610511_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ พิสูจน์โพธิสัตว์ผู้สยังอภิญญาที่มาในยุคกาลนี้
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://drive.google.com/open?id=1cPqgb0UFJ0gdVliMwanykvkehg2Z7VVWlsiGUF9jE0w
ดาวโหลดเสียงที่..https://drive.google.com/open?id=1N_FiXWWFTzjEd5m-_YLYrLDUDmsZ_LyG
ดูยูทิวป์ได้ที่…
สมณะเดินดินว่า…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก อากาศก็เหมือนกับจะเข้าฤดูฝนแล้วนะ ฝนก็ตกไม่มากเท่าไหร่ที่นี่ ช่วงนี้ ข่าวคราวของบ้านเมือง กำลังคึกคัก วิพากษ์วิจารณ์เรื่องของกระแสการเมืองมากขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่พ่อครูพยายามเสนอทางออกให้กับสังคมคือ ประชาธิปไตยไม่ได้อยู่ที่การเลือกตั้ง การเลือกตั้งเป็นปัจจัยเพียงส่วนหนึ่ง ถ้าหากไปเน้นว่าประชาธิปไตยคือการเลือกตั้งก็ใช้เวลาเพียง 5 วินาที แต่ประชาธิปไตยควรจะมีความหมายมากกว่านั้น พ่อครูว่า ประชาธิปไตยที่ดีควรจะมี สามเส้า คือ ประชาชน พระมหากษัตริย์ และจิตวิญญาณ
จิตวิญญาณเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง หากทำให้จิตวิญญาณของแต่ละคนดี มนุษยชาติ ประชาชน และพระมหากษัตริย์ก็มีจิตวิญญาณ ถ้าหากทำจิตวิญญาณที่ดีเป็นโลกุตระ ก็จะทำให้เกิดสิ่งที่ดีๆ ขึ้นมาในบ้านเมือง เราจึงได้เห็นว่าประเทศไทยเกิดวิกฤตการต่างๆ แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี เพราะมีพระสยามเทวาธิราช มีการตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมไม่มี เขมรเทวาธิราช หรือของประเทศอื่น ทำไมมีแต่สยามเทวาธิราช พ่อครูว่า ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธมายาวนาน มี DNA ของพุทธฝังไว้มายาวนาน เมื่อเกิดเหตุร้ายแรงก็จะมีพระสยามเทวาธิราชออกมา จริงๆแล้วก็คือจิตวิญญาณที่มีคุณธรรมของประชาชนพระมหากษัตริย์ที่ออกมาช่วยกันทำให้ประเทศไทยแคล้วคลาด
ใกล้จะมีการเลือกตั้งก็จะมีการตั้งพรรคการเมืองต่างๆมากมาย พ่อครูก็เคยบอกว่า พ่อครูตั้งพรรคเดียวคือพรรคผ่อน ไม่ได้มีพรรคไหนอีก แม้แต่พรรคเพื่อฟ้าดิน ที่ชาวอโศกได้ตั้งขึ้นมา พ่อครูก็เห็นว่าควรเลิกควรยุบไปเลย เราควรจะมาเน้นการเมืองภาคประชาชนที่ช่วยเหลือประชาชนโดยตรงเลย ขนาดพวกเรามีพรรคของพวกเราเอง พ่อครูก็ยังไม่เห็นว่ามีประโยชน์ต่อประชาชนเท่ากับการไปช่วยโดยตรงเลย
ตอนนี้เรากำลังเปิดเรื่อง 3 อาชีพกู้ชาติกันอย่างหนัก คือ ปุ๋ยสะอาด ขยะวิทยา กสิกรรมธรรมชาติ เมื่อฝนตก เกษตรกรต้องการปุ๋ยอินทรีย์มาก รัฐบาลก็พยายามเน้นให้จังหวัดอุบลฯยโสธร ศรีสะเกษ อำนาจเจริญ ให้เป็นจังหวัดแห่งเกษตรอินทรีย์ ปุ๋ยอินทรีย์งอกงามก็เลยขายดิบขายดี ใครจะมากู้ชาติก็เชิญได้ที่บ้านราชฯเลย การกสิกรรมธรรมชาติ ตอนนี้ผลผลิตออกมามาก บวบเก็บกันวันละ 10 กระสอบ ต้องใช้กำลังคน เป็นงานกู้ชาติโดยตรง ทิศทางที่พ่อครูพาพวกเราทำมีความชัดเจนมีคำตอบให้กับสังคม ไม่ต้องไปแย่งชิงต่อสู้กับใคร เป็นทิศทางที่เรียบง่าย และทำให้เราพ้นทุกข์ได้เร็วพลัน ส่วนใครจะไม่ชัดเจนก็เป็นเรื่องของส่วนตัว แต่ก็ต้องระมัดระวังว่าที่เราไปเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่เอาความเป็นญาติธรรมเอาความเป็นกองทัพธรรมของส่วนรวมไป พ่อครูว่า…พรรคของเราเป็นพรรคผ่อน เราไม่ได้ไปร่วมก่อตั้งจัดตั้งพรรคการเมืองใดๆ แม้แต่พรรคเพื่อฟ้าดินพ่อครูก็ให้ยุบได้แล้ว
พ่อครูว่า…SMS 9 -10 พฤษภาคม 2561
_ถาวร ทิพย์โชติ · วิบากแห่งกรรม เป็น 1 ใน 4 ของอาจิณไตย แล้วพลังฮิกซ์ที่โบซอลค้นพบ สัมพันธ์กันอย่างไรบ้างครับ
พ่อครูว่า…อาตมานึกถึงแต่ ISH คนค้นพบสามเส้านี้คือพลังงานสำคัญ ตัวเราเองคือ I แล้วเราก็ควบคุม ธรรมะสอง ให้ได้ประโยชน์ให้เป็นอภิสังขาร ให้เกิดคุณค่าเสมอ เท่าที่จะรู้อัตราการก้าวหน้าพลังงานบวกลบ พลังงานนิวเคลียสเลย พลังปรมาณูเลย ถ้าสามารถเข้าใจ mc นี้ได้ พลังงานรูปกับนามนี้ อันหนึ่งเป็นพลังงานวัตถุอันหนึ่งเป็นพลังงานความเคลื่อน แต่ถ้ามาเป็นจิตวิญญาณแล้ว พลังงาน m ก็หมายถึงสิ่งที่ถูกรู้ c คือธาตุรู้ เป็น Dynamic ก็ต้องมี I ควบคุมจัดสรร ทำอะไรให้เหมาะสมตามที่เราจะอภิสังขาร โดยเฉพาะ ผู้ที่สามารถ จัดการ ปรุง create ขึ้นให้ได้สัดส่วนพอดี ก็ต้องรู้จัก โลก กับเรา คืออัตตา คือรู้โลก รู้อัตตาแล้วเอามาประมาณจัดสรรให้ได้สิ่งที่เราจัดการ ปรุงแต่งขึ้น ควรได้พอเหมาะกับประโยชน์ ไม่ว่าต่อเราเองหรือคนอื่น ให้โลกได้รับประโยชน์ที่ไม่เบียดเบียนใคร มีแต่เจริญมากขึ้น นี่คือสิ่งที่ยิ่งใหญ่
ขออภัยอาตมาไม่รู้จัก higgs ไม่รู้จัก ISH
_บุญยิ่งแก้ว· คือถ้าตั้งใจปฏิบัติศีลสังวรณ์ระวังจนเป็นสมาธิจึงจะเกิดปัญญาใช่ มั๊ยคะ
พ่อครูว่า…ความเข้าใจผิดที่ว่า นั่งสมาธิเข้าไปโดยไม่คิดอะไรแล้วปัญญาที่แท้จริงจะโผล่ขึ้นมา อย่างอ.บูรพา พาทำนี้ เป็นสิ่งที่ผิด สิ่งที่เกิดขึ้นในการนั่งหลับตาปฏิบัตินั้นเป็นเพียงสัญญา ที่โผล่ขึ้นมานั้นในคนนั่งหลับตาหยุดคิดนั้นเป็นเพียงสัญญา เป็นความจำ ผุดมาให้รู้ นอกจากความจำของตนไม่มีอะไรผุดให้รู้ได้ อยู่ในกะลาครอบของตัวเอง อยู่อย่างเก่าอยู่ในกะลาครอบ ไม่รู้อะไรเพิ่มเติมเลย การอยู่แบบนี้แล้วจะให้มีปัญญาเกิดขึ้นเป็นไปไม่ได้ปัญญาต้องมีโลก ปัญญาต้องมีข้างนอกด้วย
ในพระไตรปิฎกเล่ม 14 ข้อ 257 ถึง 258 พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัด ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ แล้วจะมี ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ มัคคังคะ มีสัมมาทิฏฐิเป็นประธานและปฏิบัติมรรคองค์ 8 เมื่อเกิดการปฏิบัติสังเคราะห์สังขารก็จะได้เกิดความรู้ที่เรียกว่าปัญญา แล้วความรู้เป็นปัญญานี้ จะเกิดพัฒนาเพิ่มขึ้น คือมีอินทรีย์ ปัญญินทรีย์ เจริญได้สูงสุดเป็นปัญญาผล คือปัญญาพละ เป็นตัวสุดท้าย นี่คือการเกิดผล หากขยายองค์รวมคืออินทรีย์ 5 พละ 5 ก็จะเกิดมีองค์ธรรมพร้อม ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
จากอินทรีย์ 5 มีศรัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ มาเป็นพละอีก 5
การศึกษาของศาสนาพุทธมีศีล สมาธิ ปัญญา แล้วศีล สมาธิ ปัญญานั้นเนื่องกันตลอด เป็นปัจจยาการ ขาดกันไม่ได้ ผลคือวิมุติ วิมุติ เป็นเส้าที่สี่ ไม่มีศีล สมาธิ ปัญญาไม่ใช่ศาสนาพุทธ ไปนั่งหลับตาไม่เกี่ยวกับศีล ไปสัมผัสกับสัตว์ ก็ไม่เกี่ยวเพราะหลับตา ไม่เกี่ยวกับสิ่งของด้วยหากหลับตา แต่สัมผัสทางตาก็จะรู้กิเลสเกิดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่หากหลับตาก็ไม่รู้ ก็คือไม่มีโอกาสเลยที่จะมีปัญญาเกิดในการปฏิบัติธรรมแบบหลับตา ไม่มีวันไหนที่จะเกิด เพราะความเป็นปัญญาของศาสนาพุทธไม่ได้เกิดแค่สัญญา หลับตามีแต่สัญญา การนั่งหลับตาสมาธิ ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 พระสูตรแรก พรหมชาลสูตร
พระพุทธเจ้าประกาศศาสนา พบว่า คนทำสมาธิแบบหลับตากันทั้งนั้น เดี๋ยวนี้ยุคนี้ก็เข้าใจว่าศาสนาพุทธ สมาธิก็คือการนั่งหลับตา ก็เป็นเหมือนเดิมกับในยุคที่พระพุทธเจ้าท่านอุบัติ ท่านก็มาประกาศสมาธิของท่านใหม่ ว่าไม่ใช่สมาธิอันนั้น พอมาปี 2560 ก็เหมือนเดิมเหมือนกับยุคพระพุทธเจ้า เป็นการหลับตาทำสมาธิกันอีก อาตมาพูดนี้อาตมาไม่ใช่พระพุทธเจ้าเขาก็เลยฟังแล้วไม่ยอมรับ ทั้งที่อาตมาก็ยืนยัน นั่งหลับตาสมาธินั้นจะไม่มีปัจจุบัน ไม่มีทิฏฐะ
ทิฏฐะคือปัจจุบัน ไม่มีทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ ต้องมีกาละปัจจุบันอยู่ในการปฏิบัติธรรม การหลับตาปฏิบัติมีแต่อดีตกับอนาคต ก็จะได้ความรู้ความเห็น ทิฏฐิกะลาครอบ มีแต่อดีต 18 กับอนาคต 44 ท่านก็ประมวลลงเลยว่า ที่นั่งหลับตาปฏิบัตินั้นมีเท่านี้ ไม่มีรู้อะไรเพิ่มอยู่ในกะลาครอบเท่าเดิม มีภูมิเท่าไหร่มา ปฏิบัติธรรมก็ได้เท่าเดิมอยู่ในกะลาครอบ เป็นสัญญาคลังความรู้สัญญาเก่า อย่างเก่งก็ค้นพบความรู้เป็นสมบัติเก่าที่คุณสะสมไว้ในความจำของคุณ นึกขึ้นมาได้เห็น ก็มีเท่านั้น ไม่มีอะไรพัฒนาขึ้นมาเป็นปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ไม่มีเลย
เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธ ไม่ได้เป็นกบในกะลาครอบ ไม่ออกไปไหน ไม่ใช่ ศาสนาพุทธ รู้โลก รู้อัตตา รู้ชีพ รู้โลกมีที่สุด ไม่มีที่สุด รู้อันตา เช่นอันตคาหิกทิฏฐิ 10 เป็นต้น จะรู้ครบ
หากปฏิบัติไม่ถูกต้องจะไม่สามารถรู้โลกวิทู รู้รอบ ไม่รู้จัก อัตตาก็ไม่รู้ ก็เลยไม่พ้นโลกาธิปไตย อัตตาธิปไตยไม่มีธรรมาธิปไตย ถูกโลก อัตตา ครอบงำตลอด ผู้ที่ปฏิบัติไม่สมาธิก็จะไม่พ้นโลก ไม่พ้นอัตตา จะต้องเป็นทาสโลกทาสอัตตา อยู่ตลอดกาลนาน
_ลอย แคนาดา ขออนุญาต เรียนถามพ่อท่าน ว่า ทำไมคนมักเข้าใจ อริยมรรค ว่า เป็นทางสายกลางครับ ทำให้บางคนไม่เคร่งครัดในศีล เพราะถือศีลแค่กลาง ๆ ไม่เคร่งครัด
คำว่าสายกลาง เกิดมาลงที่ มรรคแปด ได้อย่างไรครับ
ไม่ไปติดอยู่ในทุกข์ และไม่ไปติดอยู่ในสุข มีปัญญา รู้เท่าตามความเป็นจริง อันนี้ผมเข้าใจ
แต่ประเด็นที่สงสัยคือ ทำไมคนไทยจำนวนมากเข้าใจอริยมรรค ทางพ้นทุกข์ ว่าทางสายกลาง แทนที่เข้าใจองค์ประกอบทั้งแปดส่วน หรือไตรสิกขา
มันมาเชื่อมต่อกันอย่างไรครับ หรือเป็นเพราะ ชื่อ แปลว่า ทาง เหมือนกันครับ
พ่อครูว่า…ถือศีลไม่เคร่งครัดก็ถูกเจ้านาย คือกิเลสตัณหาบงการ ก็เป็นทาสตัณหาไปตลอดกาล ข้อสำคัญคือไม่รู้สภาวธรรม จึงมั่วๆกันไป
คำว่า มัชฌิมา แปลว่า สภาพกลางๆ ความเป็นกลาง คือไม่มีซ้ายไม่มีขวาแล้ว ส่วนปฏิปทาคือข้อปฏิบัติให้เกิด กลาง
กลางที่ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร คือ ไม่มีอันตา (ไม่โต่งไปข้างใด) ไม่มาทางกาม ไม่มาทางอัตตา แต่รู้จักกาม รู้จักอัตตา
ตนเองล้างกามหมด อัตตาหมดก็เป็นสุญญตา
กามนั้นคุณไม่ได้เห็นเป็นโทษ กามาทีนวะ 5 ก็เลยอยู่กับกาม ถูกกามกินตัว หลงไปในอัตตาก็ถูกอัตตากินตัว อัตตาจะบงการ ให้ทำอะไรก็ได้ เกินกว่ารูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสกามคุณ 5 นอกนั้นจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ทั้งหมด โยนให้อัตตาหมด ต้องการนอกเหนือจาก ตาหู จมูก ลิ้น กาย เป็นอัตตาหมด จะทำให้ได้ดั่งใจต้องการหรือไม่ต้องการ ต้องการทำลายปล่อยก็คือจิต ต้องการได้มาเป็นตนเป็นของตนก็คือจิต ก็เลยเป็นความลําบากที่ไม่รู้จัก กาม ไม่รู้อัตตา
นับเป็นความโง่ที่ไปหลงรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสว่าเป็นสุข ก็เลยกลายเป็นได้สุขขัลลิกะ คือสุขเท็จ ของไม่แท้ ไม่ได้เรื่องอะไรก็ไม่รู้เรื่องอะไร ก็ไปหลงว่า หากมีชีวิตอยู่ด้วยความสุขนั้นดี ก็เป็นโลกียะธรรมดา ไม่ได้หลุดพ้น
ทางสายกลาง…
ทาง คือ วิธีปฏิบัติ หากคุณรู้จักทางปฏิบัติ พระพุทธเจ้าสรุปแล้วว่าคือมรรคมีองค์ 8 อย่างคุณลอยแคนาดาสรุปมา
มรรค 8 เป็นกระบวนการเป็นเหตุปัจจัย ที่เป็นองค์ธรรมตั้งแต่สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ก็คือตัวปฏิบัติ เป็นการกระทำ สี่อันนี้
เพราะฉะนั้นมรรคมีองค์ 8 ปฏิบัติไม่ใช่ไปนั่งหลับตา จะต้องมีกรรมกริยาทั้งการสังกัปปะ กัมมันตะ อาชีวะ ของมนุษย์ก็มีเรียนรู้ 4 อย่างนี้แหละ แล้วเรียนรู้เหตุปัจจัยทั้ง 4 นี้ว่ามันมีมิจฉา
มิจฉาสังกัปปะ 3 มิจฉาวาจา 4 มิจฉากัมมันตะ 3 มิจฉาอาชีวะ 5 ท่านก็ตรัสไปในมหาจัตตารีสกสูตร ก็ต้องล้างตัวเหตุที่ทำให้เกิดมิจฉา เหตุที่ทำให้เกิด
กุหนา ลปนา มิจฉาหยาบ ชั่วมาก กุหนาคืออาชีพชั่วมาก ลปนาก็มาที่ปาก ตามลำดับ ทำไปก็จะได้ผลตามลำดับ จนหมด มิจฉาชีพ หมดแล้วก็ต้องรู้โลกรู้ตน ไม่มอบตนในทางผิด นิปเปสิกตา จนเป็นอาชีพสูงสุดคือ พ้น ลาเภน ลาภัง นิชิคิงสนตา ทำงานฟรีไม่มีลาภแลกลาภ ทำงานไม่ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนอะไรเลย
หากทำงานแล้วยังรับสิ่งแลกเปลี่ยนก็ยังเป็นมิจฉาชีพข้อที่ 5 นี่คือศาสนาพุทธ อาตมานี้ภูมิใจที่ได้พาพวกเราปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้า พ้นจากมิจฉาชีพขึ้นมาจนเกิดเป็นสังคมสาธารณโภคี ทุกคนทำงานฟรีไม่แลกตังค์ มันจึงเป็นเศรษฐศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เศรษฐศาสตร์ที่ทุกคนทำงานสาธารณโภคีเข้ากองกลาง ไม่มีตัวตน ให้ เพื่อตัวตนๆไม่เอาอะไรเลย ร่วมกันกินใช้อยู่ในนี้ เป็นทั้งระบบการบริหารและระบบเศรษฐกิจที่สูงสุดเลย จะเป็นประชาธิปไตยก็สูงสุด เป็นคอมมิวนิสต์ก็สูงสุดเป็นเผด็จการก็สูงสุด อาตมาภูมิใจว่าได้ทำสำเร็จแม้แต่เป็นคนจำนวนน้อย มาปฏิบัติตามจนมารวมกันเป็นสังคมชุมชนชาวอโศกทุกแห่ง เป็นสาธารณโภคีทุกแห่ง ก็อยู่กันอย่างเป็นสังคมซึ่งไม่เป็นภาระต่อประเทศชาติ ทุกชุมชนชาวอโศกทั่วประเทศเป็นประโยชน์ช่วยสังคมประเทศชาติอยู่ เพราะเป็นชุมชนที่ไม่ก่อเรื่องราวไม่แย่งชิงกับสังคมไม่ไปเบียดเบียนสังคม พึ่งพาตนเองรอด แล้วทำให้เหลือแล้วก็แจกจ่ายเพื่อผู้อื่น ขายก็ขายขาดทุน ไม่เอากำไร หรือทำงานฟรีได้เลย
ทุกวันนี้อาตมาประสบความสำเร็จของงานศาสนาพระพุทธเจ้าที่ท่านสอนไปมากเลย อาตมาพูดไปแล้ว อาตมาพาทำได้ถึงสังคมฆราวาส ให้เป็นสาธารณะโภคี ภิกษุสมัยโบราณไม่ได้รับเงิน คนเขาก็รู้กันว่าไม่เอาเงินไปให้ภิกษุ แต่ยุคนี้พวกฆราวาสนี่ตัวรู้ดี ใช้เงินเป็นอำนาจไปให้พระ จนพระนี้ตกเป็นเบี้ย เป็นคะแนน เป็นลูกน้อง เขาเป็นนายทุน พระ เจ้าก็เลยรับใช้นายทุนกันไป เป็นการอธิบายสัจธรรมที่ผิดเพี้ยนไปให้รู้ว่ามันไปกันใหญ่แล้ว ไม่มีฤทธิ์เดชด้านคุณธรรมเลยศาสนาพุทธ เป็นทาสโลกีย์แหลกเหลวหมด
เพราะฉะนั้นอาตมาเอง ยิ่งทำงานยิ่งรู้สึกว่า ความจริงอาตมาก็รู้ว่าอาตมาเป็นใคร ปางนี้มาทำงานอะไรก็รู้บอกไปเขาก็อาจจะยิ่งหมั่นไส้ อาตมายิ่งทำงานก็เห็นว่ายิ่งใช่ อาตมาต้องทำงานนี้เป็นเรื่องของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องของศาสนาพุทธเป็นแก่นแท้ของพุทธ คือโลกุตรธรรม ยิ่งทำไปยิ่งชัดยิ่งมั่นใจ เห็นจริง น่าสงสารศาสนาพุทธที่พาออกนอกรีต ไปไกล ได้แต่สังเวชใจ แล้วเขาไม่เชื่อถือไม่รับฟังอาตมาไม่เห็นเป็นคุณค่า อาตมาก็ยิ่งสังเวชใจมาก เราทำอย่างไรจะเก่งกว่านี้ที่จะทำให้เขาอย่างว่าสัจจะเป็นแบบนี้ ที่เขามีกันอยู่นั้นมันไม่ใช่ศาสนาพุทธมันออกนอกทางไปแล้ว หรือไปฟุ้งซ่านเป็นโลกีย์ไปแยะ อย่างที่เห็นกัน พูดไปก็เหมือนไปว่าเขา เขาก็จะยิ่งชังน้ำหน้า
เหตุปัจจัยมันทำให้รู้ยิ่งขึ้น พูดไปก็ไม่ได้เกิดความท้อใจอะไร มีแต่อุตสาหะ ที่ถูกขูดมาจนเกือบไม่เหลือ อยู่ที่ไหนขูดมาหมด อย่างนั้นจริงๆเลย อาตมาเห็นตัวเองทำงานอยู่อย่างนั้นเลย
ขออธิบาย ที่ตั้งใจมาหลายทีแล้ว ก็ขอตั้งใจใหม่ อธิบายศีล สมาธิ ปัญญา วิมุต วิมุตติญาณทัสสนะ ให้เป็นอิทัปปัจจยตา กันอย่างดี
ถ้าไม่รู้เริ่มต้นด้วยศีล คุณไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา ไม่มีวิมุติ
ศีลเป็นตัวกำหนดปัญญาเป็นตัวกำหนดสมาธิ ศีลกับปัญญานั้นเหมือนล้างมือด้วยมือล้างเท้าด้วยเท้า ในโสณทัณฑสูตร เกิดเป็นวิมุติ เป็นผลของศีล สมาธิ ปัญญา
แล้ววิมุติญาณทัสนะ คือปัญญารู้ครบ สรุปเรียกว่า วิมุตติญาณทัสนะ ทำให้รู้ว่าเป็นวิมุติแท้หรือยัง จบหรือยัง ก็คือญาณทัสสนะวิเศษ รู้ทั้งศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ ก็เป็นวิมุตติญาณทัสนะ
สรุปแล้วจะพูดอย่างไรก็แล้วแต่อยู่ในกถาวัตถุ 10 นี่แหละ
กถาวัตถุ 10 อัปปิจฉกถา สันตุฏฐิกถา ปวิเวกกถา อสังสัคคกถา วิริยารัมภกถา ศีลกถา สมาธิกถา ปัญญากถา วิมุตติกถา วิมุตติญาณทัสสนกถา
-
เรื่องที่ชักนำให้มักน้อย กล้าจน (อัปปิจฉกถา)
-
เรื่องที่ชักนำให้สันโดษ ใจพอ (สันตุฏฐิกถา)
-
เรื่องที่ชักนำให้สงัดจากกิเลส (ปวิเวกกถา)
-
เรื่องที่ชักนำไม่ให้คลุกคลีกับหมู่กิเลส (อสังสัคคกถา)
-
เรื่องที่ชักนำให้ปรารภความเพียร (วิริยารัมภกถา)
-
เรื่องที่ชักนำให้บริสุทธิ์ในศีล (สีลกถา)
-
เรื่องที่ชักนำให้จิตตั้งมั่นในสมาธิ (สมาธิกถา)
-
เรื่องที่ชักนำให้เกิดปัญญา (ปัญญากถา)
-
เรื่องที่ชักนำให้หลุดพ้นจากกิเลส (วิมุติกถา)
-
เรื่องที่ชักนำให้เกิดความรู้แจ้ง เห็นจริงในความหลุดพ้นจากกิเลส (วิมุตติญาณทัสสนกถา) (พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 69)
พระพุทธเจ้าเน้นถึงการอยู่กับหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี แต่พระเมฆิยะนั้นคิดจะออกจากหมู่ … พระพุทธเจ้าก็บอกว่า จะไม่เกิดประโยชน์อะไรในการปฏิบัติ
มิตรดีเป็นแสงอรุณข้อแรก หากไม่มีข้อแรกนี้ก็ปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ไม่ได้ เพราะไม่มีแสงอรุณมาก่อน ต้องมี
[129] มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
[131] สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
[132] ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
[133] อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
[134] ทิฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
[135] อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
[136] โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
หากไม่มีมิตรดี คุณจะอยู่คนเดียวแล้วก็จะตรัสรู้แล้วก็ต้องไปเป็นพระพุทธเจ้า หรือเป็นสยังอภิญญา คุณมีของคุณอยู่แล้ว หากไม่มีของคุณอยู่แล้ว ต้องได้รับการต่อเชื้อจากมิตรดีสหายดี มีแต่พระพุทธเจ้ากับผู้ที่มีสยังอภิญญามาต่อเชื้อให้กับผู้อื่น จึงจะปฏิบัติไปได้ตามอวิชชาสูตร 10 ข้อ
หากไม่ได้พบสัตบุรุษ ไม่ฟังสัทธรรม แต่ไปศรัทธานอกพุทธก็ออกนอกรีต ในสัมมาทิฎฐิข้อที่ 10 จึงต้องพบกับ สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)
อาตมาบอกว่าอาตมาคือสยังอภิญญาผู้นั้น คนฟังแล้วก็ไม่เชื่ออีก หาว่าเป็นการอวดตัวตนอีก อาตมาก็บอกประสาซื่อนะ
ผู้ที่รู้สาระสัจจะก็มาเอา ไม่รู้ความจริงก็ไม่ได้ไม่เอา พูดไปไม่ได้ยกตนข่มท่านไม่ได้ดูแคลน ว่าศาสนานั้นมันผิดเพี้ยนไปหมดแล้ว ไม่เหลือโลกุตรธรรม ศาสนาพุทธคือศาสนาโลกุตรธรรม ไม่ใช่โลกียธรรมที่ดีชั่วอยู่แค่โลกีย์ แต่เป็นอีกอันหนึ่ง เป็นเรื่องที่ทำให้ลดกิเลสเป็นเรื่องของจิต เจตสิก รูป นิพพาน เข้าใจอกุศลเจตสิกได้ แล้วรู้เหตุ ที่เป็นอกุศลจิต อย่างรู้
อาการ ลิงค นิมิต อุเทส รู้อาการนี้ จับตัวมันได้ก็หมายเอาเป็นนิมิต ก็รู้ว่ามันต่างกัน ราคะกับโทสะต่างกันมีลิงคะ เป็นคนที่แยกแยะได้เห็นหน้ากันจับอาการได้ อาการของจิตเป็นเรื่องนามธรรม อาการอย่างนี้คือราคะ โทสะ รู้แยกแยะได้ลิงคะ หรือแม้แต่มันมากหรือน้อยกลางๆ ก็ต่างกันนะ เป็นลิงคะ หยาบ กลาง ละเอียด เราเลิกหยาบได้ก็มาขั้นกลางปริยุฏฐานเหลือละเอียดคืออนุสัยก็เข้าใจ มีสภาวะแล้วทำได้ถูกต้องจริงก็จะสมบูรณ์ หากไม่รู้จักอย่างที่ว่าก็ไม่สมบูรณ์ไม่ถูกต้อง
หลักธรรมะของพุทธเจ้าเน้นที่ ศีล หรืออธิศีล ทำให้เกิดอธิจิต คือสมาธิ อาตมาพยายามย่อให้ง่าย เช่น ศีลข้อที่ 1 2 3
ศีลข้อที่ 1 ปฏิบัติก็ต้องปฏิบัติกับความเป็นสัตว์
ศีลข้อที่ 2 ปฏิบัติกับของ
สัตว์ก็คือชีวะ ของก็คืออุตุนิยามกับพีชนิยาม แม้พีชนิยามก็ไม่เป็นจิตนิยามไม่ใช่สัตว์ สัตว์เป็นจิตนิยาม นับพีชะกับอุตุเป็นของ
ศีลข้อที่ 3 ก็เกี่ยวกับตา หู จมูก ลิ้น กายกระทบสัมผัสแล้วเกิดรส เราก็รู้อันนี้ ศีลก็มี 3 ข้อหลักๆ หากเข้าใจปฏิบัติถูกหมดคุณก็เป็นอรหันต์ 3 ข้อนี้ ส่วนศีล 4 5 เป็นวาจา กับจิต แต่หากคนไม่รู้เรื่องก็เมา หยาบ กลาง ละเอียด ใน ข้อ 1 2 3 นี่แหละ
หากเข้าใจเนื้อหาสาระแล้ว ปฏิบัติศีลข้อเดียว ข้อ 1 ก็จะเข้าใจสภาวะจิต โดยเฉพาะ 108 เวทนา
ที่พระพุทธเจ้า แจกไว้ชัดเป็นกรรมฐาน การปฏิบัติของพระพุทธเจ้ามีเวทนาเป็นฐานในการปฏิบัติ หากไม่มีฐานนี้ก็ไปเอา ดินน้ำลมไฟหรือกรรมฐาน 40 ก็เป็นกรรมฐานนอกรีต อรรถกถาจารย์ที่ไม่มีสัมมาทิฏฐิก็บันทึกเอาไว้ ว่ากรรมฐานคือเครื่องให้จิตไปจดจ่อ เป็นแค่สมถะเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่กรรมฐานของศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธมีกรรมฐานอย่างเดียวคือเวทนา
ในพรหมชาลสูตร มีพูดถึงไว้
ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ 5
[50] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบันย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ ด้วยเหตุ 5 ประการ
ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่านิพพานในปัจจุบันบัญญัติว่านิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยเหตุ 5 ประการ?
[87] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน ย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยเหตุ 5 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
การนั่งหลับตาก็จะได้ทิฏฐิใน 62 อย่างนี้ เป็นอดีต 18 อนาคต 44 นี้เท่านั้น
ปฏิบัติธรรมหลับตาก็อยู่ในภพ ไม่มีแสงสว่างภายนอก ดีไม่ดีปั้นแสงสว่างภายในเองเลย ปั้นให้ใสๆๆ เป็นอุปาทานทั้งนั้น เป็นภพชาติ ตาที่หลับลงไป แม้จะมีแสงสว่างลอดหากอยู่ในที่ที่มีแสง แต่ถ้าอยู่ในที่มืด หลับตาก็จะไม่มีแสง แต่ถ้ามีแสงอะไรเกิดขึ้นก็เป็นอุปาทานทั้งนั้น อาโลกสัญญา ไม่มีโลก ไม่มีแสงสว่างอะไร อาโลกะคือแสงสว่าง มันไม่มีมันมืด
แต่ถ้าใครก็ตามนั่งหลับตาแล้วยังเห็นแสงสว่าง ดีไม่ดีแสงสว่างให้ใสๆๆ
ให้เห็นโสดาบันก็ใสเท่านี้ สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ก็ยิ่งใส คือมืด ไปหลงสว่าง แล้วก็เป็นมโนมยอัตา เป็นรูปที่สำเร็จด้วยจิต ที่พูดนี้พูดถึงธรรมกายพากันหลงทิศผิดไปใหญ่เลย คือพวกสายสว่างอาภัสราพรหม
อีกสายหนึ่งเป็นสายมืดพวกนั่งหลับตา หลงความดับความดำ คือสายสุภกิณหา ก็มีสองสายเท่านั้น ที่ทำกันตอนนี้ ก็ไปได้ สุภกิณหาพรหม
ก็เป็นพรหมที่มีภพชาติไม่ได้ล้างภพชาติอะไร ไม่ได้รู้การยึดติดภพชาติ
อาตมาก็ว่าพูดจนครบหมด พูดซ้ำซากวนเวียนพูดมาก ก็เอาแต่ผู้ที่ฟังรู้เรื่องก็แล้วกัน
ท่านทั้งหลายแหล่ที่ไม่มาสะสางไม่มาทำความเข้าใจให้ได้สัดส่วนรู้ระบบระเบียบรู้รายละเอียด จากภาษาที่เป็นสิ่งที่ชัดเจน เป็นจิ๊กซอว์ทุกชิ้น เอามาต่อกันได้เป็นอิทัปปัจจยตาเป็นปัจจยาการ เป็นปฏิจจสมุปบาทได้ชัดหมดเลยไม่ผิดมุมเหลี่ยม ไม่ผิดขั้นตอน ไม่ผิดสัดส่วน ไม่โต่งไปโต่งมา มันจึงพ้น ชาละ พ้นข่ายแห แต่พวกไม่เป็นระบบ เหมือนมีแหที่ยุ่ง เหมือนลิงดิ้นในแห แหก็พันตัว แน่น มัดตัวเองใหญ่เลย ยิ่งดิ้นยิ่งมัดตัวเองในแห แหนี้เหมือนเส้นไหมคลุมยิ่งดิ้นยิ่งรัดตัว เหมือนลิงตกกลางถังไหม
อาตมาก็พูดไปซึ่งท่านก็ไม่เชื่อกัน
อาตมาก็ว่าตนเองเป็นโพธิสัตว์ ก็ตามหาพระโพธิสัตว์ผู้พี่ผู้น้อง อยู่ที่ไหนก็บังเอิญมีอยู่องค์หนึ่ง ซึ่งท่านก็สวรรคตไปแล้ว คือ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านได้ตรัสสิ่งที่ตรงกับอาตมาพูดอธิบาย ว่ามาเอาแบบคนจน มันตรงกันอาตมาก็เลยรู้ว่าในหลวงคือ พระโพธิสัตว์องค์นั้น ไม่ได้โมเมพูดเลอะ แต่มันมีหลักฐานตรงกัน มีเหตุปัจจัยยืนยันรู้ร่วมกันได้อธิบายได้ ผู้ที่มีภูมิปัญญาก็รู้ได้ชัด
จะไม่มีใครซาบซึ้งในความเป็นคนจน จะไม่มีใครซาบซึ้งในการขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ที่ในหลวงท่านตรัสแล้วเราเอามาออก ว่าประเทศไทยมีความรู้เช่นนี้เป็นของพระเจ้าแผ่นดินด้วย อาตมาไม่ได้ลอกเลียนโมเม อาตมาว่าอาตมามีความรู้ในเรื่องความจนและขาดทุนของชีวิตคืออย่างนี้ ทำสังคมให้เป็นแบบนี้ทำเศรษฐกิจของประเทศชาติให้เป็นแบบนี้ อาตมามีความเข้าใจและรู้อันนี้จริง และมีในหลวงตรัส ท่านต้องการให้เป็นแบบนี้ แต่คนเข้าใจไม่ได้ เข้าใจโลกุตรธรรมนี้ไม่ได้ จึงไม่ได้ปฏิบัติตามได้ ปฏิบัติตามตำรา ที่ในหลวงตรัสว่าให้ปิดตำราเสีย แล้วให้มาเอาตำราของพระพุทธเจ้า ให้รู้จักสัจจะที่พระพุทธเจ้าพาเป็น แต่เขาก็ไม่พยายามแสวงหา ว่าพระพุทธเจ้าสอนอย่างไร เนื้อหาสาระของแก่นสารศาสนาพุทธเป็นอย่างไร ก็ไม่มาใส่ใจที่จะรู้จักสัจธรรม หรือสัทธรรมที่แท้ของพระพุทธเจ้า
ผู้บริหารนักวิชาการที่บริหารประเทศชาติ เข้ามาค้นคว้าเอาเนื้อหาเนื้อแท้พระพุทธเจ้าให้ได้ ให้ได้โลกุตรธรรมที่แท้ หากได้แล้ว อย่างในหลวงว่า ประเทศเราจะเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ ยอดยิ่งยวด จะเป็นที่หนึ่งในโลก ใหญ่เพราะว่าจน ดูเหมือนตลก ใหญ่เพราะเป็นประเทศที่จน แต่เราก็รวย เราพอมีพอกิน แล้วไม่ขาดแคลนแล้วก็อุดมสมบูรณ์ของเรา ไม่ได้ไปเบียดเบียนประเทศไหน เศรษฐกิจพอเพียงหรือเศรษฐกิจคนจน ที่อาตมาพาพวกเราทำ พวกเรามาเป็นคนจนสำเร็จ เราพึ่งตนเองรอด ขยันหมั่นเพียร วิริยารัมภะ ไม่สะสม อปจยะ มีปาสาทิกะ มีอาการน่าเลื่อมใส เราก็ปฏิบัติขัดเกลาตัวเองศีล สมาธิ ปัญญา ขัดเกลาใจตัวเองแล้วเราก็มีใจพอ มีสันตุฏฐิ มีสันโดษเรามีเท่านี้ก็พอ เท่านี้ก็ประสบผลสำเร็จแล้ว เรามีกินมีใช้เราก็พอ พอกินมีเหลือกินเหลือใช้
จนนี่แหละแต่เกื้อกูลผู้อื่น จนนี่แหละจะเลี้ยงประเทศเลี้ยงชาติ ไม่ได้ไปเบียดเบียนเอาเปรียบเอารัด มีแต่ช่วยเลี้ยงดูผู้คนช่วยเลี้ยงประชากรในประเทศ อย่างพวกเรานี้พวกเราพอ พวกเรานี้มีผู้ได้คิดคำนวณตรวจสอบ อย่างบ้านราชฯ
ประชากรมีเท่านี้คน ในจำนวนคน ประชากร จะมีรายได้มาแล้วเราก็กินใช้ เหลือเราก็สะพัดออกให้แก่ผู้อื่น ตกลงแต่ละคนในชุมชนราชธานีอโศก แต่ละคนจะใช้เงินคนหนึ่งประมาณ 34.9 บาท คิดจากอัตรารายได้ของรัฐ แต่ละคนควรจะมีรายได้อย่างน้อย 300 บาทต่อวัน แต่ชาวอโศกนี้กินอยู่อาศัยใช้แต่ละคนแค่ไม่ถึง 40 บาท กินใช้ในนี้คำนวณแล้วประมาณนี้นอกนั้นสะพัด ออกไปช่วยคนอื่น นั่นคือเราช่วยเศรษฐกิจสังคมอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้สะสมกักตุน เราแต่ละคนทำงานฟรี อาศัยกินใช้ที่เหลือก็สะพัด
ผู้ที่จะมารับจากเราก็มีเสมอ เป็นวัตถุก็ตามเป็นรายได้ก็ตาม แม้แต่ผู้ที่มารับจ้างอยู่ในนี้ เดือนหนึ่งเราก็จ่ายเป็นเงินหลายล้าน แต่พวกเรามาทำงานฟรีกันทั้งนั้น แต่คนข้างนอกมารับจ้างได้เงินอยู่ในนี้ แล้วเราเอาเงินมาจ่ายเขาได้จากไหน
เราก็ทำงานมีอยู่ อุทยานบุญนิยม มีโรงปุ๋ย แม้แต่อื่นๆ เก็บเบี้ยใต้ถุนร้านมา แม้ไม่มีก้อนไม่มากแต่ก็พอจ่ายเขา ช่วยเหลือสังคมเขาได้ ส่วนพวกเราก็ทำงานฟรี เราอาศัยกินใช้แค่คิดเป็นเงิน 30 กว่าบาท นอกนั้นเราก็สามารถให้แก่สังคม นี่คือสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์เค้าคิดอาตมาก็เข้าใจ เราอยู่อย่างไม่เบียดเบียน เป็นสังคมที่ให้แก่ผู้อื่นตลอดเวลา
ถ้าเป็นแบบทุนนิยมเขาจะรวย เขาจะกอบโกย เขาจะดูดมาจากสังคมข้างนอก เป็นผู้ที่ปล้นเศรษฐกิจจากประชากร เป็นพวกคนรวยเป็นคนปล้นเศรษฐกิจประชากรเป็นคนทำลายเศรษฐกิจประเทศชาติ ส่วนคนจน จนอย่างมีปัญญาอย่างพวกเราเป็นคนจนที่ช่วยเศรษฐกิจประเทศไทยได้อย่างสมบูรณ์แบบ นักเศรษฐศาสตร์เขาอ่านไม่ออกเข้าใจไม่ได้ เขามีปัญญาเข้าใจได้บ้างบางคน แต่เขาไม่กล้ามารองรับอโศก เพราะเขาเป็นอย่างอโศกไม่ได้
เศรษฐศาสตร์ที่อาตมาพาทำและในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นอันเดียวกัน ที่พูดนี้ไม่ได้ยกตนเทียบท่านหรอก แต่อาตมาพูดตามหลักวิชาการ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ในหลวงเป็นโพธิสัตว์ก็อันเดียวกัน ประพฤติอันเดียวกัน ในหลวงพยายามทำให้คนมาเป็นคนจนแต่คนทำไม่ออก อาตมาก็ทำได้จำนวนหนึ่ง ผู้ที่มีอิสระเสรีภาพมีปัญญา เข้าใจก็มาทำจึงเป็นรูปธรรม เป็นเพราะท่านทำพฤติกรรมสังคมที่อยู่ร่วมกันเป็นสาธารณโภคี เศรษฐศาสตร์แบบนี้เป็นรูปลักษณ์ ของสังคมเป็นรูปแบบที่เห็นได้ มาสัมผัสได้ มาศึกษาได้เลย เป็นพฤติกรรมที่ชัดเจนทุกอย่าง ในการประพฤติปฏิบัติวัฒนธรรมพฤติกรรมชีวิต สมบูรณ์แบบเป็นตัวอย่างของสังคม
ผู้ที่ปฏิบัติได้แล้วจิตมันก็จบจิตมันก็สงบ จิตมีความสันโดษพอใจแล้วแค่นี้ก็พอแล้วชีวิตนี้อยู่ได้แล้ว ผู้ที่ชัดเจนแล้วมีความชัดเจนในตัวเองว่าชีวิตนี้เราอยู่ดีแล้ว ใครรู้สึกอย่างนี้ลองยกมือดูซิ …เข้าใจกันได้ดีนะ ข้างนอกที่ฟังหน้าจอนี้ ยกมือ?
พูดไปแล้วก็สบายใจแล้ว ได้พูดสิ่งดีงามสิ่งที่ประเสริฐของในหลวงรัชกาลที่ 9 อาตมาจะยกตัวอย่างอื่นก็ไม่รู้จะยกตัวอย่างใคร พวกที่จบด็อกเตอร์นักเศรษฐศาสตร์ก็ไม่เห็นมีใครพูดอย่างในหลวงหรืออย่างที่อาตมาพูด แม้แต่นักเศรษฐศาสตร์ที่บริหารประเทศเขาก็ไม่กล้าพูดว่าจะต้องมาเอาแบบคนจน แต่เขาพูดว่า จะต้องทำให้ประเทศชาตินี้รวย ทุกคนจะต้องหมดความเป็นคนจนในประเทศ อาตมาฟังแล้ว สังเวชใจ คุณพูดออกไปได้อย่างไรว่าจะให้คนรวยทั้งประเทศคุณเอาอะไรมาพูด
สมมุติ เทียบกับทั้งโลกเลย สมมุติว่าประเทศไทยรวย คิดอัตราของเศรษฐศาสตร์แล้ว คนในประเทศไทยมีอัตรารายได้รวยกว่าทุกประเทศ ประเทศไทยมีคนที่มีรายได้เหนือกว่าประเทศอเมริกา อังกฤษ หรือประเทศอื่นๆ คุณได้มากกว่าเขา อัตรารายได้ของแต่ละคนมีรายได้เฉลี่ยเหนือกว่าทุกประเทศ คุณได้มากกว่าเขา คำว่ากว่าเขานี้คุณได้มาจากไหน
มันจะมี ก็ 1.เราสร้างขึ้นเอง 2.เราต้องเอาจากประเทศอื่นของคนอื่นเขามา เพราะฉะนั้นคุณจะไปเหนือกว่าประเทศใดๆ คุณต้องสร้างเองแล้วก็เอาของคนอื่นเขามารวมแล้วก็จะเป็นได้ คุณสร้างเองอย่างเดียวคุณเหนือเขาไม่ได้ ไม่มีทางเหนือได้
-
ขยัน 2. มีฝีมือความสามารถ มันมากพอ คนในประเทศไทยขยันสร้างสรรมีความรู้สร้างได้เหนือกว่าประเทศอื่นๆ เพราะฉะนั้นอย่าไปเป็นสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้มันสูญเปล่า
ที่จบของมันก็อยู่ที่ว่าเราอยู่อย่างพอมีพอกิน ทำให้เลี้ยงดูตัวเองรอด ไม่เป็นหนี้ใคร มีอิสระเสรีภาพ มีความสงบมีความสุขความไม่เดือดร้อน แล้วยังมีเหลือพอกินพอใช้ คุณจะพอกินพอใช้และคุณจะเหลือ เพราะคุณทำคุ้มตัว กินใช้เท่านี้แล้วก็มีการทำงานขยันสร้างสรรมีส่วนได้มีผลผลิต ตีราคาแล้ว มีผลผลิตขึ้นมามันก็พอกินพอใช้จนมีเหลือ คนอย่างนี้แหละคือคนรวย กินไม่มาก
แต่ถ้ากินเท่าไหร่ก็ไม่พอ เสื้อผ้าหน้าแพร มีเท่าไหร่ก็ไม่พอ อาหารมีเท่าไหร่ก็ไม่พอ เงินทองเท่าไหร่ก็ไม่พออะไรก็ไม่พอ ก็จะว่าเหมือนเปรต ปากเล็กนิดเดียวพุงใหญ่เหลือเกิน เลยต้องอธิบายเป็นรูปธรรม แทนที่ปากใหญ่ ไม่ได้ ต้องอธิบายให้กลับกัน เคยได้ยินเปรตที่เขาอธิบายมีรูปร่างอย่างไร ปากแคบมาก แต่พุงใหญ่
สมณะเดินดินว่า …ปากเท่ารูเข็มแต่ท้องเท่าภูเขา
พ่อครูว่า…ไม่ใช่ท้องเล็กปากใหญ่แต่ว่า ปากเล็กพุงใหญ่ ดูดเข้าไปดูดเข้าไป หมดจักรวาลเลย ปากกว้างเท่าโลก ท้องเท่ากับจักรวาล หากไม่รู้จักความเป็นจริงสัจธรรมที่ลึกซึ้งพวกนี้
อาตมาพาพวกเราทำงานศาสนาทุกวันนี้มีที่จบมีที่สบาย มีที่พอแล้วมีใจพอแล้ว ชาวอโศกทุกวันนี้มีคนที่มีวรรณะ 9 ครบ
วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
มีอะไรให้ขัดเกลากันได้เสมอ ขนาดเป็นพระโพธิสัตว์ก็ยังมีอะไรให้ขัดเกลา แล้วก็มีศีลสมาธิ ปัญญา มีจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล มีธูตะ แล้วก็อยู่กันอย่างมีอาการน่าเลื่อมใสมีปาสาทิกะ อยู่อย่างอปยจะ ไม่ต้องสะสม ยิ่งกิเลสหมดแล้วไม่ต้องสะสม กิเลสวัตถุก็ไม่ต้องสะสม ชีวิตของพวกเรา อยู่กันอย่างสบายมีกินมีใช้เป็นส่วนกลาง จิตใจเราก็สงบไม่ต้องลำบากใจ อปจยะ แถมมาเป็นคน วิริยารัมภะ ปรารภความเพียรอยู่เสมอเป็นคนขยันรู้จักพักรู้จักเพียร ก็เป็นคนมีวรรณะ 9 อยู่อย่างนี้ เป็นคน The Classes
อาตมาว่า พาปฏิบัติธรรมถูกต้องตามพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระสูตรนี้ วรรณะ 9 คนมีความเป็นคนชั้นสูง คือวรรณะ 9
ส่วน อวรรณะ 6
-
เลี้ยงยาก (ทุพภระ)
-
บำรุงยาก (ทุปโปสะ)
-
มักมาก (มหัปปิจฉะ)
-
ไม่รู้จักพอ (อสันตุฏฐิ)
-
เกียจคร้าน (โกสัชชะ)
-
คลุกคลีหมู่คณะ(คลุกกองกิเลส) (สังคณิกา)