610509_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ คนจนที่มีแบบ ตอน 1
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://drive.google.com/open?id=1JiJ7OdmkEprj-M8VMwphf3jOr_7vDE53Sx7mFWUn5Zw
ดาวโหลดเสียงที่..https://drive.google.com/open?id=164mqBQrFDfVqVmSJBIA89KO342uSDk28
ดูยูทิวป์ได้ที่…
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันพุธที่ 9 พฤษภาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศกเราเข้าใกล้งานอโศกรำลึก เราก็จะมีการบูชา การบูชาก็มีทั้งอามิสบูชาและปฏิบัติบูชา แต่พระพุทธเจ้าสรรเสริญปฏิบัติบูชา เราจะได้ปฏิบัติบูชาต่อพระพุทธเจ้าและพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ที่ได้นำอาริยคุณ ให้เกิดขึ้นแก่พวกเรา การปฏิบัติบูชาถือว่าเป็นการบูชาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และไม่ควรจะเป็นการบูชาเพียงวันเดียวในวันอโศกรำลึก แต่ควรเป็นการปฏิบัติบูชาที่ได้ทำตลอดไป ทั้งชาตินี้และชาติต่อๆไป สิ่งที่พ่อครูทำให้พวกเรานั้นมันนับวันไม่ได้ เป็นบุญคุณที่ยิ่งใหญ่ที่ได้สร้างให้พวกเราเป็นคนโลกโลกุตระ เราจึงควรมาคบกับท่านให้บริบูรณ์ ก็คือ มาแล้วตั้งใจทำใจสดับฟังธรรมให้ได้ครบ ไม่มีติดขัด ทำใจให้พร้อมรับฟังคำสอนของท่านให้ชัดเจน ตั้งใจฟังธรรมให้บริบูรณ์ก็จะเกิดศรัทธาที่บริบูรณ์ เราก็จะได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง ทำใจในใจของตัวเองได้ถูกต้อง เราเสพกามมานานแล้ว ปล่อยเนื้อปล่อยตัวมายาวนาน แสดงอัตตาตัวตนมายาวนาน วันนี้ได้เข้าใจก็ทำใจในใจเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ ก็เลยต้องตั้งศีลให้แก่ตัวเอง เราก็จะมีการสำรวมอินทรีย์ของเราให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของศีลที่เราตั้งไว้ กำหนดขอบเขตเอาไว้ เราก็จะมีสุจริต 3 ที่จะไปปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 ได้ จัดการกับเวทนาเทียมให้เหลือแต่เวทนาแท้ ชำระกิเลสในปัจจุบันให้ได้ นั่นคือการปฏิบัติโพชฌงค์ 7 ทำได้ก็จะเป็นวิชชาและวิมุตติให้แก่ตัวเอง เป็นการปฏิบัติไปตามลำดับ นี่คือการปฏิบัติบูชาที่แท้จริง เราไม่ต้องรอวันไหน แต่ทำในขณะนี้เวลานี้วันนี้เลย นี่คือการปฏิบัติบูชาที่แท้จริง และยิ่งทำไปตลอดต่อเนื่องยาวนานจนเราเป็นได้ตัวจริงของเรา
พ่อครูว่า…SMS 6 พฤษภาคม 2561 (พ่อครู : ราชธานีอโศก)
_8498ตีความเสียใหม่ว่า ถ้านิ่งนี่ไม่ดี นิ่งจะทำให้เสียหายมากเสียตำลึงทองเลย
พ่อครูว่า…การนิ่งก็เป็นกรรมกิริยาอย่างหนึ่งของมนุษย์ ถ้าจะต้องทำ ก็ต้องทำ อยู่ที่ความควรหรือไม่ควร เป็นไปตามสิ่งที่ควร
_ครูวินัย จาก ชลบุรี สงสัยถามมา… “ฟังพ่อท่าน เอาสระมาอธิบาย อะกับอุผสมกันเป็นโอ ….อะไรทำนองนี้ ผมฟังๆ เกิดสงสัยครับว่าท่านมาเทศน์อธิบายทำไม เพื่ออะไร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการเรียนรู้ธรรมะ(ลดละกิเลส) แล้วทำไมพ่อท่านต้องเอายากๆมาสอนทั่วๆไป คนฟังสาธารณะ หากจะอธิบายภายในด้วยกันก็ปิดห้องไม่ต้องถ่ายทอดไปเลย ขอพระคุณท่าน ช่วยอธิบายชี้แนะด้วยครับ ผมฟังใน YouTube ถ้าเจอคำอธิบายเหล่านี้ผมต้องเลื่อนหนีไปเลยครับ….สมัยพระพุทธเจ้า ไม่มีนะภาษาเหล่านี้ ภาษาไทย มาทีหลังสมัยพุทธกาล…ไม่เข้าใจจุดมุ่งหมาย ครับสาธารณะ คนวงกว้าง เสียโอกาส มากเลย”
พ่อครูว่า…ก็ขออภัย ทำให้เกิดแค่หงุดหงิดนะ คงไม่ถึงกับโกรธเคือง คือยุคนี้เป็นยุคปลายของความเสื่อม แล้วขาดแคลนความจริงที่จะต้องต่อไปถึงห้าพันปี เราก็พูดไปกันแล้ว หากไม่มีอาตมามาเกิด แล้วนำเอาความรู้โลกุตรธรรมมาต่อ คุณวินัยจะว่า โลกุตรธรรมจะต่อไปได้ไหม เพราะตอนนี้มันเสื่อมไปหมดแล้ว มีแต่ศาสนาสวดมนต์พิธีกรรมไป ไม่มีอะไรก็นั่งสวดมนต์กัน อย่างนี้แสดงว่าคุณเอาแต่โลกียธรรม ไม่เอาโลกุตรธรรมที่ยาก ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
ต้องมีผู้มาต่อเชื้ออันนั้น คิดเอาเองไม่ได้ พระพุทธเจ้าเป็นเจ้าของธรรมะ เป็นธรรมะสามี ท่านมีความสูงส่งไม่มีใครไล่ทัน ทิ้งช่วงกับพระโพธิสัตว์ไปไกลแต่ละระดับ พระโพธิสัตว์ระดับ 8 ก็มี ต้องเป็นระดับที่ 9 เท่านั้นจึงเป็นพระพุทธเจ้า ระดับสัมมาสัมพุทธะ ระดับที่ 10 เป็นความสูญ จะเลิกไปทิ้งแล้วจบ ถ้าจะเรียกว่าเต็มก็คือเต็ม จะเรียกว่าจบก็คือจบ เป็น axiom แล้ว นัตถิอุปมา
อาตมาทำงานนี้เป็นเรื่องยาก ไม่ใช่เรื่องตื้น ท่านฟ้าไทก็อธิบายอย่างที่ท่านฟ้าไทมีก็ต่อเชื่อม ไม่ให้ขาด
ก็คุณก็อย่าเพิ่งเห็นแก่ตัวเองที่จะได้เท่านั้น ให้คนอื่นได้บ้าง ถ้าคุณเองไม่ต้องการก็ไม่เอาอยู่แล้วก็ไม่เสียหายอะไรหรอก ขออภัยที่อาตมาจะใช้ช่องทางนี้เพื่อคนอื่นบ้าง เป็นแต่เพียงว่า จะไม่ให้มีอยู่ในโลกเลยหรือ พวกอาตมาขออาศัยบ้าง อย่างไรๆพวกอาตมาก็เป็นส่วนน้อยอยู่แล้ว คนที่เห็นว่าเป็นสาระนั้นมีไม่มากหรอก ซึ่งเท่านี้ก็สำคัญ อาตมาเห็นชัดเจนว่าถ้าอาตมาไม่มาต่อศาสนาพุทธมันก็สูญไปแล้ว เนื้อหาสาระมันไม่มีแล้ว มีแต่ในเดรัจฉานวิชามีแต่สวดมนต์ บานทะโร่ไปหมดแล้ว ขออภัยว่าไปก็เหมือนกระทบคนอื่น ที่เขามีศักดิ์ศรียศชั้นมากกว่าอาตมาเยอะแยะ เขามีโลกธรรมสูงอาตมาไม่มีโลกธรรมอย่างเขาเลย
สรุปอีกที ขอโอกาสหน่อยนะ หากคุณไม่ชอบใจก็ผ่านไป
SMS วันที่ 8 พฤษภาคม 2561 (สมณะ สิกขมาตุ สันติอโศก)
_ถาวร ทิพย์โชติ คนที่กินเนื้อสัตว์ เบียดเบียนสัตว์ ผลร้ายตามมา ร่างกายย่อยยาก ป่วยง่าย และไม่สบายกาย-ใจเกิดปัญญาเฉโก (เชาวน์ปัญญา หรือ ปัญญาโลกีย์) แต่ถ้าไม่เบียดเบียนสัตว์ไม่กินเนื้อสัตว์ ทำให้ศีลข้อหนึ่งเต็มสมบูรณ์มีแนวโน้มเกิดญาณปัญญา(ปัญญาโลกุตระ) ผมเข้าใจได้ถูกตรงหรือไม่เพียงใดครับ..
เกณฑ์ตรวจสอบความเป็นพระโสดาบัน น่าสนใจ ผมขอรับทางไปรษณีย์ จะสะดวกไหมครับ
พ่อครูว่า…ได้สิ เราอยากให้คนสนใจอยู่แล้ว
_บ้านเล็กเมืองน้อย…บ้านราชนี้ดี อยู่แล้วจน
มาจนได้ เพราะยินยอม
ยอมได้ เพราะไม่ชอบแย่ง
ไม่แย่ง เพราะรู้จักพอ
พอได้ เพราะมีศีล
เชื่อมั่นในศีล เพราะได้ฟังสัทธรรมจากสมณพราหมณา ผู้มีสยัง อภิญญา
พ่อครูว่า…มาจนได้นี้มีสองแบบ คือมาจนได้ คือมาถึงจนได้ หรือมาแล้วก็มาทำตนเป็นคนจนได้ นี่ภาษาไทยมีหลายมิติ
ดีมาก ศีลนี้แหละ จะเป็นข้อปฏิบัติกำจัดตัวตนไปทีละตัวตนเป็นลำดับ ก็จะหมดตัวตนในที่สุด สยังอภิญญา เพื่อความรู้ยิ่งในตัวเอง อาตมาก็ประกาศว่าอาตมาคือคนที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ ในสัมมาทิฏฐิ 10 เอามายืนยันเลยว่า นี่คืออาตมา อาตมาอ้างตัวเองขนาดนั้น ไม่ได้อ้างเพราะสาเฐยจิต แต่อ้างเพื่อยืนยัน เป็นสิ่งอ้างอิงยืนยันเป็นหลักฐาน มีคำตรัสของพระพุทธเจ้า และอาตมามายืนยันว่า อาตมามีอภิญญา เป็นความรู้ยิ่งต่างๆ ที่อธิบายสาระสัจจะของพระพุทธเจ้า อาตมาก็อธิบายผู้มีปัญญาฟังก็เข้าใจชัดเจน แล้วเอามาปฏิบัติตามก็ได้ผลตามด้วย ได้มา จนกระทั่งได้อย่างที่เรียกว่า ไม่น่าเชื่อว่ามันจะได้ขนาดนี้ เป็นอาริยบุคคล ถึงขั้น โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์เราก็ได้ อย่างน้อยอรหัตตผลเป็นลำดับ
อรหัตตผลของโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ อนุโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์ นิยตโพธิสัตว์ อาตมาก็ไม่พูดต่อ เพราะอาตมาแค่นิยตโพธิสัตว์ ใครที่สูงกว่าอาตมาก็มาพูดต่อ
ยืนยันในสภาวะและพยัญชนะทุกอย่าง แม้แต่โพธิสัตว์ 9 ระดับ ถึงสัมมาสัมพุทธะ 10 ระดับ ก็ไม่มีใครมาบัญญัติ อาตมานี่แหละบัญญัติ ไม่ได้เห็นใครบัญญัติไว้นะแต่ก็น่าจะมี พระอรรถกถาจารย์ที่ใหญ่กว่าอาตมาก็มี ไม่ใช่ไม่มี แต่มันจะเหลือไหม มีสิ่งเหล่านั้นเหลือมาอ้างอิงยืนยันไหม เมื่อมันไม่มีก็เอาสิ่งที่มี สิ่งที่มีคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัส อาตมาก็หยิบมายืนยันแม้แต่สัมมาทิฏฐิ 10
อาตมาอธิบายตั้งแต่สัมมาทิฏฐิข้อที่ 1
เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา) ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา)
-
ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด) (อัตถิ ทินนัง)
-
ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว มีผล (อัตถิ ยิฏฐัง)
-
สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว มีผล (อัตถิ หุตัง)
-
ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว มีแน่ (อัตถิ สุกตทุกกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก) ทุกอย่างกรรมพาเป็นไป กัมมโยนิ เป็นตัวกลางของ กรรม 5
กัมมสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ คุณต้องอาศัยกรรมของตนเอง คุณไม่มีนิ้วจะเอานิ้วที่ไหนมาใช้ ไม่มีตาจะเอาตาที่ไหนมาใช้ คุณมีอะไรก็ได้อาศัยอันนั้นเป็นของของตนได้อาศัย เป็นโลกียะ คุณก็ต้องอาศัยแค่คุณมีเป็นของโลกียะ คุณจะเอาโลกุตระมาอาศัยได้อย่างไร แต่โลกุตระนั้น ท่านจะอาศัยโลกียะได้ แต่ท่านอาศัยแต่กุศลเท่านั้น สิ่งที่เป็นอกุศลท่านไม่อาศัยไม่ต้อง แต่ก็อาศัยเหมือนกัน อาศัยอกุศลเพื่อว่า เพื่อเป็นตัวยืนยันว่าอย่าไปเอาอย่าง อย่าไปทำตามอย่าไปเป็นอย่างนั้น ไม่เอา เท่านั้นเอง อาศัยเป็นเครื่องเปรียบเทียบเท่านั้น ในธรรมะก็เป็นสัจจะอย่างนี้ตลอด
-
โลกนี้ มี (อัตถิ อยัง โลโก) หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ
-
โลกหน้า มี (อัตถิ ปโร โลโก) หมายถึง โลกโลกุตระ
-
มารดา มี (อัตถิ มาตา)
-
บิดา มี (อัตถิ ปิตา)
-
สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ สัตตา โอปปาติกา)
สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ) . . . . .
(พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 257)
เมื่อกี้นี้ท่านฟ้าไทพูดถึงว่าจะมีการจัดงานบูชา ที่อาตมามีสิ่งที่ได้ทำมาเป็นประโยชน์ให้ก็เลยระลึกถึงบุญคุณ เรียกเป็นภาษาไทยว่า คือคุณที่ได้ทำให้แก่คนที่ได้รับ ภาษาไทยคือบุญคุณ จริงๆแล้วก็ไม่ตรงทั้งหมด บุญนั้นสูงเกินไป บุญไม่ใช่กุศล บุญเป็นของตัวเองคนเดียวทำให้คนอื่นมีที่คนอื่นไม่ได้ ทำของตัวเองเสร็จแล้วจบของตัวเอง มีที่ใครคนอื่นไม่ได้ เป็นเอกังเสนะ ถ่ายเดียวไม่มีสองถ่าย อย่างเดียวทำหน้าที่จบแล้วก็ไม่มี เลยจากปัจจุบันแล้วบุญไม่เกิด ไม่มี เกิดในขณะสร้างในปัจจุบันบัดเดี๋ยวนี้ขณะนี้ สัมปติ ปรุงแต่งเป็นพลังงานบุญทำสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็แล้วแต่ ผ่านปัจจุบันนั้นไป บุญก็หมดหายไป เป็นพลังงานที่ใช้ สร้างเสร็จก็หายไป ไม่มีที่เก็บ เก็บไม่ได้ พลังงานอื่นยังสามารถมีที่เก็บสะสมไว้ใช้ แต่บุญนี่ไม่มีอุปกรณ์อะไรที่จะมาสะสมเก็บไว้ ไม่มี ไม่มีที่อะไรจะเก็บสะสมใส่ไว้ภาชนะเกินปัจจุบันนี้ไม่มี สร้างขึ้นในปัจจุบันเท่านั้น ผู้สามารถสร้างพลังงานนี้ได้จึงได้ จึงเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากที่คุณจะสร้างพลังงานบุญ ทำบุญขึ้นมา จะเรียกว่าบุญหรือฌาน ก็ได้ เป็นพลังงาน
พลังงานที่มันจะทำงาน ฌานเป็นมรรค บุญเป็นผล ถ้าทำพลังงานที่เป็นฌาน จัดการกำจัดไฟราคะโทสะโมหะ มันจัดการเสร็จก็สำเร็จหน้าที่บุญ ต้องมีสิ่งที่เกิดให้ไปจัดการคือฌาน ผู้สร้างบุญคือสร้างฌาน เผากิเลสให้หายไปเหลือแต่จิตที่สะอาด จิตเป็นสิ่งมีสิ่งเป็นจิตเป็นกุศล สะอาดขึ้นตกผลึกสั่งสม ลงเป็นจิต ตั้งมั่นขึ้น แข็งแรงขึ้น เป็นกอบเป็นกองขึ้น เรียกว่าเป็นสมาธิ จิตที่ตั้งมั่นเรียกว่าสมาธิ ต้องรู้ขณะใดที่เป็นฌาน เหลี่ยมใดเป็นบุญ ต้องรู้ฌานรู้บุญ มันคนละเหลี่ยมกัน ไม่ใช่มิติเดียว
ที่ต้องมีการบูชาด้วยอามิสนั้น มีทั้งบูชาด้วยรูปแบบสิ่งของ มีองค์ประกอบมีของประกอบมีเวลาจัดองค์ประกอบมากมาย เสียข้าวเสียของ ทำเข้าไปใส่เข้าไป ยิ่งบูชากันยิ่งใหญ่ยิ่งมีความสูญเสียกันมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นจะเอาแต่บูชานี้ คนที่เห็นแล้วมองประเด็นเรื่องการสูญเสียก็บอกว่าบูชาไปทำไม เอาแต่ปฏิบัติอย่างเดียวไม่ได้หรือ?
แหม! ไม่เข้าใจเรื่องของจิตวิญญาณที่คนเราจะต้องเคารพบูชา แล้วก็ส่งเสริมชวนกันมาแล้วระลึกถึงคนที่มีบุญคุณคนที่มีคุณค่า ถ้าไม่เช่นนั้นมันจะสูญหายไปเร็วกว่าที่ควร หรือไม่เหลืออะไรเลย ยิ่งไม่ต้องบูชาไม่ต้องเคารพใคร ก็ของฟรี ธรรมะก็เป็นของฟรี คุณถือว่าเป็นของฟรีก็ไม่เอาอะไรตอบแทน แสดงธรรมบอกว่าไม่ต้องการอะไรตอบแทน แล้วจะเอาอะไรตอบแทน
คุณบูชา แต่อาตมาก็ไม่ได้เอาของคุณนะ แต่มันแสดงถึงน้ำใจพวกคุณที่มีกตัญญุตา มีการรู้คุณคน เพราะฉะนั้นคนที่ไม่รู้คุณคนนี้ มันร้ายเลวกว่าเดรัจฉาน เพราะฉะนั้นคนนี้แหละจะเป็นผู้ชื่อว่ารู้คุณคน คุณคือสิ่งที่ไม่ใช่โทษ เพราะฉะนั้นจะมีคนเอาสิ่งที่ดีที่สุดถึงขั้นสัมมาสัมโพธิญาณเอามาประกาศเอามาช่วยสอนตั้งแต่เริ่มต้น อาริยคุณ โสดาบัน สกิทาคามีไปเรื่อยๆก็แล้วแต่ เป็นเรื่องที่เหนือโลกียะ เป็นโลกุตรธรรม แม้หนึ่งจุด ก็มีไปอย่างจริงจังมากขึ้น เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ใช่จะเกิดขึ้นได้ง่าย ไม่ใช่สาธารณะทั่วไปของปุถุชน มันเป็นเรื่องเฉพาะของอาริยชน ไม่ใช่เรื่องสาธารณะของปุถุชน ปุถุชนนั้นไม่มีทางรู้หรอก จนกว่าจะได้พลังงานที่มันข้ามขีด เรียกว่าข้ามโคตรภู มาเป็นพลังงาน อัญญะ พลังงานอื่น พลังงานที่ไม่ใช่พลังงานโลกียะ อย่างที่พูดแล้วพูดอีก ยกตัวอย่างเป็นตัวบุคคล
อัญญาโกณฑัญญะมีพลังงานนี้ใส่จิต พระพุทธเจ้าก็บอกว่า อัญญาสิ วตโพ โกญทัญโญ โกณฑัญญะมีพลังงานนี้แล้วตัวอื่นที่ไม่ใช่โลกียะ เพิ่งเริ่มเป็นคนแรกที่ได้ ท่านก็อุทานเลย วตโพ โกญทัญโญ คือ พฤติกรรมนี้เกิดขึ้นแล้ว วต เริ่มตั้งเริ่มหยั่งลง เริ่มมีขึ้นในจิตมนุษย์
โพธิ์ คือความเจริญ เกิดขึ้นแล้วอุบัติขึ้นที่จิตของอัญญาโกณฑัญญะแล้ว พระพุทธเจ้าทำงานนี้มันแสนยากที่จะสถาปนาจิตโลกุตระลงไปในมนุษย์ แต่นี่มันสถาปนาได้เริ่มต้นได้ หนึ่ง มันก็จะต้องต่อ อัญญะมาเป็นอัญญา คือพหูพจน์ ก็กลายเป็นธาตุรู้ของจิตนิยาม เป็นความรู้ยิ่งของโลกอื่นที่ไม่ใช่โลกโลกียะเก่า เป็นโลกใหม่เป็นมนุษย์ต่างดาว ไม่ใช่มนุษย์ดาวดวงเดิม จึงเรียกว่า อยังโลโก อันนี้เป็นโลกอื่น ปโรโลโก แยกโลกกันให้ชัดลึกแยกดาวคนละดวง อันนี้มันเป็นดาวโลกุตระไม่ใช่ดาวโลกียะ
ไม่ได้มาพูดเล่น อาตมามีภูมิรู้สิ่งนี้ อาตมามีโลกุตระ ก็เอามาทำงานแล้วมีคนรับได้ อาตมาไม่เก่งเท่าพระพุทธเจ้าหรอก ว่าคนไหนเป็นคนรับได้คนแรก อาตมาก็ไม่รู้ได้ แต่ประกาศมาก็มีคนมารวมกัน ได้เป็นอาริยบุคคลเป็นโลกุตรธรรม สังคมคนอาริยะ จนเดี๋ยวนี้กล้าขึ้นบนหลังคาว่าแผ่นดินพุทธ ใส่เข้าไปอย่างมั่นใจ ซึ่งก็เคยเล่าว่า แต่ก่อน คำว่าแผ่นดินพุทธตั้งใจจะตั้งขึ้นที่ปฐมอโศกเป็นชุมชนแรก มันก็ไม่ลงตัวไม่สำเร็จเป็นไปไม่ได้ ก็ไม่ได้ทำใส่
เราเรียงหินที่อ่างลงหิน ในวันที่ทางกรุงเทพฯ มีเหตุการณ์พฤษภาทมิฬกำลังปฏิวัติกันใหญ่ ทางคุณจำลองอยู่ที่กรุงเทพฯ เราก็สร้างอ่างลงหินที่ปฐมอโศก ทางเราก็สร้างธรรมะ เป็นอจินไตย ต้องควบคู่กัน ไม่พูดมากกว่านี้
ทุกอย่างก็มีคู่กันอย่างนี้ สรุปแล้ว การบูชาเป็นคุณธรรมขั้นสูง ทุกวันนี้เรารู้บุญคุณของพระพุทธเจ้า รู้บุญคุณของพระอาริยะที่ท่านสืบทอดมาก็เลยรู้บุญคุณของท่าน ก็เลยสืบทอดนำธรรมะของพุทธเจ้ามาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งมันโรยราอ่อนแรงเหลือเชื้อน้อยลงไปเรื่อยๆ แต่ก็ยังทำให้ฟื้นขึ้นมา มีสัจธรรมมีตัวบุคคลยืนยัน ยืนยันได้ อาตมากล้าพูดตรงๆเลย พวกคุณจะยืนยันกับอาตมา อาตมามั่นใจว่าพวกคุณมาหลอกอาตมาไม่ได้หรอก หลอกอาตมาไม่สำเร็จหรอก แม้จะหลอกสำเร็จ เหลือแต่อาตมาคนเดียวอาตมาก็จะยังทำอยู่
สมณะฟ้าไทว่า…ขออยู่กับพ่อครูดีกว่าครับ
พ่อครูว่า…อยู่ไปก็จะจู้จี้จุกจิกอย่างนี้นะ จะเหมือนกับพระสุภัททะไหม ?
ก็คุณวินัย ก็ถ้าคุณไม่เอา คุณก็ผ่านไปก็แล้วกัน ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าคุณเห็นว่าน่าจะเอาบ้างก็มาเอา แต่ไม่มีปัญหานะ คุณเอาหรือไม่เอาก็ยังมาตอแยกับอาตมาก็ไม่เป็นไร อาตมาไม่ถือสาหรอก อาตมาว่าดีด้วยซ้ำ คุณตอแยอาตมาก็ดี ดีกว่าพรหมทัณฑ์ เหมือนอาตมาไม่มีอยู่ในโลก พรหมทัณฑ์คือการลงโทษที่สูงที่สุดของศาสนาพุทธรองจากปาราชิก
ปาราชิกนี้ หากเขาเข้ามาในเขตที่เราเทศน์อยู่นั้นก็ต้องหยุดเทศน์ ไม่ให้ธรรมะ ปิดกั้นไม่ให้ได้ธรรมะเลยเท่าที่จะปิดกั้นได้ ส่วนตัวคุณปาราชิก จะไปแสวงหาเอาเองก็แล้วแต่เขาเอง แต่ถ้าเรารู้ว่าคุณจะมาเอาเหมือนเป็นไส้ศึก เราก็ไม่ให้ นี่คือปาราชิก ต้องลงโทษกันถึงขนาดนั้น เดี๋ยวนี้มันผิดเพี้ยนไปปาราชิกก็อยู่ด้วยกันกอดคอกันซูเอี๋ยกัน พวกปาราชิกก็อยู่ด้วยกันถึงต้องประกาศนานาสังวาส อยู่กับเขาไม่ได้ อยู่กับหมู่ใหญ่ไม่ได้ อยู่ไม่กี่ปีก็ประกาศออกมาตอนปี 2518 อาตมาบวชปี 2513
สรุปให้คุณวินัยอีกว่า โลกนี้ต้องมีทั้งสมมติสัจจะและปรมัตถสัจจะ ต้องมีธรรมะ 2 คุณจะเอาแต่เดี่ยวๆ ไม่เห็นแก่ใคร เห็นแก่ตัวเอาแต่ประเด็นตัวเองเท่านั้น ประเด็นของคนอื่นไม่อภัยไม่เอื้อเฟื้อ ไม่เกื้อกูลไม่ให้คนอื่นได้ประโยชน์บ้าง เอาแต่ประโยชน์ตนอย่างเดียวมันแคบไป มันไม่เจริญง่ายหรอก ถ้าคุณมีใจเอื้อมเอื้อเกื้อกว้างหน่อย ทำใจให้เหมือนกับความรัก 10 มิติที่อาตมาได้เขียนไว้แล้ว
ที่แคบสุดเมถุนนิยม เหลือแต่แค่สองเรามันแคบเกินไป หรือแม้แต่เผื่อแผ่กว้างมาถึง ปิตุปุตานิยม พ่อแม่ลูก ก็กว้างเท่านี้ ไม่เอาญาติอื่นๆเลย เห็นแก่แค่เท่านี้ ในโลกนี้มีแค่ 3 พ่อแม่ลูก ความรักแค่นี้ก็แคบจัง ต้องเผื่อแผ่ไปถึงญาติ เป็นญาตินิยม ความรัก 10 มิติบรรยายไปตั้งแต่พ.ศ. 2517 สองกัณฑ์ บรรยายอย่างสดๆ ไม่ได้เรียบเรียงมาก่อน เลยเอาของเก่ามาบรรยาย คนก็เอาบันทึกนั้นมารวบรวมเป็นหนังสือ อาตมาก็เรียบเรียงใหม่อีก เรียบเรียงทั้งแบบที่เป็นภาษาพูดและแบบภาษาเขียนเป็นสองฉบับ
งานบูชาต้องมีไปตามสมมติสัจจะของโลก ถ้าไม่มีไปไม่รอด ต้องมีทั้งปรมัตถสัจจะสมมติสัจจะทั้ง 2 อย่างจึงต้องมีการปรุงแต่ง อย่างสร้างสรร ถ้าเดี่ยวๆ ศาสนาพุทธไม่ส่งเสริม เดี่ยวๆเดียวๆ อยู่ไปไม่มีทางเจริญ เจริญได้ก็เท่าที่คุณมี คุณไม่มี 2 คุณคนเดียว
คุณไม่มีสองก็ได้เท่าที่คุณมี เพราะจะไปเอาอย่างอื่นไม่ได้ ยิ่งคุณเป็นโลกียะก็ไม่มีสิทธิ์เป็นโลกุตระเลย วนอยู่ในโลกตัวเองฟุ้งซ่านอยู่ในตัวของคุณเอง คุณจำเป็นต้องมีโลกุตรบุคคล ต้องมีผู้ที่เป็นอาริยะเป็นโลกุตรบุคคล มาเชื่อมเชื้อ
ซึ่งศาสนาพุทธนั้นคุณจะเป็นพระพุทธเจ้าเองเลย ไม่ยอมรับเลยไม่มีทางเป็นไปได้เพราะสายอเทวนิยมจะต้องมีสอง แล้วทำสองให้เป็นหนึ่ง อเทวะแปลว่าไม่สอง คือ ศาสนาที่รู้จัก 2 แต่ไม่ทำ 2 ทำให้เป็นหนึ่งได้ แต่อยู่กับ 2 ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60 ทำเวทนาสองให้เป็นหนึ่งอย่างยิ่งใหญ่ เอกัคคตา ทำให้ยิ่งใหญ่ได้ เป็นหนึ่งที่ยิ่งใหญ่มาก
เอกธรรม ไม่ได้ยิ่งใหญ่ นั่งหลับตาทำให้จิตเป็นหนึ่งไม่ใช่เอกัคคตาจิต แต่เป็นเอกธรรม สะกดจิตให้เป็นหนึ่งได้ ต้องเข้มแข็งให้เห็น ลิงคะคือความต่าง ถ้าไม่เห็นความต่างก็แยกไม่ออก ยิ่งหากไม่ฟังไม่รับอย่างอื่นเลยก็วนอยู่ในโลกของคุณ เหมือนกบในกะลาครอบ ก็อยู่แต่ในกะลาเท่านั้น เพราะคุณไม่ไปรับอันอื่นเลย
ศาสนาพุทธจึงบอกว่าบรรลุธรรมโดยไม่มีสัตบุรุษไม่พบสัตบุรุษ ไม่ได้ฟังสัทธรรมจากสัตบุรุษเป็นไปไม่ได้ พระพุทธเจ้าจึงบอก ท่านเป็นผู้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง เป็นต้นทางต้นธรรมต้นแบบ ซึ่งก่อนจะเป็นต้นแบบท่านก็พบกับพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆมาเหมือนกัน แต่เมื่อค้นหาพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ พระพุทธเจ้าสมณโคดมก็อ้างถึงพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ ยิ่งผู้ใดมีบุพเพนิวาสานุสติญาณระลึกได้ก็ยิ่งรู้ สิ่งเหล่านี้จึงเป็นอจินไตยที่พูดกันแล้ว ไม่สามารถตามด้วยการเดาหรือคาดคะเนต้องมามีเชื้อเอง เป็นเชื้อโลกุตรธรรมเอง คุณจะรู้ได้เป็นปัจจัตลักษณ์ เป็นลักษณะแท้ด้วยตัวเองดูเอง ของตัวเองเป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิ มันต้องรู้ด้วยจิตของตัวเองเป็น นั่นแหละจึงจะเป็นของแท้ กว่าจะได้คุณจะต้องรับจากสัตบุรุษ
คุณจะไปเป็นพระพุทธเจ้าเอง อาตมาก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรมันจะเป็นไปได้อย่างไร มันออกจากกรอบโลกียะไม่ได้ ได้แต่วนอยู่ใน 1 2 3 ไป 4 ก็ยังไม่ออกเลย แล้วมันจะไปเอาอะไรมา จะไปเป็น 5 เป็น 6 เป็นสองเส้าก็ไม่ชัด ต้อง 7 นิยตะ จึงจะเป็นของแท้ แต่ในโสดาบันก็มีนิยตะ 3 4 เมื่อตัวที่ 3 เป็นของแท้ของตัวเอง โสตาปันนะ อวินิปาตธรรม นิยตะ ก็อยู่ในวงนี้ หากออกนอกแล้วก็ดึงเข้ามาได้ ยึกยักแล้วเอาเข้ามาได้ คืออวินิปาตธรรม ถ้าหากออกไปแล้วก็ไม่กลับมาอันนี้ก็ไม่ใช่โสดาปันนะ หากจิตเป็นอัญญธาตุไม่ตกต่ำกว่านี้ มีแต่จะสูงขึ้น จนไม่ตกต่ำ แน่นอนเป็นสัมโพธิปรายนะ
อาจจะนานสำหรับบางคน คนที่นานมากคือผู้ที่ติดเชิงรัก อย่างนางวิสาขาเป็นต้น จมอยู่กับความชอบความรัก วัฏฏภิรตโสดาฯ หลงในวัฏฏะแห่งความยินดี จมอยู่นานจนกระทั่งยังไม่เกิดเลยจนป่านนี้ นางวิสาขา เพราะต้องผ่านยุคของพระพุทธเจ้าองค์นี้ไปอีกหลายยุค นางวิสาขาก็ยังไม่เกิด ยังแช่อยู่ในภพที่ตนเอง วัฏฏะที่ตัวเองเสพติด จะเรียกอันนี้ว่า เป็นความยินดีความชอบใจสบายใจก็ได้เป็นสวรรค์ก็ได้ แต่จมในนั้น เขาไปถึงไหนเป็นอรหันต์กันไปหมดแล้ว นางวิสาขาก็ยังเป็นอย่างนั้น นี่เป็นตัวอย่างในพระพุทธเจ้าสมณโคดมก็มี หนึ่งรูปคือนางวิสาขาที่เป็นพระโสดาบัน วัฏฏภิรตโสดาบัน
สิ่งเหล่านี้อาตมาหยิบมาพูดอธิบาย แม้กระทั่งตอนนี้ที่อธิบายถึงขั้น สิริมหามายา เป็นเรื่องที่เป็นการเกิดการตายขั้นที่ยากมากที่จะเข้าใจ มันเป็นเรื่องเหมือนมายา แต่เป็นมายา ขั้นสิริมหา แล้วพวกเราฟังแล้วก็จะค่อยเข้าใจ
อาตมาจะเริ่มวันนี้ก็แล้วกัน เริ่มเอาคนจนที่มีแบบ จนกว่าจะถึงงานอโศกรำลึกก็จะต่อ
ฟังสารบัญก่อนนะ สารบัญ
(1) “แบบคนจน”…ที่มาของเรื่อง
คำว่าแบบคนจนเป็นศัพท์ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัส ก็คือเอาจากแบบคนจนที่ในหลวงตรัสนี่แหละ อาตมาพูดมานี้มีสิ่งอ้างอิงเป็นหลักฐาน หากพูดโดยไม่มีสิ่งอ้างอิงเป็นหลักฐานคนก็เชื่อยาก และคนที่น่านับถืออย่างในหลวงรัชกาลที่ 9 ยิ่งอ้างของท่านก็ยิ่งดีเป็นประโยชน์ ผู้ฟังก็จะได้ เข้าใจได้ด้วย
(2) ล้มเหลวเพราะทุ่มเทเร่งให้เศรษฐกิจเจริญขึ้นรวดเร็ว! อันนี้เป็นประโยคที่ในหลวงตรัสไม่ใช่ของอาตมานะ การจะไปเร่งให้เศรษฐกิจเจริญรวดเร็ว ทุ่มเทเร่งใหญ่เลยก็ล้มเหลว มันต้องได้เท่าที่ไปตามเหตุปัจจัย ไปตามขั้นตอน ไปทำเร่ง เป็นอภิชปา ความต้องการล้ำหน้าเกินกว่าความเป็นจริงก็เสียผล
เหมือนพวกนักคิดสมัยใหม่ วางแผน 5 ปี จะได้ผลดังนี้ มีเหตุผลหลักฐานของโครงการ 5 ปีจะได้ผลอย่างนี้ เสร็จแล้วก็ทำแต่มันไม่ได้ตามเหตุปัจจัยไม่ได้ผล แต่เป้าหมายบอกว่าจะได้ผลเท่านี้ ก็โมเมสิ เอาแพะมาชนแกะ เอามาผสม เพื่อให้ได้ตามเป้าหมายปีที่ 5 และมีแต่ของลวงเหลวเละ เป็นเช่นนี้แหละพวกวิธีการของทุนนิยมสมัยใหม่ คาดว่าผลจะได้ตามนี้เร่งผลเลิศไว้ดีดลูกคิดในรางแก้วไว้ เสร็จแล้วทำแล้วไม่ได้เป็นไปตามเหตุปัจจัย เข้าไปตั้งผลเลิศเอาไว้ก่อน ซึ่งศาสนาพุทธไม่ทำ เป็นแต่เพียงเข้าใจก้าวหน้าไปหน่อย ถ้าเราจะมีหนึ่งบวกหนึ่ง มันจะได้ 2 ขอดู 2 เป็นล้ำหน้าไว้หน่อย คุณดูแล้วก็หันมาทำ 1 อีกหนึ่งนี้มันเป็นหนึ่งจริงไหม มันมีเหตุปัจจัยที่จะเป็นหนึ่งไหม ถ้าทำ 1 ที่จะได้เหตุปัจจัยนี้คุณไม่ต้องคิดถึง 2 หรอก ถ้าทำเหตุปัจจัยให้ถูกต้อง หนึ่งที่จะทำนี่แหละ 2 มันจะเกิดเองโดยไม่ต้องไปคาด พอรู้ตัวก็เป็น 2 แล้วหรือก็ทำ 3 ทำ 4 ต่อ ทำที่เหตุ ศาสนาพุทธจึงทำเหตุเท่านั้นและผลจะตามมา ไม่ต้องไปคำนึงถึงผล ผลเป็นสิ่งที่เกิดตามเหตุ
(3) สำเร็จได้เพราะ.. “ทำตามลำดับด้วยความรอบคอบ” นี่ก็ของในหลวง พระพุทธเจ้าตรัสถึงความเป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์ ทำตามเหตุปัจจัย 1 2 3 4 ไป ไม่ใช่เอาอะไรมาผสมเละไปหมด
(4) ไทยยอดยิ่งยวดได้เพราะ….?
(5) เราจะเป็นที่หนึ่งในโลก ด้วย “พอมี พอกิน” อโศกทุกวันนี้พอมีพอกิน เหลือก็สะพัดออกให้คนอื่น ไม่ได้เอาไปค้ากำไร
(6) ต้องทำ“แบบคนจน”!
(7) “ขาดทุนของเราเป็นกำไรของเรา” “Our loss is our gain”
(8) สังคมมีความสามัคคี มั่นคง เป็นปึกแผ่น ได้ด้วยการ..“ให้!” ของในหลวงถึงข้อนี้
(9) สังคมจะล้มเหลว หรือจะเจริญสำเร็จ เพราะ…
(10) ชาวพุทธไม่กลัวจน เพราะมี“ปัญญา”ตามคำตรัส ผู้ที่มีความรู้โลกุตระจะไม่กลัวจน เป็นอนาคามีก็เป็นผู้ที่ไม่ต้องมีบ้านช่องเรือนชาน ไม่ต้องสะสมทรัพย์ศฤงคาร
(11) คนจนอุดมสมบูรณ์สุขสำราญเบิกบานใจ
(12) ชาวพุทธตั้งใจจน เพราะเต็มใจจนด้วย“ปัญญา” พวกเชน จนจริงๆ ไม่มีผ้าสักผืน มีแต่ภาชนะใส่อาหารใส่น้ำใบเดียว จนที่สุด แต่ไร้สาระ ไม่มีปัญญาไม่รู้เรื่องไม่มีประโยชน์คุณค่าอะไรเลย นี่ก็จนนะ เพราะฉะนั้นชาวพุทธไม่ได้จนอย่างนั้น จนอย่างพอเหมาะพอดีจนไปตามลำดับ จนอย่างมีคุณค่า ประโยชน์ต่อโลก พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)
พวกเราสรุปมาเป็นเดือน บางเดือนพวกเราใช้รายได้ เฉลี่ยแล้ว ใช้ต่อคน บางเดือนเราได้ค่าตัวประมาณวันละ 34 บาทกว่า บางเดือนได้ 50 กว่าบาทต่อวัน แต่ไม่ถึง 100 บาทต่อวัน นอกนั้นพวกเรา ถ้าตีราคาว่า คนคนหนึ่งมีรายได้อย่างต่ำ 300 บาทต่อวัน เอาแค่เรทต่ำสุดอย่างโลกเขานะ อาตมาก็ว่าอาตมาใช้กิน 54 บาท นอกนั้น เอา 300-50 เหลือ 246 บาท มีเหลือก็สะพัดออกไป เราไม่เอาเงินไปเปลืองกับอบายเอาไปเล่นไปกินเที่ยวอะไร ก็จะเหลือรายได้เข้าส่วนกลางกัน สรุปเราให้แก่สังคมเศรษฐกิจ เดือนหนึ่ง ตัวเลขของราชธานีอโศก ให้เฉพาะคนงานเดือนละ 2-3 ล้านบาท เราให้อยู่ทุกเดือน เราก็เท่ากับช่วยรัฐบาลช่วยประชาชน ช่วยคนในประเทศให้มีอยู่มีกิน เราเลี้ยงชีวิตคนงาน ซึ่งเราก็หามาโดยชาวอโศก ไม่ได้เรี่ยไร ไม่ได้หาเงินทอง จะมาบริจาคเงินเราก็มีกฎเกณฑ์จะต้องมาที่นี่อย่างน้อย 7 ครั้งเข้าใจที่นี่หรือไม่ด้วยซ้ำ ตั้งแต่ต้นมาจนถึงเดี๋ยวนี้ เราก็ไม่ได้เป็นหนี้ไม่ได้ลำบากลำบนอะไรก็หมุนทำงานได้ นี่คือเศรษฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้า ที่อาตมาหมาย
สาธารณโภคี แล้วมันก็จะมีมากขึ้น ปริมาณและคุณภาพจะสูงขึ้นไปอีก คนกำลังแสวงหาสิ่งที่ประเสริฐอันนี้ เป็นการไม่มีการเห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัวไม่มีตัวตน คนทั้งโลกกำลังแสวงหา อโศกมีต้นตออันนี้ แล้วจะขยายผลต่อ
ตอนนี้ก็ยังยากเพราะคนในประเทศผู้บริหารประเทศก็ยังไม่เห็นประโยชน์ ทั้งที่มีจริงๆให้ยืนยัน เอหิปัสสิโก เชิญให้มายืนยันดูได้ เป็นของท้าให้มาดู เป็นของจริงไม่ได้หลอกลวงเขาก็ยังไม่มากันเพราะของเราอิสระเสรีภาพ ไปบังคับกันไม่ได้ แต่มาก็ยินดีต้อนรับ ให้มาดูก็ไม่มีปัญหาเราก็ช่วยกัน เราได้ช่วยสังคมได้มีที่พักผ่อน ทำดินน้ำไฟลม ให้เขาได้อาศัย
ในเมืองอุบลฯ นี้ ที่นี่จะเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ เราก็ไม่ได้ต้อนรับแบบทางการ ไม่ต้องมีรีเซพชั่นแต่เขาก็มากัน จนทุกวันนี้มีผู้คนเดินเข้าไปถึง เฮือนหญังกิน ถือชามข้าวมากิน เราก็ไม่ได้ว่าอะไร เราก็ถือว่าดีด้วยซ้ำไป มากินมังสวิรัติ เราก็ยินดีที่จะมีผู้ที่มา
พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ที่มีศีลแล้วถ้ายังไม่ได้มาก็เชิญมา เพราะศีล 5 นี้ ของศาสนาพุทธเมืองไทยเป็นชาวพุทธ 95% คุณมีศีล 5 นี้มาเลย ยินดีต้อนรับ welcome มาอยู่ที่นี่ได้เลย อยู่กันไปแล้วพัฒนาขึ้นเป็นศีล 8 ศีล 10 ศีล 26 จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล แต่เรามีมหาศีลอยู่แล้ว ที่นี่ไม่มีเดรัจฉานวิชาเดรัจฉานกถา ที่ห้ามในมหาศีล
ในสังคมศาสนาพุทธทุกวันนี้เดรัจฉานวิชาเดรัจฉานกถาเต็มไปหมด อยู่ในนั้นหมดเลยเต็มไปหมด มหาศีลไม่เหลือ มหาศีลละเมิดหมด แล้วตั้งใจเป็นวิธีการด้วย เอามหาศีลเป็นวิธีการหาเงินด้วย นี่คือศาสนาพุทธที่ล้มเหลว เอาศีลมาวัดได้หมดเลย
คนนี้เขาก็ยืนยันเองว่าไม่มีศีลมีแต่วินัย 227 ถามว่าศีลของพระมีเท่าไหร่ก็ 227 นั่นมันพระวินัยเป็นกฎหมายอาชญา มีการลงโทษ ศีลนี้ใครทำถูกต้องก็ได้เอง มีผลทางเปลี่ยนแปลงจิตใจเอง มันคนละอย่างกับวินัย แต่เขาเองไม่เข้าใจนึกว่ามีศีล 227 อันนั้นมันวินัย
สมณะที่นี่บวช รับศีล 43 จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ส่วนวินัยนั้น ภิกษุก็ต้องมีวินัยสวดปาฏิโมกข์กัน 227 ข้ออยู่แล้ว ไม่มีปัญหาอะไร ขออภัยพูดแล้วเหมือนยกตนข่มท่านก็ขออภัยสำหรับผู้ที่ไม่เป็นไม่มี
(13) “คนจนอาริยะ”คือ คนจนที่มี“ปัญญา”ซึ่งมิใช่เฉโก ปัญญาเป็นความฉลาดแบบโลกุตระ ถ้าไม่ศึกษาไตรสิกขาอย่างสัมมาทิฏฐิก็ไม่เกิดศีล สมาธิ ปัญญา มันมีเหตุปัจจัยที่จะเกิดปัญญาอย่างไร สร้างปัญญาต้องมีมรรค มีโพชฌงค์ จึงเกิด ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ในมหาจัตตารีสกสูตร ถ้าไม่มีการปฏิบัติก็แยกสัญญากับปัญญาไม่ได้
สัญญาคือสิ่งที่กำหนดหมาย เก่าหรือใหม่ก็ได้ ใหม่คือกำหนดเองสร้างใหม่เป็นทิฏฐิอนาคต 44 เพ้อเจ้อเอง ในทิฏฐิ 62 ที่มีอดีต 18 อนาคต 44 ในพรหมชาลสูตร แล้วมีทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ 5 มีกามในภพก็มี ฌาน 1 2 3 4 ในภพก็มี จึงเป็นทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ ของพวกโลกีย์เป็นพวกหลับตา พวกหลับตา ไม่มีกามคุณ 5 แต่นิพพานต้องอยู่เหนือกามคุณ 5 อยู่เหนือรูปภพอรูปภพ แต่นี่ กาม คุณก็ยังไม่รู้จักไม่ได้ทำเลย แม้ว่าคุณจะมีบารมีเก่านั่งสะกดตัวเอง ก็ทำอาสวะบางอย่างที่เคยได้แล้วหมดแล้วเป็นบ้าง ก็มีกายสักขีของตนบ้าง รูปนามของตนที่เคยรู้บ้าง ในบุคคลสายนี้ กายสักขี มีรูปนามยืนยันว่า อาสวะบางอย่างของคุณดับได้แต่ไม่ได้สิ้นอาสวะ ระดับ 6 จึงดับอาสวะสิ้น ระดับ 5 คือกายสักขีไม่นับว่าอรหันต์ต้องเป็นปัญญาวิมุติจึงนับว่าเป็นอรหันต์ นอกนั้นก็อุภโตภาควิมุติ จากนั้นก็เป็นโพธิสัตว์ระดับต่างๆ
(14) ชาวพุทธรวมพลังต่อยอด“ความจน”ให้เจริญวิเศษ
(15) “สาธารณโภคี”คือระบบสังคมที่มีเศรษฐกิจดีสูงสุด คนยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ถ้าอาตมาไม่นำมาประกาศ สาธารณโภคี จะสูญหายไปกับสายลมหมด ไม่มีขึ้นมาหรอก อาตมาหยิบมา แล้วก็มาให้พิสูจน์กัน พวกเราก็เป็นสังคมสาธารณโภคีกันได้ พิสูจน์ยืนยันได้อย่างเอหิปัสสิโก ของพระพุทธเจ้าอ้างอิงได้ในพระไตรปิฎก สาธารณโภคีอยู่ในสาราณียธรรม 6 ใน
(16) “สาธารณโภคี”คือระบบสังคมที่มีอิสระสูงสุด
เราก็มีปัจจัย 4 ครบ แล้วก็อาจมีบริขาร อย่างพวกเทคโนโลยีสมัยใหม่นั้น มันมีผีนรกในนั้นมากมาย ยั่วยวนให้คนติด พวกเราก็ต้องระมัดระวังกันให้ดี
(17) สาธารณโภคีคือ ระบบ“คนจน”ที่ไม่มีของตัวของตน
(18) “เป็นกลาง”ในที่นี้ต้อง“กำหนดหมาย(สัญญา)”ให้ถูก
มัชฌิมาปฏิปทาเขาไปแปลคำว่าทางสายกลาง คำว่าปฏิปทาแปลว่า การปฏิบัติ แต่ไปกำหนดว่าทางอย่างเดียว ก็เลยไม่รู้ว่าอะไรคือกลาง
จิตเจตสิกจะต้องเกิดกลาง คืออะไร กลางคือ ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร กลางคือไม่มีอันตาไปในทางกาม ไม่มีอันตาไปในทางอัตตา นี่คือจิตเป็นกลาง เพราะฉะนั้นตั้งแต่หยาบของกาม
อันหยาบเราเรียกว่าโอฬาริกอัตตา ก็คือกาม ก็เรียนรู้อัตตา ที่ต้องใช้ตาหูจมูกลิ้นกาย หยาบที่ไปติด เรียกว่าอบายภูมิ ยังต่ำ เรียนรู้อันนี้แล้วเลิกให้ได้ เหนือให้ได้
(19) แยก“จิต”แยก“วิธีปฏิบัติ”ให้ถูก มิฉะนั้น“วิปลาส”
(20) “ทิฏฐิวิปลาส”จึงมี“สัญญาวิปลาส”แล้ว“จิตวิปลาส”
วิปัลลาส หรือ วิปลาส 4
วิปลาส มี 3 ระดับ คือ
-
สัญญาวิปลาส
-
จิตตวิปลาส
-
ทิฏฐิวิปลาส
วิปลาส 3 ระดับนี้ ที่เป็นพื้นฐาน เป็นไปใน 4 ด้าน คือ
-
วิปลาสในสิ่งที่ไม่เที่ยง ว่าเที่ยง ไม่มีอะไรเท่ากันเลยในทุกปัจจุบัน จะต้องมีคาดเคลื่อนไปน้อยหรือมากเสมอ
-
วิปลาสในสิ่งที่เป็นทุกข์ ว่าเป็นสุข
-
วิปลาสในสิ่งที่ไม่เป็นตัวตน ว่าเป็นตัวตน
-
วิปลาสในสิ่งที่ไม่งาม ว่างาม