลดอัตตาลดกิเลสไป จนกระทั่งบริบูรณ์ ก็หยั่งลงที่เวทนาสั่งสมเป็นสมาธิเป็นประมุขเป็นหัวหน้า จิตจบ บริบูรณ์เป็นสมาธิสมบูรณ์
สมาธิของพระพุทธเจ้า จึงต้องมีเวทนาเป็นผัสสะ สมาธิหลับตาไม่มีผัสสะเป็นเหตุนั้นเป็นสมาธินอกรีตของศาสนาพุทธ ฟังบ้าง ฟังแล้วเอาไปสำเหนียกศึกษา แล้วเอาไปแก้ไข อย่าไปเสียเวลาอีกหลายไม่รู้กี่ชาติแล้ว อาตมาพูดไป อย่างไรก็ไม่เข้าหูเขา มันเป็นวิบากนะ ฟังไม่เข้า ไม่รู้เรื่องไม่เอา มันไม่ใช่สิ่งที่เขายึดมั่นถือมั่นเขาว่าจะต้องนั่งหลับตา เลยปิดประตูรู้เลย มันน่าสงสาร
ผู้ใดที่รู้จักตื่น ชาคริยานุโยคะ ว่า อย่างที่โพธิรักษ์พูดให้ใหม่แปลกนะ พูดโยงใยบาลีอย่างกับผู้ที่ไปเรียนจบเปรียญ 18 (จบเปรียญ 9 สองครั้ง ) อาตมาก็ว่ากันไป
มีสติ เป็นอำนาจ อธิปไตย มีตื่นรู้ ผู้มีสติเต็มสัมผัสอะไรก็รู้อยู่ เพราะมีปัญญาเป็นคู่ช่วยมีสติปัญญา มีสติกับปัญญาเป็นธรรมะคู่ยิ่งใหญ่ มีทั้งอธิปไตย มีทั้งอุตระ มีทั้งความอยู่เหนือที่เป็นเรื่องได้สาระ ได้วิมุติหลุดพ้นโลก ไม่เป็นทาสโลก อัตตาที่ตนก็ไม่เป็นทาสอัตตาตนเอง ไม่ใช่ไม่รู้ในอัตตา จมในอัตตา เป็นผู้ที่รู้แจ้งความเป็นโลกและอัตตา
โลกที่หยาบสุดเราเรียกว่า กามโลก และต่อมาก็ รูปโลก หมดกามข้างนอกหมดแล้ว อยู่เหนือแล้ว เป็นผู้ที่มีอำนาจมีสติอยู่เหนือมันแล้ว อยู่เหนือกามก็อยู่กับกามอยู่กับโลก กามโลก โดยมันไม่ทำให้เราตกเป็นทาสหรือลำบากไปทุกข์กับมันอีก อยู่อย่างสบาย จึงเป็นผู้ที่ได้ความหลุดพ้นจากโลก จากอัตตา เป็นวิมุติแก่นสารสาระ ทุกอย่างเราอยู่เหนือแล้วก็เป็นอมตะบุคคล
ผู้ที่เกิดก็ได้ไม่เกิดก็ได้ ตายไปแล้วไม่เกิดก็ได้ ตายแล้วจะเกิดก็ได้เป็นนักมายากลเรียกว่าสิริมหามายา เป็นปรมัตถ์ ไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา เป็นผู้ที่ถือว่าเป็น มาตา คือแม่ เราถือว่าพระพุทธเจ้าเป็นพ่อเป็นผู้ที่เป็นต้นเชื้อ คู่กับแม่ อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์เป็นแม่ พระพุทธเจ้าเป็นพ่อ ก็จะต้องมาให้เกิดลูกสืบทอดลูก อยู่ตลอดเวลา เพื่อที่สืบสาระของพระพุทธเจ้าต่อ
ความไม่เกิดไม่ตาย ความเกิดความตาย ทั้งเกิดก็ได้ตายก็ได้เหมือนคนตลบตะแลงเหมือนคนเล่นกลมีก็ได้ไม่มีก็ได้ เดี๋ยวก็มีเหตุมาก็หายไปแล้ว อย่างนี้ เขาก็หาว่าอาตมากลับไปกลับมา พวกนี้ก็เป็นนักข่าวเรื่อง เป็นกองบรรณาธิการนักหนังสือพิมพ์ นักเขียนนี่ ถ้าไม่มีอะไรเอามาให้เขียนเป็นเรื่องก็เป็นนักประพันธ์นักเขียนเรื่องไม่ได้ พวกนี้จึงเป็นพวกนักหาเรื่อง
อาตมาก็เป็นนักหาเรื่องให้คุณไปคิดพิจารณาได้ความรู้ จนได้รู้ได้สัมผัสจริง หากเอาแต่นั่งหลับตาก็ไม่ได้สัมผัสจริง ศาสนาพุทธจะต้องมีเรื่องให้คุณได้เรื่องไปแล้วเอาให้คุณไปปฏิบัติจนจบเรื่อง จนบรรลุในเรื่องนั้นจนชัดเจน เต็มเรื่อง มีแต่เรื่องที่สมบูรณ์แบบมีแต่เรื่องที่เป็นอรหันต์แล้ว อาตมาใช้ภาษาไทยอธิบาย สภาวธรรมไป พูดตามความรู้ความเข้าใจของอาตมาเอง เอาสภาวะมาฉีกหน้า ให้เห็น มาอธิบายช้างว่า ตรงนี้งวง งา หาง ขา เล็บ ตัว สารพัด อันนี้คือขี้มัน (พ่อครูไอ ช่วยตัดออกด้วย)
สมณะเดินดินว่า…เคยได้ฟังพ่อท่านเล่าเรื่องพ่อครูเขียนบรรยาย เมืองตรังน่าเที่ยวอะไรมากมาย แต่สุดท้ายบรรยายว่า…เสียดายจังตรังเอ๋ยไม่เคยไป
พ่อครูว่า…เมืองตรังเขามีสมาคม อาตมาก็เป็นโฆษกให้ชมรมเขา เขาก็จัดงานที่สวนลุมฯ อาตมาเป็นโฆษกก็ต้องพูดเกี่ยวกับตรัง อาตมาก็ไปศึกษา ตรังเป็นอย่างไร ก็ไปได้หนังสือสส.บุญช่วย อาตมาได้เขียนในหนังสือที่ระลึกบรรยายความน่าไปของเมืองตรังแต่สุดท้ายก็เขียนว่า เสียดายจังตรังเอ๋ยไม่เคยไป..แต่ตอนนี้เคยไปแล้ว มีทะเลธรรมที่ตรัง
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน แก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบคนจนสุขสำราญเบิกบานใจ
เข้าเรื่อง การเมืองสังคมเศรษฐกิจ ชุมชนชาวอโศกทุกที่เป็นชุมชนที่บรรลุเศรษฐกิจสมบูรณ์เศรษฐศาสตร์สมบูรณ์ เศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ถึงขั้นสาธารณโภคี เป็นเศรษฐศาสตร์ที่อาตมาพูด ไม่รู้ว่านักเศรษฐศาสตร์เรียนดอกเตอร์มาไม่รู้กี่ใบเขาฟังแล้วจะgetบ้างไหม พระพุทธเจ้านั้นเศรษฐศาสตร์ของท่านเป็นความสูงสุดเป็นเศรษฐศาสตร์สาธารณโภคี สูงกว่าคอมมิวนิสต์สูงกว่าประชาธิปไตย และแน่นอนสูงกว่าเผด็จการ
เสฏฐะ แปลว่าความเจริญ ทำให้มันพัฒนาการขึ้นไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่ควรเป็น มีเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ มีสิ่งที่ยังชีพ มีสิ่งที่ประพฤติอยู่ ไม่เป็นโทษเป็นภัย เป็นแต่ประโยชน์ให้มีความสุขไม่มีความทุกข์ นี่คือ เศรษฐศาสตร์
อาตมาเป็นนักศึกษาเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์นะ เลขที่เท่าไหร่ไม่รู้แล้ว
ตำราพระพุทธเจ้านั้นเศรษฐศาสตร์สูงสุดคือได้ลาภโดยธรรม ลาภธัมมิกา แล้วเอามาเป็นสาธารณโภคีเป็นของส่วนกลาง ในเศรษฐกิจแต่ละประเทศ เขาก็จะต้องคำนึงถึงส่วนกลาง เผด็จการ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ก็รีดมาจากประชาชน ถึงขั้นริบหมดเลยก็เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ท่านมีสิทธิ์จะริบเอาสมบัติของใครมาเป็นของตนก็ได้ ถือว่าท่านเป็นเจ้าของสมบัติ
ต่อมาเป็นประชาธิปไตย พยายามให้ประชาชนมีส่วนเป็นเจ้าของ ระบบทาสก็ลดลงๆ จนกระทั่งประชาธิปไตยอิสระเสรีภาพมาก ผู้มีอำนาจทางทุนที่จะกอบโกย เอาลาภมาให้เป็นของตัวเยอะในระบบนายทุน ก็เลยเกิดระบบคอมมิวนิสต์ที่ทำลายนายทุนให้เอามาแชร์ให้แก่ประชาชนคนอื่นได้บ้าง ก็เกิดลัทธินี้ขึ้นมา
วิธีทำก็คือเป็นเศรษฐศาสตร์ทั้งนั้น แบ่งให้กับส่วนกลางแบ่งออกไปให้มีกินมีใช้ทั่วถึง โดย 1. มีของส่วนกลาง 2. ประชาชนมีส่วนในสิ่งเหล่านั้น แบ่งมาเป็นของตัวเองอยู่ที่บ้านมีที่ของตัวเองจดทะเบียนไว้ หรือไม่จดก็ตามแต่โดยปริยายก็ตามใจ ก็มีของตนกับของส่วนกลาง
พระพุทธเจ้าท่านสอนทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ สอนจนกระทั่ง ของๆตนกับของส่วนกลางเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเลย ชาวอโศก เราทำได้สมบูรณ์แบบสูงกว่าประชาธิปไตยสูงกว่าคอมมิวนิสต์สูงกว่าเผด็จการ สุดยอด นี่คือ เศรษฐศาสตร์สุดยอด ใครจะรู้บ้างไหมนักเศรษฐศาสตร์ที่จบด็อกเตอร์มา post-Doctor มากี่ใบก็ตาม จะรู้จักเศรษฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้าไหม ของส่วนกลาง เป็นสาธารณโภคีและทุกคนมีสิทธิ์กินใช้ร่วมกัน ด้วยจิตใจของแต่ละคนเป็นจิตใจที่ไม่มีตัวตน ไม่ถือเป็นของตัวของตน แล้วเราก็ร่วมกินร่วมใช้ ร่วมสร้างมาใส่ส่วนกลาง ที่นี่ร่วมสร้างทำผลิต เสร็จแล้วก็เข้าส่วนกลาง ไม่เอาเป็นของตัวเองเลย เป็นความสำเร็จสูงสุด คอมมิวนิสต์ก็สู้ไม่ได้ ประชาธิปไตยก็สู้ไม่ได้ เป็นของส่วนกลางที่สุดยอดของพระพุทธเจ้า ของส่วนตนก็อยู่ในนี้อาศัยกินใช้อย่างเป็นสุข ช่วยกันสร้างช่วยกันทำ อุดมสมบูรณ์ ไม่เอาพลังงานไปใช้ในเรื่องไม่เข้าท่าเสียเปล่า
-
เอาไปใช้ในทางอบายปรุงแต่งเสียเวลาทุนรอนแรงงานไปกับอบาย เลิก ไปทางโลภก็ตาม รสก็ตาม ไปปรุงแต่ง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ลาภ ยศให้แก่ตัวเองก็ไม่ทำ เรามีตัวอย่างของชาวอโศก ไม่ได้ใช้เวลาแรงงานทุนรอนไปสร้างให้ได้ลาภกับตัวเอง ได้เสพ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสแก่ตัวเอง ไม่เอา
ชาวอโศกจึงหมด โลกกามก็หมด โลกของสิ่งที่เป็นลาภ ยศ สรรเสริญ ความสุขแบบโลกีย์ไม่มี อยู่อย่างสุขสบาย จึงเป็นโลกแห่งอาริยะ เป็นโลกของแดนศิวิไลซ์สูงสุด
อาตมาพูดไป คนก็จะหมั่นไส้ได้ อาตมาไม่มีเครดิต หากผู้ที่มีตำแหน่งทางศาสนาเป็นใหญ่เป็นสมเด็จมาพูดอย่างอาตมาคนจะขึ้นเยอะเลย พูดเหมือนอาตมารับรอง คนจะรู้จักธรรมะพระพุทธเจ้ามากขึ้น แต่ท่านเหล่านั้นไม่ได้พูดอย่างอาตมา ท่านก็พูดไป ตามเรื่องตามราวถือว่าท่านถูกต้องของท่าน
ในการมีเศรษฐกิจ หรือเป็นผู้ที่บรรลุเศรษฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้านั้น อาตมาก็พยายามย้ำ พูดแล้วพูดอีกว่า เศรษฐกิจที่สุดยอดจบแล้ว ชาวอโศกนั้นทุกวันนี้อาตมาสบายมากเลยไม่ต้องรบกวนใจอะไร เข้าใจกันหมดแล้ว อธิบายและปฏิบัติให้ประพฤติจริง ก็เลยเป็นเรื่องของความประพฤติจึงเป็นสังคมบวร เป็นสังคมบ้านวัดโรงเรียน ที่มีครบ มีสังคมหมู่บ้าน แล้วก็มีธรรมะขั้นโลกุตระ เป็นธรรมะที่บรรลุสูงสุดอยู่ในนี้จริง ทุกคนรู้ธรรมะและประพฤติธรรมะ แล้วก็ยังมีการสอนการเรียนกันเป็นโรงเรียน สืบทอดการศึกษา ทั้ง ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธตลอดเวลา ครบหมด
นี่คือชาวอโศกที่สมบูรณ์ทุกอย่าง ในเรื่องของเศรษฐศาสตร์ เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจของชาวอโศกจึงสบายมาก ก็อยากให้ท่านดร.สมคิดมาเรียนรู้มาทำความเข้าใจแล้วเอาไปแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้แก่สังคมประเทศ
การแก้เศรษฐกิจให้แก่สังคมประเทศแก้แบบไหน แก้อย่างที่ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านทำ แก้แบบคนจน แก้แบบขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ต้องแก้แบบนั้นแล้ว จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจจบ เหมือนกับชาวอโศกแก้ปัญหาให้เป็นแบบคนจน แก้ปัญหาให้ขาดทุนของเราแล้วก็คือกำไร จบ จึงจบเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจจึงเป็นสุขจึงสบายจึงอุดมสมบูรณ์ จึงสุขสำราญเบิกบานใจ
ก็สงสารพวกที่อาจจะมีอาการหมั่นไส้ คนที่แอบฟัง เหมือนพระสารีบุตรแอบฟังธรรมะอยู่ตีนเขาสิเนรุ ก็ยังดี ก็ยังได้ฟังธรรมะ ที่เป็นธรรมะ แม้ไม่ใช่พระพุทธเจ้าก็เป็นลูกพระพุทธเจ้ากำลังสอน สอนผู้ที่คือพวกคุณนั่นแหละ คือสิริมหามายา พวกคุณนี่แหละ คือผู้ที่จะให้ความกำเนิดธรรมะพระพุทธเจ้าต่อๆไปอีก อาตมาก็พยายามที่จะเอาธรรมะใส่เข้าไป ให้พวกเราเอาไว้เพื่อจะขยายต่อไป อาตมายังไม่ตายก็ต้องทำอยู่ขยายอยู่ไม่หยุด ถ้าอาตมาตายไปแล้วพวกคุณก็สืบทอดต่อไป ก็เป็นอย่างนี้ แล้วอาตมามั่นใจว่าอาตมาได้ปลูกฝัง หรือว่าถ่ายทอดธรรมะของพระพุทธเจ้าไว้ ก็มีผู้รับเอาไว้พอสมควรอย่างพวกเรานี้รับไว้จนกระทั่งเป็นของบุคคล จนรวมตัวเป็นกลุ่มคน เรียกว่าสงฆ์ ทั้งฆราวาสและสงฆ์ก็คือสงฆ์ คือสมณะ 4 มีทั้งภิกษุและฆราวาสมีสมณะ 1 2 3 4 อยู่รวมกัน โดยเป็นกลุ่มมนุษย์อาริยะ หรือมนุษย์แผ่นดินพุทธ มีพุทธธรรม มีพุทธศาสนา
ขออภัยเถรสมาคมท่าน อย่าหมั่นไส้อาตมามากเลย ที่อาตมาพูดเน้นพูดยกตน ข่มท่านเลย มันเป็นสัจจะ อาตมาหลีกเลี่ยงความจริงนี้ไม่ได้ก็พูดความจริง
ธรรมะต่างๆพวกนี้สรุปลงตรงนี้ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา มีอยู่ด้วยกัน
สมาธิอันศีลอบรมแล้ว ย่อมมีผลอย่างมีอานิสงส์ใหญ่ อย่างปัญญาอันสมาธิอบรมแล้ว ย่อมมีผลมีอานิสงส์ใหญ่ จิตอันปัญญาอบรมแล้วย่อมพ้นอาสวะโดยชอบ คือกามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ จากพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 77-78
การศึกษาพระพุทธเจ้ามี 3 คือศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเข้าใจและปฏิบัติถึงขั้น กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ สิ้นก็จบการศึกษาของพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นผู้ที่จะมีเศรษฐกิจดี ก็คือผู้ที่มีศีลแล้วก็มีอธิจิต ที่เรียกว่าจิตเป็นสมาธิ จิตอธิจิต กับจิตเป็นสมาธิต่างกันอย่างไร
อธิจิต คือทำให้จิตเกิดดีขึ้นไปเรื่อยๆ ส่วน สมาธิคืออธิจิตที่ทำได้สำเร็จ หยั่งลง สโมสรณา หรือโอคธา เป็นอมตะ โอคธาคือหยั่งลง หยั่งลงจากที่ได้สมาธิ ได้สติ ได้ปัญญา ได้วิมุติ ในมูลสูตร จากมีฉันทะเป็นมูล มนสิการเป็นแดนเกิด ผัสสะเป็นสมุทัย ปัญญาเป็นอุตตระ วิมุติเป็นแก่น จึงเป็นบุคคลที่เป็นอมตะ ชีวิตที่ไม่เกิดไม่ตายแล้วจึงเป็นชีวิตของนักมายากลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด จะเกิดก็ได้ไม่เกิดก็ได้จะตายก็ได้ไม่ตายก็ได้ ภาษาพูดก็พูดไปแต่ความจริงมีหรือไม่
อาตมาเคยพูดเคยบอกแล้ว ว่าอาตมานี่ อายุขัยของอาตมา 72 ปี แต่ตอนนี้ลากมาจนถึง 84 แล้วก็จะลากต่อไปอีก อาตมาตายก็ได้ไม่ตายก็ได้ แล้วจะตายอีกเมื่อไหร่ก็ได้ถ้ามันหมดอายุขัยแล้วจริงๆ แต่พวกคุณไม่อยากให้ตาย ยังไม่ยอมให้ตาย อาตมาก็ว่า จริง ยังทำงานไม่เท่าไหร่เลย สอนไปให้บวบยาวได้สองวา ตอนนี้มันแค่นี้ ได้วาเดียว
ทุกวันนี้พวกเราอุดมสมบูรณ์มาก บรรลุเศรษฐกิจสูงสุด พูดแล้วเหมือนพูดเล่นพูดแล้วเหมือนพูดดี แต่มันมีของจริงเป็นจริง มันเป็นเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจที่วิเศษ จริงๆนะ อาตมาว่า พวกคุณรู้สึกไหมมีชีวิตอุดมสมบูรณ์ อยู่อย่างไม่เดือดร้อนในลาภยศสรรเสริญโลกีย์
ลาภของเราก็คือ สิ่งที่เป็นปัจจัย สิ่งที่ไม่เป็นปัจจัยแล้วไปหลงเป็นลาภ ได้ไปอย่างโลกๆเขา ได้เงินมามากๆ ได้ลาภ ไม่ใช่หรอกอย่างนั้นมันอสรพิษ เงินไม่ใช่ปัจจัยไม่ใช่ลาภ มันเป็นอสรพิษมันเป็นงูเห่า ตอนนี้งูเห่ากำลังอาละวาดอยู่ในเถรสมาคม ท่านพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ทำงาน อาตมาก็เชียร์อยู่ เอาให้จริงเอาให้ชัดๆเลย ให้สำเร็จ ดูสิว่า คือยุคไหนก็แล้วแต่ คนตำแหน่งที่มีอำนาจสูงสูงไม่เคยเป็นคนผิด ทำผิดให้ตายยังไงก็ไม่ผิดหรือไม่เข้าคุก คราวนี้เอาคนใหญ่ๆ นี้ผิด เข้าคุกหน่อยเถอะน่า จะได้เป็นยุคที่สุดวิเศษเลย จะได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดศิวะเลย ผู้ปราบ ยอดอิศวรเลย ปราบ
จริงๆตอนนี้มันเน่าเฟะก็ควรจะปราบ ควรจะชำระให้ อย่าให้ธรรมกายธัมมชโยโม้ว่าเป็นผู้ปราบมาร ทั้งที่ตัวเองเป็นมารเน่า มารใหญ่ สุดมาร แล้วก็ทำเป็นผู้มาปราบมาร คุณพงศ์พรไปเจอกับผู้ปราบมารหน่อย ใครจะเป็นคนปราบกันแน่ เอาให้จริงเถอะ
เมืองไทยเป็นเมืองพุทธศาสนา เมืองไหนก็แล้วแต่เขาก็มีศาสนา ศาสนาเป็นเรื่องจิตวิญญาณ ตั้งแต่คนชนเผ่า เกิดมาเขาก็เป็นศาสนาผี มีหมอผี ก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่ผู้กุมอำนาจของสังคม ตั้งแต่สมัยโน้น ถือเป็นตัวแทนของพระเจ้า ที่ควบคุมผีได้ จนกระทั่งทุกวันนี้กลายมาเป็นศาสนาเป็นลัทธิแบ่งแยกกันไปตามภูมิ สายเจโตก็เป็นเทวนิยม สายปัญญาก็มาเป็นพุทธ
ผู้ที่มีศาสนาที่สูง สูงในเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจ จึงมีการเมืองที่มีเศรษฐกิจมีสังคม เพราะจิตวิญญาณมีปัญญามีฐานจิตที่จริง เป็นฐานจิตที่มีความจริงความรู้ของความเป็นมนุษย์และความเป็นสังคม จึงทำให้มนุษย์ทำให้สังคมนั้นเกิดอยู่ร่วมกัน มนุษย์อยู่ร่วมกันเป็นสังคมที่ พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ ชาวอโศกมีชีวิตอย่างมีชีวิตอนุเคราะห์โลกเขา เพราะปัญหาในสังคมของตนเองไม่มี ไม่มีปัญหาเพราะเรามีแต่ปัญญา เป็นองค์รวม พหุชนหิตายะ มวลชนอโศกอยู่อย่างสุขสำราญเบิกบานใจ มันเป็นความจริงที่ได้และมีจริงยืนยัน แต่คนที่เขามีอัตตามานะ ไม่เชื่อสัจจะอันนี้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรก็ได้แต่สงสาร
คำว่าสงสาร คำว่าเวทนาก็ดี เป็นภาษาบาลีเป็นภาษาธรรมะ สงสาร คือ สิ่งที่วนเวียนอยู่ เวทนาคือ ความรู้สึก อาตมาได้แต่เห็นเวทนาของเขา เห็นความรู้สึกของเขา เขารู้สึกสุขรู้สึกทุกข์แล้วก็หลงความสุขที่เป็นโลกีย์ ว่าเป็นสิ่งที่น่าได้ ที่จริงเขายิ่งหนาไปด้วยกิเลส เขายิ่งติดยึดในทุกข์หนักขึ้นๆ
เพราะเขาไม่รู้ว่าลาภเป็นทุกข์ ยศเป็นทุกข์ สรรเสริญเป็นทุกข์ สุขโลกีย์นั้นเป็นทุกข์โดยแท้แต่เขาไม่รู้ เขาไปหลงเหตุนั้น เพราะฉะนั้นจึงไม่มีทางที่จะหมดทุกข์หมดสุข เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขา ที่เป็นฐานนิพพาน ทำจิตให้เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา ต้องเรียนรู้เวทนา มโนปวิจาร 18 ที่เป็นฐานนิพพาน คืออุเบกขาที่เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา ไม่ใช่เคหสิตอุเบกขาเวทนา ต้องรู้ความต่างของอุเบกขา 2 อย่างนี้
ธรรมดาอุเบกขาของพวกโลกีย์ก็มีเป็นความวางเฉยพักยก เรียกว่าดุสิตาโดยธรรม เมืองดุสิต แปลว่าเมืองพัก จิตพักสงบ แดนดุสิต ก็เป็นการพักยกโดยที่เขาไม่รู้ แต่มันก็ต้องพัก เพราะคนเราจะเอาแต่สุขแต่ทุกข์ จะไปแย่งชิงอะไรมันก็เมื่อย ก็เลยอยู่เฉยๆ โดยไม่รู้ ไม่เข้าใจความเฉยนี้
แต่เนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนาเป็นความวางเฉยอย่างไม่สุขไม่ทุกข์ อย่างมีเนกขัมมะอย่างเอากิเลสออกได้หมด เนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนาจึงเป็นฐานนิพพาน
ผู้ที่รู้สัจจะความจริงของ เนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนาก็สั่งสมให้เป็น อเนญชา สั่งสมให้เกิดเป็นสมาธิที่มีอุเบกขา สมาธิคือเกิดอุเบกขาเวทนาที่เป็น เนกขัมมะ ตกผลึกเรียกว่าเป็นสมาธิ ตกผลึก ตั้งมั่นแข็งแรง เป็นอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา ให้ยิ่งขึ้นๆ
จิตนี้ก็ยิ่งเจริญด้วย ปริสุทธิ ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ประภัสรา
ผู้ที่ศึกษาบาลีมาหรือไม่ก็ตาม ฟังแล้วเข้าใจไหมฟังทันไหม ธรรมะที่อาตมาพูดไปไม่ใช่โมเมจับแพะมาชนแกะวุ่นวาย แต่เป็นเหตุปัจจัยกันทั้งนั้น ถ้าเข้าใจแล้วก็เอามาช่วยกันสอนต่อไปได้ ต่อเป็นจิ๊กซอว์ จิ๊กซอว์นี้ต่อมาเป็นดอกบัว ต่อมาเป็นประเทศไทย ต่อมาเป็นอะไรก็ได้ มาเป็นมะม่วงก็ได้ มาเป็นลูกบักลอย(บวบเหลี่ยม)
เปรียบเทียบกับรูปต่างๆ มาเรียนรู้รูป 28 กันต่อไป
ตั้งแต่มหาภูตรูป 4 ดินน้ำไฟลมที่เป็นอุตุนิยามภายนอก ก็เกี่ยวกันสังเคราะห์สังขารกันอยู่ อย่างไรๆ เริ่มตั้งแต่ตัวเราก็มีปสาทรูป โคจรรูป ก็มีผัสสะ กับดินน้ำไฟลมรวมตัวเราที่มีกาย คือมีทั้งจิตและภายนอก กายคือจิตที่รู้ร่วมกับภายนอกภายในคือกาย แต่ทุกวันนี้กายเขาเข้าใจแต่เพียงภายนอกขาดไปจากจิต นี่คือความเสื่อมของความรู้ที่ศาสนาพุทธเสื่อมไปแล้วขณะนี้ เข้าใจคำว่ากายไม่ถูก เพราะฉะนั้นมูลกรรมฐาน 5 เขาจึงไม่รู้เรื่องเลย เป็นมูลกรรมฐานแรกที่ภิกษุต้องเรียนรู้ อุปัชฌาย์ต้องให้ศึกษาแยกกายแยกจิต จาก ผมขนเล็บฟันหนังนี้ให้ได้ อย่างไหนเป็นกายภายนอก อย่างไงมันเป็นจิต อย่างไงมันไม่ใช่กาย
พวกเราจะพอชี้ความชัดเจนนี้ได้ไหม ….ได้เลยหรือ อยากฟัง
ตอนไหน เอาเล็บนี่ก็ได้
เล็บที่อยู่ยื่นออกมาจากประสาทนี้ มันไม่มีความรู้สึกหรอก
หากเราตัดทิ้งออกไปมันไม่ใช่กายแน่นอน เมื่อคุณเองคุณตัดได้ มันไม่เจ็บ ตัดออกไป หลุดไปจากร่างเราก็ถือว่าไม่ใช่กาย แต่ถ้าเป็นตัวเรามีดินน้ำไฟลมผสมกับตัวรู้ มีชีวะ จริงๆอย่างนี้แหละคือกายแท้ที่ถูกต้อง แต่ไปเข้าใจว่ากายคือดินน้ำไฟลมไม่มี ปสาทรูปโคจรรูปร่วมนั้นผิด
แต่ที่มันตัดออกไปได้ไม่เจ็บคือพีชะ มีชีวะร่วม แต่ไม่มีวิญญาณมีสังขารกับสัญญา ไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ จึงเป็นพีชะ แต่มันเป็นกายที่เป็นพีชะ ตัดออกไปทิ้งเป็นอุตุนิยาม ไม่ใช่กายแล้วก็เข้าใจได้ง่ายไม่ได้ยาก
แต่กายที่มันติดอยู่กับตัวเรา เป็นพีชะ มันก็เป็นกายของเราอยู่นะ มีชีวะ แต่ไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ ก็จะแยก อุตุ พีชะ ออก และอันที่มันมีประสาทตัดเข้าไปเจอเส้นประสาท มีเวทนามีวิญญาณ อันนี้ลึกเข้ามา เป็นจิตมโนภายใน นี่คือมูลกรรมฐาน 5 ให้พิจารณาแยกกายแยกจิต อะไรเป็นความแท้จริงหรือไม่อย่างไร แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่รู้เรื่องกันแล้วเขาให้พิจารณาผมขนเล็บฟันหนังว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์เป็นอนัตตาไปโน่น มันไม่เที่ยงมันเสื่อมได้ มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ มันเป็นอนัตตา มันไม่มีตัวตน ซึ่งผิดเป้าหมายที่พระพุทธเจ้าท่านให้ศึกษา กรรมฐาน 5 นี้ไป ไกลเลย นี่ ศาสนาพุทธหมดแล้ว
กายต่างๆที่จะต้องมีจิตร่วมอยู่เสมอ คำว่ากายนั้นไม่มีจิตร่วมก็ไม่ได้ในการศึกษาพุทธศาสนา ถ้าไม่มีจิตร่วมเราก็ตัดทิ้งได้ไม่ต้องไปอะไรกับมัน หากมันไม่มีจิตวิญญาณร่วมมันก็ไม่ใช่เราเป็นของเราแน่นอน แต่เมื่อมันมีการร่วมอยู่กับจิต มันก็ต้องเป็นตัวเราเป็นของเราอยู่ คนไปยึดว่า กายนี้เป็นเรา พีชะเป็นของเรา ดีไม่ดี อย่างผมนี่ ผู้หญิงตัดทิ้งออกไปแล้วก็ยังบอกว่าเป็นของฉันเอาไปขายก็ไม่ได้ พวกที่รักผม ตัดก็ไม่ได้ ตัดแล้วก็ไม่ให้ใคร หวงไว้ ขายก็ไม่ได้ เลอะเทอะ ยืดยาดยาวไปหมด เลยกลายเป็นสังคมที่อะไรก็เป็นเราเป็นของเราหวงแหนอะไรกันยุ่งเหยิง
พูดถึงเรื่องหวงแหน จะเห็นได้ว่าชาวอโศกหมดความหวงแหนไปอย่างสบายๆ ใครก็ตามเกิดความหวงแหนในชาวอโศกก็เกิดความทุกข์ อันนี้ก็ไม่ได้ อันโน้นก็ไม่ได้ หวง
พูดตรงนี้แล้วก็ระลึกถึง เรือ เอาจากนี่ไปลงน้ำให้พวกเขาพายเล่น พวกเราก็ไปเก็บขึ้นมาเสีย มันก็จะเก่าก็จะเสื่อมไปไปเก็บมาทำไมเอาให้พวกเขาไปเล่น ทำน้ำตกลำธาร ให้เขาเอาไปพายกันเล่นเป็นความสุขสำราญเบิกบานใจ นี่คือความหวงแหน อาตมาก็ว่าหลายๆอย่างที่อาตมาทำ ทำเพื่อให้มาใช้สอยอาศัยร่วมกันเป็นประโยชน์ร่วมกัน เราก็ไม่ได้ถึงขนาดไปเป็นหนี้เป็นสิน เราพอทำได้ก็ทำไปไม่ได้เดือดร้อนใคร
เพราะเราสามารถทำเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจของเราได้เยอะ เราทำสิ่งเหล่านี้ได้คนก็มองว่าอโศกทำได้อย่างไรมันสร้างขึ้นมาเอาเงินมาจากไหน ไม่เรี่ยไร ทำพิธีจัดงานหาเงินก็ไม่หา ดีไม่ดี คนเอาเงินมาถวายก็ไม่รับอีก ต้องมาถึง 7 ครั้งถึงจะมีสิทธิ์ แล้วมันเอาเงินมาจากไหนวะ เขางงหัวแตก นี่คือเศรษฐศาสตร์ของเรารุ่งเรืองเจริญมาก ไม่เป็นหนี้ แล้วมีพอใช้พอกิน คนทำงานอยู่ในนี้ วันหนึ่งเดือนหนึ่ง ประมาณเกือบ 3 ล้าน ที่คนมาทำงานแล้วรับค่าจ้างไปในแต่ละเดือน นี้คือเราทำงานช่วยประเทศชาติ ในหมู่บ้านราชธานีอโศกนี้มีคนทำงานจากภายนอกประมาณ 165 คน ทำมาหากินเลี้ยงชีพไปหลายปีแล้ว ได้รับเงินรายได้ไปวันหนึ่งเดือนหนึ่งแล้วแต่ค่าจ้าง เอาไปเลี้ยงชีวิตก็ต้องจ่ายประมาณเดือนนึง 3 ล้าน ก็ช่วยเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์โลกให้มีที่ประชาชนทำมาหากินอย่างสงบสบาย เขามาทำงานที่นี่สงบสบาย ไม่ได้จู้จี้จุกจิกอะไรเกิน จะอู้งานเลี่ยงงานก็ทำได้ เราก็ไม่อยากให้เขาเป็นหรอกมันเสื่อม เขามาอู้งานเอาแต่เงินรายได้ ค่าจ้างรายวันไป งานก็ไม่สำเร็จเราก็ไม่อยากให้เขาเป็น ก็ช่วยกันหน่อย พวกเราก็รู้กันแต่ต้องมีศิลปะในการพูดหน่อยนะ ประเดี๋ยวก็ไปทำให้เกิดความบาดใจมากเกินไป ถ้าใครไม่สามารถมีศิลปะก็อย่าเพิ่งไปพูด ผู้ที่สามารถพูดได้ก็ให้มาทำงานอย่างเป็นคนประเสริฐ มาอู้งานกินเป็นรายได้เลี้ยงไข้เลี้ยงงาน งานไม่เสร็จก็เอารายได้ไปเต็ม ค่าจ้างรายวันรายเดือนก็แล้วแต่ มันก็ไม่ดี
เราก็เป็นอยู่อย่างนี้ จะว่าไปแล้วหมู่บ้านเราเป็นหมู่บ้านชุมชนที่ทางการเขาก็เคยบอกว่า หมู่บ้านราชธานีอโศกเป็นหมู่บ้านคนจนระดับ 5 ของจังหวัด อาตมาว่าไปตรวจสถิติกันอย่างไร ที่นี่เป็นหมู่บ้านคนจนอันดับ 1 ไม่ใช่อันดับ 5 เพราะแต่ละคนไม่มีรายได้ เขาวัดกันอย่างไร วัดกันแบบไหนว่าหมู่บ้านราชธานีอโศกอันนี้เป็นคนจนระดับ 5 ที่จริงแล้วเป็นหมู่บ้านที่มีคนจนระดับ 1 อันดับหนึ่งไม่มีใครมีรายได้เลยแต่ละเดือนแต่ละปี แต่ก็อยู่กันอย่างอุดมสมบูรณ์เป็นสุข นี่คือเศรษฐศาสตร์สาธารณโภคีของพระพุทธเจ้าที่คอมมิวนิสต์ก็สู้ไม่ได้ ยูโทเปียเป็นเรื่องฝันเฟื่อง นี่แหละคือพ่อยูโทเปีย ปู่ทวดของ utopia ด้วย สาธารณโภคี เพราะเข้ากองกลางหมดเลย utopia ของโทมัส มอร์ ไม่ได้คิดถึงขั้นเข้าส่วนกลางหมดนะ
นี่คือสิ่งที่ยืนยันความจริงปรากฏการณ์จริงมีสิ่งที่เป็นจริงอยู่ในโลกมนุษย์ ว่าคนแบบนี้ก็มีด้วยหรือ มีวัฒนธรรมพฤติกรรมสังคมประพฤติปฏิบัติอยู่อย่างนี้ ช่วยกันทำมาหากินสร้างสรรความเป็นอยู่ ร่วมกันกินร่วมกันใช้อย่างสุขสบายไม่แย่งชิง ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง แบ่งกันกินแบ่งกันใช้อุดมสมบูรณ์เหลือเฟือ
เอาไปขายจะไปขายถูกๆ ขายไม่ได้ก็แจกกัน สร้างโรงเรือนมาก็ไม่ค่อยมีใครเอาไปขาย มีแต่โยมแสงเก็บพืชผักผลไม้ไปขาย พวกเราเก็บไปขายสิให้คนเขามาซื้อ ที่ไม่ค่อยมีคนเขาไป ถ้ามีวัสดุที่น่าซื้อ อันนี้บาทนึง เขาก็จะมาซื้อ อันนี้ลูกละบาท 1 ถูกมาก
แต่เพราะเรามีเศรษฐกิจที่เหลือเฟือเลยไม่อยากจะเอาไปขาย ไปขายให้ถูกขายไม่ออกเดี๋ยวมันจะเสียจะเน่าก็แจก พวกเราขยันสร้างและปลูกแต่ไม่ขยันเก็บ โดยเฉพาะไม่ขยันเอาไปขาย มันมีกินมีใช้ไม่ต้องขาย ดูเดินไปที่สวนแตงไทยเน่าทิ้งเต็มไปหมด
เราทำตามสูตรของของเรา ของดี ราคาถูก ซื่อสัตย์ มีน้ำใจ ขายสดงดเชื่อ ทุกวันนี้อาตมาทำตามทฤษฎีพระพุทธเจ้าสมบูรณ์สำเร็จแล้ว พิสูจน์ยืนยันแล้ว ใครว่าอาตมาโมเมไหม เราโน่เขาว่าไง พอรู้เศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ใหม่ (หายโง่ว่า…ชอบชื่นชมมากจะนำญาติจากฟินแลนด์สวีเดนมาด้วยมาดูงาน)สามีเขาเป็นชาวฟินแลนด์เอาชีวิตมาอยู่ที่นี่
อาตมานำเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้ามาให้พวกเราสร้าง จนชาวอโศกชื่อว่ามีเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์สมบูรณ์แบบ ตามหลักของพระพุทธเจ้าที่อาตมาได้นำเอามาให้พวกประพฤติปฏิบัติ สมบูรณ์แล้วสบาย เศรษฐกิจคือสมบัติที่มีข้อจำกัดก็แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ ให้อยู่เย็นเป็นสุขไม่ต้องเดือดร้อนกันเรียกว่าเศรษฐกิจดี
เศรษฐกิจไม่ได้หมายความว่าจะต้องรวย ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นการจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจคือจะให้คนรวย จ้างอีกร้อยชาติก็แก้ไม่เสร็จ ต้องมาแก้แบบคนจน ให้คนรู้จักความจนว่าคืออะไร อย่าไปเป็นคนรวย ดังที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านได้ตรัสไว้ให้ชัดๆแต่คนเข้าไม่ถึงศาสตร์ของพระราชานี้ เข้าไม่ถึงไม่รู้และไม่เข้าใจพอ ท่านก็ตรัสแบบคนจนขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ก็คือของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ อาตมาไม่ได้พูดเล่นท่านเป็นจริงๆ ท่านตรัสจากพระทัยของท่านอย่างที่ท่านมีภูมิรู้จริงพระทัยของท่าน แต่คนเข้าไม่ถึง น่าเสียดายประเทศไทยข้าราชการผู้บริหารเข้าไม่ถึง ถ้าเข้าถึงแล้วมาทำแบบคนจนจะเป็นอย่างไร
มาสอนคนให้รู้จักความจน ความจนไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจ ความจนไม่ใช่เรื่องน่าต่ำต้อย ความจนเป็นเรื่องประเสริฐ ความจนเป็นภูมิธรรมของจิต จิตของผู้ที่มีภูมิธรรม
-
เลี้ยงง่าย (สุภระ)
-
บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)
-
มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ)
-
ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)
-
ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)
-
เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)
-
มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)
-
ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9
-
ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)