610506_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ พ่อครูกับสิริมหามายาอย่างกลปราณี
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://drive.google.com/open?id=1XMJWUVaE7eeQXjl7kVl1WDVJUptj3H0akDfC19sZiGI
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1bEsFoe9SQjsm0xmWCStDU10jyaqARDNv
ดูยูทิวป์ได้ที่… https://youtu.be/fmBESe1L124
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก รายการวิถีอาริยธรรม บุคคลที่ใส่ใจในโลกุตรธรรมก็จะมาใส่ใจฟังธรรม ใครไม่มีภารกิจมากมายจนทิ้งไม่ได้ก็จะมาฟังธรรม เพราะเวลานั้นดำเนินต่อไปไม่มีหยุด คนเกิดมาก็กินสูบดื่มเสพวนเวียนในโลกธรรม สั่งสมความทุกข์ทรมาน ตนเองก็หาทางออกไม่เจอ กว่าจะได้มาฟังธรรมจากผู้ที่เป็นสยังอภิญญาหรือว่าเป็นพระพุทธเจ้าทำให้เรามี อัญญา จะลดละกิเลสได้นั้นก็ยาก ฟังแล้วจะเกิดญาณปัญญาที่จะบรรลุธรรมก็เกิดได้ยาก
สังคมที่เป็นโลกุตระนั้นจะพาให้ลดละกิเลส ไม่สะสมกิเลสจนเกิดการบรรลุธรรมเป็นอมตะบุคคล เกิดก็ได้ ไม่เกิดก็ได้ จะตายก็ได้ ไม่ตายก็ได้ เป็นผู้มีอำนาจบงการจัดการชีวิตตัวเองได้แล้ว คนก็แสวงหาสิ่งนี้แต่คนก็ไม่รู้ไม่เข้าใจ เพราะสังคมโลกุตระนั้นทวนกระแสโลกียะ คนโลกียะนั้นจะไม่มีความอยากจะมาเอา แม้แต่การแต่งเนื้อแต่งตัว เขามาดูแล้วก็ไม่อยากจะมาหรอก ไม่น่ามาอภิรมย์ด้วย แต่ความจริงแล้วคนที่เป็นคนจนเป็นคนที่ทำงานยิ่งใหญ่ แต่ทำตัวเล็กนิดเดียว ไม่เอาอะไรตอบแทนกลับมาเลย เราจะเห็นว่าพ่อครูเป็นตัวอย่าง ทำงานกับสังคม โลกธรรมด้านลบมีมาก ไม่ได้โลกธรรมทางบวกเท่าไหร่ แต่ท่านก็ทำประโยชน์ให้แก่มนุษยชาติอย่างยิ่งใหญ่ ให้คนมาลดละกิเลสเป็นโลกุตระบุคคลได้ทำให้เป็นคนเสียสละต่อสังคมโดยไม่เอาค่าตอบแทนกลับมาเลย จึงเป็นสังคมคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ
พ่อครูว่า….SMS วันที่ 4 พฤษภาคม 2561 (พ่อครู บวรราชธานีอโศก)
_1945ชอบมากเลยที่นครศรีฯมีงานวันกุ้งถูก / ชอบดูสภาพแวดล้อมในสันติอโศกมาก / ยุคที่คนชั่ว 3 ส่วนคนดี 1ส่วนทำอะไรรู้สึกเหนื่อยจริงๆ
พ่อครูว่า…ก็เป็นความเข้าใจส่วนหนึ่ง อย่างน้อยก็เห็นว่าสภาพแวดล้อมแบบธรรมชาตินี้ดีกว่าแบบที่ปรุงแต่งจัดจ้านทางโลกๆ ส่วนที่บอกว่าคนดีคนชั่วนั้นการจะแยกแยะได้นั้น ต้องมีความรู้ลึกซึ้งจึงสามารถแยกแยะได้ละเอียดลออ คนนั้นวิปลาสกันไปเยอะ เห็นของไม่มีตัวตนว่ามีตัวตน พวกเรานั้นมาลดละได้จริง ไม่ยึดติดได้จริง จึงไม่หวงแหน มีแต่เสียสละให้คนอื่นไป เรามีแต่น้อยเฉพาะตน สร้างสรรค์ให้มากกินใช้เหลือแล้วเราก็แบ่งปันให้เขา โดยเราไม่เดือดร้อน เพราะพวกเรามีอยู่เป็นส่วนรวมช่วยกันทำ ส่วนตัวเองมีน้อย แต่เราสร้างสรรได้มากเกินกว่าที่แต่ละคนกินใช้ หลายคนมารวมกันเข้าปริมาณก็ยิ่งมีมากขึ้น ก็ยิ่งมีส่วนเหลือส่วนเกินมีเยอะ ก็สะพัดไปสู่ผู้ที่สมควรจะได้ ได้มากยิ่งขึ้น เป็นอัตราปฏิภาคทวี ไปได้เรื่อยๆ นี่คือการเป็นอยู่ ความประพฤติของมนุษยชาติที่สุดยอดแล้ว ทุกวันนี้เราไม่ได้เป็นหนี้ เราขาดทุนของเราคือกำไรของเรา จะพูดว่าเราไม่ขาดทุนก็อาจจะย้อนแย้ง เราก็ขาดทุนได้ พยัญชนะว่าขาดทุน คือเราให้ ได้เสียสละได้แม้จะเสียสละ จะให้ไปเราก็ไม่ขาดแคลน เราก็ไม่ลำบากลำบน เราก็อยู่กันอย่างเบาสบาย ต้องทำอะไรเราก็ทำ อย่างไม่ดีก็เหนื่อย อย่างไม่ดีสุดก็เหนื่อย ไม่ได้แกล้งเหนื่อย ออกแรงงานไปเหนื่อยก็พัก พระพุทธเจ้าตรัสว่าเราไม่พักเราไม่เพียร อย่างสมดุลพอดีพอเหมาะไม่เสียสุขภาพไม่เกิดการเสียหายไม่เกิดอะไรที่มันไม่สมควร ทำไปเลย สุดยอด
สรุปแล้ว เอาเถอะ มันจะสามส่วนต่อหนึ่งหรือมากกว่า 3 ส่วนต่อหนึ่งก็แล้วแต่ เรามีหน้าที่ที่จะทำส่วนหนึ่งที่เราทำได้สำเร็จแล้วนี่แหละ เป็นโลกุตระบุคคลเป็นอริยบุคคล ทำขึ้นไป สร้างสรรขึ้นไปในยุคนี้ ในกัปป์นี้ที่จะล้างกัปป์กันก็เป็นเรื่องของโลกเป็นเรื่องของจักรวาลเป็นเรื่องของเขา เรามีหน้าที่รับผิดชอบส่วนของเราก็ทำไป
_5403เร่งวอลลุ่ม เสียงหลวงปู่ให้อีกหน่อยค่ะ ทางบ้านเร่งเสียงแล้ว แต่ยังเบาอยู่เจ้าค่ะในรายการพุทธฯตามภูมิ /บางบอน
พ่อครูว่า…ทำไมหวงแหนเสียงนะ เร่งไปบ้าง หากดังเขาก็หรี่เอง เปิดไปให้เขาก็แล้วกัน แต่ถ้าเปิดแรงนั้นมันจะเสียงแตก เขาก็เลยพยายามทำให้มันพอดี แล้วแต่เครื่องมันจะทำให้เกิดได้ เรียกร้องมาให้ได้ก็ให้ไป ให้ไม่ได้ก็เป็นสุดวิสัย ไม่ได้แกล้งกันหรอก
_3867ธ.ที่พ่อครูสอนวันนี้ใช่ธ.ที่มีศีลเป็นแม่!มีปัญญาเป็นพ่อ!เกิดโอปปาติกโยนิเป็นลูก!เป็นการเกิดจิตวิญญาณอาริยะบ่ใช่จากกัมมโยนิ!แต่เกิดที่ทิชาชาติที่ปฎิบัติ สัมมาทิฏฐิแล้วใช่ไหมหนอ?
พ่อครูว่า…โอปปาติกะ หมายถึงตัวสัตว์ อย่างโอปปาติกสัตว์ เพื่อความเป็นสัตว์ของจิตวิญญาณ ไม่ใช่ความเป็นสัตว์ของตัวตนบุคคลเราเขาดินน้ำไฟลม แต่เป็นความเป็นสัตว์ของธาตุวิญญาณ ซึ่งไม่มีรูปร่างตัวตนอะไรเลย แต่มันก็เป็นสภาวะจริงที่มันเกิดมันเป็น เรียกว่าการเกิดทางโอปปาติกะ จะไม่ลงลึกถึงพยัญชนะ
โยนิ แปลว่าความเกิด กรรมคือการกระทำ พยัญชนะก็ชัดๆอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นสัตว์มีกรรม สัตว์ทุกตัวตั้งแต่เซลล์เดียวจนกระทั่งถึงพระพุทธเจ้า ก็มีกรรม คือการกระทำ การกระทำที่ต้องเรียนรู้กรรมนิยาม เราต้องเรียนรู้กำหนดจริงๆว่ากรรมคืออะไร
-
กัมมัสสโกมหิ (มีกรรมเป็นสมบัติแท้ของตน)
-
กัมมทายาโท (มีกรรมเป็นทายาทรับมรดกของตน)
-
กัมมโยนิ (มีกรรมเป็นแดนเกิด-หรือพากำเนิด)
-
กัมมพันธุ (มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์, พันธุ์เทพ,พันธุ์มาร)
-
กัมมปฏิสรโณ (มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยแท้ๆ)