610507_พระโสดาบันจะเห็นว่าตนเองมีกิเลสอีกมาก
ดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/12uMR8-F9lTseSOXiz5W-VMyBmxBdv-WLFIj3gyVmPjA/edit?usp=sharing
ดูยูทิวป์ได้ที่… https://youtu.be/tLanXeiB8wE
เช้า 7 พ.ค. 2561 พ่อครูตื่นเช้ามาที่บ้านราชฯ เฮือนศูนย์สูญ คุยกับปัจฉาฯ…ตื่นเช้าขึ้นมาก็เหมือนเกิดขึ้นใหม่แล้วมาตั้งอยู่ไปเย็นก็ดับ … คนขณะที่ตื่นเราจะใช้เวทนาสัญญา เต็มที่ในขณะตื่น แต่พอหลับเวทนาเราก็จะพักสัญญาเราก็จะพัก สังขารเท่านั้นที่มันตกตะกอนแล้วมันก็ยังทำงานอยู่ เป็นตัวชีวะ ที่ยังไม่จบความเป็นชีวะ ถ้าตายเวทนาก็หมด สัญญาก็หมดสังขารก็หมด ไม่เหลือชีพไม่เหลือชีวะ ส่วนวิญญาณนั้นก็คือสามเส้านี้แหละ เวทนาสัญญาสังขาร …วิญญาณ ถ้าไม่มี 3 อย่างนี้ก็ไม่มีวิญญาณ วิญญาณคือตัวที่ 4 ของธาตุรู้ เวทนาสัญญาสังขาร …สามเส้า แล้วมาเป็นตัวที่ 4 เกิดอยู่ เป็นตัว ถ้าเป็นพระอรหันต์ก็ถือว่าวิญญาณนี้เป็นตัวCoefficientของชีวะ ตัวสังขาร
สังขารเป็นตัวชีพตัวชีวะ เวทนากับสัญญาเป็นตัวธรรมะ 2
เวลาเรียนรู้ธรรมะก็ใช้สัญญากับเวทนา ธรรมะพระพุทธเจ้า เวลาเรียนรู้ก็เรียนรู้จักสัญญาไปกำหนดรู้เวทนา มีสติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 วิธีปฏิบัติเรียนรู้ พิจารณากายในกายเวทนาในเวทนาจิตในจิตธรรมในธรรม ด้วยการ มีสังวรปธาน ปหานปธาน ภาวนาปธาน อนุรักขนาปธาน
สังวรนั้นมีทั้งศีลสังวร มีทั้งการสังวรในอินทรีย์ทั้ง 6 แล้วก็มีสติ แล้วก็มีสันโดษ ตามหลักในสามัญญผลสูตร มีศีลแล้วก็สำรวมอินทรีย์สติสัมปชัญญะ แล้วก็มีสันโดษ อันเป็นอริยะ สันโดษคือผล เราใช้ 1 ศีลเป็นตัวหลักเป็นตัวประธาน แล้วก็สำรวมอินทรีย์เป็นตัวภาคปฏิบัติเป็นตัวประพฤติ ตัวธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ ตัวที่ต้องรู้การเกิดการตาย รู้ในกายคตาสติ กายในกายเวทนาในเวทนาจิตในจิตธรรมในธรรม ตัวสังวรทั้งหมด โดยมีสติสัมปชัญญะเป็นตัวประธาน เป็นตัวที่จะต้องตื่นเต็มคุมทั้งหมด
หากไม่มีสติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ก็เกิดไม่ได้ เกิดไม่เต็มเต็ง เพราะฉะนั้นเวลานอนนี่ เราไม่มีเวทนาไม่มีสัญญา สติไม่เต็ม สติเต็มถึงจะมีเวทนาเต็ม เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมของพุทธสติเต็มคุณต้องมีภายนอกคุณต้องตื่น คุณต้องมีชาคริยา ต้องมีตามหลักปฏิบัติที่ไม่ผิด สํารวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีอินทรีย์ 6 ไม่มีสัมผัส 6 ก็ปฏิบัติผิด ปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าไม่เต็ม
ส.แสนดินว่า…แต่คนทั่วไปธรรมดาทางโลก เขาก็ลืมตาเขาก็สัมผัส เขาไม่ได้ไปนั่งหลับตาแต่เขาก็ไม่ได้ปฏิบัติธรรม ของเราลืมตาเหมือนกับชาวโลก
พ่อครูว่า…แต่ปฏิบัติสังวรมีสติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีการสังวร สังวรปธาน ปหานปธาน ภาวนาปธาน
ส.แสนดินว่า…ของพวกเราที่มันได้ผลน้อยหรือได้ผลช้าอย่างน้อยเราก็สังวรมากกว่าทางโลกที่เขาไม่รู้เลย
พ่อครูว่า…ใช่ เขาไม่รู้เลยไม่มีสมาชิกที่เข้าใจไม่ถูกเขาก็ไม่มีทางที่จะเป็นสัมมา
ส.แสนดินว่า…พวกเรานักปฏิบัติเองมันก็มีได้ผลน้อยได้ผลมากได้ผลต่างกัน มันเกิดจากอะไร พวกเราสังวร บางคนสังวรมากเร่งคมมากเกิน
พ่อครูว่า…ก็เป็นทุกอย่าง ถ้าตัวแท้ก็คือมีกิเลสมาก กิเลสคนมีมากสังวรมากก็ยังไม่หมดสักที
ส.แสนดินว่า…บางคนไม่สังวรเลยปล่อยไปมันก็ไม่ได้ปฏิบัติธรรมผ่านไป 10 ปี 20 ปีก็เหมือนเดิม
พ่อครูว่า…เหมือนเดิมคือไม่ได้ทำอะไรสิ ได้แต่รู้แต่ไม่ทำ ไม่ประพฤติปฏิบัติ มันต้องมีอิทธิบาท ต้องยินดีที่จะทำต้องตั้งใจ มีวิริยะ ต้องมีฉันทะวิริยะจิตตะเอาใจใส่ ว่าเราปฏิบัติธรรมนะ เราไม่ปฏิบัติธรรม มันก็เป็นตามโลกยถากรรมเป็นไปตามกิเลสเป็นตัวบงการ ถ้าเราบอกว่าเรายังปฏิบัติธรรม เราก็ต้องสังวร เฮ้ยกิเลสเองเกิด ก็จะรู้จักกิเลสเร็วขึ้นรู้หน้ารู้ตามันมากขึ้น เรามาปฏิบัติธรรมที่มีสมาธิที่เราจึงเห็นกิเลสเรามากมาก แต่แท้จริงแต่ก่อนคุณก็มากแต่คุณไม่เคยปฏิบัติก็ไม่เคยเห็นเลยคนไม่เคยรู้เลยว่าคนมีกิเลสกิเลสเป็นยังไง
ส.แสนดินว่า…คนโลกๆเขาก็ลืมตาเหมือนพวกเราแต่เขาก็กินสูบดื่มเสพ
พ่อครูว่า…เขาไม่มีอะไรเขาก็บอกว่าเขาไม่มีกิเลสโลภโกรธหลงอะไร ยิ่งเป็นคุณหญิงคุณนายก็ยิ่งบอกว่าไม่มี มีแต่โกรธนั่นแหละมันไม่ค่อยได้ดั่งใจเลย โลภฉันก็ไม่โลภอะไร ฉันมีเงินเป็นถุงเป็นถัง ทำงานหาเงินก็ไม่ต้องหา สามีหาอย่างเดียว
ส.เดินดินว่า…คนเป็นพระโสดาบันต้องเห็นว่าตนเองมีกิเลสมาก
พ่อครูว่า…ต้องมีปัญญา เพราะฉะนั้นปัญญาคือผล ปัญญา 7 ของโสดาบันจึงรู้จัก วิติกมกิเลส วิติก แปลว่าผ่านพ้นไปแล้วล่วงไปแล้วในขณะปัจจุบันนี้จะเห็นตัวกิเลสปริยุฏฐาน ตัวปัญญาของโสดาบันตัวที่ 1 จะอยู่กับปริยุฏฐานกิเลส แล้วก็จะเป็นคนที่มีจิตเพ่งโทษผู้อื่นได้ มุขสตีหอกปาก จะมีมาก เพราะว่ามันไปรู้ ของใครๆมันแสดงออกเป็นกิเลส จริงๆถูกหรือผิดก็ไม่รู้ไปเที่ยวได้ว่าเขาหมด
ส.แสนดินว่า…พระโสดาบันต้องรู้จักปริยุฏฐานกิเลส ถ้าเป็นสกิทาคามีต้องมีกิเลสของสกิทาคามี
พ่อครูว่า…ทำกิเลสปริยุฏฐานให้หมดจนเหลืออนุสัยกิเลส
ส.เดินดินว่า ผมรู้สึกว่าคนที่อ่านกิเลสโสดาบันได้ดีจะต้องเป็นฐานสกิทาคามีจึงจะย้อนอ่านกิเลสของโสดาบันได้ดี
พ่อครูว่า…ใช่มีฐาน ถูก ปัญญาคือตัวรู้คือตัวสำเร็จตัวเข้าใจ เป็นผลของศีลสมาธิปัญญา
ศีลสมาธิปัญญานี่แหละอธิบายยังไม่เก่ง มันไปด้วยกันเป็นสามเส้า หากสามเส้านี้ไม่มีไม่ครบไม่สมบูรณ์ก็คือปฏิบัติธรรมไม่มีวิมุติ ไม่มีมรรคผล ต้องมีสามเส้า ขาดอะไรอันใดอันหนึ่งไม่ได้
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระสูตร ที่บอกว่าศีลกับปัญญาก็เหมือนล้างมือกับมือ ล้างเท้าด้วยเท้า ส่วนฌานกับปัญญา ฌานคือภาคปฏิบัติอยู่ส่วนสมาธิคือจิตตั้งมั่นตกตะกอนตกผลึกลงไป ตกผลึกลงไป เป็นสมาธิที่ตั้งมั่นสะสมจากฌาน ฌานเป็นพลังงานเป็นกริยาเป็นตัวเผา ฌานไม่ใช่ตัวผล แต่เป็นตัวเผา ฌานแปลว่าไฟ ฌาปนะ แปลว่าการเผา ฌาปนกิจ
ส.เดินดินว่า…บุญกับฌานนั้นใกล้กันมาก
พ่อครูว่า…บุญนั้นก็ตัวรวมหมดเลยกับฌาน กับคำกิริยาทุกอย่างทำสำเร็จก็คือทำบุญสำเร็จ
ส.แสนดิน… ฌานเป็นมรรค บุญเป็นผลใช่ไหม?
พ่อครูว่า…จะว่าอย่างนั้นก็ได้
ส.เดินดินว่า…คุยกับอ.ปานขาว อยู่เมืองนอกลำบากในการกินมังสวิรัติไหม ปกติเขากินมังสวิรัติ แต่วันนักขัตฤกษ์วันสำคัญญาติโยมก็เอาเนื้อสัตว์มาถวายแล้วแต่ใครจะฉันหรือไม่ฉัน แสดงว่าของท่านไม่ได้กำหนดเป็นศีลอะไรก็แล้วแต่ ญาติโยม แสดงว่ามาอยู่เมืองไทยนานๆอิทธิพลของพระทัยก็ค่อยๆกลืน ท่านไม่ได้กำหนดว่าเป็นศีลที่ต้องละต้องงดเว้น
พ่อครูว่า…ต้องสังวรไม่ถือเป็นศีลสังวร
ส.เดินดินว่า…อย่างนั้นพระทั่วไปก็ไม่ได้กำหนด
พ่อครูว่า…มันอยู่ที่เราอยู่ที่ความต้องการของเรา เราต้องการฉัน 2 มื้อมันก็ฉัน 2 มื้อให้เราไปฉัน 2 มื้อตอนนี้ก็เมื่อยตาย มื้อเดียวก็จะแย่อยู่แล้ว มันก็อยู่ที่เรา