610530_เทศน์กัณฑ์พิเศษ ภูฟ้าผาธรรม จ.เชียงใหม่ พ่อครูสอนฝึกเจโตสมถะ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://drive.google.com/open?id=14m5i_StM4jy6hc3ieioNAm-JqfN-Utx9QfAXxABqlNA
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1r__5irIlN6eePEpz4nVj1q3Xg7I8gLjy
ดูยูทิวป์ได้ที่…
พ่อครูว่า.. วันนี้เรามีกำหนดกันว่าเราจะมาเรียนเจโตสมถะกัน เจโตสมถะหรือเจโตสมาธิ สมาธิคือความตั้งมั่นของจิต ถ้าวิปัสสนาสมาธิ ก็ไม่ต้องมานั่งอย่างนี้ ก็พิจารณา กายเวทนา จิต ธรรม ตลอดเวลา เราก็จะสร้างสมาธิได้ ส่วนเจโตก็ต้องมานั่งทำจิตสะกดเอาไว้ ๆ คนก็นิยมทำเจโตสมถะหรือทำเจโตสมาธิกัน แม้ทุกวันนี้ศาสนาพุทธก็ไปนิยมกันมันง่าย นั่งนิ่ง ดับความคิดไม่ต้องไปพิจารณาให้เกิดสติสัมปชัญญะ หรือธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์กัน ก็ดับจิตให้หยุดอย่างเดียวก็เป็นสมาธิอย่างนั้น สมาธิอย่างนี้ไม่เกิดผลดี มันดีอย่างนึงคือทำให้เกิดความสงบ แต่ของพระพุทธเจ้าเป็นสมาธิแบบพื้นฐานรู้ตัวทั่วพร้อม สัมผัสอะไรก็มีธรรมวิจัย รู้ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม จิตจะแยกเวทนา 108 ออก รู้กิเลส เหตุที่ทำให้เกิดนรกสรรค์ก็ลดมัน นี่เป็นวิธีเรียนรู้ศาสนาพุทธ
ส่วนเจโตสมถะศาสนาไหนๆก็ทำ สะกดจิตให้ไม่รู้ๆๆ เราก็เรียนรู้บ้างก็ไม่มีอะไรมาก การจะนั่งเจโตสมถะก็คือสะกดจิต สะกดจิตก็คืออะไรอันหนึ่งเป็นสิ่งที่จูงนำหรือเป็นสิ่งที่เราจะเกาะยึดเอาจิตไปจดจ่อ ภายนอกก็ได้ อย่างวิธี hypnotize สากล ก็จะใช้นิ้วมือ จ้องที่นิ้วมือ เข้าแล้วออก ก็นิ่งๆ หรืออย่างเช่น เขาจะบอกว่า ให้มองนิ้วสองนิ้วนี้นะ แล้วบอกว่า ให้เอานิ้วมือแยกออก คนที่มีจิตยึดก็จะดึงนิ้วไว้ไม่ให้ออก หรือวิธีของแม่มดก็มีลูกแก้วมานั่งเพ่ง คือให้จิตรวม สะกดเป็นเจโตสมถะหรือเจโตสมาธิ
เรียนเจโตสมาธิไม่มีอะไรเลย ไปนั่งหลับตาไม่รับรู้ภายนอก จิตรับรู้แต่ภายใน หาก ดับจิตไม่ให้รับรู้เลยเป็นอสัญญีสัตว์มันไม่ง่าย ในภวังค์ ภายในก็ปรุงแต่งนึกคิด
พวกสมาธิที่เขาออกนอกทาง เขาแยกไม่ออกระหว่างเจโตสมาธิกับวิปัสสนาสมาธิ เขาก็จะดับจิตไม่รับรู้ภายนอก รู้แต่ภายในแล้วเขาก็จะบอกว่า มีความคิดอยู่ถือว่าไม่ใช่สมาธิ มันต้องไม่คิดไม่นึกอะไรเลย ให้จิตว่างๆ ต้องประคองให้จิตว่าง อย่าหลับด้วย ถ้าหลับไม่ใช่สมาธิ ฟุ้งซ่านก็ไม่ใช่ ไม่ฟุ้งซ่านไม่คิดแต่ไม่หลับ กดข่มไป กลางๆ ให้ได้ ฝึกอยู่อย่างนั้น เจโตสมถะมีแค่นี้ จบแล้ว คำอธิบาย เท่านี้แหละเรียนกันทั้งปีทั้งชาติ ทั้งชีวิตก็มีเท่านี้แหละ เจโตสมถะ ก่อนจะนั่งเจโต 15 นาทีสุดท้ายก็จะกล่าว
หนึ่ง ทำจิตให้สงบ แบบสมถะนั้นก็ไม่ต้องสัมผัสตาหูจมูกลิ้นกายไม่ต้องเป็นเป็นอะไรจิตสงบ ดีไม่ดีก็หลับ คอตก นั่ง ไม่ว่ารูปไหนก็แล้วแต่ นั่นก็นั่งนิ่ง
สอง นั่งจิตสงบแล้วก็เตวิชโช ระลึกถึงเรื่องที่ผ่านไป ผ่านไป 10 นาที 20 นาทีหรือนานกว่านั้นเราได้สัมผัสเกี่ยวข้องกับอะไรกิเลสก็เกิดขึ้นบ้าง เป็นจุตูปปาตญาณ มีเหตุที่อยากได้หรือไม่อยากได้ ปฏิเสธ ดูดหรือผลัก จิตเราเป็นอย่างไรก็ตรวจสอบ ถ้าตรวจสอบแล้ว ตื่นเช้ามาสัมผัสอันนั้นอันนี้ สัมผัสก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง แล้วสรุปว่าสัมผัสกับอะไรก็ไม่เกิดกิเลสเลย ก็มีสามอย่างนี้ คือ บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ สสวักขยญาณ
สัมผัสภายนอกแล้วจิตไม่เกิดกิเลสเลย เป็นอนาคามี สัมผัสแล้วภายนอกภายในไม่เกิดกิเลสเลยเป็นอรหันต์ ทำได้ตลอดไปหรือไม่ ได้ก็เป็นอรหันต์ หรือผ่านมาวันที่แล้ว สองวันที่แล้วห้าวันที่แล้ว ร้อยวันที่แล้ว ร้อยปีที่แล้ว ชาติก่อนเลย ใครเก่งก็ระลึกได้ บุพเพนิวาสานุสติญาณ
ของพระพุทธเจ้าการสงบไม่ใช่แบบเจโตสมถะ แต่ของพระพุทธเจ้านี้ไม่ใช่เรียกสงบธรรมดา แต่เป็นปัสสัทธิ เพราะกิเลสที่เป็นเหตุแห่งทุกข์มันสิ้นไป ทุกข์ๆสุขๆ แล้วไม่เที่ยง รู้ ไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จนรู้หน้ามัน มันไม่มาเลย ไม่ไปไม่มา ถ้ามาอยู่ก็ไม่เที่ยง จนไม่มาเลยจนเที่ยง ก็อนัตตา จนไม่มีแล้วจบ ก็จบไป โดยการสัมผัส ไม่ต้องไปนั่งสะกดจิต ไม่ต้องนั่งหลับตาเลย หากจะใช้งานหลับตาก็ใช้
หนึ่งพักผ่อน สองใช้ศึกษาอาการจิตในภพ ก็ศึกษาได้ อย่างนี้เป็นกามวิตก อย่างนี้พยาบาทวิตก อย่างนี้ ถีนมิทธะอย่างนี้ อุทธัจจะกุกกุจจะ ฟุ้งซ่านอย่างนี้ นิวรณ์ 5 ออกมาลีลาอย่างนี้ ก็ง่ายๆสั้นๆแค่นี้แหละก็เรียนรู้ ตามความหมายของภาษาที่ได้ ก็ไปอ่านสภาวะแล้วทำสภาวะให้สงบก็ได้สมถะ
ส่วนวิปัสสนานั้นต้องเรียนรู้ทุกสัมผัส ตาหูจมูกลิ้นกาย ใจเราก็รวมรับรู้ไปตลอด รับรู้แล้วก็เกิดสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ แล้วเราก็มีกรรมกิริยา มีสวรรค์นรกกับภายนอก หากเราไม่มีกับภายนอกก็เหลือแต่ภายใน คือโสมนัส โทมนัส อุเบกขา
โสมนัสคือสุข โทมนัสคือทุกข์ เราก็ทำให้หมด หมดแล้วก็เหลืออุเบกขา แล้ววิธีปฏิบัติวิปัสสนาคือสัมผัสแล้วก็รู้ พระพุทธเจ้าตั้งเกณฑ์ เมื่อเราจะเรียนรู้ สามารถที่ให้จิตเราหมดสุข หมดทุกข์หมดสวรรค์หมดนรก ศาสนาพุทธไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก
การสอนว่ามีสวรรค์ไปสวรรค์คือเทวนิยม รู้ไหมใครเป็นเจ้าของสวรรค์ คือพระเจ้า ผู้ใดจะไปสวรรค์ต้องไปอยู่กับพระเจ้า ให้พระเจ้าเป็นผู้บอก สวรรค์นรกคือคู่กัน สวรรค์อยู่ที่ไหนนรกอยู่ที่นั่น พระพุทธเจ้าให้มาเรียนรู้ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป สวรรค์เป็นสุขเท็จมันโกหก ไม่มีความจริง ที่อยากได้สวรรค์ 6 ชั้นเป็นพวกอวิชชาทั้งนั้น อย่างธรรมกาย เราไม่เอา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่สอนให้ดับทุกข์ แน่นอนอาจจะต้องอาศัยสวรรค์ไปก่อนบ้าง แต่ก็ต้องให้หมดสวรรค์ หมดสวรรค์หมดนรกคือเป้าหมายว่างๆ นี่คือวิปัสสนา
หลักสูตรพระพุทธเจ้าวิปัสสนาต้องสัมมาทิฏฐิ มีสัมมาทิฏฐิ 10 อย่าง
-
ต้องรู้ว่าเราจะทำชีวิตของเราให้ดีที่สุดคือชีวิตที่มีทาน แล้วชีวิตที่ประพฤติต้องมีหลักเกณฑ์การประพฤติคือปฏิบัติศีล ปฏิบัติศีลคือมีวิธีปฏิบัติอย่างไรก็แล้วแต่ให้มันครบทั้งศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสสนะ ก็มีวิธีต่างๆ ขยายความไป ก็เรียก ยิฏฐัง วิธีการ
ต้องรู้ว่าทำทานอย่างไรจึงเกิดผล ทำทานแล้วจิตของเราเป็นอย่างไร ถ้าผู้สอนผิดบอกว่าตั้งจิตเป็นกุศลเป็นบุญ ปนกันหมดระหว่างบุญกับกุศล บุญเป็นของดีจิตใจเราก็อยู่ในภพภูมิที่ดี เป็นพบของวิมานสวรรค์ ก่อตั้งจิตแบบนี้ สาเปกโข มีภพมีชาติ
ในทานสูตรพระพุทธเจ้าสอนไว้ คนไม่รู้ก็สอนทานอย่างนี้ สอนทาน สาเปกโข หลงสวรรค์ 6 ชั้น ชั้นตบท้ายเลย ปลื้มจิต อตฺตมนตาโสมนสฺสํ รวมความชอบใจไว้หมด นั่นคือหลงได้ที่ หลงมีภพมีชาติได้ที่ เพราะฉะนั้นธรรมกายสอนให้หลงปลื้มแล้วมีสวรรค์เฟส 1 2 3 มันคนละเรื่องกับศาสนาพุทธที่สอนเลยให้หมดภพหมดชาติ
มีสวรรค์ที่ไหนก็มีนรกที่นั่น ตอนนี้ก็ลงนรกกันอย่างธัมมชโยขุดไม่เจอเลยอย่างธัมมชโย นี่คือธรณีสูบแท้ๆ หาตัวไม่เจอเลย ขนาดมีกองทัพตรวจสอบ DSI มีกองปราบทั้งกอง ยังค้นหาไม่เจอเลยถูกธรณีสูบ เรียกอย่าง Invisible Man อย่างอภินิหารเลยหายตัวได้ เขาก็เลยบอกว่าอาจารย์เขาหายตัวได้ มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ หาตัวไม่ได้จับตัวไม่ได้ แปลกนะ
อย่างทักษิณ จับตัวไม่ได้แต่ไปอยู่เมืองนอกก็ยังรู้อยู่ แต่นี่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน เอากองทัพไปค้นด้วยนะ เอาตำรวจไปค้นก็ไม่เจอ เขาก็เลยนับถืออาจารย์ของเขาว่าเป็น invisible Man หายตัวได้หาตัวไม่เจอ เก่ง เขาก็พูดอย่างนั้นจริงๆ เขาเชื่อและบูชาเคารพกัน ว่าอาจารย์เขามีความสามารถอย่างนั้นจริงๆ แล้วมันเป็นไปได้
ศาสนาพุทธ มีอะไรก็มาเรียนรู้ปรมัตถ์ มีวิธีปฏิบัติ ยิฏฐังปฏิบัติแล้วมี หุตัง มีผล ที่จิต ปฏิบัติแล้วจิตใจลดกิเลสได้ เรียกว่าได้ผล ทำอยังโลโก ถ้าเราทำได้โลกก็ไม่ใช่โลกียะ แต่เป็นโลกที่กิเลสลดได้เรียกโลกุตระ เป็น ปรโลก ทำให้คนเข้าสู่โลกใหม่ อยังโลโก ปโรโลโก
สุกตทุกฎานัง กัมมานังผลังวิปาโก สามารถอ่านกิเลสได้ทำให้กิเลสลดได้นั่นแหละจึงจะเข้าสู่โลกใหม่ ปรโลก
สัตว์โอปปาติกะ มีวิธีปฏิบัติคือมีศีลเป็นแม่ มีปัญญาเป็นพ่อ ช่วยกันทำให้จิตสะอาด อย่างสัตว์โอปปาติกะ ศีลกับปัญญาช่วยกันเหมือนล้างมือด้วยมือ ล้างเท้าด้วยเท้า
ต้องเข้าใจสภาวะว่า ศีลเป็นแม่คืออย่างไร ปัญญาเป็นพ่อคืออย่างไร
รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ ด้วยนามของเรา ต้องรู้จักเวทนา 108 กายิกเวทนา เจตสิกเวทนา สัมผัสแล้วมีสามเส้าเกิด สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ รู้มโนปวิจาร 18 ทำให้กิเลสลดได้ก็สุขทุกข์น้อยลงเป็นเนกขัมมะ เราก็ทำทุกปัจจุบัน สั่งสมเป็นอดีต 36 ทุกปัจจุบัน 36 จนอนาคต 36 ก็กิเลส 0 อนาคตมาเท่าไหร่ก็ 0 ตั้งมั่นแข็งแรงจบที่เวทนา 108 นี่คือการอธิบายวิธีสมาธิวิปัสสนาจบแล้ว
โดยวิธีปฏิบัติก็มีทานมีศีล แล้วมีรายละเอียดที่ปฏิบัติได้เรียกว่า หุตัง มีการกระทำ สุกตทุกฎานัง กัมมานังผลังวิปาโก สั่งสมได้ทำได้เป็นผลเรียก ผลังวิปาโก เป็นผลวิบาก ทำได้ก็สามารถเปลี่ยนโลกจาก อยังโลโก มาเป็นปโรโลโก เป็นสัตตาโอปปาติกา อธิบายโดยสมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)
โดยความรู้ผู้รู้ที่เป็นสยังอภิญญา เป็นผู้รู้ที่มีความรู้ติดตัวมา ถ้าในยุคใดก็แล้วแต่มีผู้รู้ที่มีอภิญญาของพระพุทธเจ้า มีความรู้ถูกรู้แท้ เป็นสมณพราหมณ์ ที่ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแค่สมณพราหมณ์นะ ที่รู้ดีปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แล้วก็เอามาประกาศ ปเวเทนตีติ ให้ได้เกิดมรรคผล ก็เสร็จหน้าที่ของอาตมาคือ สยังอภิญญา เป็นผู้รู้เอาอันนี้มาประกาศที่เป็น สยังอภิญญา เขาก็หมั่นไส้หาว่า อวดตัวอวดตน แต่เราก็พูดความจริง ขนาดนี้คนยังไม่ค่อยเชื่อเลย
อาตมามาประกาศ เป็นผู้ประกาศโลกนี้โลกหน้า ที่ผ่านมาไม่มีใครประกาศโลกนี้โลกหน้า ที่เป็นโลกโลกุตระคืออย่างไร ที่เป็นโลกหน้า ไม่มีอาจารย์สำนักไหนเลย ไม่มี สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)
ที่อาตมาบอกว่า อาตมาเป็นสยังอภิญญา เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาประกาศ ประกาศว่าโลกียะคืออะไร โลกุตระคืออะไร
ประกาศไปว่า โลกนี้โลกหน้า โลกนี้คือโลกโลกียะ โลกหน้าคือโลกโลกุตระ จนพวกคุณฟังแล้วเข้าใจ จนเอาชีวิตมาปฏิบัติเช่นนี้ ไม่เอาแบบทางโลกแล้วเสียเวลา คนเห็นว่าอันนี้ดีกว่าก็เข้ามา แต่หากยังรักโลกมากกว่า โลกธรรมยังมีมาก ก็จะค่อยๆปฏิบัติ ชีวิตมาพัฒนาตัวเองให้เจริญพออยู่พอกิน เหมือนในหลวงตรัส จนมาอยู่ที่นี่ มีสาธารณโภคีมันพออยู่พอกิน บางคนก็เลิกถอนออกจากโลก มาอยู่กับหมู่กลุ่ม สังคมชาวอโศกเป็นสังคมโลกุตระ เป็นโลกุตระที่สมบูรณ์สูงสุดยิ่งกว่าในยุคพระพุทธเจ้าในฆราวาส พูดอย่างนี้ไม่ได้อวดดีข่มพระพุทธเจ้า เพราะในยุคพระพุทธเจ้าเป็นยุคของทาสเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไม่รู้จักสิทธิมนุษยชน ก็เลยทำได้แต่ในวงสงฆ์ที่บอกเลิกครอบครัวทางโลก พระมหากษัตริย์เขาอนุญาตก็มาอยู่ในแวดวงของพระพุทธเจ้า วงสงฆ์ ท่านมีธรรมนูญของท่าน ท่านไปแคว้นไหน พระเจ้าแผ่นดินในแคว้นนั้นก็ยอมยกให้หมด เพราะถือว่าพระพุทธเจ้าสอนคนแล้วเป็นคนดีของประเทศ แม้แต่สอนเป็นคนดีแล้วจะไปกับพระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ว่าอะไร ยินดีให้ไปด้วย แคว้นใหญ่สุดในยุคโน้นก็ยกให้หมด
พระพุทธเจ้าสอนให้คนมาเป็นคนของศาสนาพุทธก็กลายเป็นคนที่พัฒนา มาในยุคนี้เป็นยุคที่มีอิสระเสรีภาพไม่ใช่สมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นยุคที่รู้จักสิทธิมนุษยชน สิทธิในทางวัตถุ สิทธิในการแสดงออก สิทธิในอะไรก็รู้หมด ก็เลยทำได้ อาตมานำธรรมะพระพุทธเจ้ามาประกาศอย่างสมบูรณ์ถึงขั้นเป็นชุมชนสาธารณโภคี เป็นอัตโนมัติ แล้วใครที่เป็นสมาชิกของชุมชนชาวอโศกที่อยู่ประจำแล้ว แล้วก็ชัดเจนเลยอยู่ในนี้ไม่มีปัญหา กินใช้ร่วมกันกับกองกลาง ตายไปก็ไม่ต้องห่วงชีวิตเลยมีพี่น้องดูแล ไม่มีญาติพี่น้องก็มีญาติธรรมเป็นผู้ดูแลฝากผีฝากไข้พึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้จริง ใครมั่นใจมั้ยว่าชาวอโศกพึ่งพากันได้จริงๆแม้จะไม่ใช่ญาติที่คลานตามกันมาทางสายเลือด แต่พึ่งพากันได้ดีกว่าญาติทางสายเลือด ใครรู้สึกได้อย่างนั้นบ้างยกมือ …ยกเกือบหมดเลย
อาตมาว่าอาตมาได้เผยแพร่ ธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วเสร็จแล้วจบไปนอน
ต่อไปเป็นช่วงเอื้อไออุ่น
ทานอย่างไรให้เกิดอสังสัคคะคือไม่ให้เกิดสวรรค์ ผู้ใดทำทานแล้วไม่ให้เกิดสวรรค์ผู้นั้นทำทานให้เกิดผลได้จริง ทานไม่มีสาเปกโข ทานคือการให้ ให้ก็จบแล้ว ไม่ต้องมีอะไรตอบแทนมาอะไร ไม่ต้องมีอะไรตอบแทน มีอิสระเสรี นี่คือทานที่สูงสุด
ส่วนยิฏฐัง ปฏิบัติเพื่อให้เกิดรู้จัก สุขัลลิกกะ กับทุกข์อาริยสัจะ การปฏิบัติกับประพฤติอะไรก็แล้วแต่ที่จะเกิด สุกต ทุกฏานังกัมมานังผลังวิปาโก จะทำอะไรก็แล้วแต่มันเป็นผลวิบากของเราทั้งสิ้น ทำแล้วไม่เป็นอันทำไม่ได้ ทำกรรมแล้วก็เป็นผลวิบาก หากทำกรรมทุกกรรมแล้วไม่สุขไม่ทุกข์ได้ในทุกกรรม คุณก็เป็นอรหันต์ มันไม่ต้องไปสุขไม่ต้องเป็นทุกข์อะไรเลย ผลวิบากของคุณก็เป็นอรหันต์ ก็จบเลย
เราจะรู้ได้ว่าเรายังอยู่ในโลกนี้ ก็คือโลกโลกีย์ แล้วเราจะต้องมาทำออกให้เป็นโลกอื่นที่เป็นไม่ใช่โลกโลกีย์ เราก็ต้องมีธาตุรู้ที่เป็น อัญญา เป็นปัญญา แล้วใช้สัญญากำหนดรู้ ว่ายังมีโลกโลกีย์อยู่นะ เราก็ทำเนกขัมมะออก ก็เปลี่ยนเป็นปโรโลโก ด้วยการทำใจในใจแบบศีลสมาธิ ปัญญา คือ มาตา ปิตา สัตตาโอปปาติกาคือ ศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อ เกิดปัญญาทำให้เกิดจิตอาริยะกิเลสลดลงไป จิตวิญญาณลดกิเลสเจริญขึ้น ก็จบ
อาตมาเป็นสมณะพราหมณ์ในสมาธิข้อที่ 10 มาประกาศเกือบ 50 ปีแล้วเมื่อย ประกาศอย่างซ้ำซากวนเวียนอธิบายจนจะหมดภูมิ หมดพุงแล้ว แต่พุงมันก็ไม่ค่อยมี มันแฟบมันแบน ไม่มากไม่มายก็เลยอธิบายจนหมดพุง หมดภูมิ ก็ได้อย่างนี้
อาตมาก็ว่า เอา ตอนนี้ก็ คิดว่าจะอธิบายเสริมเติมให้ละเอียดลึกซึ้งเข้าไปบ้างเท่านั้น ผู้ที่จะมารับถ่ายทอด ภิกษุทั้งหลายเป็นต้น หรือแม้แต่ฆราวาส หญิงชาย ก็แล้วแต่ที่ได้ก็ช่วยกันสานต่อ อธิบายต่อสืบสานต่อไป ให้อาตมาปลดเกษียณเสียที ช่วยรับผิดชอบ ที่จริงก็บอกไปแล้ว มางานวิสาขบูชาปีนี้ก็ได้มอบหมายเป็นงานเป็นการ ก็ช่วยกันไปทำไป อาตมาก็จะพักผ่อน ตอนนี้ไม่ไปจดทะเบียนพรรคการเมืองแล้ว ตั้งพรรคเองคือ พักผ่อน ตั้งพรรคการเมืองเสียเงินเสียทองเสียเวลา เรามาพักผ่อนตามสบาย มีชีวิตอยู่กับ พัก ผ่อน
เอ้าใครมีอะไรจะโอภาปราศรัยมีอะไรก็ว่ากัน
_จุ๋ม ฝากฟ้า …คือ ตอนนี้ คุณนิวัช หรือพี่จุ้ยก็ได้มอบผาธรรมให้กับพ่อท่านแล้ว ในฐานะที่พ่อเป็นพ่อ พ่ออยากให้ตรงนี้ มีทิศทางการทำงานหรือออกมาในรูปแบบใด พ่อท่านช่วยแนะนำหน่อยค่ะ แม้พ่อท่านจะไม่ได้เป็นผู้ที่เข้ามาบริหารจัดการ เราอยากฟังความเห็น ว่าพ่อท่านต้องการให้ไปในทิศทางใด
พ่อครูว่า…เท่าที่เราเป็นมากันแต่ละพุทธสถาน โรงเรียน ให้เป็นสถานที่เป็นบวร ก็จะเป็นบ้านวัดโรงเรียน หากเป็นวัดก็ต้องมีสมณะดูแลแบบทางโลก ของเราทำได้แล้วเป็นบ้าน เป็นวัด แล้วเป็นโรงเรียนก็สอนธรรมะให้แก่ฆราวาส ก็ปฏิบัติไป มีสมณะมา วนเวียนโอภาปราศรัยจะนัดแนะให้มารวมกัน
ฆราวาสก็ตาม ใครที่ศรัทธาเลื่อมใส ไปศึกษาวัดไหนที่เราชอบ ก็มาวัดนี้แหละ มาวัดภูฟ้าผาธรรมนี้แหละ ตอนนี้ก็น่าจะได้แล้ว สมัยก่อนเขาปิดกั้น ถูกว่า แต่ที่นี่ชาวบ้านชาวช่องก็คงไม่ปิดกั้นเท่าไหร่นะ
จุ้ยว่า…ชาวบ้านที่นี่มีกลุ่มเสื้อแดงที่ต่อต้านบ้าง เริ่มต้นที่มาบุกเบิกก็ถูกจ้อง แต่ตอนนี้ชาวบ้านก็ให้ความร่วมมือ แม้แต่การทำอาหารใส่บาตรสมณะก็ทำมังสวิรัติ 1 ชุด มีเนื้อสัตว์อีก 1 ชุดที่ใส่บาตรพระผ้าเหลือง
พ่อครูว่า…เมืองเหนือนี้ดีอย่างหนึ่ง คือท่านพระครูบาศรีวิชัยท่านได้เผยแพร่มังสวิรัติก็เลยได้ เขานับถือครูบาศรีวิชัยยกย่องเคารพ
พระที่ฉันมังสวิรัติถือว่าเป็นพระที่ขลัง ต่างกันกับภาคกลางเขาไม่ค่อยรู้เรื่อง ภาคเหนือมีครูบาศรีวิชัยปลูกฝังไว้แต่เดิม ก็เป็นมังสวิรัติ
ที่นี่ไม่ถึงกับต้องตั้งโรงเรียนที่เป็นสัมมาสิกขา ก็เป็นโรงเรียนที่เป็นฆราวาสมาอยู่ที่นี่ ปฏิบัติประพฤติตนเป็นชาววัดเป็นสาธารณโภคี ดำเนินสาธารณโภคีได้ ปฏิบัติประพฤติเป็นชีวิตธรรมดา มีสัมมาอาชีพ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ ปฏิบัติเหมือนกับชุมชนต่างๆ ที่มีกิจการมีอะไรต่ออะไร แล้วทำงานเข้าส่วนกลาง ใครใจถึงก็มาเป็นสมาชิกมาอยู่วัดนี้สร้างบ้านสร้างเรือนที่นี่มีที่อยู่ที่พักกันไป อยู่ที่นี่ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น
อย่างบ้านราชฯก็มีที่ให้จอง สร้างบ้านแล้วก็ไม่ค่อยมาอยู่กัน ที่นี่ก็มีที่ให้อยู่ ต้นไม้ก็ให้ดูแลไม่ต้องไปตัดอะไรเขามาก หากจะเป็นภัยจริงๆ เป็นที่มาของเชื้อโรคก็เก็บกวาดบ้างตัดบ้าง ต้นไม้นี้หากคนอยู่แล้วมันจะไม่รกจนเป็นป่าดิบหรอก มันมีต้นหมากรากไม้มีแต่ร่มก็จะดี ถึงอย่างไรพระอาทิตย์ก็สาดส่องลงมาได้
ก็มารวมกันมาดูแลให้เป็น พุทธสถานเลย พัฒนาจากธรรมสถานสังฆสถานมาเป็นพุทธสถานให้ได้ นี่ก็คือควรทำอย่างนี้ เหมือนกับพุทธสถานอื่นๆ ก็อยู่กันไป ฆราวาสในศาสนาพุทธจะมาอยู่ ผู้ไม่อยู่ประจำจะไปไปมามาก็มีสมาชิกจรและประจำ
จุ๋มว่า…ตอนแรกพ่อท่านให้เป็นรีสอร์ทธรรมะ
พ่อครูว่า…ก็ทำให้เป็นมีชั้นหน่อย แทนที่จะเป็นกระต๊อบ ก็มีอาคารดีหน่อย
จุ๋มว่า…ตอนแรกจะเป็นรีสอร์ทธรรมะ แล้วตอนนี้จะเป็นบวรจะบริหารอย่างไร
พ่อครูว่า…ตอนนี้มันมีความคลาสสิคหน่อยแล้วมีความไฮโซหน่อยแล้ว เป็นที่น่าพักผ่อนเป็นรีสอร์ท เข้าไปอีกชั้นหนึ่ง
จุ๋มว่า…ก็เป็นรีสอร์ท เป็นทั้งบวร
พ่อครูว่า..ก็ขนาดที่อาตมาพักยังมีอ่างจากุชชี่เลย
_จุ๋มว่า…เป้าหมายคือ ทำให้เป็นทั้งรีสอร์ทและบวร ผู้ที่ดูแลทางภาคเหนือก็มี อ.1 ท่านถิระฯ อยากถามอ.1ว่าท่านมีแนวคิดอย่างไร ว่ามันสามารถเป็นไปได้ไหมคะ
อ.1ว่า..ช่วงนี้เป็นการเก็บข้อมูลมีเวลาก็สังเคราะห์กัน เป้าหมายอย่างที่พ่อท่านว่า เป็นสาธารณโภคี
พ่อครูว่า…ลัด คัด สั้น concise
เกร็ดดินว่า.. ขอเวลาอีก 5 ปี ตอนนี้เป็นช่วงเวลาการก่อสร้าง
สู่แดนธรรมว่า…ผมเองก็ไม่รู้สึกจะถามอะไรนะครับ ผมก็ไม่มีปัญหาอยากถาม มีแต่ว่า ตั้งรับคอยตอบเขา บางทีผมก็กำลัง ความทุกข์ที่เกิดกับเรา ผมเองก็เอาไปสังวร เมื่อก่อนหาคนฟัง แต่ตอนนี้เกรงใจเขา
พ่อครูว่า…ดี ไม่ยึดตัวยึดตนว่าฉันรู้กว่านะ
สู่แดนธรรมว่า…ผมเองกำลังประมวลธรรมะ คาดว่าแค่ละคนคงไม่เคยได้ยิน ในเรื่องของสังโยชน์ ทำให้ผมได้เกิดการวินิจฉัยว่า หากเป็นอนาคามีในโสดาบัน หากพ้นจากอนาคามีในโสดาบัน เป็นอรหันต์ในโสดาบัน ตัดกันตรงไหน
ผมเห็นว่าสูงสุดคืนสู่สามัญของโสดาบันนั้น อยู่ที่ทิฏฐิ เพราะถ้าหากทิฏฐิ เป็นสังโยชน์ข้อแรก พัฒนามาพ้นสงสัย ทำศีลได้ผล แล้วผมถือว่า ทุกคนที่มีปัญหาอยู่ทุกวันนี้ อโศกที่ไม่สมานกันเพราะว่าไม่กลับมาชำระทิฐิในสักกายะทิฏฐินั้น เพราะมันเป็นฐานของสกิทาฯอนาคาฯ ต้องชำระทิฏฐินั้นจนถึงระดับอาสวะอนุสัย หากไม่มีพื้นฐานตรงนี้ไปแล้วพวกเราจะเอาอะไรไปเป็นเครื่องทำให้ทิฏฐิของตัวเอง เป็นที่เบาบางลง หากเราไม่ฝึกตั้งแต่โสดาบัน
พ่อครูสอน ทิฏฐิที่ว่า รูปไม่ใช่เรา เราไม่ใช่รูป
พ่อครูว่า..คำว่ารูปไม่ใช่เรา เราไม่ใช่รูป คือผู้ที่สามารถเข้าใจธรรมะ 2 เข้าใจทำธรรมะ 2 แล้วทำให้ธรรมะหรือ 1 ได้ เมื่อเหลือ 1 ได้ก็ไม่ยึดเป็นเราเป็นของเรา รูปไม่ใช่เรา เราไม่ใช่รูป เป็นขั้นปลายขั้นจบ ขั้นที่ปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดแล้ว
ผู้ที่ปฏิบัติธรรมถึงขั้นไม่มีตัวไม่มีตน โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา บทสุดท้าย อรูปอัตตา หากเป็นอนาคามีระดับสูง เพราะฉะนั้น เมื่อเราสอนอย่างนี้แล้ว เราสอนขั้นโสดาบัน ขั้นสกิทาคามีในโสดาบัน อนาคามีในโสดาบัน อรหันต์ในโสดาบัน
ถ้าเข้าใจอันนี้แล้วคุณสอนรูปไม่ใช่เรา รูปมันคืออัตตา รูปข้างนอกคือกาม ตากระทบรูปภายนอก แล้วเราก็ปฏิบัติธรรมชั้นรู้กิเลสที่มันเป็นกิเลสกาม ล้างกิเลสกามได้ จนกระทั่งกระทบแล้วตาหูจมูกลิ้นกายของเราในทวาร 5 กระทบแล้วไม่มีกิเลสภายนอก อยากได้ เช่น อยากได้ทรัพย์สินเงินทองข้าวของ ก็เฉยเฉยแล้ว ไม่อยากได้มาเป็นเราเป็นของเรา
รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ก็เรียนรู้ ข้างนอก รูปนี้เราต้องได้อย่างนี้ เสียงต้องได้อย่างนี้ กลิ่นต้องได้อย่างนี้ ไม่แล้ว กระทบภายนอก แสดงออกไม่เอา เรารู้สึกอายว่าเราไปติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส แต่ยังมีภายใน รูปราคะ อรูปราคะ เป็นอนาคามี เหลือเราก็รู้
ในขณะที่เราอยู่ในโลก มีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสมีข้าวของ ก็ไม่ต้องการเป็นเราเป็นของเรา จนกระทั่งเป็นรูปที่คุณสัมผัสแล้วลดได้ ก็ยังอยู่สัมผัสเกี่ยวข้องกับวัตถุสมบัติ ข้าวของอันน่าได้น่ามีน่าเป็น ลาภยศสรรเสริญทุกอย่างในโลก เราก็อยู่สัมผัสสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับมันเป็นธรรมดา แต่เราเองไม่ได้อยากได้อยากมีอยากเป็น รู้ว่าได้อาศัยแต่พอสมควรก็พอแล้ว ชีวิตนี้ไม่ต้องการไปแย่ง ลาภ แย่งยศ สรรเสริญใคร
แต่มันจะต้องได้เป็นบารมี ไม่อยากได้แต่มันก็จะได้ตามบารมี ยศก็ตาม ไม่อยากได้ยศ เขาก็จะตั้งยศให้แม้ไม่อยากได้หรอก ไม่อยากได้ลาภยศสรรเสริญ มันก็ได้ไปตามธรรมแต่จิตมันอยู่เหนือ มันจะได้มาตามธรรม เข้าไปถึงอนาคามี ไม่มีแสดงออกเลยภายนอก น่าอายแต่ภายในเหลือ เป็นรูปราคะ อรูปราคะ จนอนาคามีลด รูปราคะ อรูปราคะ เหลือมานะ ลดอีกจนกระทั่งเหลือเศษเป็นอุทธัจจะรู้เข้าใจหมดทุกอย่างทบทวน หมดอวิชชาก็หมดสิ้นสังโยชน์
หากเข้าใจสภาวะแล้วปฏิบัติจริง เป็นผู้ใกล้นิพพานแน่นอน ฟังดีๆ เข้าใจดีๆ แล้วตั้งใจดีๆกับปฏิบัติแล้วเป็นอรหันต์กันทุกคน จริงๆแล้วชาวอโศกเป็นอรหันต์ แต่มันไม่รู้บัญญัติไม่รู้สูตรอะไรของเรามันมีอรหันต์ แต่มันก็ไม่ชัดเจนมันไม่มีพยัญชนะ ไม่มีญาณทัศนะรู้ว่าเราหลุดพ้นแล้ว ไม่รู้ว่าหมดก็กลับไปมีใหม่ มันไม่เข้าใจไม่ชัดเจน ไม่รู้มโนปวิจาร 18 มันไม่เข้าใจชัดว่ามันมีฐานอุเบกขามันกลางรู้จุดสิ้นสุด รู้จักฐานอุเบกขาไม่ต้องผลักต้องดูด อะไรก็แล้วแต่ที่เราสัมผัสเกี่ยวข้อง ตั้งแต่วัตถุ ลาภ จนกระทั่งรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส แล้วรู้อัตตาของเรา ก็เป็นของเรามีของเราหรือไม่ ตอนนี้แหละมันก็จบ เรียนรู้แล้วเราก็อยู่กับมันโดยที่มันก็มีเป็นธรรมดา ลาภยศสรรเสริญ ดีไม่ดีมันก็มีมากมายมา เราก็ไม่ได้ติดยึดเป็นเราเป็นของเรา เราก็เอามาใช้อาศัย
ยิ่งจะต้องมารับผิดชอบแบกหามอะไร เขาบอกว่ามีทองเท่าหนวดกุ้งนอนสะดุ้งจนเรือนไหว ถ้ามีทองท่วมหัวจะไปนอนอย่างไร สะดุ้งกระโดด กลัวคนจะมาแย่งชิงที่ปล้น ต้องสะสมไว้ทำไม แบ่งใครไปรักษาดูแลไว้ยิ่งดี มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆในจิต
เราอยู่กับสาธารณโภคี เราก็สร้างสรรไปให้กองกลาง ส่วนกลางก็ไม่ได้กักตุนให้มีมากมาย เราก็สะพัดออกไปให้แก่ภายนอกให้เกิดประโยชน์ ดีไม่ดีก็ทำตลาดอาริยะซื้อของมาขาย ผลิตของออกมาได้ก็เอามาขายให้ถูก เอามาแจกให้ได้ยิ่งดี เป็นคนที่สมบูรณ์สูงสุดในเศรษฐกิจ พวกชาวอโศกทุกวันนี้อาตมาพาทำ พวกเราเป็นนักเศรษฐกิจที่สบาย ไม่ได้มาถ่วงเศรษฐกิจ มีแต่ช่วยเศรษฐกิจประเทศ แด่ท่านสมคิดไม่รู้จักว่าพวกนี้เป็นสังคมหมู่กลุ่มที่ปฏิบัติเศรษฐศาสตร์ได้สมบูรณ์แบบแล้ว ตามในหลวงตรัสไว้ มาเป็นคนในฐานคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา จบ finish
_บุญยิ่งแก้ว นาวาบุญนิยม…ฟังอาแปลงแล้วก็รู้สึกว่าท่านมีความรู้มากมาย แต่ในตัวเราแล้ว เป็นเด็กใหม่ที่เวลาพูดธรรมะแล้วไม่ค่อยเก่งไม่ค่อยรู้ นับไปนับมาก็มาอยู่กับอโศกมา 7-8 ปีแล้ว ฟังธรรมะแทบทุกวัน ปริยัติพอเข้าใจ เรียนรู้พอได้ แต่เวลาปฏิบัติมันยังปฏิบัติได้ไม่เหมือนกับที่เรารู้
พ่อครูว่า…อันนี้ดี ตั้งใจว่าจะอธิบายตั้งแต่เริ่มต้น ปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลคืออะไร
อธิบายในศีลข้อที่ 1. ศีลไม่ฆ่าสัตว์ เราก็จะต้องรู้ว่าชีวิตเราสัมพันธ์กับสัตว์สัมผัสกับสัตว์ ศีลข้อที่ 2. สัมผัสกับข้าวของ ศีลข้อที่ 3. สัมผัสกับตาหูจมูกลิ้นกายใจ เราก็เรียนรู้พวกนี้ แค่นี้แหละพระพุทธเจ้าย่นย่อมา หากเราปฏิบัติศีลข้อ 1 2 3 เป็น
ปฏิบัติศีลธรรมะพระพุทธเจ้าได้หมดทุกอย่าง เกี่ยวกับสัตว์มันมีชีวิตมีวิบากมีบาปเวร มีการจองเวร ตัวเรากับสัตว์มันมีจิตวิญญาณสัมพันธ์กัน เกี่ยวเกาะกัน แต่ละคนมีวิบากมากมายสัมพันธ์กันและกันต้องเรียนรู้ ตัดวิบากที่ต้องมีวิบากกับสัตว์ต่างๆ ต้องไม่พยายามจะไปเกี่ยวข้องวุ่นวาย สัตว์ทุกตัวเกิดมาตามวิบากของเขา เขาก็ดำเนินไปตามวิบากของเขา บางตัวสัตว์บางตัวมันมีวิบากน่าสงสาร แต่เราไม่มีสิทธิ์เข้าไปเกี่ยวข้อง เช่นว่า ไปช่วยสัตว์ตัวนี้เจองูกำลังกินเขียด ก็เป็นอาหารของมันแล้วไปแย่งมัน คุณเองก็ปล่อยไป มันเป็นวิบากของมัน งูมันจะกินเขียดเป็นวิบากของมัน เราไปสอนงูมันว่าจงเลิกกินสัตว์ให้มันกินพืช คุณจะทำได้ไหม มันเป็นวิบากของสัตว์ คุณเอ๋ย มันเกิดมาเสือมันก็ต้องกินเนื้อ ให้มันกินผักกินหญ้าก็ไม่ได้ คนเลี้ยงหมา ให้กินมังสวิรัติก็ยังอยู่รอดได้บ้าง แต่เสือนี่ไม่ได้
เพราะฉะนั้นสัตว์มันเกิดมาก็มีวิบาก เราเอง เรามาพยายามเรียนรู้ หรือช่วยก็ช่วยกัน ขนาดอเวไนยสัตว์ก็ยังสอนไม่ได้ ขนาดอาตมาเอง มาก็มากันได้แค่นี้ ศาลาวิหารมีเท่านี้ยังไม่เต็ม เมื่อวานล้นเลย งานวิสาขบูชา
จริงๆแล้วเกิดมาเป็นสัตว์โลกโดยเฉพาะเป็นคน แล้วเป็นเวไนยสัตว์ เพื่อแสวงหาสิ่งที่ควรแสวงหาสำคัญกว่าเงินทองลาภยศสรรเสริญสุข เรามีชีวิตมาเอาธรรมะนี้สำคัญกว่าลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เรามีพอ สันโดษ มักน้อย อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ แค่นี้แล้วอสังสัคคะ วิริยารัมภะก็พากเพียรช่วยกัน อาตมาว่าอาตมาทำงานศาสนามาทุกวันนี้ประสบความสำเร็จทุกอย่างแล้ว มันเป็นสังคมที่สมบูรณ์ แม้แต่อาตมาไม่อยู่ พวกเราก็พากเพียรช่วยกันปฏิบัติเป็นหมู่กลุ่มเป็นสถานที่ เพราะฉะนั้น ภูฟ้าผาธรรม ต้องการให้เป็นอารามเป็นสถานที่ให้คนมาร่วมกัน ไม่ต้องเป็นเหมือนแบบสมัยพระพุทธเจ้าที่วัดก็ให้พระอยู่เท่านั้น อาตมาให้พวกเราสูงสุดขนาดอยู่ร่วมกันในวัดทั้งนักบวชและฆราวาสได้ แต่แรกๆเขาก็บอก เดี๋ยวเถอะ ที่นี่ มันมีทั้งนักบวชชายนักบวชหญิงเดี๋ยวมันก็มีลูกเณรออกมา เขาว่าอย่างนั้นแหละ แล้วยังไม่พอเอาฆราวาสมารวมกันหมดทั้งฆราวาสหญิงชาย ไอ๊หยา เขาก็หวั่นไหวกันว่าจะเละเทะ เรื่องราวคดีพวกนี้ มันจะมีคดี ผู้หญิงผู้ชายอะไรเยอะแยะดังสนั่น อาตมาทำมาสี่สิบกว่าปี พวกเราก็อยู่ได้อย่างสหศึกษา เป็นโรงเรียนที่มีทั้งผู้หญิงผู้ชายเรียนร่วมกันอยู่ได้ โดยไม่เกิดเรื่องเกิดราว เหมือนกับวัดวาอื่นๆ วัดอื่นๆเขาป้องกันมากกว่านี้ แต่พวกเรานี้ทำได้ แสดงว่าฐานจิตของพวกเรารู้เรื่องชั่วเลว ไม่ทำ มีพลังจิต ควบคุมไม่ให้ผิดศีลธรรมวินัยไปได้ขนาดนี้ก็ดี แต่ก็ต้องรู้จักขนาด ถ้าแกนแข็งแล้วก็ไม่ต้องห่าง แต่ถ้าแกนแข็งแรงขนาดนี้ก็ขยายได้ เป็นชุมชนสังคมก็ไม่เกิดเรื่องราวอย่างที่เขาเป็นกัน ที่เขาคาดว่า เดี๋ยวเถอะอโศกก็จะเละ แต่มันก็ไม่มี ของพวกเราไม่มีข่าวคราวเรื่องพวกนี้เลยนะ
-
พระของเราก็ไม่ไปวุ่นวายเกี่ยวกับเงินทอง
-
แม้แต่ฆราวาสเกี่ยวกับผู้หญิง ก็มาอยู่ในวัดก็ไม่มีเรื่องกับพวกนี้ เพราะฉะนั้นโดยกระแสของสังคม เขาจึงยอมรับตรงนี้สูงมาก เพราะว่าเรารักษาความไม่บกพร่องผิดพลาด ที่วัดวาอารามของเขาบกพร่อง รักษาไม่ได้ แต่ว่าอโศก เรารักษาได้ ขอให้รักษาความดีไว้ เหมือนขี้รักษาความเหม็น