610527_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ คนจนที่มีแบบ ตอน6
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1dV8-eu-FxYKHRQHqd7EdpY4-uddXJxAB_8YvpAZ3tLA
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=16fPbATMMYfDNVmsAjT3vuf8xcZMbV7Kg
ดูยูทิวป์ได้ที่… https://youtu.be/RCPQAVtqq-I
สมณะฟ้าไทว่า… วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้เป็นฤดูฝน ก็ใกล้งานอโศกรำลึกแล้ว จะได้มีบรรยากาศความเขียวชะอุ่มพุ่มไสว มีพืชผักให้กินมากมาย จะมีการปลูกข้าวนาโยนในงานนี้ด้วย
ตอนนี้บรรยากาศของสังคม ก็มีเรื่องเกี่ยวกับการจับพระที่กระทำผิด ก็เป็นการทำให้ศาสนาพุทธดีขึ้น สิ่งที่ไม่ดีก็ควรถูกขจัดออกไป ก็จะทำให้ศาสนาพุทธดีขึ้น อย่างท่านพงศ์พรพราหมณ์เสน่ห์ ก็เป็นคนที่กล้าทำดี แม้เป็นสิ่งที่อาจถูกสังคมเข้าใจผิด เช่นการฟ้องร้องพระที่กระทำผิดพระวินัยและกฎหมาย
พ่อครูว่า…SMS วันที่ 25 พฤษภาคม 2561 (พ่อครู : ราชธานีอโศก)
_3867นมัสการพ่อครูฯสมณะสิกขมาตุฯผู้น้อยกราบขออนุญาติส่งกำลังใจเยี่ยมท่านพุทธะอิสระได้ไหม?เห็นน้ำตาญาติโยมแล้วสงสารเห็นใจลูกศิษย์ท่านฯที่ร่วมกิจกรรมภาคปชช.ด้วยเจตนารักษาปย.ชาติเพื่อปย.สุขปชช .มาตลอดสาธุ!กบสิ้นโศก
_3867ไม่ว่าจะเกิดวิกฤติใดในพุทธศาสนา!ก็ไม่มีวันบั่นทอนจิตศรัทธาในใจพุทธศาสนิกชนได้เลยตราบใดที่ยังมีสมาธิให้ตั้งมั่นต่อพระพุทธฯมีปัญญาให้คงมั่นในพระธรรมฯมีศีลให้ยึดมั่นตามพระสงฆ์ฯรักษ์พระรัตนตรัยในจิตวิญญาณธำรงพุทธศาสนาสืบไปฯพุทธมังสะวิรัติฯ
_3867เพราะธ.พ่อครูสอนให้เห็นสัญญาวิปลาสจิตวิปลาสทิฏฐิวิปลาสที่ชักนำจิตเลยมัชฌิมาหลงไปทางมิจฉาปฏิปทา!ท่านนำพาใจอุเบกขาละสุขทุกข์วางโลภโกรธหลงไร้อามิส!กลับมาดำเนินปฏิปทาด้วยปปัญจธ.สู่ทางสัมมาอาริยมรรคถูกต้องตรงญายธ.สาธุธ.พ่อครูฯคนโลกเงียบ
_เมย์ อรวรรณ · ระบอบทักษิณล่มสลายในยุคยิ่งลักษณ์ไปแล้ว แต่ขอให้ชาวไทยจงอย่าประมาทเพราะเชื้อของระบอบทักษิณยังไม่ตายค่ะ
พ่อครูว่า … เชื้อทักษิณมีมาก ยิ่งในวงการพุทธศาสนาก็ยังมาก เชื้อการเมืองที่เลวร้ายมันได้สั่งสมมานานมาก ประชาธิปไตยเลวร้ายสะสมมาเรื่อยๆ คนพยายามไม่ให้เกิดแต่สู้ชั่วอำนาจความเลวร้ายไม่ได้ มันสะสมมาจนมาถึงยุคทักษิณ ทักษิณไปจบวิชา อาชญวิทยา เลยใช้ความรู้นี้มาในทางชั่ว มันก็เลยยิ่งกว่าขนมปังทาหน้าปลาร้าเลย ฝรั่งปนลาว เหนือชั้นกว่าเจ๊กปนลาว ไปกันใหญ่และหนักหนาสาหัสกว่าที่เคยเกิดมาแล้ว อาตมาว่ามันแย่ที่สุดเลวที่สุดเกินกว่าที่เคยมี แย่จริงๆ คำว่า แย่นี้คือ ไม่รู้จะใช้ภาษาอะไรหนักหนาสาหัสกว่านี้ มันสุดยอดเลย เลวบวกเลว ได้น้องสาวมาอีกก็เชื้อเดียวกันผสมเข้าไปอีกยกกำลังไม่รู้เท่าไหร่หนักเข้าไปใหญ่ เป็นตัวอย่างที่คิดว่าคงไม่มีใครทำได้ถึงขนาดนี้เป็น best records บันทึกไว้เป็นยอดแห่งความเลว ไม่มีใคร beat records นี้ได้อีก นี่คือลักษณะสิ่งที่เป็นพฤติกรรมสังคมที่เกิดอยู่เป็นอยู่
แต่สรุปด้วยค่ารวมแล้วประเทศไทยดีขึ้นมาก ปราบตัวร้ายได้มาก มันก็เลยดีขึ้นมาก การทำให้ดีขึ้นคือ 1. ปราบสิ่งที่ร้าย 2. สร้างสิ่งที่ดี การปราบสิ่งเลวร้ายก็มีประสิทธิผล และสร้างสิ่งที่ดีซ้อนเข้าไปอีก การสร้างสิ่งดีอาตมาว่ารัฐบาลนี้ สร้างสิ่งดีพัฒนาการบริหารประเทศชาติ ที่มีทั้งบทบาทลีลา ไปห้ามพวกปากเน่าปากหนอน สิ่งที่ดีมาพูดเป็นเสียไม่ได้ จนมีคนยกสิ่งที่เขาทำดีไว้มากมาย อย่างคุณสุทิน วรรณบวร ยกมาเป็นต้น พวกมืดบอดก็ใส่ความใส่ร้ายตีทิ้งหมดเลยหลอกคน ช่างกระไร คนก็ไปฟังคนโกหกมดเท็จตอแหลอยู่ได้ มันก็มีในโลกนี้เป็นธรรมดา คนโง่คนฉลาดก็เป็นธรรมดา คนที่รักความโง่นี้ รักความไม่เจริญไม่ฉลาดก็มี แต่ตอนนี้เมืองไทยก็ดีขึ้นมาก ดีขึ้นอย่างเห็นๆ
อาตมาที่พูดยกย่องชมเชย เพราะว่ามันไม่ง่ายที่จะทำได้อย่างนี้ มันหมักหมมจับตัวแข็งด้าน แกะออกยาก เปลี่ยนแปลงยากแต่ก็เปลี่ยนแปลงได้ ตีให้แตกได้ แต่แน่นอนคนจะทำดีขนาดไหนสิ่งที่บกพร่องในองค์รวม มีจุดบกพร่องมันก็มีบ้าง แต่พวกคุณไปหาเรื่องเก็บเศษเล็กเศษน้อยที่ไม่ดีเหล่านี้มาตีฆ้องร้องป่าว
คนมีภูมิปัญญาวินิจฉัยให้ดีก็จะรู้ว่าอะไรจริงอะไรไม่จริงอะไรควรอะไรไม่ควร
_แก้วลา ไชยวงค์ · ถ้าวันนั้นพ่อครู สมณะ สิกขมาตุ ชาวอโศกทุกท่าน กปปส หลวงปู่พุทธะ อิสระ จะมีนายกฯตู่ได้ง่ายอย่างนี้หรือเจ้าค่ะ ลูกทุกข์ใจมากเป็นห่วงหลวงปู่พุทธะ อิสระมากๆเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า …อันนี้ก็จริงถ้าเผื่อว่าพวกเราคือพวกประชาชน เพราะเราบ้าง กปปส.บ้าง หลวงปู่พุทธะอิสระบ้าง พวกที่เป็นประชาชนที่เห็นแก่ชาติออกมารวมกันเปิดเผยความจริง พูดให้ประชาชนทั่วไปได้รู้ จนกระทั่งประชาชนมีความเข้าใจประชาชนรู้ตัวตื่นตัว จึงมีความเข้าใจร่วม มีกำลังมาร่วม เป็นประชาชนที่รู้จักว่าประชาธิปไตยคืออะไร ความถูกต้องคืออะไร ความไม่ถูกต้องคืออะไร ความไม่ถูกต้องจึงพ่ายแพ้ความถูกต้อง มันเป็นหลักเป็นเรื่องราวของพฤติกรรมประชาธิปไตยแท้ๆ พฤติกรรมของประชาธิปไตยในประเทศไทยเกิดขึ้นจริง
เพราะฉะนั้นนายกฯตู่ก็เลยมาปฏิวัติได้ง่ายๆ ไม่ยากอะไรก็เพราะมันสุกงอมแล้ว ประชาชนได้ทำประชาธิปไตยมาดีแล้ว เป็นประชาธิปไตยจริงๆ เป็นผลงานของประชาชน เป็นประชาธิปไตยที่ประชาชนช่วยกันทำให้รู้ว่าอะไรถูกหรือไม่ถูก ควรจะขจัดรัฐบาลที่ไม่ดีออกไป เมื่อพลเอกประยุทธ์ออกมาจัดการ เป็นตำแหน่งหน้าที่ที่ต้องทำและทำได้ดีต่อมาก็ควรจะสืบต่อไป เป็นเรื่องอิทัปปัจจยตาของการเมืองไทย ขณะนี้นายกฯตู่ก็ทำงานบริหารสืบต่อ เพราะการบริหารประเทศชาติทำงานเพื่อประชาชนก็ควรดำเนินการต่อมันเป็นไปตามธรรม
ขณะนี้วางแผนไว้ต่อไปมันก็จะมีการเลือกตั้ง ผู้ที่มาปฏิวัติทำได้พอสมควรก็พักไป ให้เข้าระบบที่สากลเขายอมรับมาทำงานต่อ ก็มีแผนไว้ทุกอย่าง แต่พวกที่ตีรวน เขาก็ต้องทำ มันเป็นสัจจะ ไม่ให้เขาตีรวนมันก็ไม่ได้ ให้เขานิ่งให้เขาปล่อยสบายๆ มันก็ทำให้ประชาชนไม่ตื่น ก็ต้องเป็นอย่างนี้มันจึงตื่นมารับรู้ว่าอะไรเป็นอะไร อย่าไปปล่อยปะละเลยเพราะบ้านเมืองเป็นของประชาชน ทุกอย่างมันเป็นสิ่งที่ดี อย่ามองว่าเป็นสิ่งที่เลวร้าย จริงๆแล้วมันเป็นสิ่งที่ดีมากอย่างนี้แหละดีก็จะได้ตื่นตัว จะได้รู้ว่าอะไรควรจะต้องได้ร่วมมือกันอะไรควรจะต้องจัดการอะไรที่จะต้องเสริมสานถูกต้องแล้ว
สำหรับหลวงปู่พุทธะอิสระก็ไม่ต้องเป็นห่วงท่านมากหรอก ท่านก็เป็นไปตามที่ถูกต้องที่มันจะต้องเป็นเช่นนั้นก็ดีแล้วไม่ต้องเป็นห่วงท่านหรอก แต่ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติที่ไม่อยากให้เป็น ไม่อยากให้เกิด ก็ต้องอาลัยอาวรณ์กันเป็นธรรมดาธรรมชาติ มันเป็นเรื่องธรรมะเป็นเรื่องของสัจจะ ศึกษาให้ดีไม่มีปัญหาอะไร
_ปองใจ จันทะมาศ · จะได้กว้างขึ้น. เมื่อออกอย่างนี้ค่ะ (น่าจะหมายถึงออกเผยแพร่รายการทางเฟสบุ๊ค)
_บุญจันทร์ จำปาทอง · กราบนมัสการท่านสมณะ. ท่านพูดเป็นเหตุ เป็นผลครับ
_ชุดา ภูติอนันต์ · เห็นกงจักรเป็นดอกบัวชัดเจนค่ะ
_บ้านเย็กเมืองน้อย .จากข่าวคึกโครมของปฏิบัติการจับสึกพระ
การจะเปลี่ยนคำถามของสังคมจากเงินทอนวัด มาสู่พระอั้งยี่ซ่องโจร จำต้องมีการเขียนบทและจัดฉาก
ให้ดูตื่นเต้น จึงเป็นที่มาของการเอาหน่วยพิเศษพร้อมอาวุธครบ ทั้งปืนกลและโล่มาเข้าฉากด้วย
พร้อมกับการร่วมมืออย่างเข้าขากันของสื่อ ทำให้กระแสความสงสัยอยากรู้ของสังคม พุ่งเป้าไปที่หลวงปู่
จนลืมให้ความสนใจกับที่มาที่ไปของเงินในบัญชีธนาคาร
หลวงปู่พุทธอิสระให้สัมภาษณ์ว่า ถ้าต้องสึก แล้วสามารถกระชากผ้าเหลืองที่คลุมอลัชชีได้ก็คุ้ม
แต่เท่าที่เห็น ฝ่ายเถระน่าจะคุ้มกว่า แค่ยอมสละผู้จัดการสาขา ซัก2-3คน แล้วสามารถขจัดหลวงปู่ที่เป็นหนามยอกอกไปได้
อีกทั้งยังลดกระแสกดดัน เรื่องฉ้อฉลยักยอกของพระ ให้ดูเบาลงด้วย เมื่อเทียบกับพระมาเฟีย
ภาพทั้งหมดสะท้อนเบื้องหลังของการบรรลุข้อตกลงที่มีผลประโยชน์ร่วมกันของทุกฝ่าย
แต่ behind เบื้องหลังจริงๆ ก็คือความกลัวและการดิ้นรน หนีการถูกปฏิรูปของทั้งฝ่ายเถระและตำรวจ
พ่อครูว่า…เราก็มองได้หลายมุม เป็นพฤติกรรมสังคมที่ดิ้นรนสู่ความเจริญ ทางศาสนาทางตำรวจก็พยายามดิ้นรนเพื่อเจริญก็เป็นไป ก็ดี ก็พัฒนาการขึ้นมาเรื่อยๆ
เรื่องของสังคมประเทศชาติเรื่องของการเมือง เรื่องของเศรษฐกิจ เรื่องของสังคมประเทศชาติ เป็น 3 มิติใหญ่ คนที่เข้าใจมนุษย์และสังคมจะมองออก ความหมายของเศรษฐกิจ การเมืองคืออะไร สังคมคืออะไร ผู้ที่เข้าใจจะชัดเจน อาตมาก็มองตามภูมิอาตมาว่า เมืองไทยนี้ดีจังเลย การเมืองของเมืองไทยมีวิวัฒนาการ เจริญทั้งความกว้างและลึก ไม่ได้พูดอย่างเล่นลิ้นแต่พูดตามความจริงที่อาตมาเข้าใจว่ามันเจริญกว่าประเทศใดๆในโลก เป็นประชาธิปไตยที่เจริญกว่าประเทศใดในโลก อาตมาเอาความหมายประชาธิปไตยที่ตามแบบพระพุทธเจ้าท่านหมายถึง
ประชาธิปไตยดีที่สุดคืออะไร เป็นความเป็นประชาธิปไตยที่อิสระเสรีภาพที่สุด และไม่มีตัวกูของกูที่สุด นี่คือประชาธิปไตยที่ดีที่สุดอะไรก็เทียบไม่ได้แล้ว นัตถิอุปมา axiom แล้ว ไม่มีอะไรแทนที่เปรียบเทียบได้ มันจบแล้วสุดยอดของความจริงแล้ว เป็นความอิสระสูงสุดและก็หมดตัวตน
1. ไม่มีตัวตน มีแต่ประชาชนมีแต่ผู้อื่นมีแต่คนอื่น เพราะฉะนั้นใครจะทำการใดเพื่อผู้อื่น ที่ไม่ได้ทำเพื่อตัวตนเองเลยนั่นแหละคือยอดประชาธิปไตย ในมิติหนึ่งของประชาธิปไตยเงื่อนไขของความเป็นประชาธิปไตยที่ชัดเจน
2. อิสระ ไม่ขึ้นอยู่กับใครมาบงการไม่ขึ้นอยู่กับพระเจ้ามาบงการ อยู่กับภูมิปัญญากับความจริงที่มีที่เป็นนี้เอามาทำ ทำด้วยความอิสระทำด้วยความรู้ ทำเพื่อความเจริญ ตำรวจของไทยเกียรติวินัยกล้าหาญมั่นคง …ไม่เคยคำนึงถึงชีวันถึงตัวจะตายก็ช่างมัน มันเป็นลักษณะจริงตามภาษาตามความหมาย
อย่างอาตมาขอเท้าความ ครั้งที่อาตมาไปชุมนุมประท้วง รายล้อมไปด้วยเขามีอาวุธยุทโธปกรณ์ อาตมาเป็นเป้านิ่งอยู่บนเวที บอกความจริงว่าอาตมาไม่เคยมีความกลัวสักนิดในใจเลย คนอื่นเขากลัวพยายามดึงเอาอาตมาลงพยายามดึงให้ออก ตอนนั้นก็เลยแสดงออกความแรงออกไปว่าไม่เอาไม่ไป คือ มันไม่ได้กลัวไม่เห็นว่าจะน่ากลัว มันก็เป็นการทำงานมันจะต้องทำงานมันถึงวาระที่จะต้องปัจจุบันธรรม rush hour เป็นวินาทีที่เร่งรัดที่สุดแล้วเราก็ต้องทำ อย่าปล่อย ปล่อยปละละเลยโอกาสอย่างนั้น มันมีก็ต้องทำ ก็ขยายความให้ฟังความคิดของอาตมารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ความกลัวนั้นไม่มี ถึงตัวจะตายก็ช่างมัน ไม่เคยคำนึงถึงชีวันอย่างนั้นจริงๆ พระสยามเทวาธิราช บารมีคุ้มครองก็เป็นไป อาตมาจึงเชื่อเรื่องบารมี เชื่อเรื่องความบริสุทธิ์ใจ ความบริสุทธิ์เท่านั้นจะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด
อาตมามีความบริสุทธิ์จึงชนะรอดพ้นมาได้ ไม่มีอะไรมาระคายเคืองเลย ไม่มีอะไรแผ้วพาลนี่คือสัจธรรม จะบอกว่าพลังงานพระเจ้าช่วยก็ช่าง มันเป็นสัจจะที่จะต้องเป็นอย่างนี้ ตถตา ต้องเป็นเช่นนี้ ไม่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่ นี่คือเหตุปัจจัยที่มันจะต้องเป็นเช่นนั้น สุดยอด
ขณะนี้ประเทศไทยกำลังมีเหตุการณ์ซึ่งข้อมูลองค์ประกอบมันมีเยอะมันก็เลยยาก อาตมาเป็นละครเล็กๆสั้นๆ องค์ประกอบไม่มากมันก็เลยพออธิบายกันได้ แต่ว่าประเทศไทยทั้งประเทศนี้องค์ประกอบมันมีเยอะ ก็เลยเอามารวมกันและขยายความกันได้ยาก
แต่สรุปแล้วอาตมาพยายามใช้ภาษาอธิบายก็ยังไม่ถึง ใช้ได้เท่านี้ สรุปว่ามันได้ผลเกินคาด จริงนะ ไม่ว่าจะถึงขั้นจะจัดการกับพระที่มีอำนาจบาตรใหญ่ บาตร คือที่ใส่อาหารพระบางทีเอาไปใส่แบงค์ใส่ธนบัตร บาตรใหญ่มากเลยนะ เป็นอำนาจบาตรใหญ่แต่สามารถจัดการลงได้ขนาดนี้มีในยุคไหนบ้าง เกิดปรากฏการณ์แบบนี้ เห็นไหม
มีในยุคไหนบ้าง ขั้นพรหม นี่ อาตมายังเข้าใจเอาตามภูมิและเดา ขั้นที่เจอคือพรหม ขั้นสูงกว่านี้คือสมเด็จ อาตมาว่าเขาคงเห็น หัวหน้าสมเด็จ ก็ฝากไว้ก่อนเถอะโอฬาร ก็เลยเล่นงานระดับรองลงมาเรียงหน้าเลย พรหมอื่นๆนี่หลุดวงจรนี้ไปได้ เป็นกุศลมาก ไม่ใช่บุญนะ หลุดวงโคจรนี้ได้ สามพรหมนี้จึงเป็นตัวอย่าง ที่เขาหยิบมาเล่นหนังม้วนนี้เรื่องนี้ สุดยอดเลย ขนาดชั้นพรหมที่เป็นรองจากสมเด็จ ธรรมดามีศาสนาพุทธในเมืองไทยไม่มีอะไรจะทำได้ถึงขนาดนี้หรอก นี่ทำได้เป็นงานเป็นการ ทำได้เป็นหลักฐานแล้วทำได้โดยที่ว่า ร่วมไม้ร่วมมือกันดี ฆราวาสนะ เป็นคนทำ ปล่อยให้พระด้วยกันไปทำไม่ได้หรอก เหมือนไก่กับงู ไก่ก็เห็นความลับของงู งูก็เห็นความลับของไก่ ทำอะไรกันไม่ได้ นี่เป็นฆราวาสไปจัดการ มันจึงเป็นไปได้
เป็นยุคกาลที่เจริญมาก อาตมาถือว่าเจริญมาก แม้แต่การปราบคอรัปชั่น ปราบการโกง เขาก็เอามาตีบอกว่าเขาไม่ปราบ แต่จริงๆแล้วปราบกันเยอะ ขนาดอยู่ที่ผิวกายผู้ปราบเองยังมีคอรัปชั่นเลย พูดอย่างนี้หมายความว่าอย่างไรก็แปลความกันเอาเอง เพราะฉะนั้นมันง่ายที่ไหน มันไม่ง่ายเลย เขาทำได้ขนาดนี้อาตมาว่ามหาศาลแล้ว
สรุปอีกทีหนึ่ง เขาทำได้มากทำได้ดีทำได้เยอะทำได้ครบ ทำได้เกินกว่าที่เคยทำมา ไม่มีแม่ยกพ่อยกอะไรมาตอบโต้สมยอมยอมแพ้เลย นี่ด้านปราบ
ที่นี้ทางด้านส่งเสริมพัฒนาก็ดี มีวิธีการทำอะไรต่างๆเอาออกมาประกาศทุกวันว่าวันนี้จะทำอย่างนี้พรุ่งนี้จะทำอย่างนี้ อาตมาไม่เห็นว่ารัฐบาล 29 รัฐบาล ไม่เห็นมีรัฐบาลไหนจะเข้าตาเท่ากับรัฐบาลนี้ที่ออกมาพูดกัน คนที่ไม่ชอบอาจจะหมั่นไส้
สิ่งที่ควรตำหนิก็ควรตำหนิ สิ่งที่ควรยกย่องข้อควรยกย่อง สิ่งที่ควรยกย่องแม้จะมีไม่มากแต่ก็ควรยกย่อง เพราะในสังคมมีแต่ปุถุชนส่วนมากกิเลสมันมีเยอะกว่า ความไม่ดีมันจะมีเยอะกว่าความดี มีแต่ความดีที่มีได้ถ่วงดุลสังคมไม่ให้เละเทะไปมาก ความดีจึงมีน้ำหนัก ความดีนั้นมีฤทธิ์มีอำนาจเหมือนปรอท แม้จะมีเล็กน้อยก็มีน้ำหนักมาก แต่ความไม่ดีเหมือนโฟมจึงถ่วงกันได้
เหมือนพวกเรานี้ชาวอโศกมีส่วนน้อย ชาวอโศกมีส่วนน้อย เปรียบกับคนในประเทศ เทียบค่าแล้วอโศกใสกว่าทางการเมืองเยอะ การเมืองยังมีคนเข้าข้างเยอะ ยังมีโพลออกมาให้เห็น โพลของนายกฯตู่ยังขึ้นนะ คือพวกเรานี้เขาถือว่าเป็นพวก untouchable ซึ่งมี 2 อย่าง
อย่างหนึ่งคือยกไว้เป็นยอดเป็นความจริง อีกอันหนึ่งเกิดต่ำจนเกินกว่าเขาจะไปแตะ มันก็เป็นความจริง อย่างอาตมานี้ไม่พูดเข้าข้างตัวเอง อาตมาเป็น untouchable เขาก็มองว่าเป็นคนแบบนั้น แต่ but ให้ understood อาตมาจึงบอกว่าจะมาไม่มีปัญหาเลยในการทำงานทุกวันนี้ อาตมาเป็นจริง แบบ untouchable แต่คุณเข้าใจว่าเป็นแบบจัณฑาลของคุณเอง แต่อาตมาก็ไม่มีปัญหาอะไร แล้วอาตมาไม่ได้หลงตัวเองจริงๆ ไม่มีใครหรอกจะมาบังอาจมาพูดมาว่า มาฉีกชี้จนกระทั่งขนาดนี้ว่า ศาสนาพุทธทุกวันนี้ แม้แต่จิตก็ยังไม่รู้สมาธิฌาน จิตที่เป็นอธิจิตต่างๆ ก็ไม่เข้าใจ บุญเป็นอย่างไร กุศลเป็นอย่างไร กายเป็นอย่างไร เพี้ยนไปหมดแล้วอาตมาก็มาฉีกชี้อธิบาย มีใคร ศาสนาพุทธผ่านมาป่านนี้แล้วมีใคร ไปค้นอรรถกถาจารย์ที่เคยมีบันทึกมาเลยว่ามีใครอธิบายอย่างอาตมานี้
ฉีกชี้ความต่างของกาย บุญ สมาธิ ฉีกชี้ความต่างของศีลและวินัย ฉีกชี้ความเป็นโลกียะ โลกุตระ ฉีกชี้ความแตกต่างระหว่างเวทนาที่เป็น เนกขัมมะกับเคหสิตะ ใครที่มา ฉีกชี้ ไปค้นอรรถกถาจารย์เลย จนกระทั้งอธิบายโลกียะโลกุตระได้แบบนี้ พูดแล้วเหมือนอวดตัวอวดตนแต่ว่าจริงๆแล้วพูดความจริง อาตมาไม่มี สาเฐยจิต คือไม่มีจิตอยากอวดโอ่
นี่คือการพูดความจริงถ้าหากอาตมามีจิตอยากอวดโชว์ แล้วอาตมาก็บอกว่าไม่มีจิตแบบนี้ อาตมาก็โกหกอวดอุตตริมนุสสธรรม อาตมาก็เป็นปาราชิกแล้ว ถ้าหากอาตมาเป็นอย่างที่พูด อาตมาก็ปาราชิกแล้ว แต่อาตมาไม่ได้เป็นอย่างที่พูด อาตมาเป็นอย่างที่พูด อย่างที่พูดมันถูกก็ใช่ อย่างที่ไม่ถูกก็พูดว่าไม่ใช่ อาตมาต้องพูด ถูกต้องก็ต้องพูด แต่สิ่งที่ผิดก็ต้องพูดเพราะว่าเขาไม่รู้จักสิ่งที่ผิด เขาหลงความผิดเป็นความถูกด้วยซ้ำไป พวกนี้แก้ยาก เขาไม่ยอมท่าเดียว อาตมาก็ไม่ยอม ต้องดึงออกมา จะโง่ไปถึงไหน ทำงานได้ยากแสนยาก เหนื่อยแสนเหนื่อย สนุกก็สนุก มันสุดยอดลีลาเลย
พระพุทธเจ้าพูดแสดงธรรมเคยมีแสดงธรรมให้ภิกษุ 180 คน มี 60 คนที่โลหิตร้อนแล้วพุ่งออกจากปากตายเลย อีก 60 คนขอลาสิกขา อีก 60 คนดวงตาเห็นธรรมบรรลุธรรมได้
อาตมาก็ว่าอาตมาคล้ายๆอย่างนี้ แต่ไม่ถึงอย่างนี้ก็มีคนทั้งสามอย่างนี้ อาตมาว่าคนฟังอาตมาแล้วโลหิตร้อนพุ่งออกจากปาก คงไม่ใช่แค่ 60 คนหรอกคงเป็นร้อยคนเลย เหลืออีก 80 สึก เหลือให้อาตมาสัก 10 อาตมาก็ว่ามากแล้ว 10 คนในร้อยแปดสิบคนนี้นะ ที่ได้
มันเป็นสัจจะเพราะว่าคนในยุคนี้ฟังโลกุตรธรรมไม่รู้เรื่องแล้ว ก็จะบอกว่าพูดอะไรไม่รู้เรื่องเลยเพราะเขาไม่รู้เรื่องจริงๆ ก็น่าสงสาร แต่ว่าอาตมาก็เลี่ยงไม่ได้ อาตมาจะไม่พูดถึงโลกุตรธรรมมันไม่ได้ เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้าคือโลกุตรธรรม เป็นธรรมะที่เป็นอีกทางหนึ่งที่ต่างจากโลกีย์ และพระพุทธศาสนาต้องมาเป็นโลกุตระ ทุกวันนี้มันจึงไม่มี ไม่เหลือแล้วมันเป็นโลกียะ หยำฉ่าด้วย เป็นโลกียะที่เละและเน่าด้วย
พวกคุณก็ไม่ได้มา ไม่มีมวลชนที่เป็นพุทธศาสนิกชนเป็นเช่นนี้ อาตมาทำสำเร็จจนกระทั่งพุทธศาสนิกชนมารวมตัวกันเป็นชุมชนหมู่บ้าน มีชีวิตร่วมกันอยู่อย่างนี้จริงๆเลย มีชีวิตดำเนินชีวิตไปอย่างนี้ เอาสัมมาอาชีพ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ มาอยู่ในนี้หมดเลย แล้วทำอาชีพทำมาหากินในนี้การกระทำ สังกัปปะ มานึกมาคิดมาพูด มาศึกษาอยู่ในนี้หมดเลยครบพร้อมหมดเลย จนกระทั่งเป็นรูปธรรมของสังคมศาสนาพุทธที่เป็นตัวอย่างของโลก
เป็นสังคมคนจนสังคมขาดทุนให้แก่สังคมเป็นกำไร ยังไม่ได้เสแสร้งหรือพูดเอาโก้ ก็เป็นสังคมที่ถึงขั้นเป็นสาธารณโภคี ทุกคนอยู่ในนี้เป็นครอบครัวเดียวกันเสมอกัน อิสระเสรีภาพ คนเข้ามาในนี้ไม่มีใครมาบังคับ ไม่มีใครไปบังคับเข้ามา ไม่มีใครไปโฆษณาป่าวประกาศชี้ชวน ให้เขามา ไม่มีใครไปประเหลาะให้เข้ามา ไม่มีใครไปยั่วยวนให้เขามา มีแต่ความจริงเปิดเผยแต่ความจริง พูดแต่ความจริง แสดงแต่ความจริงออกไปเต็มๆ ทุกคนมีอิสระเสรีภาพ เห็นเอง รู้เอง เข้าใจเอง พอใจเอง แล้วมา ไม่พอใจก็ไม่มา เพราะฉะนั้นจึงได้คนที่มีปัญญาที่เข้าใจคนที่พอใจยินดีเข้ามา ได้เท่านี้ ในพลเมือง 70 ล้านคนไทย มีประมาณนี้แหละ
ที่นี่ราชธานีอโศก อยากได้สมาชิกสัก 1000 คน ถึงวันนี้ 20 กว่าปีแล้ว ราชธานีอโศกนี้ยังไม่ถึง 700 เลย ยังไม่ใกล้ 700 เลย 500 คนก็ยาก บางทีสูสี จัดงานทีก็จะถึงพันบ้าง หากไม่จัดงาน เมินเสียเถิดอย่าคิดถึง อย่างเก่งกว่า 400 กว่า การประชุมคราวนี้สมาชิกราชธานีอโศกมีผู้มาเข้าร่วมประชุม 400 คนก็ดีที่สุดแล้ว อย่างมาก อย่างธรรมดาก็ 200 ก็ดีแล้ว ดีไม่ดี เหลือแค่ร้อยกว่าคนมันเมื่อยไม่มาประชุม บอกว่าประชุมหมู่บ้านนะก็มากันเท่านั้น
แต่ถึงอย่างไรอาตมาก็ภูมิใจและสนุกใจ สบายใจที่ได้ทำงานนี้เกิดมาเป็นคนในชาตินี้แล้วเป็นนายรัก รักพงษ์ แล้วก็รู้ตัวตั้งแต่อายุ 36 จนกระทั่งเดี๋ยวนี้อายุ 84 แล้ว เลยอายุ 72 มา จนกระทั่งมาเป็น 84 เลย เลยมาอีก 1 นักษัตร ก็เป็น 84 ก็ยิ่งเห็นว่าเรามีบุญวาสนามีโชคมากที่ไม่ได้ไปหลงบ้าบอกับทางโลก อาตมาไม่ได้พ่ายแพ้ทางโลกนะที่จะไปแย่งลาภยศสรรเสริญ โลกียสุขกับทางโน้นไม่ได้พ่ายแพ้เลย ถ้าเผื่อว่าอาตมาไม่มีมาทางโลกุตระทางศาสนา อาตมาจะยังอยู่ทางโลก อาตมาตั้งบริษัทหัวใจสีชมพูแล้ว เสร็จแล้วก็มาทางบันเทิงธุรกิจสร้างหนังเทวดาขึ้นมา เรื่องโทน ฉายแล้วได้รายได้ทำลายสถิติ เพราะหนังไทยนี้เขาฉายหนัง 35 mm เก่งที่สุดก็ฉายได้ 2 ล้าน เรื่องเพชรตัดเพชร ต่อมาถึงยุคหนังโทนก็มีหนังเรื่องมนต์รักลูกทุ่ง ฉายที่โรงหนังโคลีเซี่ยม ส่วนหนังโทนฉายที่โรงหนังเฉลิมไทย
ที่โคลีเซี่ยมก็เอาคัทเอาท์ใหญ่มาตั้งไว้ที่หน้าโรง ว่าวันนี้ได้เท่านี้ล้านแล้ว เขาก็เพิ่มขึ้นๆมา ก็ดูว่าทำไมมันเพิ่มขึ้นมาก อาตมาไปบวกลบคูณหารและดูที่นั่งไปคำนวณดู มันเกินกว่าที่ควรจะได้ อาตมาว่าเป็นเรื่องที่หลอกสังคม
หนังโทนมีเพลงดัง อาตมาเป็นหัวเรือใหญ่ มนต์รักลูกทุ่งเขาก็มีเพลงดัง อาตมาก็ไปเช็คกับแผ่นเสียง ว่าต้นตอจริงๆนั้นใครปั๊มออกมามากกว่ากัน ขายในตลาด ต้นตอมีการพิมพ์ซองและปั๊มแผ่น อาตมาไปดูแล้ว มนต์รักลูกทุ่งไม่ได้ปั๊มแผ่นมามากกว่าหนังโทนเลย ทั้งที่บริษัทพิมพ์ซองและบริษัทพิมพ์แผ่น เราเองก็ต้องเข้าข้างหนังโทนเพราะเราแต่งเพลง
เรื่องของโลก อาตมาไม่ได้แพ้โลก พอทำหนังโทนเสร็จ อาตมาไม่ได้เอาเงินเลยนะนายเปี๊ยกคนกำกับเขาก็รู้ อาตมาคนทำเพลงไม่เคยคิดเรื่องเงินทองเอามาเลย แต่เขาก็เอามาช่วยอาตมาทีหลัง อย่างคุณชวนนี่เขามีโรงพิมพ์ อาตมาจะพิมพ์หนังสือเท่าไหร่เขาก็ไม่คิดราคาเลย เป็นเรื่องของจิตใจที่พิสูจน์ได้เลยว่าเขาไม่เห็นแก่เงินกันจริงๆ คนไม่อยากเอาคนยิ่งอยากให้
อาตมาอยู่ทางโลกก็เจริญทางบันเทิง ไปในทางอบายมุขเป็นบันเทิงธุรกิจเป็นอบายมุข ตัวเลขมันสูง ในยุคนี้มันบ้าและโง่หลงการบันเทิงธุรกิจ หลงการกีฬา หลงอบายมุข เอาอบายมุขนำหน้ายิ่งใหญ่ ค่าตัวของดาราค่าตัวของนักกีฬาแพงลิบลิ่ว มันก็ส่อให้เห็นถึงยุคสมัยที่มันเลวร้าย ยุคสมัยที่ตกต่ำก็ไปหลงที่เป็นนรกเอาขึ้นมาเป็นสวรรค์ มันเป็นอย่างนี้มันเป็นสัจจะ อาตมาไม่ได้สงสัยอะไรมันชัดเจน ถ้าหากอาตมายังมุ่นในทางนรกอาตมาก็ไปทางนั้น เคยพูดทีเล่นทีจริงๆว่า หากอาตมายังอยู่ แกรมมี่อาร์เอสก็คงไม่เกิดได้หรอก บริษัทหัวใจสีชมพูจะดังสนั่นรวมนักร้องดารา ก็โชคดีที่ไม่ได้สร้างนรกใหญ่อย่างนั้น เป็นนรกปหาสะ ไม่ได้ด่าว่าใครนะ ความบันเทิงเริงรมย์เป็นเรื่องของความหลงผิดของเรามันโง่ ขิฑฑาปโทสิกะ จิต หรือมโน หลงความบันเทิงรื่นเริงเป็นโทษ
มันมี 2 อย่าง ขิฑฑาปโทสิกะหลงบันเทิงเป็นโทษ กับ มโนปโทสิกะ คือหลงจิต หลงอัตตาเป็นโทษ คนที่ยังหลงอย่างนี้ก็มีสวรรค์กับนรก ความจริงแล้วศาสนาพุทธไม่ไปให้หลงสวรรค์ สวรรค์เป็นเรื่องหลอก สวรรค์ 6 ชั้นเป็นเรื่องหลอกโกหกกัน ศาสนาพุทธไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก เพราะฉะนั้นถ้ายังไปงมงายอยู่กับสวรรค์ มันก็ยังไม่เป็นศาสนาพุทธทีเดียว ศาสนาพุทธต้องตีทิ้งสวรรค์ ตีไม่ขาดก็ยอมให้มีสวรรค์ อนุโลมให้นะ แต่จริงๆแล้วต้องไม่มี มันถึงจะเป็นพุทธที่ชัดเจน หมดสวรรค์ก็หมดธรรมะคู่ ศาสนาพุทธนั้นหมดธรรมะคู่
เข้าสู่บทเรียน หนังสือ คนจนที่มีแบบข้อ 21
ต้องแยก มโนปวิจาร มโนคือจิต วิจารคือลีลาบทบาท ลีลาของโลกีย์คือเคหสิตะ ลีลาของโลกุตระคือเนกขัมมะ ต้องมาหาอเทวนิยม คือไม่มีสอง
อเทวะ อเดอิซึ่ม กับ เทวะ เดอิซึ่ม
ใครเข้าใจธรรมะ 2 แบ่งไม่ได้โดยเฉพาะจิตที่มีเวทนา 2
ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
ภวันติคือทำสำเร็จผล คนนั้นคือคนบรรลุธรรมของศาสนาพุทธ
ถ้าเป็นศาสนาเทวนิยมก็คือศาสนาที่ยังมี 2 เพราะฉะนั้นศาสนาที่มีสองก็คือศาสนาที่มี
1. มีท้าวมหาพรหม 2. มีบริวารของท้าวมหาพรหม ขาดกันไม่ได้ ถ้าเหลือแต่ท้าวมหาพรหมไม่มีบริวาร ก็จะไปเทียบกับอะไรเป็นหนึ่ง ไม่มี 2 ให้เปรียบเทียบ ศาสนาพุทธนั้นทำ 1 เทียบได้ว่า 1 นี้ไม่เป็น 2 เมื่อไม่เป็นสองก็หมดเมถุน หมดความเป็นทาสคู่ หมดความเป็นภาวะคู่ ก็ไม่มีการเกิด หนึ่งเดียวไม่มีเกิด ไม่มีผลอะไรเกิดเลยเหมือน ฉิ่งข้างเดียว ตบมือข้างเดียว วืดๆๆ ยิ่งไปหา 0 เลย จบ
ส่วนศาสนาที่มีสองนั้นมันมียิ่งมากขึ้นเป็น 4 เป็น 8 เป็น 16 เป็นเท่าไหร่ๆทับทวีขึ้นไปอีกเยอะ 2 นั้นมันไม่มีดับ มันมีแต่ขยายผล จึงเป็นศาสนาที่ไม่มีจบ เป็นศาสนาที่ไม่พ้นทุกข์ ไม่พ้นสองคือไม่พ้นสุขไม่พ้นทุกข์ ถ้ามีสุขอยู่คือมีทุกข์ตลอดกาลนาน ไม่มีจบสิ้น
เพราะฉะนั้นต้องดับทุกข์หรือดับเหตุแห่งทุกข์ คือ สุขนี่เองตัวร้ายกาจ
ที่จริง พยัญชนะ สุขคือ ความว่าง มันไม่มีหรอกสุข มันเป็นสุขขัลลิกะ เท็จ สุขโกหกจริงๆมันไม่มี มีแต่สุ กับ ข ตัว ข แปลว่าว่าง ว่างต่างหากดี ไปมีสวรรค์นั่นแหละมันเป็นเท็จ
ทุกข์นี่แหละคือสุข ทุกข์นี้ ก.ไก่มาก่อน เป็นเจ้าของไข่นะ ไก่เป็นอัตตา อัตตนียาของไข่นะ ไปบอกว่าไข่เกิดก่อนไก่ไม่ได้ เพราะไก่เป็นเจ้าของไข่ ถ้าไม่มีไก่ ไข่เกิดได้อย่างไร หากไม่มีไก่ ไข่ก็ไม่มีอะไรฟัก ไข่ก็เน่า
(21) แยก“สมมุติสัจจะ”กับ“ปรมัตถสัจจะ”กันยังไม่ได้
มันก็หลงเพี้ยนไปยึดเอา“สมมุติสัจจะ”กันที่“เสียง” อยู่กับ“รูปธรรม”หรือ“วัตถุธรรม”คือ“เสียง”แท้ๆ งมหลงอยู่ตรงนั้น ไม่ได้ลึกเข้ามาหาความเป็น“จิต-เจตสิก”เลย ยิ่งเป็น“เวทนา”ก็ยิ่งต้องมี“ปัญญา”ละเอียดลึกเข้าไปอีกอย่างสำคัญมาก เมื่อหลงผิดกันก็งมจมอยู่แต่กับ“ทางเขาวงกต”วนอยู่แต่ใน“ความเป็นทาง” ออกจาก“ทาง”ไม่ได้เลย
คำว่ามัชฌิมาปฏิปทา มีสองคำ คือ มัชฌิมา คือกลาง กับ ปฏิปทา คือการปฏิบัติ แต่เขาเอาไปรวมกันเป็นคำเดียวคือบอกว่าทางสายกลาง ที่จริงมันไม่ใช่ทางปฏิบัติ ทางคือการเดินสิ่งที่พาไป กลางคือไม่ไปข้างนั้นข้างนี้ อยู่ตรงนี้ไม่มีปลาย ไม่มีอันตา ไม่มีโต่งไปข้างไหน ทำให้สำเร็จ ความเป็นกลาง มันต้องรู้สภาวะถึงขั้น
อารมณ์หรือเวทนาหรืออาการ หากข้างนี้มันสุขมันทุกข์ มันเป็นโทมนัสโสมนัส ข้างนี้มันกลางแต่บำเรอสุขอย่างโลกีย์ คุณเรียกสุขเหมือนกันแต่ห่างไกลสุขโลกุตระ ที่เป็นสุขที่ไม่มีสุข สุขที่สูญจากสุข ขอยืมพยัญชนะมาเรียกเท่านั้นว่าสุข เพื่อให้รู้ว่าสุขคือสบายใจ คือประโยชน์ของจิต ในโลกุตระเห็นว่าไม่สุขไม่ทุกข์คือประโยชน์ของจิต
หากพยัญชนะไม่ถูก พยัญชนะไม่ถูกสภาวะด้วยก็สับสนปนเปกันเละเทะ ก็เลยปฏิบัติผิด พยัญชนะผิด สภาวะยิ่งปนเละ
ความว่าง แบบเคหสิตอุเบกขาเวทนา กลางๆเหมือนกันแต่เคหสิตะ แล้วมันต่างจากเนกขัมมะอย่างไร
เนกขัมมสิตอุเบกขากับเคหสิตอุเบกขา สภาวะต่างกันอย่างไร แม้อุเบกขาเหมือนกันนะ
มันว่างเหมือนกันเฉยเหมือนกันนะ แต่ที่ไปที่มาองค์ประกอบต่างกัน โลกียะได้มาเพราะบำเรอกิเลสมันก็เลยสบายใจชอบใจ จนกระทั่งมันเบื่อแล้วก็วางพักยก มันพอแล้วมันเบื่อแล้วมันก็วางเป็นธรรมชาติ มันชินชา มันก็ไม่เอาอีก มันว่างอย่างพักยกมา เดี๋ยวมันก็อยากใหม่ก็ต้องไปหามาดิ้นรนมาให้มันเกิดสุขอีก ไม่ได้มาก็เกิดทุกข์ ความสุขความทุกข์มันจึงคู่กัน ได้มาเสพก็สุขใจคุณก็อยู่กับโลกีย์ไม่เคยจบ พักยก คนหลงว่าอุเบกขาพักยก บางคนไปฝึกฝนนั่งสะกดจิตอุเบกขาได้เก่ง เลยเก่งจนกระทั่งลืมตามาก็มีจิตอุเบกขาเฉยๆได้ ได้เหมือนกันมันเก่งมันทนได้ ยั่วยวนอย่างไรก็ทนได้เพราะฝึกฝนจิตให้มันจับกันแน่นควบแน่นมั่นคงแข็งแรง กระทบก็ได้ผล เลยหลงว่าอันนั้นคือนิโรธ ว่าอันนั้นคือความดับ หลงว่าอันนั้นคือความหลุดพ้นเป็นวิมุติ นี่คือสายสมถะหลงอย่างนี้ หากคุณไปฝึกมากๆฝึกนั่งสะกดจิตคุณก็ได้ ได้อย่างเป็นความหลอก คนสะกดจิตไว้นานก็ได้นาน หากสะกดได้จนกระทั่งนานจนนึกว่าตัวเองนี่ไม่มีกิเลสแล้วนิโรธแล้ว แล้วก็มีชีวิต 200 ปีตายคุณก็ตายไปอย่างที่คุณนึกว่าคุณบรรลุ ความหลงที่คุณหลงว่าบรรลุนี้ก็ตกอยู่ในภพชาติไป ตายแล้วไม่มีดินน้ำไฟลม ตายแล้วไม่มีดินน้ำไฟลมความรู้สึกของคุณก็เกาะแน่นอยู่ตรงนั้น อย่างอาฬารอาบส ได้อากิญจัญฯ เป็นนิโรธ ส่วนอุทกดาบสได้เนวสัญญาฯเป็นนิโรธ ตายแล้วก็สบายนิโรธไม่รับรู้ได้นาน
หากเป็นคนเป็นก็ตื่นมามีตาหูจมูกลิ้นกายมันก็ตื่นมารับรู้ แต่หากตายไปแล้วมันก็ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย จมอยู่ในจิต ตายแล้วไม่ต้องลุกขึ้นมากินน้ำ ตายแล้วไม่ต้องไปทำงาน ตายแล้วไม่ต้องไปทำอะไร เพราะฉะนั้นคุณก็สบายนะ คุณก็จมอยู่ในนั้นอีกกี่ล้านปี จมอยู่ตรงนั้นไม่มีจริงๆ คุณหายไปเลยมีแต่ความรู้สึก จิตของคุณมีเวทนาชนิดที่หลงว่าเป็นนิโรธ หากไม่มีอะไรมาสะกิดคุณเลย เมื่อตายไปมันนานมากไม่รู้กี่กัปป์ พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าฉิบหายหนอตายไปแบบนั้น หากคุณมีขันธ์ 5 ก็ต้องตื่นมา
เขาเคยมีคนสะกดจิต เข้านิโรธแบบนั้นได้ เก่งสุด 45 วัน
เขาเคยทดสอบกัน เอาให้สะกดจิตเข้านิโรธ แล้วเอาใส่ลังฝังดินได้ 26 วันแล้วก็เอาขึ้นมาปรากฏว่ายังไม่ตาย เขาก็พิสูจน์กัน เอาที่เคยอ่านเคยเจอเขาเล่ามา แต่ไม่เคยไปพิสูจน์ทดสอบ อาตมาเองก็นั่งหลับตาเป็น ทำมาหนักหนาเหมือนกัน ก็ไม่ได้พูดโดยที่ตัวเองไม่เป็นเหมือนหมาเห็นองุ่นเปรี้ยว เหมือนพระพุทธเจ้าไปเรียนรู้กับ อาฬารดาบส อุทกดาบส ท่านก็ทำได้แต่บอกว่าไม่ใช่ทางบรรลุ ไปงมในฌาน 7 8 แบบหลับตาทำไม
พูดกันทุกวันนี้ อย่าไปหลงสะกดจิตแบบนั้น ศาสนาพุทธต้องลืมตาปฏิบัติ มีตาหูจมูกลิ้นกายมากระทบสัมผัสเป็นเหตุปัจจัย ไม่ใช่การสะกดจิตลงไปให้เป็นหนึ่ง แต่สมาธิของพุทธนั้น รู้อะไรทุกอย่างหมดเลย แต่ว่าจิตนั้นไม่มีกิเลส แม้ที่สุดอาสวะอนุสัยก็ไม่มี แล้วรู้ตัวเองว่าอนุสัยคืออะไร อาสวะคืออะไร ก็ดับมันจนไม่ให้มันเกิดอีก ไม่ให้มันเกิดอีกเลย อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ไม่มีทางจะเกิดอีกเลย อย่างนี้คือสมาธิ จิตแข็งแรงตั้งมั่น อย่างลืมตาสัมผัสแล้วอยู่เหนือเลย คนอื่นพ่ายแพ้คนอื่นสู้ไม่ได้ แต่ผู้อื่นเขามีลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เขาก็มีกัน แต่เราอยู่เหนือหมดเลย อย่างไม่ได้หนี อย่างรู้หมดเลย ลูบหัวล้าน ลาภ ยศ สรรเสริญ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เล่นเลย ทำอะไรไม่ได้ เหมือนเด็กน้อยถูกผู้ใหญ่จับหัวเอาไว้ เขาก็ชกมาแขนมันก็ไม่ถึงผู้ใหญ่ แข็งแรง ไม่ได้หนีแต่มีสติเป็นอธิปไตย มีปัญญาเป็นความอยู่เหนือ มีธรรมะ 2 มีสติกับปัญญา สติมีความแรง มีความตื่นรู้ รู้ทุกอย่าง อย่างไม่ได้หนีไม่ได้หลบเข้าภพ เราเองเห็นยิ่งกว่าเขาด้วย มีสติเต็มที่ แล้วมีพลังปัญญาอยู่เหนือเป็นอุตระ โลกียะเหมือนเด็กน้อย ไอ้หนู เอ็งจะออกแรงเท่าไหร่ก็ตามใจเถอะ
แสดงทั้งซุ่มเสียงสำเนียง ภาษา ลีลาท่าทางขยายให้ถึงสภาวะธรรม ทำไมไม่ฉลาดยิ่งกว่านี้นะ อาตมาไม่ว่าโง่ ทำไมไม่ฉลาดกว่านี้ ให้อาตมาอธิบายยากทำไม สรุปเข้าเป้าว่า สมมติสัจจะไม่รู้ ปรมัตถ์สัจจะไม่รู้เพราะว่ามันวิปลาสผิดเพี้ยนไป
เพราะ“ทิฏฐิวิปลาส” ความเข้าใจผิดเพี้ยน การกำหนดหมายจึงผิดเพี้ยนตาม“สัญญาวิปลาส” ที่สุด“จิตก็วิปลาส”ไปตาม“ทิฏฐิ” ตาม“สัญญา”ที่ปฏิบัติผิดเพี้ยน
ต้อง“พ้นวิปลาส 3”นี้ให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะยิ่ง“วิปลาส 4”กันไปใหญ่ ซึ่ง“วิปลาส 4”มันก็เสียหายทำชีวิตเลอะเทอะเละเทะแย่ ได้แก่ 1. วิปลาสในภาวะไม่เที่ยง(อนิจจัง)ว่าเที่ยง(นิจจัง) 2. วิปลาสในภาวะที่เป็นทุกข์(ทุกขัง)ว่าเป็นสุข(สุขัง) 3. วิปลาสในภาวะที่ไม่เป็นตัวตน(อนัตตา)ว่าเป็นตัวตน(อัตตา) 4. วิปลาสในภาวะที่ไม่น่าได้น่ามีน่าเป็น(อสุภ)ว่า น่าได้น่ามีน่าเป็น(สุภ) หรือ“ไม่งาม(อสุภ)”ว่า“งาม(สุภ)”[พตปฎ. เล่ม 21 ข้อ 49]
คนเป็นอรหันต์บอกว่า ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป คนไม่เป็นอรหันต์ก็บอกว่ามันต้องมีสุขบ้างมันก็เลยไม่ถูกทาง
มันถุงขี้ผูกโบว์ มันหนังควายหุ้มขี้ ไปเห็นว่างามอยู่ได้ หนังควายมันหลอกนะ ที่จริงมันขี้ มันขี้ผูกโบว์เอาไว้นะ
นั่นคือ ต้องปฏิบัติให้“จิตไม่มีอาการสุข-ไม่มีอาการทุกข์” จิตเป็น“อุเบกขา” ด้วย“ปัญญา”อันยิ่งของตนเอง
แม้ผู้ใดจะทำจิตได้ถึงขั้น“ไม่มีอาการสุข-อาการทุกข์” ก็จะต้องไม่ยึดมั่นถือมั่นว่า“จิตอย่างนี้”เป็นของเราอีกที
ถ้ายัง“ยึด”จิตเฉยๆกลางๆอยู่ก็ไม่สิ้น“ภพ”จบ“ชาติ”
“ความยึด”นี่แหละคือ “สุดยอดแห่ง“อาการจิต”ที่ต้องศึกษาใน“อาการ-ลิงคะ-นิมิต-อุเทศ”ให้รู้จักรู้แจ้งรู้จริง จึงจะ“ปล่อยวางสภาวะ”นั้นๆได้จริง สำเร็จจบไม่มี“ภพ-ชาติ”
คือ ไม่มีภพ-ชาติของนรก-ของสวรรค์,“ไม่ทุกข์-ไม่สุข”
หากไปนั่งหลับตาสะกดจิตไว้ มันชั่วคราว ไม่เผชิญหน้าของจริงแล้วจับตัวโจร มันทำให้เอาโจรใส่ลังหลายชั้นแล้วใส่กุญแจไม่รู้กี่ชั้น แล้วนึกว่าโจรไม่มีแล้ว จะฆ่าต้องเห็นตัวเห็นตน อย่างสัมผัสปัจจุบันเห็นๆ
ปฏิบัติตามลำดับตั้งแต่มีศีลก่อน ศีลไปตามลำดับ ถ้าทำเป็นแล้วมันจะไปได้เป็นลำดับ ศีลทำให้ถึงจิตเป็นอธิจิต มีปัญญาช่วย นิโรธ วิมุติไปเรื่อยๆ ตามขั้นตอน พระพุทธเจ้าสอนอย่างมีสวากขาตธรรมแต่ไม่เข้าใจก็หนีเข้าป่าถ้ำ มันเลยผิดเพี้ยนไปทุกวันนี้ แล้วก็ไปนั่งสะกดจิตให้มันเฉยๆกลางๆ ความยึดหรือนี่แหละคือสุดยอดแห่งอาการจิตที่จะต้องศึกษา ศึกษาในอาการลิงคะ นิมิต อุเทศ
อาการมันเคลื่อนไหว ไม่มีแสงสีเสียงให้เห็นหรอก แต่มันจะมีอาการเคลื่อนของจิต อาการเคลื่อนของกาย คือภายนอกก็มีกายวิญญัติ มันเคลื่อนไหวรวมดิน น้ำ ไฟ ลมภายนอกหรืออาการพูดคือวจีวิญญัติ มันก็ละเอียดกว่ากายแต่คุณจะต้องรู้ไปถึง มโนวิญญัติ ถึงจะรู้ วิการรูป 5 คือ ลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา กายวิญญัติ วจีวิญญัติ
หากไม่รู้แม้กายก็ไม่รู้รูป วิการรูป 5 นี้ได้หรอก ทุกวันนี้ไปเรียนหลงจิต 89 121 ไปโน่น แต่ไม่รู้รูป 28 ไปหลงเรียนจิต 121 ไม่ต้องเลย มาเรียนรู้รูป 28 กับ นาม 5 นักอภิธรรมติดตรรกะภาษา หลงภาษาเหตุผล ปรัชญา เก่ง สำนักอภิธรรม น่าสงสารไปติดในภาษาพยัญชนะกัน ไม่เข้าหาสภาวะธรรม เมื่อไม่รู้ในอาการว่ามันเป็นอย่างไร คุณก็ไม่สามารถที่จะรู้ลิงคะ
ลิงคะ คือความแตกต่างของธรรมะ 2 อาการอย่างนี้คือรูป อาการอย่างนี้คือนาม เป็นธรรมะ 2
อาการอย่างนี้คือเวทนาคือความรู้สึก แยกความรู้สึกอย่างนี้คือความรู้สึกโลกีย์ ความรู้สึกเก๊ อย่างนี้คือความรู้สึกแท้ ความรู้สึกที่รู้ความจริงตามความเป็นจริง เช่น เราสัมผัสกล้วย ลิ้นไปลิ้มรสกล้วย ถ้ารสมันเป็นอย่างไรกล้วยลูกนี้ เจ๊กไทยฝรั่งแขกสัมผัสความรู้สึกอันนี้ที่เป็นรสแท้ก็อันเดียวกันหมด จะเรียกเป็นภาษาอะไรก็แล้วแต่ หารสหวานก็หวาน จะเรียกภาษาไหนก็แล้วแต่ สภาวะ ก็หวาน แต่คนโง่มีสภาวะเวทนา 2 เป็นความรู้สึกมีอาการสุขทุกข์ เป็นความรู้สึกเก๊ ความรู้สึกปลอม อย่างนี้ชอบ อย่างนี้ไม่ชอบ ความชอบนี้มันเก๊ ไม่ชอบมันเก๊
แต่ถ้าสัมผัสแล้วมันกลางๆเป็นเคหสิตอุเบกขาแต่พอดีตรงกันกับเนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา กลางเหมือนกันแต่นัยต่างกัน นัยอุเบกขาพักยกกลางๆ อีกหน่อยมันก็เกิดความชอบความชังอีก เพราะเชื้อของความชอบความชังไม่ได้ล้าง แต่เนกขัมมสิตอุเบกขามันล้างเชื้อของความชอบความชังไปอย่างนิรันดร แต่นี่ไม่ได้ล้าง ตัวตนของ เคหสิตอุเบกขา จนมันไม่เกิดอีกอย่าง อสังกุปปัง คุณไม่ได้ทำจริง วันหนึ่งมันก็เวียนกลับเพราะไม่ได้ล้างตัวนี้ออก ไม่ได้กำจัดมันจนหมดสิ้นไม่เหลือเชื้อเศษอะไรเลย คุณไม่ได้ทำอย่างสัมมาทิฏฐิถูกต้องแบบพระพุทธเจ้า นี่เป็นเงื่อนไขหลักของศาสนาพุทธ
การปฏิบัติไม่มีผัสสะเป็นปัจจัยแล้วเห็นกิเลสหยาบ แล้วก็ล้างกิเลสหยาบ ก็อยู่กับกิเลสที่มันหยาบนั่นแหละ แต่เราอยู่เหนือมันได้ ก็ต้องล้างตัวที่มันได้เหลือลงมาอีกเป็นกิเลสระดับกลาง ล้างกามราคะ ต่อ ล้างได้อีกก็เหลือรูปราคะ ล้างรูปราคะต่อ เหลืออรูปราคะอีก จนหมด แล้วสัมผัสกับมันอีกคุณก็อยู่เหนือมันได้ จิตมันตั้งมั่นไม่หวั่นไหวไม่เปลี่ยนแปลงเลย นิจจัง ทุวัง สัสสตัง ไม่ใช่หนีจากมัน ศาสนาพุทธไม่ได้หนีจากมัน
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่มีพลังงาน เป็นพลังงานฌาน แปลว่าไฟ ไฟมันเย็นรึ? มันร้อนต่างหาก การทำฌานของพุทธ มีพลังงานไฟแล้วกำจัดพลังงานไฟที่เป็นไฟราคะโทสะโมหะ มันสู้ไฟฌานไม่ได้ ฌานเป็นไฟสลายมันได้ เรียกภาษามาเรียกพลังงานอุณหธาตุว่าไฟ
พลังงานของราคะโทสะโมหะก็เป็นไฟเป็นอุหณธาตุ แต่พลังงานไฟฌานเหนือกว่า ทำลายไฟราคะโทสะโมหะได้ สร้างพลังงานไฟที่มันเหนือกว่าไฟราคะโทสะโมหะได้ ต้องรู้อาการ รู้ความแตกต่างลิงคะ รู้เครื่องหมายนิมิต ที่มันเป็นฌาน ไปทำลายไฟราคะโทสะโมหะได้
คุณก็สัมผัสได้ ไฟราคะมันมีเมื่อสัมผัสเหตุมันก็เกิด แต่คุณสามารถทำให้เกิดพลังงานไฟฌานไปทำลายไฟราคะโทสะโมหะอย่างเป็นของจริงหลัดๆ
แต่หากไปนั่งหลับตาสะกดจิต มันก็ไม่มีเหตุให้เกิดไฟราคะโทสะโมหะ มันก็ไม่เกิดไฟฌาน ก็ไม่ได้สร้างไฟฌานที่ร้อนยิ่งกว่าไฟราคะโทสะโมหะ ไฟฌานของพระพุทธเจ้าจึงร้อนยิ่งกว่าราคะโทสะโมหะ มีอำนาจที่สูงกว่า มันจึงกำจัดราคะโทสะโมหะได้ นี่พูดเป็นภาษาไทยให้ฟังง่ายๆ สภาวะมันเป็นเช่นนี้
หากไปนั่งหลับตาสะกดจิตให้มันเย็นสบาย มันคนละไฟ ไม่ใช่ไฟฌาน ยังดีนะ ในพจนานุกรมบาลี ยังแปล ฌานว่า ไฟ ว่าเพลิง แต่ทำไมเขาไปทำแบบฌานแช่แข็งตู้น้ำแข็ง ไม่ใช่ ฌานคือ ไฟกองใหญ่ที่มีอำนาจสูงกว่าราคะโทสะโมหะ ไม่ใช่ตู้เย็น
เมื่อไม่รู้อาการ ลิงค นิมิต นิมิตคือเครื่องหมาย คุณเข้าใจว่าอย่างนี้คือไปทางไหนคือไฟราคะ ไฟฌาน มันเป็นอย่างนี้ทำลายไฟราคะได้ คุณต้องมีของจริงทำให้เห็นด้วยญาณปัญญาของตน มันไม่มีตัวตนอะไรหรอก แต่มันมีพลังปัญญาที่คุณจะต้องเห็น เห็นความแตกต่างคือ ลิงคะ เห็นตัวสภาวะ นิมิตเครื่องหมายมันเป็นอย่างนี้ ตามอุเทศที่อาตมาอธิบาย ขยายความให้เข้าใจให้ฟังแล้วเอาไปปฏิบัติ ผู้เข้าใจก็ไปเห็นรูปนาม ก็ใช้นามของคุณให้เห็นรูป เห็นสิ่งที่ถูกรู้พวกนี้ ต้องไปทำให้อาการ ลิงค นิมิต ใครเห็นก็เป็นของจริงจึงจะปล่อยวางและเห็น สลายสภาวะนั้นได้จริงสำเร็จจบ ไม่มีภพ ไม่มีชาติ ไม่มีนรก ชาติของนรกสวรรค์ไม่มี ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ดับทุกข์ดับสุข ดับเหตุแห่งทุกข์ ไปมัวดับเหตุแห่งสุขมันไม่ดับหรอก มันชอบ จึงบอกว่าดับทุกข์ก็แล้วกันทุกข์กับสุขมันอันเดียวกัน เมื่อมันดับเหตุแห่งทุกข์ สุขมันก็หมดไปด้วย พระพุทธเจ้าฉลาดอย่างนี้ หากไปมัวดับเหตุแห่งสุข จ้างก็ไม่ดับ มันไม่สนใจ ก็บอกมันทุกข์ไง คุณจะต้องเข้าใจว่าสุขคือทุกข์ สุขมันเป็นเท็จ แต่คุณก็ไปหลงว่ามันเป็นความจริง สัจจะมีอย่างเดียวคือทุกข์อริยสัจ ไม่ใช่มีสุข คนโง่เห็นเป็นสุขเท็จอยู่ ท่านถึงเรียกทุกข์ว่าทุกข์อาริยสัจ เรียกสุขว่าสุขลิกกะ
(22) ไม่มี“สวรรค์-นรก”ในจิตคือ “ไม่มีภพ-ไม่มีชาติ”ขั้นต้น
เพราะ“ภพ”ก็ดี “ชาติ”ก็ดี ปุถุชนทั้งหลายที่“อวิชชา”
ยังไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น“ภพ”เป็น“ชาติ”นั่นเอง
สวรรค์ก็เป็น“ภพ” นรกก็เป็น“ภพ” ที่ผู้“อวิชชา”ทำ
กรรมใดที่ยัง“อวิชชา” จึงเป็น“การกระทำ(กรรม)”ที่มีความเป็น“ชาติ” เป็น“นรก” เป็น“สวรรค์” ถ้าไม่เป็น“นรก(ทุกข์)” ไม่เป็น“สวรรค์(สุข)”ก็คือ “ไม่ทุกข์-ไม่สุข(อทุกขมสุขหรืออุเบกขา)”
ซึ่ง“ไม่ทุกข์-ไม่สุข”นี้แหละเป็นได้ตามธรรมชาติของชีวิตสามัญของปุถุชน เรียกว่า “เคหสิตอุเบกขาเวทนา”อยู่นะ หากไปหัดสะกดจิตได้เก่งเป็นเคหสิตอุเบกขาเวทนาก็ได้แบบนั้น
เพราะสามัญทั่วไปของปุถุชน“ไม่ทุกข์-ไม่สุข”นั้นคือ “ความรู้สึกกลางๆเฉยๆ”ที่มีเป็นธรรมดาของปุถุชนสามัญเป็น“สมมุติธรรม”ชาวโลกียะ เป็นการ“พักยก”ของอารมณ์
ยังไม่ถึงขั้นเป็น“ปรมัตถธรรม”ของชาว“โลกุตระ”เลยมันต้องเรียนรู้ปฏิบัติฝึกฝนอบรมกันมี“ทฤษฎี”หรือ“ทิฏฐิ”สำคัญของพระพุทธเจ้ากันจริงๆ ต้องรู้จักรู้แจ้งละเอียดลึกไปถึง“ธรรมนิยาม 5 ”ด้วย“ปัญญา”กันทีเดียวจึงจะรู้จริง
ยืนยันทั้งสภาวะแต่ละคนและภาษาที่สื่อตรงกันไม่ขัดแย้งกัน มันจะมีทั้ง“สมมุติสัจจะ”กับมีทั้ง“ปรมัตถสัจจะ” ยืนยันตรงกัน เป็น“สัจจะมีหนึ่งเดียว”ได้แท้ด้วย“ธรรมะ 2”
ยิ่งยืนยันมากมายหลากหลายเท่าใดก็ยิ่งเป็นของแท้
ดังนั้น ถ้าผู้ใดไม่มี“ภูมิแห่งความรู้”ที่สามารถพูดกันถึงสภาวะของ“อุตุนิยาม-พีชนิยาม-จิตนิยาม-กรรมนิยาม-ธรรมนิยาม”กันได้อย่างสามารถสื่อรู้เรื่องชี้บ่งสภาวะรองรับ เข้าใจตรงกันได้ ก็ไม่สามารถจะผ่าน“อจินไตย”นี้
(23) ไม่มี“สุข-ทุกข์”ในตนคือ ไม่มีของตัวของตนยืนพื้น
ยิ่งมีเวลาดำเนินชีวิตคบคุ้นอยู่ร่วมกันสัมผัสสัมพันธ์กันนาน ยิ่งนานก็ยิ่งสามารถยืนยันมี“พฤติสัจจะ”ที่รู้กันได้แท้
ซึ่งเป็นภาวะที่ต้องศึกษาเรียนรู้อบรมฝึกฝนกันจนกระทั่งรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน”ด้วย“ปัญญาธาตุ”ร่วมกัน ที่ผู้มี“ปฏิปทา”มี“วิธีปฏิบัติ”หรือมี“ทางปฏิบัติ”ไปสู่“ความเป็นกลาง” คือ“ไม่มีสุข-ไม่มีทุกข์” ปฏิบัติแล้วเกิด“ความเป็นกลาง”ของจิตในจิต โดยเฉพาะใน“เวทนา”ตนเองกันจริงๆ ล้วนมี“อาการ-นิมิต-อุเทศ”อันสามารถอ่าน“อาการ-นิมิต”ของแต่ละคนตรงกันชนิดไม่มี“ลิงคะ”จริงๆ จึงจะมี“สภาวะ”ยืนยัน“ความรู้สึก”หรือ“เวทนา”ของ“จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน”ที่ทุกคนสามารถถ่ายทอดเรียนรู้“ความรู้สึก”ของกันและกันไปมาได้
เวทนาเก๊กับเวทนาแท้ หากคนมีสภาวะก็สื่อได้ตรงกัน เป็นสัจจะอันเดียวกันพูดก็ตรงกัน สัจจะเป็นหนึ่งเดียว พูดไปก็ใช่ ก็ไม่แย้งอะไรเลย คนไม่เคยฟังอาตมาก็แย้ง
สมณะฟ้าไทสรุป…วันนี้พ่อครูพูดถึงสังคมและศาสนา
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1dV8-eu-FxYKHRQHqd7EdpY4-uddXJxAB_8YvpAZ3tLA
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=16fPbATMMYfDNVmsAjT3vuf8xcZMbV7Kg
ดูยูทิวป์ได้ที่… https://youtu.be/RCPQAVtqq-I
สมณะฟ้าไทว่า… วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้เป็นฤดูฝน ก็ใกล้งานอโศกรำลึกแล้ว จะได้มีบรรยากาศความเขียวชะอุ่มพุ่มไสว มีพืชผักให้กินมากมาย จะมีการปลูกข้าวนาโยนในงานนี้ด้วย
ตอนนี้บรรยากาศของสังคม ก็มีเรื่องเกี่ยวกับการจับพระที่กระทำผิด ก็เป็นการทำให้ศาสนาพุทธดีขึ้น สิ่งที่ไม่ดีก็ควรถูกขจัดออกไป ก็จะทำให้ศาสนาพุทธดีขึ้น อย่างท่านพงศ์พรพราหมณ์เสน่ห์ ก็เป็นคนที่กล้าทำดี แม้เป็นสิ่งที่อาจถูกสังคมเข้าใจผิด เช่นการฟ้องร้องพระที่กระทำผิดพระวินัยและกฎหมาย
พ่อครูว่า…SMS วันที่ 25 พฤษภาคม 2561 (พ่อครู : ราชธานีอโศก)
_3867นมัสการพ่อครูฯสมณะสิกขมาตุฯผู้น้อยกราบขออนุญาติส่งกำลังใจเยี่ยมท่านพุทธะอิสระได้ไหม?เห็นน้ำตาญาติโยมแล้วสงสารเห็นใจลูกศิษย์ท่านฯที่ร่วมกิจกรรมภาคปชช.ด้วยเจตนารักษาปย.ชาติเพื่อปย.สุขปชช .มาตลอดสาธุ!กบสิ้นโศก
_3867ไม่ว่าจะเกิดวิกฤติใดในพุทธศาสนา!ก็ไม่มีวันบั่นทอนจิตศรัทธาในใจพุทธศาสนิกชนได้เลยตราบใดที่ยังมีสมาธิให้ตั้งมั่นต่อพระพุทธฯมีปัญญาให้คงมั่นในพระธรรมฯมีศีลให้ยึดมั่นตามพระสงฆ์ฯรักษ์พระรัตนตรัยในจิตวิญญาณธำรงพุทธศาสนาสืบไปฯพุทธมังสะวิรัติฯ
_3867เพราะธ.พ่อครูสอนให้เห็นสัญญาวิปลาสจิตวิปลาสทิฏฐิวิปลาสที่ชักนำจิตเลยมัชฌิมาหลงไปทางมิจฉาปฏิปทา!ท่านนำพาใจอุเบกขาละสุขทุกข์วางโลภโกรธหลงไร้อามิส!กลับมาดำเนินปฏิปทาด้วยปปัญจธ.สู่ทางสัมมาอาริยมรรคถูกต้องตรงญายธ.สาธุธ.พ่อครูฯคนโลกเงียบ
_เมย์ อรวรรณ · ระบอบทักษิณล่มสลายในยุคยิ่งลักษณ์ไปแล้ว แต่ขอให้ชาวไทยจงอย่าประมาทเพราะเชื้อของระบอบทักษิณยังไม่ตายค่ะ
พ่อครูว่า … เชื้อทักษิณมีมาก ยิ่งในวงการพุทธศาสนาก็ยังมาก เชื้อการเมืองที่เลวร้ายมันได้สั่งสมมานานมาก ประชาธิปไตยเลวร้ายสะสมมาเรื่อยๆ คนพยายามไม่ให้เกิดแต่สู้ชั่วอำนาจความเลวร้ายไม่ได้ มันสะสมมาจนมาถึงยุคทักษิณ ทักษิณไปจบวิชา อาชญวิทยา เลยใช้ความรู้นี้มาในทางชั่ว มันก็เลยยิ่งกว่าขนมปังทาหน้าปลาร้าเลย ฝรั่งปนลาว เหนือชั้นกว่าเจ๊กปนลาว ไปกันใหญ่และหนักหนาสาหัสกว่าที่เคยเกิดมาแล้ว อาตมาว่ามันแย่ที่สุดเลวที่สุดเกินกว่าที่เคยมี แย่จริงๆ คำว่า แย่นี้คือ ไม่รู้จะใช้ภาษาอะไรหนักหนาสาหัสกว่านี้ มันสุดยอดเลย เลวบวกเลว ได้น้องสาวมาอีกก็เชื้อเดียวกันผสมเข้าไปอีกยกกำลังไม่รู้เท่าไหร่หนักเข้าไปใหญ่ เป็นตัวอย่างที่คิดว่าคงไม่มีใครทำได้ถึงขนาดนี้เป็น best records บันทึกไว้เป็นยอดแห่งความเลว ไม่มีใคร beat records นี้ได้อีก นี่คือลักษณะสิ่งที่เป็นพฤติกรรมสังคมที่เกิดอยู่เป็นอยู่
แต่สรุปด้วยค่ารวมแล้วประเทศไทยดีขึ้นมาก ปราบตัวร้ายได้มาก มันก็เลยดีขึ้นมาก การทำให้ดีขึ้นคือ 1. ปราบสิ่งที่ร้าย 2. สร้างสิ่งที่ดี การปราบสิ่งเลวร้ายก็มีประสิทธิผล และสร้างสิ่งที่ดีซ้อนเข้าไปอีก การสร้างสิ่งดีอาตมาว่ารัฐบาลนี้ สร้างสิ่งดีพัฒนาการบริหารประเทศชาติ ที่มีทั้งบทบาทลีลา ไปห้ามพวกปากเน่าปากหนอน สิ่งที่ดีมาพูดเป็นเสียไม่ได้ จนมีคนยกสิ่งที่เขาทำดีไว้มากมาย อย่างคุณสุทิน วรรณบวร ยกมาเป็นต้น พวกมืดบอดก็ใส่ความใส่ร้ายตีทิ้งหมดเลยหลอกคน ช่างกระไร คนก็ไปฟังคนโกหกมดเท็จตอแหลอยู่ได้ มันก็มีในโลกนี้เป็นธรรมดา คนโง่คนฉลาดก็เป็นธรรมดา คนที่รักความโง่นี้ รักความไม่เจริญไม่ฉลาดก็มี แต่ตอนนี้เมืองไทยก็ดีขึ้นมาก ดีขึ้นอย่างเห็นๆ
อาตมาที่พูดยกย่องชมเชย เพราะว่ามันไม่ง่ายที่จะทำได้อย่างนี้ มันหมักหมมจับตัวแข็งด้าน แกะออกยาก เปลี่ยนแปลงยากแต่ก็เปลี่ยนแปลงได้ ตีให้แตกได้ แต่แน่นอนคนจะทำดีขนาดไหนสิ่งที่บกพร่องในองค์รวม มีจุดบกพร่องมันก็มีบ้าง แต่พวกคุณไปหาเรื่องเก็บเศษเล็กเศษน้อยที่ไม่ดีเหล่านี้มาตีฆ้องร้องป่าว
คนมีภูมิปัญญาวินิจฉัยให้ดีก็จะรู้ว่าอะไรจริงอะไรไม่จริงอะไรควรอะไรไม่ควร
_แก้วลา ไชยวงค์ · ถ้าวันนั้นพ่อครู สมณะ สิกขมาตุ ชาวอโศกทุกท่าน กปปส หลวงปู่พุทธะ อิสระ จะมีนายกฯตู่ได้ง่ายอย่างนี้หรือเจ้าค่ะ ลูกทุกข์ใจมากเป็นห่วงหลวงปู่พุทธะ อิสระมากๆเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า …อันนี้ก็จริงถ้าเผื่อว่าพวกเราคือพวกประชาชน เพราะเราบ้าง กปปส.บ้าง หลวงปู่พุทธะอิสระบ้าง พวกที่เป็นประชาชนที่เห็นแก่ชาติออกมารวมกันเปิดเผยความจริง พูดให้ประชาชนทั่วไปได้รู้ จนกระทั่งประชาชนมีความเข้าใจประชาชนรู้ตัวตื่นตัว จึงมีความเข้าใจร่วม มีกำลังมาร่วม เป็นประชาชนที่รู้จักว่าประชาธิปไตยคืออะไร ความถูกต้องคืออะไร ความไม่ถูกต้องคืออะไร ความไม่ถูกต้องจึงพ่ายแพ้ความถูกต้อง มันเป็นหลักเป็นเรื่องราวของพฤติกรรมประชาธิปไตยแท้ๆ พฤติกรรมของประชาธิปไตยในประเทศไทยเกิดขึ้นจริง
เพราะฉะนั้นนายกฯตู่ก็เลยมาปฏิวัติได้ง่ายๆ ไม่ยากอะไรก็เพราะมันสุกงอมแล้ว ประชาชนได้ทำประชาธิปไตยมาดีแล้ว เป็นประชาธิปไตยจริงๆ เป็นผลงานของประชาชน เป็นประชาธิปไตยที่ประชาชนช่วยกันทำให้รู้ว่าอะไรถูกหรือไม่ถูก ควรจะขจัดรัฐบาลที่ไม่ดีออกไป เมื่อพลเอกประยุทธ์ออกมาจัดการ เป็นตำแหน่งหน้าที่ที่ต้องทำและทำได้ดีต่อมาก็ควรจะสืบต่อไป เป็นเรื่องอิทัปปัจจยตาของการเมืองไทย ขณะนี้นายกฯตู่ก็ทำงานบริหารสืบต่อ เพราะการบริหารประเทศชาติทำงานเพื่อประชาชนก็ควรดำเนินการต่อมันเป็นไปตามธรรม
ขณะนี้วางแผนไว้ต่อไปมันก็จะมีการเลือกตั้ง ผู้ที่มาปฏิวัติทำได้พอสมควรก็พักไป ให้เข้าระบบที่สากลเขายอมรับมาทำงานต่อ ก็มีแผนไว้ทุกอย่าง แต่พวกที่ตีรวน เขาก็ต้องทำ มันเป็นสัจจะ ไม่ให้เขาตีรวนมันก็ไม่ได้ ให้เขานิ่งให้เขาปล่อยสบายๆ มันก็ทำให้ประชาชนไม่ตื่น ก็ต้องเป็นอย่างนี้มันจึงตื่นมารับรู้ว่าอะไรเป็นอะไร อย่าไปปล่อยปะละเลยเพราะบ้านเมืองเป็นของประชาชน ทุกอย่างมันเป็นสิ่งที่ดี อย่ามองว่าเป็นสิ่งที่เลวร้าย จริงๆแล้วมันเป็นสิ่งที่ดีมากอย่างนี้แหละดีก็จะได้ตื่นตัว จะได้รู้ว่าอะไรควรจะต้องได้ร่วมมือกันอะไรควรจะต้องจัดการอะไรที่จะต้องเสริมสานถูกต้องแล้ว
สำหรับหลวงปู่พุทธะอิสระก็ไม่ต้องเป็นห่วงท่านมากหรอก ท่านก็เป็นไปตามที่ถูกต้องที่มันจะต้องเป็นเช่นนั้นก็ดีแล้วไม่ต้องเป็นห่วงท่านหรอก แต่ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติที่ไม่อยากให้เป็น ไม่อยากให้เกิด ก็ต้องอาลัยอาวรณ์กันเป็นธรรมดาธรรมชาติ มันเป็นเรื่องธรรมะเป็นเรื่องของสัจจะ ศึกษาให้ดีไม่มีปัญหาอะไร
_ปองใจ จันทะมาศ · จะได้กว้างขึ้น. เมื่อออกอย่างนี้ค่ะ (น่าจะหมายถึงออกเผยแพร่รายการทางเฟสบุ๊ค)
_บุญจันทร์ จำปาทอง · กราบนมัสการท่านสมณะ. ท่านพูดเป็นเหตุ เป็นผลครับ
_ชุดา ภูติอนันต์ · เห็นกงจักรเป็นดอกบัวชัดเจนค่ะ
_บ้านเย็กเมืองน้อย .จากข่าวคึกโครมของปฏิบัติการจับสึกพระ
การจะเปลี่ยนคำถามของสังคมจากเงินทอนวัด มาสู่พระอั้งยี่ซ่องโจร จำต้องมีการเขียนบทและจัดฉาก
ให้ดูตื่นเต้น จึงเป็นที่มาของการเอาหน่วยพิเศษพร้อมอาวุธครบ ทั้งปืนกลและโล่มาเข้าฉากด้วย
พร้อมกับการร่วมมืออย่างเข้าขากันของสื่อ ทำให้กระแสความสงสัยอยากรู้ของสังคม พุ่งเป้าไปที่หลวงปู่
จนลืมให้ความสนใจกับที่มาที่ไปของเงินในบัญชีธนาคาร
หลวงปู่พุทธอิสระให้สัมภาษณ์ว่า ถ้าต้องสึก แล้วสามารถกระชากผ้าเหลืองที่คลุมอลัชชีได้ก็คุ้ม
แต่เท่าที่เห็น ฝ่ายเถระน่าจะคุ้มกว่า แค่ยอมสละผู้จัดการสาขา ซัก2-3คน แล้วสามารถขจัดหลวงปู่ที่เป็นหนามยอกอกไปได้
อีกทั้งยังลดกระแสกดดัน เรื่องฉ้อฉลยักยอกของพระ ให้ดูเบาลงด้วย เมื่อเทียบกับพระมาเฟีย
ภาพทั้งหมดสะท้อนเบื้องหลังของการบรรลุข้อตกลงที่มีผลประโยชน์ร่วมกันของทุกฝ่าย
แต่ behind เบื้องหลังจริงๆ ก็คือความกลัวและการดิ้นรน หนีการถูกปฏิรูปของทั้งฝ่ายเถระและตำรวจ
พ่อครูว่า…เราก็มองได้หลายมุม เป็นพฤติกรรมสังคมที่ดิ้นรนสู่ความเจริญ ทางศาสนาทางตำรวจก็พยายามดิ้นรนเพื่อเจริญก็เป็นไป ก็ดี ก็พัฒนาการขึ้นมาเรื่อยๆ
เรื่องของสังคมประเทศชาติเรื่องของการเมือง เรื่องของเศรษฐกิจ เรื่องของสังคมประเทศชาติ เป็น 3 มิติใหญ่ คนที่เข้าใจมนุษย์และสังคมจะมองออก ความหมายของเศรษฐกิจ การเมืองคืออะไร สังคมคืออะไร ผู้ที่เข้าใจจะชัดเจน อาตมาก็มองตามภูมิอาตมาว่า เมืองไทยนี้ดีจังเลย การเมืองของเมืองไทยมีวิวัฒนาการ เจริญทั้งความกว้างและลึก ไม่ได้พูดอย่างเล่นลิ้นแต่พูดตามความจริงที่อาตมาเข้าใจว่ามันเจริญกว่าประเทศใดๆในโลก เป็นประชาธิปไตยที่เจริญกว่าประเทศใดในโลก อาตมาเอาความหมายประชาธิปไตยที่ตามแบบพระพุทธเจ้าท่านหมายถึง
ประชาธิปไตยดีที่สุดคืออะไร เป็นความเป็นประชาธิปไตยที่อิสระเสรีภาพที่สุด และไม่มีตัวกูของกูที่สุด นี่คือประชาธิปไตยที่ดีที่สุดอะไรก็เทียบไม่ได้แล้ว นัตถิอุปมา axiom แล้ว ไม่มีอะไรแทนที่เปรียบเทียบได้ มันจบแล้วสุดยอดของความจริงแล้ว เป็นความอิสระสูงสุดและก็หมดตัวตน
1. ไม่มีตัวตน มีแต่ประชาชนมีแต่ผู้อื่นมีแต่คนอื่น เพราะฉะนั้นใครจะทำการใดเพื่อผู้อื่น ที่ไม่ได้ทำเพื่อตัวตนเองเลยนั่นแหละคือยอดประชาธิปไตย ในมิติหนึ่งของประชาธิปไตยเงื่อนไขของความเป็นประชาธิปไตยที่ชัดเจน
2. อิสระ ไม่ขึ้นอยู่กับใครมาบงการไม่ขึ้นอยู่กับพระเจ้ามาบงการ อยู่กับภูมิปัญญากับความจริงที่มีที่เป็นนี้เอามาทำ ทำด้วยความอิสระทำด้วยความรู้ ทำเพื่อความเจริญ ตำรวจของไทยเกียรติวินัยกล้าหาญมั่นคง …ไม่เคยคำนึงถึงชีวันถึงตัวจะตายก็ช่างมัน มันเป็นลักษณะจริงตามภาษาตามความหมาย
อย่างอาตมาขอเท้าความ ครั้งที่อาตมาไปชุมนุมประท้วง รายล้อมไปด้วยเขามีอาวุธยุทโธปกรณ์ อาตมาเป็นเป้านิ่งอยู่บนเวที บอกความจริงว่าอาตมาไม่เคยมีความกลัวสักนิดในใจเลย คนอื่นเขากลัวพยายามดึงเอาอาตมาลงพยายามดึงให้ออก ตอนนั้นก็เลยแสดงออกความแรงออกไปว่าไม่เอาไม่ไป คือ มันไม่ได้กลัวไม่เห็นว่าจะน่ากลัว มันก็เป็นการทำงานมันจะต้องทำงานมันถึงวาระที่จะต้องปัจจุบันธรรม rush hour เป็นวินาทีที่เร่งรัดที่สุดแล้วเราก็ต้องทำ อย่าปล่อย ปล่อยปละละเลยโอกาสอย่างนั้น มันมีก็ต้องทำ ก็ขยายความให้ฟังความคิดของอาตมารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ความกลัวนั้นไม่มี ถึงตัวจะตายก็ช่างมัน ไม่เคยคำนึงถึงชีวันอย่างนั้นจริงๆ พระสยามเทวาธิราช บารมีคุ้มครองก็เป็นไป อาตมาจึงเชื่อเรื่องบารมี เชื่อเรื่องความบริสุทธิ์ใจ ความบริสุทธิ์เท่านั้นจะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด
อาตมามีความบริสุทธิ์จึงชนะรอดพ้นมาได้ ไม่มีอะไรมาระคายเคืองเลย ไม่มีอะไรแผ้วพาลนี่คือสัจธรรม จะบอกว่าพลังงานพระเจ้าช่วยก็ช่าง มันเป็นสัจจะที่จะต้องเป็นอย่างนี้ ตถตา ต้องเป็นเช่นนี้ ไม่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่ นี่คือเหตุปัจจัยที่มันจะต้องเป็นเช่นนั้น สุดยอด
ขณะนี้ประเทศไทยกำลังมีเหตุการณ์ซึ่งข้อมูลองค์ประกอบมันมีเยอะมันก็เลยยาก อาตมาเป็นละครเล็กๆสั้นๆ องค์ประกอบไม่มากมันก็เลยพออธิบายกันได้ แต่ว่าประเทศไทยทั้งประเทศนี้องค์ประกอบมันมีเยอะ ก็เลยเอามารวมกันและขยายความกันได้ยาก
แต่สรุปแล้วอาตมาพยายามใช้ภาษาอธิบายก็ยังไม่ถึง ใช้ได้เท่านี้ สรุปว่ามันได้ผลเกินคาด จริงนะ ไม่ว่าจะถึงขั้นจะจัดการกับพระที่มีอำนาจบาตรใหญ่ บาตร คือที่ใส่อาหารพระบางทีเอาไปใส่แบงค์ใส่ธนบัตร บาตรใหญ่มากเลยนะ เป็นอำนาจบาตรใหญ่แต่สามารถจัดการลงได้ขนาดนี้มีในยุคไหนบ้าง เกิดปรากฏการณ์แบบนี้ เห็นไหม
มีในยุคไหนบ้าง ขั้นพรหม นี่ อาตมายังเข้าใจเอาตามภูมิและเดา ขั้นที่เจอคือพรหม ขั้นสูงกว่านี้คือสมเด็จ อาตมาว่าเขาคงเห็น หัวหน้าสมเด็จ ก็ฝากไว้ก่อนเถอะโอฬาร ก็เลยเล่นงานระดับรองลงมาเรียงหน้าเลย พรหมอื่นๆนี่หลุดวงจรนี้ไปได้ เป็นกุศลมาก ไม่ใช่บุญนะ หลุดวงโคจรนี้ได้ สามพรหมนี้จึงเป็นตัวอย่าง ที่เขาหยิบมาเล่นหนังม้วนนี้เรื่องนี้ สุดยอดเลย ขนาดชั้นพรหมที่เป็นรองจากสมเด็จ ธรรมดามีศาสนาพุทธในเมืองไทยไม่มีอะไรจะทำได้ถึงขนาดนี้หรอก นี่ทำได้เป็นงานเป็นการ ทำได้เป็นหลักฐานแล้วทำได้โดยที่ว่า ร่วมไม้ร่วมมือกันดี ฆราวาสนะ เป็นคนทำ ปล่อยให้พระด้วยกันไปทำไม่ได้หรอก เหมือนไก่กับงู ไก่ก็เห็นความลับของงู งูก็เห็นความลับของไก่ ทำอะไรกันไม่ได้ นี่เป็นฆราวาสไปจัดการ มันจึงเป็นไปได้
เป็นยุคกาลที่เจริญมาก อาตมาถือว่าเจริญมาก แม้แต่การปราบคอรัปชั่น ปราบการโกง เขาก็เอามาตีบอกว่าเขาไม่ปราบ แต่จริงๆแล้วปราบกันเยอะ ขนาดอยู่ที่ผิวกายผู้ปราบเองยังมีคอรัปชั่นเลย พูดอย่างนี้หมายความว่าอย่างไรก็แปลความกันเอาเอง เพราะฉะนั้นมันง่ายที่ไหน มันไม่ง่ายเลย เขาทำได้ขนาดนี้อาตมาว่ามหาศาลแล้ว
สรุปอีกทีหนึ่ง เขาทำได้มากทำได้ดีทำได้เยอะทำได้ครบ ทำได้เกินกว่าที่เคยทำมา ไม่มีแม่ยกพ่อยกอะไรมาตอบโต้สมยอมยอมแพ้เลย นี่ด้านปราบ
ที่นี้ทางด้านส่งเสริมพัฒนาก็ดี มีวิธีการทำอะไรต่างๆเอาออกมาประกาศทุกวันว่าวันนี้จะทำอย่างนี้พรุ่งนี้จะทำอย่างนี้ อาตมาไม่เห็นว่ารัฐบาล 29 รัฐบาล ไม่เห็นมีรัฐบาลไหนจะเข้าตาเท่ากับรัฐบาลนี้ที่ออกมาพูดกัน คนที่ไม่ชอบอาจจะหมั่นไส้
สิ่งที่ควรตำหนิก็ควรตำหนิ สิ่งที่ควรยกย่องข้อควรยกย่อง สิ่งที่ควรยกย่องแม้จะมีไม่มากแต่ก็ควรยกย่อง เพราะในสังคมมีแต่ปุถุชนส่วนมากกิเลสมันมีเยอะกว่า ความไม่ดีมันจะมีเยอะกว่าความดี มีแต่ความดีที่มีได้ถ่วงดุลสังคมไม่ให้เละเทะไปมาก ความดีจึงมีน้ำหนัก ความดีนั้นมีฤทธิ์มีอำนาจเหมือนปรอท แม้จะมีเล็กน้อยก็มีน้ำหนักมาก แต่ความไม่ดีเหมือนโฟมจึงถ่วงกันได้
เหมือนพวกเรานี้ชาวอโศกมีส่วนน้อย ชาวอโศกมีส่วนน้อย เปรียบกับคนในประเทศ เทียบค่าแล้วอโศกใสกว่าทางการเมืองเยอะ การเมืองยังมีคนเข้าข้างเยอะ ยังมีโพลออกมาให้เห็น โพลของนายกฯตู่ยังขึ้นนะ คือพวกเรานี้เขาถือว่าเป็นพวก untouchable ซึ่งมี 2 อย่าง
อย่างหนึ่งคือยกไว้เป็นยอดเป็นความจริง อีกอันหนึ่งเกิดต่ำจนเกินกว่าเขาจะไปแตะ มันก็เป็นความจริง อย่างอาตมานี้ไม่พูดเข้าข้างตัวเอง อาตมาเป็น untouchable เขาก็มองว่าเป็นคนแบบนั้น แต่ but ให้ understood อาตมาจึงบอกว่าจะมาไม่มีปัญหาเลยในการทำงานทุกวันนี้ อาตมาเป็นจริง แบบ untouchable แต่คุณเข้าใจว่าเป็นแบบจัณฑาลของคุณเอง แต่อาตมาก็ไม่มีปัญหาอะไร แล้วอาตมาไม่ได้หลงตัวเองจริงๆ ไม่มีใครหรอกจะมาบังอาจมาพูดมาว่า มาฉีกชี้จนกระทั่งขนาดนี้ว่า ศาสนาพุทธทุกวันนี้ แม้แต่จิตก็ยังไม่รู้สมาธิฌาน จิตที่เป็นอธิจิตต่างๆ ก็ไม่เข้าใจ บุญเป็นอย่างไร กุศลเป็นอย่างไร กายเป็นอย่างไร เพี้ยนไปหมดแล้วอาตมาก็มาฉีกชี้อธิบาย มีใคร ศาสนาพุทธผ่านมาป่านนี้แล้วมีใคร ไปค้นอรรถกถาจารย์ที่เคยมีบันทึกมาเลยว่ามีใครอธิบายอย่างอาตมานี้
ฉีกชี้ความต่างของกาย บุญ สมาธิ ฉีกชี้ความต่างของศีลและวินัย ฉีกชี้ความเป็นโลกียะ โลกุตระ ฉีกชี้ความแตกต่างระหว่างเวทนาที่เป็น เนกขัมมะกับเคหสิตะ ใครที่มา ฉีกชี้ ไปค้นอรรถกถาจารย์เลย จนกระทั้งอธิบายโลกียะโลกุตระได้แบบนี้ พูดแล้วเหมือนอวดตัวอวดตนแต่ว่าจริงๆแล้วพูดความจริง อาตมาไม่มี สาเฐยจิต คือไม่มีจิตอยากอวดโอ่
นี่คือการพูดความจริงถ้าหากอาตมามีจิตอยากอวดโชว์ แล้วอาตมาก็บอกว่าไม่มีจิตแบบนี้ อาตมาก็โกหกอวดอุตตริมนุสสธรรม อาตมาก็เป็นปาราชิกแล้ว ถ้าหากอาตมาเป็นอย่างที่พูด อาตมาก็ปาราชิกแล้ว แต่อาตมาไม่ได้เป็นอย่างที่พูด อาตมาเป็นอย่างที่พูด อย่างที่พูดมันถูกก็ใช่ อย่างที่ไม่ถูกก็พูดว่าไม่ใช่ อาตมาต้องพูด ถูกต้องก็ต้องพูด แต่สิ่งที่ผิดก็ต้องพูดเพราะว่าเขาไม่รู้จักสิ่งที่ผิด เขาหลงความผิดเป็นความถูกด้วยซ้ำไป พวกนี้แก้ยาก เขาไม่ยอมท่าเดียว อาตมาก็ไม่ยอม ต้องดึงออกมา จะโง่ไปถึงไหน ทำงานได้ยากแสนยาก เหนื่อยแสนเหนื่อย สนุกก็สนุก มันสุดยอดลีลาเลย
พระพุทธเจ้าพูดแสดงธรรมเคยมีแสดงธรรมให้ภิกษุ 180 คน มี 60 คนที่โลหิตร้อนแล้วพุ่งออกจากปากตายเลย อีก 60 คนขอลาสิกขา อีก 60 คนดวงตาเห็นธรรมบรรลุธรรมได้
อาตมาก็ว่าอาตมาคล้ายๆอย่างนี้ แต่ไม่ถึงอย่างนี้ก็มีคนทั้งสามอย่างนี้ อาตมาว่าคนฟังอาตมาแล้วโลหิตร้อนพุ่งออกจากปาก คงไม่ใช่แค่ 60 คนหรอกคงเป็นร้อยคนเลย เหลืออีก 80 สึก เหลือให้อาตมาสัก 10 อาตมาก็ว่ามากแล้ว 10 คนในร้อยแปดสิบคนนี้นะ ที่ได้
มันเป็นสัจจะเพราะว่าคนในยุคนี้ฟังโลกุตรธรรมไม่รู้เรื่องแล้ว ก็จะบอกว่าพูดอะไรไม่รู้เรื่องเลยเพราะเขาไม่รู้เรื่องจริงๆ ก็น่าสงสาร แต่ว่าอาตมาก็เลี่ยงไม่ได้ อาตมาจะไม่พูดถึงโลกุตรธรรมมันไม่ได้ เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้าคือโลกุตรธรรม เป็นธรรมะที่เป็นอีกทางหนึ่งที่ต่างจากโลกีย์ และพระพุทธศาสนาต้องมาเป็นโลกุตระ ทุกวันนี้มันจึงไม่มี ไม่เหลือแล้วมันเป็นโลกียะ หยำฉ่าด้วย เป็นโลกียะที่เละและเน่าด้วย
พวกคุณก็ไม่ได้มา ไม่มีมวลชนที่เป็นพุทธศาสนิกชนเป็นเช่นนี้ อาตมาทำสำเร็จจนกระทั่งพุทธศาสนิกชนมารวมตัวกันเป็นชุมชนหมู่บ้าน มีชีวิตร่วมกันอยู่อย่างนี้จริงๆเลย มีชีวิตดำเนินชีวิตไปอย่างนี้ เอาสัมมาอาชีพ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ มาอยู่ในนี้หมดเลย แล้วทำอาชีพทำมาหากินในนี้การกระทำ สังกัปปะ มานึกมาคิดมาพูด มาศึกษาอยู่ในนี้หมดเลยครบพร้อมหมดเลย จนกระทั่งเป็นรูปธรรมของสังคมศาสนาพุทธที่เป็นตัวอย่างของโลก
เป็นสังคมคนจนสังคมขาดทุนให้แก่สังคมเป็นกำไร ยังไม่ได้เสแสร้งหรือพูดเอาโก้ ก็เป็นสังคมที่ถึงขั้นเป็นสาธารณโภคี ทุกคนอยู่ในนี้เป็นครอบครัวเดียวกันเสมอกัน อิสระเสรีภาพ คนเข้ามาในนี้ไม่มีใครมาบังคับ ไม่มีใครไปบังคับเข้ามา ไม่มีใครไปโฆษณาป่าวประกาศชี้ชวน ให้เขามา ไม่มีใครไปประเหลาะให้เข้ามา ไม่มีใครไปยั่วยวนให้เขามา มีแต่ความจริงเปิดเผยแต่ความจริง พูดแต่ความจริง แสดงแต่ความจริงออกไปเต็มๆ ทุกคนมีอิสระเสรีภาพ เห็นเอง รู้เอง เข้าใจเอง พอใจเอง แล้วมา ไม่พอใจก็ไม่มา เพราะฉะนั้นจึงได้คนที่มีปัญญาที่เข้าใจคนที่พอใจยินดีเข้ามา ได้เท่านี้ ในพลเมือง 70 ล้านคนไทย มีประมาณนี้แหละ
ที่นี่ราชธานีอโศก อยากได้สมาชิกสัก 1000 คน ถึงวันนี้ 20 กว่าปีแล้ว ราชธานีอโศกนี้ยังไม่ถึง 700 เลย ยังไม่ใกล้ 700 เลย 500 คนก็ยาก บางทีสูสี จัดงานทีก็จะถึงพันบ้าง หากไม่จัดงาน เมินเสียเถิดอย่าคิดถึง อย่างเก่งกว่า 400 กว่า การประชุมคราวนี้สมาชิกราชธานีอโศกมีผู้มาเข้าร่วมประชุม 400 คนก็ดีที่สุดแล้ว อย่างมาก อย่างธรรมดาก็ 200 ก็ดีแล้ว ดีไม่ดี เหลือแค่ร้อยกว่าคนมันเมื่อยไม่มาประชุม บอกว่าประชุมหมู่บ้านนะก็มากันเท่านั้น
แต่ถึงอย่างไรอาตมาก็ภูมิใจและสนุกใจ สบายใจที่ได้ทำงานนี้เกิดมาเป็นคนในชาตินี้แล้วเป็นนายรัก รักพงษ์ แล้วก็รู้ตัวตั้งแต่อายุ 36 จนกระทั่งเดี๋ยวนี้อายุ 84 แล้ว เลยอายุ 72 มา จนกระทั่งมาเป็น 84 เลย เลยมาอีก 1 นักษัตร ก็เป็น 84 ก็ยิ่งเห็นว่าเรามีบุญวาสนามีโชคมากที่ไม่ได้ไปหลงบ้าบอกับทางโลก อาตมาไม่ได้พ่ายแพ้ทางโลกนะที่จะไปแย่งลาภยศสรรเสริญ โลกียสุขกับทางโน้นไม่ได้พ่ายแพ้เลย ถ้าเผื่อว่าอาตมาไม่มีมาทางโลกุตระทางศาสนา อาตมาจะยังอยู่ทางโลก อาตมาตั้งบริษัทหัวใจสีชมพูแล้ว เสร็จแล้วก็มาทางบันเทิงธุรกิจสร้างหนังเทวดาขึ้นมา เรื่องโทน ฉายแล้วได้รายได้ทำลายสถิติ เพราะหนังไทยนี้เขาฉายหนัง 35 mm เก่งที่สุดก็ฉายได้ 2 ล้าน เรื่องเพชรตัดเพชร ต่อมาถึงยุคหนังโทนก็มีหนังเรื่องมนต์รักลูกทุ่ง ฉายที่โรงหนังโคลีเซี่ยม ส่วนหนังโทนฉายที่โรงหนังเฉลิมไทย
ที่โคลีเซี่ยมก็เอาคัทเอาท์ใหญ่มาตั้งไว้ที่หน้าโรง ว่าวันนี้ได้เท่านี้ล้านแล้ว เขาก็เพิ่มขึ้นๆมา ก็ดูว่าทำไมมันเพิ่มขึ้นมาก อาตมาไปบวกลบคูณหารและดูที่นั่งไปคำนวณดู มันเกินกว่าที่ควรจะได้ อาตมาว่าเป็นเรื่องที่หลอกสังคม
หนังโทนมีเพลงดัง อาตมาเป็นหัวเรือใหญ่ มนต์รักลูกทุ่งเขาก็มีเพลงดัง อาตมาก็ไปเช็คกับแผ่นเสียง ว่าต้นตอจริงๆนั้นใครปั๊มออกมามากกว่ากัน ขายในตลาด ต้นตอมีการพิมพ์ซองและปั๊มแผ่น อาตมาไปดูแล้ว มนต์รักลูกทุ่งไม่ได้ปั๊มแผ่นมามากกว่าหนังโทนเลย ทั้งที่บริษัทพิมพ์ซองและบริษัทพิมพ์แผ่น เราเองก็ต้องเข้าข้างหนังโทนเพราะเราแต่งเพลง
เรื่องของโลก อาตมาไม่ได้แพ้โลก พอทำหนังโทนเสร็จ อาตมาไม่ได้เอาเงินเลยนะนายเปี๊ยกคนกำกับเขาก็รู้ อาตมาคนทำเพลงไม่เคยคิดเรื่องเงินทองเอามาเลย แต่เขาก็เอามาช่วยอาตมาทีหลัง อย่างคุณชวนนี่เขามีโรงพิมพ์ อาตมาจะพิมพ์หนังสือเท่าไหร่เขาก็ไม่คิดราคาเลย เป็นเรื่องของจิตใจที่พิสูจน์ได้เลยว่าเขาไม่เห็นแก่เงินกันจริงๆ คนไม่อยากเอาคนยิ่งอยากให้
อาตมาอยู่ทางโลกก็เจริญทางบันเทิง ไปในทางอบายมุขเป็นบันเทิงธุรกิจเป็นอบายมุข ตัวเลขมันสูง ในยุคนี้มันบ้าและโง่หลงการบันเทิงธุรกิจ หลงการกีฬา หลงอบายมุข เอาอบายมุขนำหน้ายิ่งใหญ่ ค่าตัวของดาราค่าตัวของนักกีฬาแพงลิบลิ่ว มันก็ส่อให้เห็นถึงยุคสมัยที่มันเลวร้าย ยุคสมัยที่ตกต่ำก็ไปหลงที่เป็นนรกเอาขึ้นมาเป็นสวรรค์ มันเป็นอย่างนี้มันเป็นสัจจะ อาตมาไม่ได้สงสัยอะไรมันชัดเจน ถ้าหากอาตมายังมุ่นในทางนรกอาตมาก็ไปทางนั้น เคยพูดทีเล่นทีจริงๆว่า หากอาตมายังอยู่ แกรมมี่อาร์เอสก็คงไม่เกิดได้หรอก บริษัทหัวใจสีชมพูจะดังสนั่นรวมนักร้องดารา ก็โชคดีที่ไม่ได้สร้างนรกใหญ่อย่างนั้น เป็นนรกปหาสะ ไม่ได้ด่าว่าใครนะ ความบันเทิงเริงรมย์เป็นเรื่องของความหลงผิดของเรามันโง่ ขิฑฑาปโทสิกะ จิต หรือมโน หลงความบันเทิงรื่นเริงเป็นโทษ
มันมี 2 อย่าง ขิฑฑาปโทสิกะหลงบันเทิงเป็นโทษ กับ มโนปโทสิกะ คือหลงจิต หลงอัตตาเป็นโทษ คนที่ยังหลงอย่างนี้ก็มีสวรรค์กับนรก ความจริงแล้วศาสนาพุทธไม่ไปให้หลงสวรรค์ สวรรค์เป็นเรื่องหลอก สวรรค์ 6 ชั้นเป็นเรื่องหลอกโกหกกัน ศาสนาพุทธไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก เพราะฉะนั้นถ้ายังไปงมงายอยู่กับสวรรค์ มันก็ยังไม่เป็นศาสนาพุทธทีเดียว ศาสนาพุทธต้องตีทิ้งสวรรค์ ตีไม่ขาดก็ยอมให้มีสวรรค์ อนุโลมให้นะ แต่จริงๆแล้วต้องไม่มี มันถึงจะเป็นพุทธที่ชัดเจน หมดสวรรค์ก็หมดธรรมะคู่ ศาสนาพุทธนั้นหมดธรรมะคู่
เข้าสู่บทเรียน หนังสือ คนจนที่มีแบบข้อ 21
ต้องแยก มโนปวิจาร มโนคือจิต วิจารคือลีลาบทบาท ลีลาของโลกีย์คือเคหสิตะ ลีลาของโลกุตระคือเนกขัมมะ ต้องมาหาอเทวนิยม คือไม่มีสอง
อเทวะ อเดอิซึ่ม กับ เทวะ เดอิซึ่ม
ใครเข้าใจธรรมะ 2 แบ่งไม่ได้โดยเฉพาะจิตที่มีเวทนา 2
ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
ภวันติคือทำสำเร็จผล คนนั้นคือคนบรรลุธรรมของศาสนาพุทธ
ถ้าเป็นศาสนาเทวนิยมก็คือศาสนาที่ยังมี 2 เพราะฉะนั้นศาสนาที่มีสองก็คือศาสนาที่มี
1. มีท้าวมหาพรหม 2. มีบริวารของท้าวมหาพรหม ขาดกันไม่ได้ ถ้าเหลือแต่ท้าวมหาพรหมไม่มีบริวาร ก็จะไปเทียบกับอะไรเป็นหนึ่ง ไม่มี 2 ให้เปรียบเทียบ ศาสนาพุทธนั้นทำ 1 เทียบได้ว่า 1 นี้ไม่เป็น 2 เมื่อไม่เป็นสองก็หมดเมถุน หมดความเป็นทาสคู่ หมดความเป็นภาวะคู่ ก็ไม่มีการเกิด หนึ่งเดียวไม่มีเกิด ไม่มีผลอะไรเกิดเลยเหมือน ฉิ่งข้างเดียว ตบมือข้างเดียว วืดๆๆ ยิ่งไปหา 0 เลย จบ
ส่วนศาสนาที่มีสองนั้นมันมียิ่งมากขึ้นเป็น 4 เป็น 8 เป็น 16 เป็นเท่าไหร่ๆทับทวีขึ้นไปอีกเยอะ 2 นั้นมันไม่มีดับ มันมีแต่ขยายผล จึงเป็นศาสนาที่ไม่มีจบ เป็นศาสนาที่ไม่พ้นทุกข์ ไม่พ้นสองคือไม่พ้นสุขไม่พ้นทุกข์ ถ้ามีสุขอยู่คือมีทุกข์ตลอดกาลนาน ไม่มีจบสิ้น
เพราะฉะนั้นต้องดับทุกข์หรือดับเหตุแห่งทุกข์ คือ สุขนี่เองตัวร้ายกาจ
ที่จริง พยัญชนะ สุขคือ ความว่าง มันไม่มีหรอกสุข มันเป็นสุขขัลลิกะ เท็จ สุขโกหกจริงๆมันไม่มี มีแต่สุ กับ ข ตัว ข แปลว่าว่าง ว่างต่างหากดี ไปมีสวรรค์นั่นแหละมันเป็นเท็จ
ทุกข์นี่แหละคือสุข ทุกข์นี้ ก.ไก่มาก่อน เป็นเจ้าของไข่นะ ไก่เป็นอัตตา อัตตนียาของไข่นะ ไปบอกว่าไข่เกิดก่อนไก่ไม่ได้ เพราะไก่เป็นเจ้าของไข่ ถ้าไม่มีไก่ ไข่เกิดได้อย่างไร หากไม่มีไก่ ไข่ก็ไม่มีอะไรฟัก ไข่ก็เน่า
(21) แยก“สมมุติสัจจะ”กับ“ปรมัตถสัจจะ”กันยังไม่ได้
มันก็หลงเพี้ยนไปยึดเอา“สมมุติสัจจะ”กันที่“เสียง” อยู่กับ“รูปธรรม”หรือ“วัตถุธรรม”คือ“เสียง”แท้ๆ งมหลงอยู่ตรงนั้น ไม่ได้ลึกเข้ามาหาความเป็น“จิต-เจตสิก”เลย ยิ่งเป็น“เวทนา”ก็ยิ่งต้องมี“ปัญญา”ละเอียดลึกเข้าไปอีกอย่างสำคัญมาก เมื่อหลงผิดกันก็งมจมอยู่แต่กับ“ทางเขาวงกต”วนอยู่แต่ใน“ความเป็นทาง” ออกจาก“ทาง”ไม่ได้เลย
คำว่ามัชฌิมาปฏิปทา มีสองคำ คือ มัชฌิมา คือกลาง กับ ปฏิปทา คือการปฏิบัติ แต่เขาเอาไปรวมกันเป็นคำเดียวคือบอกว่าทางสายกลาง ที่จริงมันไม่ใช่ทางปฏิบัติ ทางคือการเดินสิ่งที่พาไป กลางคือไม่ไปข้างนั้นข้างนี้ อยู่ตรงนี้ไม่มีปลาย ไม่มีอันตา ไม่มีโต่งไปข้างไหน ทำให้สำเร็จ ความเป็นกลาง มันต้องรู้สภาวะถึงขั้น
อารมณ์หรือเวทนาหรืออาการ หากข้างนี้มันสุขมันทุกข์ มันเป็นโทมนัสโสมนัส ข้างนี้มันกลางแต่บำเรอสุขอย่างโลกีย์ คุณเรียกสุขเหมือนกันแต่ห่างไกลสุขโลกุตระ ที่เป็นสุขที่ไม่มีสุข สุขที่สูญจากสุข ขอยืมพยัญชนะมาเรียกเท่านั้นว่าสุข เพื่อให้รู้ว่าสุขคือสบายใจ คือประโยชน์ของจิต ในโลกุตระเห็นว่าไม่สุขไม่ทุกข์คือประโยชน์ของจิต
หากพยัญชนะไม่ถูก พยัญชนะไม่ถูกสภาวะด้วยก็สับสนปนเปกันเละเทะ ก็เลยปฏิบัติผิด พยัญชนะผิด สภาวะยิ่งปนเละ
ความว่าง แบบเคหสิตอุเบกขาเวทนา กลางๆเหมือนกันแต่เคหสิตะ แล้วมันต่างจากเนกขัมมะอย่างไร
เนกขัมมสิตอุเบกขากับเคหสิตอุเบกขา สภาวะต่างกันอย่างไร แม้อุเบกขาเหมือนกันนะ
มันว่างเหมือนกันเฉยเหมือนกันนะ แต่ที่ไปที่มาองค์ประกอบต่างกัน โลกียะได้มาเพราะบำเรอกิเลสมันก็เลยสบายใจชอบใจ จนกระทั่งมันเบื่อแล้วก็วางพักยก มันพอแล้วมันเบื่อแล้วมันก็วางเป็นธรรมชาติ มันชินชา มันก็ไม่เอาอีก มันว่างอย่างพักยกมา เดี๋ยวมันก็อยากใหม่ก็ต้องไปหามาดิ้นรนมาให้มันเกิดสุขอีก ไม่ได้มาก็เกิดทุกข์ ความสุขความทุกข์มันจึงคู่กัน ได้มาเสพก็สุขใจคุณก็อยู่กับโลกีย์ไม่เคยจบ พักยก คนหลงว่าอุเบกขาพักยก บางคนไปฝึกฝนนั่งสะกดจิตอุเบกขาได้เก่ง เลยเก่งจนกระทั่งลืมตามาก็มีจิตอุเบกขาเฉยๆได้ ได้เหมือนกันมันเก่งมันทนได้ ยั่วยวนอย่างไรก็ทนได้เพราะฝึกฝนจิตให้มันจับกันแน่นควบแน่นมั่นคงแข็งแรง กระทบก็ได้ผล เลยหลงว่าอันนั้นคือนิโรธ ว่าอันนั้นคือความดับ หลงว่าอันนั้นคือความหลุดพ้นเป็นวิมุติ นี่คือสายสมถะหลงอย่างนี้ หากคุณไปฝึกมากๆฝึกนั่งสะกดจิตคุณก็ได้ ได้อย่างเป็นความหลอก คนสะกดจิตไว้นานก็ได้นาน หากสะกดได้จนกระทั่งนานจนนึกว่าตัวเองนี่ไม่มีกิเลสแล้วนิโรธแล้ว แล้วก็มีชีวิต 200 ปีตายคุณก็ตายไปอย่างที่คุณนึกว่าคุณบรรลุ ความหลงที่คุณหลงว่าบรรลุนี้ก็ตกอยู่ในภพชาติไป ตายแล้วไม่มีดินน้ำไฟลม ตายแล้วไม่มีดินน้ำไฟลมความรู้สึกของคุณก็เกาะแน่นอยู่ตรงนั้น อย่างอาฬารอาบส ได้อากิญจัญฯ เป็นนิโรธ ส่วนอุทกดาบสได้เนวสัญญาฯเป็นนิโรธ ตายแล้วก็สบายนิโรธไม่รับรู้ได้นาน
หากเป็นคนเป็นก็ตื่นมามีตาหูจมูกลิ้นกายมันก็ตื่นมารับรู้ แต่หากตายไปแล้วมันก็ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย จมอยู่ในจิต ตายแล้วไม่ต้องลุกขึ้นมากินน้ำ ตายแล้วไม่ต้องไปทำงาน ตายแล้วไม่ต้องไปทำอะไร เพราะฉะนั้นคุณก็สบายนะ คุณก็จมอยู่ในนั้นอีกกี่ล้านปี จมอยู่ตรงนั้นไม่มีจริงๆ คุณหายไปเลยมีแต่ความรู้สึก จิตของคุณมีเวทนาชนิดที่หลงว่าเป็นนิโรธ หากไม่มีอะไรมาสะกิดคุณเลย เมื่อตายไปมันนานมากไม่รู้กี่กัปป์ พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าฉิบหายหนอตายไปแบบนั้น หากคุณมีขันธ์ 5 ก็ต้องตื่นมา
เขาเคยมีคนสะกดจิต เข้านิโรธแบบนั้นได้ เก่งสุด 45 วัน
เขาเคยทดสอบกัน เอาให้สะกดจิตเข้านิโรธ แล้วเอาใส่ลังฝังดินได้ 26 วันแล้วก็เอาขึ้นมาปรากฏว่ายังไม่ตาย เขาก็พิสูจน์กัน เอาที่เคยอ่านเคยเจอเขาเล่ามา แต่ไม่เคยไปพิสูจน์ทดสอบ อาตมาเองก็นั่งหลับตาเป็น ทำมาหนักหนาเหมือนกัน ก็ไม่ได้พูดโดยที่ตัวเองไม่เป็นเหมือนหมาเห็นองุ่นเปรี้ยว เหมือนพระพุทธเจ้าไปเรียนรู้กับ อาฬารดาบส อุทกดาบส ท่านก็ทำได้แต่บอกว่าไม่ใช่ทางบรรลุ ไปงมในฌาน 7 8 แบบหลับตาทำไม
พูดกันทุกวันนี้ อย่าไปหลงสะกดจิตแบบนั้น ศาสนาพุทธต้องลืมตาปฏิบัติ มีตาหูจมูกลิ้นกายมากระทบสัมผัสเป็นเหตุปัจจัย ไม่ใช่การสะกดจิตลงไปให้เป็นหนึ่ง แต่สมาธิของพุทธนั้น รู้อะไรทุกอย่างหมดเลย แต่ว่าจิตนั้นไม่มีกิเลส แม้ที่สุดอาสวะอนุสัยก็ไม่มี แล้วรู้ตัวเองว่าอนุสัยคืออะไร อาสวะคืออะไร ก็ดับมันจนไม่ให้มันเกิดอีก ไม่ให้มันเกิดอีกเลย อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ไม่มีทางจะเกิดอีกเลย อย่างนี้คือสมาธิ จิตแข็งแรงตั้งมั่น อย่างลืมตาสัมผัสแล้วอยู่เหนือเลย คนอื่นพ่ายแพ้คนอื่นสู้ไม่ได้ แต่ผู้อื่นเขามีลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เขาก็มีกัน แต่เราอยู่เหนือหมดเลย อย่างไม่ได้หนี อย่างรู้หมดเลย ลูบหัวล้าน ลาภ ยศ สรรเสริญ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เล่นเลย ทำอะไรไม่ได้ เหมือนเด็กน้อยถูกผู้ใหญ่จับหัวเอาไว้ เขาก็ชกมาแขนมันก็ไม่ถึงผู้ใหญ่ แข็งแรง ไม่ได้หนีแต่มีสติเป็นอธิปไตย มีปัญญาเป็นความอยู่เหนือ มีธรรมะ 2 มีสติกับปัญญา สติมีความแรง มีความตื่นรู้ รู้ทุกอย่าง อย่างไม่ได้หนีไม่ได้หลบเข้าภพ เราเองเห็นยิ่งกว่าเขาด้วย มีสติเต็มที่ แล้วมีพลังปัญญาอยู่เหนือเป็นอุตระ โลกียะเหมือนเด็กน้อย ไอ้หนู เอ็งจะออกแรงเท่าไหร่ก็ตามใจเถอะ
แสดงทั้งซุ่มเสียงสำเนียง ภาษา ลีลาท่าทางขยายให้ถึงสภาวะธรรม ทำไมไม่ฉลาดยิ่งกว่านี้นะ อาตมาไม่ว่าโง่ ทำไมไม่ฉลาดกว่านี้ ให้อาตมาอธิบายยากทำไม สรุปเข้าเป้าว่า สมมติสัจจะไม่รู้ ปรมัตถ์สัจจะไม่รู้เพราะว่ามันวิปลาสผิดเพี้ยนไป
เพราะ“ทิฏฐิวิปลาส” ความเข้าใจผิดเพี้ยน การกำหนดหมายจึงผิดเพี้ยนตาม“สัญญาวิปลาส” ที่สุด“จิตก็วิปลาส”ไปตาม“ทิฏฐิ” ตาม“สัญญา”ที่ปฏิบัติผิดเพี้ยน
ต้อง“พ้นวิปลาส 3”นี้ให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะยิ่ง“วิปลาส 4”กันไปใหญ่ ซึ่ง“วิปลาส 4”มันก็เสียหายทำชีวิตเลอะเทอะเละเทะแย่ ได้แก่ 1. วิปลาสในภาวะไม่เที่ยง(อนิจจัง)ว่าเที่ยง(นิจจัง) 2. วิปลาสในภาวะที่เป็นทุกข์(ทุกขัง)ว่าเป็นสุข(สุขัง) 3. วิปลาสในภาวะที่ไม่เป็นตัวตน(อนัตตา)ว่าเป็นตัวตน(อัตตา) 4. วิปลาสในภาวะที่ไม่น่าได้น่ามีน่าเป็น(อสุภ)ว่า น่าได้น่ามีน่าเป็น(สุภ) หรือ“ไม่งาม(อสุภ)”ว่า“งาม(สุภ)”[พตปฎ. เล่ม 21 ข้อ 49]
คนเป็นอรหันต์บอกว่า ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป คนไม่เป็นอรหันต์ก็บอกว่ามันต้องมีสุขบ้างมันก็เลยไม่ถูกทาง
มันถุงขี้ผูกโบว์ มันหนังควายหุ้มขี้ ไปเห็นว่างามอยู่ได้ หนังควายมันหลอกนะ ที่จริงมันขี้ มันขี้ผูกโบว์เอาไว้นะ
นั่นคือ ต้องปฏิบัติให้“จิตไม่มีอาการสุข-ไม่มีอาการทุกข์” จิตเป็น“อุเบกขา” ด้วย“ปัญญา”อันยิ่งของตนเอง
แม้ผู้ใดจะทำจิตได้ถึงขั้น“ไม่มีอาการสุข-อาการทุกข์” ก็จะต้องไม่ยึดมั่นถือมั่นว่า“จิตอย่างนี้”เป็นของเราอีกที
ถ้ายัง“ยึด”จิตเฉยๆกลางๆอยู่ก็ไม่สิ้น“ภพ”จบ“ชาติ”
“ความยึด”นี่แหละคือ “สุดยอดแห่ง“อาการจิต”ที่ต้องศึกษาใน“อาการ-ลิงคะ-นิมิต-อุเทศ”ให้รู้จักรู้แจ้งรู้จริง จึงจะ“ปล่อยวางสภาวะ”นั้นๆได้จริง สำเร็จจบไม่มี“ภพ-ชาติ”
คือ ไม่มีภพ-ชาติของนรก-ของสวรรค์,“ไม่ทุกข์-ไม่สุข”
หากไปนั่งหลับตาสะกดจิตไว้ มันชั่วคราว ไม่เผชิญหน้าของจริงแล้วจับตัวโจร มันทำให้เอาโจรใส่ลังหลายชั้นแล้วใส่กุญแจไม่รู้กี่ชั้น แล้วนึกว่าโจรไม่มีแล้ว จะฆ่าต้องเห็นตัวเห็นตน อย่างสัมผัสปัจจุบันเห็นๆ
ปฏิบัติตามลำดับตั้งแต่มีศีลก่อน ศีลไปตามลำดับ ถ้าทำเป็นแล้วมันจะไปได้เป็นลำดับ ศีลทำให้ถึงจิตเป็นอธิจิต มีปัญญาช่วย นิโรธ วิมุติไปเรื่อยๆ ตามขั้นตอน พระพุทธเจ้าสอนอย่างมีสวากขาตธรรมแต่ไม่เข้าใจก็หนีเข้าป่าถ้ำ มันเลยผิดเพี้ยนไปทุกวันนี้ แล้วก็ไปนั่งสะกดจิตให้มันเฉยๆกลางๆ ความยึดหรือนี่แหละคือสุดยอดแห่งอาการจิตที่จะต้องศึกษา ศึกษาในอาการลิงคะ นิมิต อุเทศ
อาการมันเคลื่อนไหว ไม่มีแสงสีเสียงให้เห็นหรอก แต่มันจะมีอาการเคลื่อนของจิต อาการเคลื่อนของกาย คือภายนอกก็มีกายวิญญัติ มันเคลื่อนไหวรวมดิน น้ำ ไฟ ลมภายนอกหรืออาการพูดคือวจีวิญญัติ มันก็ละเอียดกว่ากายแต่คุณจะต้องรู้ไปถึง มโนวิญญัติ ถึงจะรู้ วิการรูป 5 คือ ลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา กายวิญญัติ วจีวิญญัติ
หากไม่รู้แม้กายก็ไม่รู้รูป วิการรูป 5 นี้ได้หรอก ทุกวันนี้ไปเรียนหลงจิต 89 121 ไปโน่น แต่ไม่รู้รูป 28 ไปหลงเรียนจิต 121 ไม่ต้องเลย มาเรียนรู้รูป 28 กับ นาม 5 นักอภิธรรมติดตรรกะภาษา หลงภาษาเหตุผล ปรัชญา เก่ง สำนักอภิธรรม น่าสงสารไปติดในภาษาพยัญชนะกัน ไม่เข้าหาสภาวะธรรม เมื่อไม่รู้ในอาการว่ามันเป็นอย่างไร คุณก็ไม่สามารถที่จะรู้ลิงคะ
ลิงคะ คือความแตกต่างของธรรมะ 2 อาการอย่างนี้คือรูป อาการอย่างนี้คือนาม เป็นธรรมะ 2
อาการอย่างนี้คือเวทนาคือความรู้สึก แยกความรู้สึกอย่างนี้คือความรู้สึกโลกีย์ ความรู้สึกเก๊ อย่างนี้คือความรู้สึกแท้ ความรู้สึกที่รู้ความจริงตามความเป็นจริง เช่น เราสัมผัสกล้วย ลิ้นไปลิ้มรสกล้วย ถ้ารสมันเป็นอย่างไรกล้วยลูกนี้ เจ๊กไทยฝรั่งแขกสัมผัสความรู้สึกอันนี้ที่เป็นรสแท้ก็อันเดียวกันหมด จะเรียกเป็นภาษาอะไรก็แล้วแต่ หารสหวานก็หวาน จะเรียกภาษาไหนก็แล้วแต่ สภาวะ ก็หวาน แต่คนโง่มีสภาวะเวทนา 2 เป็นความรู้สึกมีอาการสุขทุกข์ เป็นความรู้สึกเก๊ ความรู้สึกปลอม อย่างนี้ชอบ อย่างนี้ไม่ชอบ ความชอบนี้มันเก๊ ไม่ชอบมันเก๊
แต่ถ้าสัมผัสแล้วมันกลางๆเป็นเคหสิตอุเบกขาแต่พอดีตรงกันกับเนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา กลางเหมือนกันแต่นัยต่างกัน นัยอุเบกขาพักยกกลางๆ อีกหน่อยมันก็เกิดความชอบความชังอีก เพราะเชื้อของความชอบความชังไม่ได้ล้าง แต่เนกขัมมสิตอุเบกขามันล้างเชื้อของความชอบความชังไปอย่างนิรันดร แต่นี่ไม่ได้ล้าง ตัวตนของ เคหสิตอุเบกขา จนมันไม่เกิดอีกอย่าง อสังกุปปัง คุณไม่ได้ทำจริง วันหนึ่งมันก็เวียนกลับเพราะไม่ได้ล้างตัวนี้ออก ไม่ได้กำจัดมันจนหมดสิ้นไม่เหลือเชื้อเศษอะไรเลย คุณไม่ได้ทำอย่างสัมมาทิฏฐิถูกต้องแบบพระพุทธเจ้า นี่เป็นเงื่อนไขหลักของศาสนาพุทธ
การปฏิบัติไม่มีผัสสะเป็นปัจจัยแล้วเห็นกิเลสหยาบ แล้วก็ล้างกิเลสหยาบ ก็อยู่กับกิเลสที่มันหยาบนั่นแหละ แต่เราอยู่เหนือมันได้ ก็ต้องล้างตัวที่มันได้เหลือลงมาอีกเป็นกิเลสระดับกลาง ล้างกามราคะ ต่อ ล้างได้อีกก็เหลือรูปราคะ ล้างรูปราคะต่อ เหลืออรูปราคะอีก จนหมด แล้วสัมผัสกับมันอีกคุณก็อยู่เหนือมันได้ จิตมันตั้งมั่นไม่หวั่นไหวไม่เปลี่ยนแปลงเลย นิจจัง ทุวัง สัสสตัง ไม่ใช่หนีจากมัน ศาสนาพุทธไม่ได้หนีจากมัน
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่มีพลังงาน เป็นพลังงานฌาน แปลว่าไฟ ไฟมันเย็นรึ? มันร้อนต่างหาก การทำฌานของพุทธ มีพลังงานไฟแล้วกำจัดพลังงานไฟที่เป็นไฟราคะโทสะโมหะ มันสู้ไฟฌานไม่ได้ ฌานเป็นไฟสลายมันได้ เรียกภาษามาเรียกพลังงานอุณหธาตุว่าไฟ
พลังงานของราคะโทสะโมหะก็เป็นไฟเป็นอุหณธาตุ แต่พลังงานไฟฌานเหนือกว่า ทำลายไฟราคะโทสะโมหะได้ สร้างพลังงานไฟที่มันเหนือกว่าไฟราคะโทสะโมหะได้ ต้องรู้อาการ รู้ความแตกต่างลิงคะ รู้เครื่องหมายนิมิต ที่มันเป็นฌาน ไปทำลายไฟราคะโทสะโมหะได้
คุณก็สัมผัสได้ ไฟราคะมันมีเมื่อสัมผัสเหตุมันก็เกิด แต่คุณสามารถทำให้เกิดพลังงานไฟฌานไปทำลายไฟราคะโทสะโมหะอย่างเป็นของจริงหลัดๆ
แต่หากไปนั่งหลับตาสะกดจิต มันก็ไม่มีเหตุให้เกิดไฟราคะโทสะโมหะ มันก็ไม่เกิดไฟฌาน ก็ไม่ได้สร้างไฟฌานที่ร้อนยิ่งกว่าไฟราคะโทสะโมหะ ไฟฌานของพระพุทธเจ้าจึงร้อนยิ่งกว่าราคะโทสะโมหะ มีอำนาจที่สูงกว่า มันจึงกำจัดราคะโทสะโมหะได้ นี่พูดเป็นภาษาไทยให้ฟังง่ายๆ สภาวะมันเป็นเช่นนี้
หากไปนั่งหลับตาสะกดจิตให้มันเย็นสบาย มันคนละไฟ ไม่ใช่ไฟฌาน ยังดีนะ ในพจนานุกรมบาลี ยังแปล ฌานว่า ไฟ ว่าเพลิง แต่ทำไมเขาไปทำแบบฌานแช่แข็งตู้น้ำแข็ง ไม่ใช่ ฌานคือ ไฟกองใหญ่ที่มีอำนาจสูงกว่าราคะโทสะโมหะ ไม่ใช่ตู้เย็น
เมื่อไม่รู้อาการ ลิงค นิมิต นิมิตคือเครื่องหมาย คุณเข้าใจว่าอย่างนี้คือไปทางไหนคือไฟราคะ ไฟฌาน มันเป็นอย่างนี้ทำลายไฟราคะได้ คุณต้องมีของจริงทำให้เห็นด้วยญาณปัญญาของตน มันไม่มีตัวตนอะไรหรอก แต่มันมีพลังปัญญาที่คุณจะต้องเห็น เห็นความแตกต่างคือ ลิงคะ เห็นตัวสภาวะ นิมิตเครื่องหมายมันเป็นอย่างนี้ ตามอุเทศที่อาตมาอธิบาย ขยายความให้เข้าใจให้ฟังแล้วเอาไปปฏิบัติ ผู้เข้าใจก็ไปเห็นรูปนาม ก็ใช้นามของคุณให้เห็นรูป เห็นสิ่งที่ถูกรู้พวกนี้ ต้องไปทำให้อาการ ลิงค นิมิต ใครเห็นก็เป็นของจริงจึงจะปล่อยวางและเห็น สลายสภาวะนั้นได้จริงสำเร็จจบ ไม่มีภพ ไม่มีชาติ ไม่มีนรก ชาติของนรกสวรรค์ไม่มี ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ดับทุกข์ดับสุข ดับเหตุแห่งทุกข์ ไปมัวดับเหตุแห่งสุขมันไม่ดับหรอก มันชอบ จึงบอกว่าดับทุกข์ก็แล้วกันทุกข์กับสุขมันอันเดียวกัน เมื่อมันดับเหตุแห่งทุกข์ สุขมันก็หมดไปด้วย พระพุทธเจ้าฉลาดอย่างนี้ หากไปมัวดับเหตุแห่งสุข จ้างก็ไม่ดับ มันไม่สนใจ ก็บอกมันทุกข์ไง คุณจะต้องเข้าใจว่าสุขคือทุกข์ สุขมันเป็นเท็จ แต่คุณก็ไปหลงว่ามันเป็นความจริง สัจจะมีอย่างเดียวคือทุกข์อริยสัจ ไม่ใช่มีสุข คนโง่เห็นเป็นสุขเท็จอยู่ ท่านถึงเรียกทุกข์ว่าทุกข์อาริยสัจ เรียกสุขว่าสุขลิกกะ
(22) ไม่มี“สวรรค์-นรก”ในจิตคือ “ไม่มีภพ-ไม่มีชาติ”ขั้นต้น
เพราะ“ภพ”ก็ดี “ชาติ”ก็ดี ปุถุชนทั้งหลายที่“อวิชชา”
ยังไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น“ภพ”เป็น“ชาติ”นั่นเอง
สวรรค์ก็เป็น“ภพ” นรกก็เป็น“ภพ” ที่ผู้“อวิชชา”ทำ
กรรมใดที่ยัง“อวิชชา” จึงเป็น“การกระทำ(กรรม)”ที่มีความเป็น“ชาติ” เป็น“นรก” เป็น“สวรรค์” ถ้าไม่เป็น“นรก(ทุกข์)” ไม่เป็น“สวรรค์(สุข)”ก็คือ “ไม่ทุกข์-ไม่สุข(อทุกขมสุขหรืออุเบกขา)”
ซึ่ง“ไม่ทุกข์-ไม่สุข”นี้แหละเป็นได้ตามธรรมชาติของชีวิตสามัญของปุถุชน เรียกว่า “เคหสิตอุเบกขาเวทนา”อยู่นะ หากไปหัดสะกดจิตได้เก่งเป็นเคหสิตอุเบกขาเวทนาก็ได้แบบนั้น
เพราะสามัญทั่วไปของปุถุชน“ไม่ทุกข์-ไม่สุข”นั้นคือ “ความรู้สึกกลางๆเฉยๆ”ที่มีเป็นธรรมดาของปุถุชนสามัญเป็น“สมมุติธรรม”ชาวโลกียะ เป็นการ“พักยก”ของอารมณ์
ยังไม่ถึงขั้นเป็น“ปรมัตถธรรม”ของชาว“โลกุตระ”เลยมันต้องเรียนรู้ปฏิบัติฝึกฝนอบรมกันมี“ทฤษฎี”หรือ“ทิฏฐิ”สำคัญของพระพุทธเจ้ากันจริงๆ ต้องรู้จักรู้แจ้งละเอียดลึกไปถึง“ธรรมนิยาม 5 ”ด้วย“ปัญญา”กันทีเดียวจึงจะรู้จริง
ยืนยันทั้งสภาวะแต่ละคนและภาษาที่สื่อตรงกันไม่ขัดแย้งกัน มันจะมีทั้ง“สมมุติสัจจะ”กับมีทั้ง“ปรมัตถสัจจะ” ยืนยันตรงกัน เป็น“สัจจะมีหนึ่งเดียว”ได้แท้ด้วย“ธรรมะ 2”
ยิ่งยืนยันมากมายหลากหลายเท่าใดก็ยิ่งเป็นของแท้
ดังนั้น ถ้าผู้ใดไม่มี“ภูมิแห่งความรู้”ที่สามารถพูดกันถึงสภาวะของ“อุตุนิยาม-พีชนิยาม-จิตนิยาม-กรรมนิยาม-ธรรมนิยาม”กันได้อย่างสามารถสื่อรู้เรื่องชี้บ่งสภาวะรองรับ เข้าใจตรงกันได้ ก็ไม่สามารถจะผ่าน“อจินไตย”นี้
(23) ไม่มี“สุข-ทุกข์”ในตนคือ ไม่มีของตัวของตนยืนพื้น
ยิ่งมีเวลาดำเนินชีวิตคบคุ้นอยู่ร่วมกันสัมผัสสัมพันธ์กันนาน ยิ่งนานก็ยิ่งสามารถยืนยันมี“พฤติสัจจะ”ที่รู้กันได้แท้
ซึ่งเป็นภาวะที่ต้องศึกษาเรียนรู้อบรมฝึกฝนกันจนกระทั่งรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน”ด้วย“ปัญญาธาตุ”ร่วมกัน ที่ผู้มี“ปฏิปทา”มี“วิธีปฏิบัติ”หรือมี“ทางปฏิบัติ”ไปสู่“ความเป็นกลาง” คือ“ไม่มีสุข-ไม่มีทุกข์” ปฏิบัติแล้วเกิด“ความเป็นกลาง”ของจิตในจิต โดยเฉพาะใน“เวทนา”ตนเองกันจริงๆ ล้วนมี“อาการ-นิมิต-อุเทศ”อันสามารถอ่าน“อาการ-นิมิต”ของแต่ละคนตรงกันชนิดไม่มี“ลิงคะ”จริงๆ จึงจะมี“สภาวะ”ยืนยัน“ความรู้สึก”หรือ“เวทนา”ของ“จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน”ที่ทุกคนสามารถถ่ายทอดเรียนรู้“ความรู้สึก”ของกันและกันไปมาได้
เวทนาเก๊กับเวทนาแท้ หากคนมีสภาวะก็สื่อได้ตรงกัน เป็นสัจจะอันเดียวกันพูดก็ตรงกัน สัจจะเป็นหนึ่งเดียว พูดไปก็ใช่ ก็ไม่แย้งอะไรเลย คนไม่เคยฟังอาตมาก็แย้ง
สมณะฟ้าไทสรุป…วันนี้พ่อครูพูดถึงสังคมและศาสนา