610601_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบคำถามให้รู้แจ้งว่าชีวิตเกิดมาเพื่ออะไร
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://drive.google.com/open?id=1wzNyDG1P62fH1RiJNyu-UCpP1w8mfMwn
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1wzNyDG1P62fH1RiJNyu-UCpP1w8mfMwn
ดูยูทิวป์ได้ที่…
สมณะเดินดินว่า…วันนี้ เป็นวันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้มีนักเรียนสัมมาสิกขาฯชั้นม. 5 มาเข้าค่ายเตรียมงานอโศกรำลึกด้วย พ่อครูกลับมาจากภูฟ้าผาธรรม จ.เชียงใหม่ ที่นั่นก็เลยมีทั้งพุทธสถาน และธรรมสถาน พ่อครูดำริให้เป็นรีสอร์ทธรรมะ ให้สามารถไปพักผ่อนได้ด้วย
งานนี้พ่อครูได้สอนเจโตสมถะด้วย ที่พระวิหารรอยฟ้า พ่อครูเปรยว่า ครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้ออกไปเช่นนี้แล้ว
พ่อครูว่า…ก่อนอื่นขอโฆษณาสินค้าก่อน ผลิตภัณฑ์วันนี้เป็นหนังสือใหม่สดซิงๆ อาตมาถือมานี้ เพิ่งขนมาเมื่อกี้แล้วเอามาโชว์ พวกเราก็ที่ตาไวหูไวก็รับไปแล้ว ก็ไปหยิบเอา อันนี้เล่ม 1 แจกในงานอโศกรำลึกนี้ ส่วนเล่มที่ 2 นั้นอยากจะให้รวมทั้งเล่ม 1 เล่ม 2 ด้วยกัน หากมีทุนรอนในการพิมพ์ เราทำแบบ GDP ของเราเอง คือมีรายได้ส่วนเราเอง ไม่ได้ขูดรีดจากภายนอกหรือเอารายได้จากภายนอก เช่น การบริจาคจากคนที่ไม่ได้มาคบคุ้นตามกติกาของเรา เราก็ไม่รับบริจาค ที่พูดนี้ไม่ได้รังเกียจนะ การเอาเลือดเนื้อคนอื่นมาแปะเนื้อหนูของตัวเองแล้วเรียกว่า GDP ตัว D domestic คือภายใน แต่โลกเขาโกหก เอาของคนอื่นเขามา เอาเนื้อเอาเลือดคนอื่นมา ที่จริง GDP ต้องเอาเลือดเนื้อ รายได้ของเราเองไปคิดสิ แต่แม้เราจะขายให้คนอื่นก็ขายขาดทุน
แม้เท่าทุน ไม่ได้เอาจากคนอื่นเลย ขายให้ต่ำกว่าทุนนี่เป็นหลักเกณฑ์สำคัญ ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ขาดทุนให้ได้ต่ำกว่าทุนให้ได้อีก นี่คือของเราแท้ๆปลอดภัย ไม่เป็นหนี้ทางธรรมไม่เป็นหนี้ทางวิบากไม่เป็นหนี้ทางใดๆเลย ทางโลกก็แน่นอน ยิ่งแม้นามธรรมก็ไม่เป็นหนี้วิบาก ของเราปลอดภัยขนาดนี้ เป็นเรื่องลึกซึ้งมาก อาตมาพยายามให้พวกเราทำ เศรษฐกิจชนิดนี้ GDP ที่อธิบายคร่าวๆนี้ ทุกวันนี้อโศกทำได้แล้วก็ทำให้แข็งขันกว่านี้ ให้อุดมสมบูรณ์กว่านี้ ให้มีประสิทธิภาพจนคนตาบอดเห็นได้ สามารถสัมผัสแล้วมีอย่างนี้ด้วยหรือ GDP ที่แท้จริงเป็นอย่างนี้หรือ อย่างโลกที่เขาทำเป็น GDP ที่โกหกหลอกลวงหรือ GDP ที่เอาของคนอื่นมาแล้วโม้ว่าเป็นรายได้มวลรวมของข้า อย่างนั้นหรือ ไม่ใช่ จะได้ชัดเจนยืนยันอย่างจริงใจมีความเป็นจริง อาตมาก็พยายามพากเพียรสร้างสัจจะบทนี้กันอยู่ ก็เกริ่นขึ้นมาเรื่องเศรษฐกิจ
วันนี้เตรียมอานาปานสติสูตร
แต่ขอตอบปัญหาจากเด็กนักเรียนค่ายคนจนสุขสำราญ
_หนูอยากถามว่าเราจะลดความโกรธได้อย่างไรคะ เมื่อเราเราโมโห เอาแต่ใจตัวเองค่ะ
พ่อครูว่า..พระพุทธเจ้าสอนว่า เอาแต่ใจตัวเองมันบำเรออัตตา เรามีอัตตาใหญ่อัตตาโตดีไหม ก็ไม่ดี เพราะฉะนั้นอย่าไปบำเรอ ให้อาหารมัน มันต้องการอย่างไรก็ให้อาหารมัน มันก็โตขึ้นๆ เอาแต่ใจ มันไปอยากได้อะไร ชอบใจอะไรก็ให้มัน มันอยากได้อารมณ์โกรธก็ให้โกรธมัน มันอยากได้โมโหก็โมโหให้ มันก็อัตตาโตขึ้น เราก็ไปทำอย่างไม่ดี อัตตาก็โตขึ้น มันไม่ดี เพราะฉะนั้นเราก็พยายาม 1.บังคับมันเลย ไม่เอา อย่าไปตามใจมันสิ 2.โกรธนี้ ร้อนนะ แล้วเราชอบร้อนหรือ ไม่ชอบเย็นหรือ 3.โกรธนี้สร้างสรรหรือทำลาย ก็ทำลาย หาเหตุผลให้มัน ที่มันไม่ดีอารมณ์โกรธมันไม่ดี รุนแรงทำร้ายก็ได้ อะไรต่างๆนานาสารพัดที่จะเกิดจากความโกรธ ให้เกิดความบรรลัยจักรเลย ก็ยิ่งแย่ใหญ่ เพราะฉะนั้นเราจะต้องหยุดมัน สรุปง่ายๆว่าความโกรธไม่ดี ไม่ต้องพิจารณาอะไรอีกก็ยังได้เลย มันเกิดมาเมื่อไหร่ก็ได้ 1.กดข่มด้วยเรี่ยวแรง อย่าให้มันเกิด 2. รู้ให้ได้ว่ามันดีหรือไม่ดี เราจะเอาดีหรือไม่ดี หากจะเอาไม่ดีก็โกรธเข้าไปโกรธเข้าไป อัตตาโกรธจะได้ใหญ่ เราจะเอาดี เราต้องทำตรงกันข้ามอย่าให้มันเกิด อาการโกรธมันเป็นอย่างไร อ่านอาการ ลิงค นิมิต อุเทศ ดีๆ
อาการความโกรธเป็นอย่างนี้เอง อย่าทำอาการนั้น รู้ตั้งแต่อาการนั้นหยาบ อย่างนี้โกรธแท้ๆชัดๆ ก็เลิก เบาลงมาก็น้อยลงเบาลง กลางๆก็เลิกอีก มันเหลือนิดน้อยก็ยังเป็นอาการก่อน ก็ต้องเลิกมันให้ได้อีก อย่างนี้แหละให้มันเบาบางเศษธุลีละอองอย่าให้มันมี เราก็หยุดโกรธได้ เข้าใจชัดเจนไหม ต้องทำ จิตใจเราจะหมดความโกรธ ต้องทำต้องฝึกต้องพยายามต้องอ่านใจเรา ความรู้อย่างนี้ที่หลวงปู่ว่าต้องพยายามทำให้จริง ปัญญานั้นเป็นตัวสำคัญ หากรู้ด้วยปัญญาว่าเรามีความโง่ พลังงานปัญญาจะมีประสิทธิภาพสูงสุด ไปลดความโกรธ อาการโกรธจะฝ่อลงไปเลย พลังปัญญาเรามีประสิทธิภาพมีความสูงแรง เรียกว่าทำฌาน หรือพลังไฟฌาน พลังงานในระดับที่ลดไฟแห่งความโกรธ ไฟราคะโทสะโมหะ มันลดได้จริงๆ มันเป็นพลังงานทางจิต เราเป็นผู้สร้างพลังงาน เราต้องทำเองเราต้องสร้างพลังงานนี้ให้แก่ตัวเอง สร้างจิตของเราสร้างพลังงานจิต ใครสร้างให้เราไม่ได้ พระเจ้าก็สร้างให้เราไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็สร้างให้เราไม่ได้หรอก ก็ต้องสร้างเอง อย่างไรก็คนอื่นสร้างให้ไม่ได้ พระเจ้าก็สร้างให้ไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็สร้างให้ไม่ได้ หลวงปู่จะสร้างให้ได้ไหม อย่าไปฝันว่าจะสร้างให้ได้ ไม่มีหวัง ต้องทำเองต้องฝึกเองสร้างเองจนสร้างเป็น แล้วก็สร้างให้ชำนาญ สร้างเก่งทำได้เร็ว ทำได้เด็ดขาดทำได้ทันที เรียกว่า มุทุ เร็วได้จริง ปัญญารู้เร็ว ตัวจิตก็ทำได้ อย่าให้มีอาการโกรธได้อย่างเร็ว จนเป็นอัตโนมัติมันไม่มีอาการโกรธเกิดเลย กระทบกระแทกด้วยเหตุที่มันเคยโกรธ เหตุมันก็แรงขึ้นสูงขึ้น เหตุมันกระทบยิ่งแรงยิ่งสูงเท่าไหร่มันก็ไม่เกิดความโกรธนั่นจึงชนะ ชนะๆ เพิ่มขึ้นด้วยเรื่อยๆ ฟังเข้าใจไหม
เข้าใจได้ไม่ยากแต่ก็ต้องทำ อย่าไปนึกว่าเราไม่เก่งทำไม่ได้ เราไม่เก่งเราก็ต้องยิ่งพากเพียร เราไม่มีพื้นมาเลย เรายิ่งต้องขวนขวายพากเพียรขยันทำไป ไม่เช่นนั้นก็ไม่ได้ฝึกจนเป็นคนประเสริฐคือไม่มีความโกรธ คนยังมีความโกรธก็ยังไม่ประเสริฐ
_การทำดีทำชั่ว จะปรากฏจริงหรือเปล่าคะ
พ่อครูว่า…ก็จริงสิ การทำดีทำชั่วไม่ปรากฏได้อย่างไร หากเราไปทำชั่วมีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมเป็นความชั่ว เราเคยทำไหม บางทีเราก็รู้ว่ามันไม่ดีมันก็ยังบังคับไม่ได้ เราก็ยังไปทำไม่ดีทั้งๆที่รู้ว่ามันไม่ดีเราก็ยังทำเลย เห็นไหมว่ามันปรากฏจริงหรือเปล่า ก็จริง
ทุกคนเคยมีทั้งนั้น ต้องเรียนรู้และฝึกเลิก ทำจนกระทั่งหยุด หลวงปู่นี้ฝึกมาจนกระทั่งทุกวันนี้ก็แน่นอน หลวงปู่ไม่ได้โกรธอะไรเลย อาการเศร้าในจิต อาการแค้นเคือง มันไม่เคยเป็น ไม่เคยมี ไม่เคยไปแค้นใคร ไม่เคยเคืองใคร ไม่เคยพยาบาทถือดีจองเวรใคร คนนี้ทำกับเราไม่ดีมาก่อนเราก็จะไปแก้แค้นอย่างนี้ ไม่เคยมี ในชีวิตหลวงปู่ตั้งแต่เป็นฆราวาสมาจนถึงปัจจุบันนี้ก็ตาม ก็ไม่เคย มีแต่พยายาม คนอื่นมาเคืองเรา เราก็มีแต่พยายามจะไปคุยกัน มีเรื่องอะไรที่จะถือสาเราว่าเราไม่ดีอย่างไร จึงมาคิดไม่ดีทำไม่ดี เพื่อนหลายคน เราก็ไม่เคยโกรธใคร ใครจะมาโกรธมาแกล้งเรา เราก็คิดว่ามาแกล้งว่าทำไม มีอะไรก็พูดกันดีๆได้ หลวงปู่ก็ใช้วิธีไปพูดกันดีๆ จนสุดท้ายเพื่อนที่เคยมีอาการอย่างนี้ก็หยุดเลย เขาก็ไม่ทำอะไรต่อร้ายแรงอะไร จนมาถึงชอบพอกันด้วย ตอนแรกก็มาโกรธเคืองถือสา หลวงปู่ก็พยายามประสาน พยายามแก้ไขให้เขาเข้าใจ จนเขาเลิก
_ทำอย่างไรจะไม่ถือสากับเรื่องเล็กๆน้อยๆ กับเรื่องนั้นเรื่องนี้จนมันปวดหัว ต้องมีอิทธิพลอำนาจในชีวิตเรา
พ่อครูว่า…รู้ว่า เขาก็ไม่มีอำนาจอิทธิพลในชีวิตเรา แต่เราก็เอาสิ่งนั้นมาเก็บมาคิดจนปวดหัว ทำอย่างไรจึงไม่ถือสาเรื่องเล็กๆน้อยๆ แล้วเอามาเก็บไว้อีก เอามาคิดมากอีก แสดงว่าโง่ซ้ำซ้อน โง่ซ้อนซ้ำหลายชั้น นี่รู้ทุกอย่างแต่ไม่ทำ
ถือสาทำไมเรื่องเล็กๆน้อยๆ พอเอามายึดไว้มันก็ไม่น้อย มาติดยึดที่เราก็ไม่น้อยแล้ว เรื่องนั้นเรื่องนี้เอามาคิดมาก ปวดหัวอีก จะโง่ไปถึงไหน ทำเองทั้งนั้นเลย ก็เขาไม่ได้มีอิทธิพลอำนาจในชีวิตเรา แต่เราเองไปหลงตัวเอง ทั้งที่ไม่มีอะไร เป็นอวิชชาความโง่ของตัวเอง ก็รู้ให้ได้ว่าเราโง่ แล้วเอาเก็บไว้ทำไม เอาเก็บไว้ให้ปวดหัว เขาก็ไม่มีอะไร ไม่มีอิทธิพลอำนาจเหนืออะไรเรา ก็เห็นว่าเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ
สมณะเดินดินว่า..คงเป็นเพราะว่าคิดบ่อยๆในเรื่องเล็กๆน้อยๆเหล่านี้
พ่อครูว่า…ที่ถามมาก็รู้ตัวดีมีปฏิภาณปัญญา แล้วมันก็ไม่มีอิทธิพลอะไรกับเรามากแล้วเราก็สะสมความคิดอย่างนั้นบ่อยๆ ก็ต้องปล่อยวางเลิกสิ่งที่ไม่ดี สรุปแล้วรู้ให้ได้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี อย่าให้มีในความคิดในสมองเรา อย่าให้มีในอารมณ์ของเรา
_ทำไมความยุติธรรม ไม่มีในโลก
พ่อครูว่า…มีๆๆ อย่าพูดอย่างนั้น อย่ามองโลกในแง่ร้ายเลย ถ้ามีแต่ความไม่ยุติธรรมนี้ โลกรุนแรง ไม่สงบ เมืองไทยตอนนี้เป็นเมืองที่มีความสงบเพราะมีความยุติธรรมเยอะ แต่ว่าความยุติธรรมนั้นคนส่วนใหญ่มันไม่เป็นพิษเป็นภัยเป็นโทษเป็นทุกข์อะไร ก็เลยไม่ไปดูว่าเป็นความยุติธรรม ก็มาดูแต่มุมที่เป็น อยุติธรรม มุมไม่ดี แล้วจะเอาเรื่องกับอยุติธรรมก็ถูกต้องแล้ว ต้องเอาเรื่องกับความไม่ดี ส่วนดีก็มีมากดีแล้ว อยุติธรรมตอนนี้กำลังถูกปราบมากก็เลยดูว่า เมืองไทยไม่มีความยุติธรรม
ตอนนี้ก็เก็บกวาดส่วนฆราวาสได้มาก แล้วก็ไปหลบในฝ่ายที่เป็นนักบวช ที่เขาเคารพนับถือกัน เคารพกราบไหว้กัน ที่ไหนได้กำลังถูกชำระ แน่นอน คนในประเทศไทยมีพลเมือง 70 ล้าน พระมีไม่กี่แสนหรอก แต่ตัวที่เป็นปฏิกิริยาแรงๆเป็นตัวใหญ่ๆที่มีอิทธิพลก็ไม่มาก แต่มันไม่ดีก็น่าขายหน้าไปทั่วโลก ก็เลยพยายามจัดการ พยายามปราบปราม เพื่อให้เกิดความสะอาดสะอ้าน เพื่อให้มันดีงาม ก็ขออนุโมทนาสาธุ ตอนนี้ ก็เลยมีลูกหลงกระทบชิ่งบ้าง หลวงปู่พุทธะอิสระก็เลยโดนบ้าง ก็ทนเอาหน่อยนะ อย่างไรๆคงไม่กระไรหรอก บางทีเขาก็ต้องตีวัวกระทบคราดบ้าง เราก็เป็นผู้หนึ่งที่จะได้ร่วมกัน ได้ชำระเรื่องนี้ อาตมาว่าอีกไม่นานหรอก หลวงปู่ก็ถูกเขาตีหน่อย ก็เขาจะจัดการกับคราดก็เลยตีวัวหน่อย ตีวัวกระทบคราด คำพังเพยไทย
เพราะฉะนั้นจะบอกว่า ทำไมความยุติธรรมไม่มีในโลกนั้นไม่ใช่หรอก ก็มีในเมืองไทยนี้ เมืองไทยยังมีความซื่อสัตย์สุจริตตรงกับความจริง ตรงกับความเป็นสัจจะ เมืองไทยจึงเป็นเมืองที่เป็นหลักแกนแบบมีโลกุตระจิต เป็นหลักแกนแห่งสุจริตธรรม เป็นหลักแกนธรรมะขั้นโลกุตระ เมืองไทยกำลังจะมีสิ่งนี้ให้แก่โลกเขา
_หลวงปู่คะ หนูเป็นคนที่ชอบคิดมาก ชอบคิดไปถึงอนาคต ชอบคิดไปก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดฟุ้งซ่านอยู่บ่อยๆ ทำอย่างไรถึงไม่ให้คิดมากคะ
พ่อครูว่า…ปฏิภาณที่ถามมาก็รู้ว่าไม่ดีที่คิดเช่นนี้ ก็เอาง่ายๆว่า คิดอย่างนี้ไม่ดีแล้วคิดทำไม เราทำไมโง่นัก บอกตัวเองนะ อย่าไปว่าคนอื่นเขา เราโง่ไปทำเช่นนี้ทำไม สิ่งไม่ดีไม่ควรให้เกิดในจิต แม้เราโง่ สิ่งนี้ไม่ดี เราจะไม่ได้ แล้วเราทำไม่ดีไม่เป็นด้วย เราโง่อย่างนี้ควรโง่ไปเลยแบบนี้ มันไม่มีในจิต ในกาย ในวาจาเราเลย ความไม่ดีแบบนี้ ให้กลายเป็นแบบนั้นเลย เราจะมีพลังสมาธิที่ตั้งมั่น แข็งแรง
พลังสมาธิสามารถที่จะแข็งแรงไม่ให้สิ่งที่ไม่ดีที่เป็นอาการเกิดในใจเราได้ อาการในใจเราก็จะไม่เกิดสิ่งที่ไม่ดีเลยแล้วเราก็รู้ดี เราก็มีพลังงานใจ ใจเรามีความสำคัญแข็งแรงไม่ให้เกิด ทำอย่างไรมันก็ไม่เกิด เราจะช่วยทำมันยังไม่เกิดเลย เราจะช่วยทำให้เกิดอาการไม่ดี ทำอย่างไรก็ไม่เข้าท่าทำไม่ได้ดี ไม่ได้เรื่องได้ราว
ยกตัวอย่างหลวงปู่ชาตินี้ ไปดัดจริตไปสูบบุหรี่ไปกินเหล้ากับเขา คนที่เขามองก็เห็นว่าเลิกเถอะอย่าทำเป็นกินเลยไม่เข้าท่า ทำเป็นจุดบุหรี่ คีบบุหรี่ถ่ายภาพ คนเห็นก็บอกว่าไม่เข้าท่าเลย ไม่เหมือน อุตส่าห์ไปจ้างร้านถ่ายรูป ถ่ายรูปเลยนะ เพื่อนมาเห็นก็บอกว่า ท่าที่สูบบุหรี่นี้มันบอกเลยว่า เป็นคนสูบบุหรี่ไม่เป็น
_เพราะอะไรหลวงปู่จึงมีกำลังใจสร้างอโศกสร้างศาสนานี้ต่อไป อะไรคือแรงบันดาลใจของหลวงปู่
พ่อครูว่า…คำถามนี้ลึกนะ เป็นเรื่องจริงที่หลวงปู่นั้นหมดอายุขัยแล้ว แต่พยายามทำให้ได้เพิ่มอีก 1 นักษัตร พยายามฝืนให้ได้อยู่ต่อไปอีกให้เป็นหลายนักษัตร นักษัตรต่อไปก็ไปอายุ 96 ปี ต่อไปก็เป็น 108 ปี โดยใช้ความรู้พระพุทธเจ้า 1.ได้พิสูจน์ความรู้ของพระพุทธเจ้าว่ามีประสิทธิภาพอย่างไร เป็นอภินิหาร คนที่ไม่ยอมตายแล้วทำให้มีอายุเกินกว่า 1 กัปป์ ทำได้ยิ่งกว่ามีอายุวัฒนะอย่างปาฏิหาริย์ หลวงปู่จึงพยายามพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าตามคำสอนคำบอกพระพุทธเจ้า เรียกว่า อนุสาสนีปาฏิหาริย์ หลวงปู่ไม่ได้สร้างแบบความลึกลับ แบบคนเล่นกล หรือทำอย่างอิทธิปาฏิหาริย์ ไม่รู้จักเหตุปัจจัย แต่ของพระพุทธเจ้าทำอย่างรู้จักเหตุปัจจัยอย่างนี้จึงเกิดผลอย่างนี้ ไม่ใช่เรื่องลึกลับ แต่พวกนั้นเป็นเรื่องลึกลับเป็นเรื่อง Magic เช่นเหาะได้หายตัวได้ ก็ทำได้แต่ไม่รู้ว่าเหตุนั้นทำอย่างไร มาทำสิ่งที่พิสูจน์ได้อย่างนี้ดีกว่า ไม่ต้องไปทำแบบลึกลับ แบบที่ทายใจคนได้ ไปทำแบบนั้นไม่ดี จนกว่าเรามีความบริสุทธิ์ใจ รู้กิเลสของเขาเราก็ช่วยเขาได้ อย่างที่พระพุทธเจ้าสอน สอนให้มีประสิทธิภาพทางจิต หยั่งรู้ว่าคนนี้มีกิเลสอย่างไร แล้วช่วยเขาลดกิเลสได้ อย่างนี้เป็นประโยชน์ แต่ถ้าไปรู้ความคิดเขาแล้วเอาไปใช้ผิดๆก็ไม่ดี
สรุปแล้ว ทำไมมีกำลังใจ เพราะงานสร้างพุทธธรรมหรือพุทธศาสนานี้มันเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ในความเป็นมนุษย์ หลวงปู่ทำมาไม่รู้เป็นล้านๆปีแล้ว ศึกษาฝึกฝนตามพระพุทธเจ้ามาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 นี่ ฝึกมาจริงๆ รู้ว่าฝึกมาชาตินั้นชาตินี้เจอพระพุทธเจ้ามาจริงๆ ก็จึงเห็นว่าสิ่งเหล่านี้หลวงปู่ตั้งจิตที่จะต้องมาสืบทอด จนกระทั่งถือว่าเป็นสัญญาเลย หลวงปู่ได้สัญญากับพระพุทธเจ้าสมณโคดมว่าจะพยายามสืบสานศาสนาพุทธ ให้ไปถึง 5000 ปี ของพุทธกัปป์ของพระสมณโคดม พูดความจริงให้ฟัง ไม่ได้อวดดีอะไรหรอก รับจากพระพุทธเจ้าจึงต้องทำต่อ และไม่ได้ถูกบังคับอะไรเลย เพราะว่ามันดีจึงต้องทำ หลวงปู่สร้างและทำศาสนาพระพุทธเจ้าต่อไปเท่านั้น ไม่ได้เป็นเจ้าของศาสนา ไม่ใช่ธัมมสามี แต่เป็นผู้มาสืบทอด อย่างศาสนาคริสต์เรียกว่าพระบุตรไม่ใช่พระเจ้า พระพุทธเจ้าเปรียบเสมือนพระเจ้า หลวงปู่เป็นพระบุตร เป็นผู้สืบทอดเป็นผู้เอาศาสนานี้มาสืบทอด เอาใส่ไว้ให้แก่มนุษยชาติได้สืบต่อ อะไรที่มันผิดไม่ถูกต้องทำลายศาสนาก็ต้องเอาออก นี่มันเกินครึ่งหนึ่งของศาสนาพุทธแล้ว 2500 กว่าปีมันเสื่อมและเพี้ยนไปจนตรงกันข้ามเลย หลวงปู่จึงต้องมากอบกู้ ทุกวันนี้มันเห็นสิ่งที่เป็นดำกลายเป็นขาวไปหมด หลวงปู่ก็ต้องเอากลับคืนมา เป็นสิ่งที่เป็นความขาวมันก็เลยยาก แต่ยากอย่างไรมันก็ต้องทำเพราะไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ เลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ได้ผลอยู่ ก็ไม่สูญเปล่าไม่เป็นหมัน หลวงปู่ทำทุกวันนี้ไม่เป็นหมัน และก็เห็นว่าได้ผลแต่ก็ยังไว้ใจไม่ได้จึงจะต้องพยายามฝืนจะไม่ตายจะไม่ตาย มันก็เป็นการพิสูจน์อีกว่า ถ้าเราจะไม่ตายโดยธรรมแบบพระพุทธเจ้าสอนทำได้ไหม หลวงปู่เรียกว่าพลังงานสัมประสิทธิ์ Coefficient พลังงานอายุวัฒนะ พลังงานที่สร้างให้ชีวิตอายุยืนยาวต่อไป ซึ่งไม่ใช่ของเล่นเป็นของจริง หลวงปู่กำลังดีนะ ยังกะคนอายุ 25
ไม่ได้มีอะไรบันดลบันดาลใจ เป็นเรื่องรู้ความจริงตามความเป็นจริงที่จะต้องทำให้ดีที่สุด เมืองไทยเป็นเมืองที่คนในโลกกำลังสนใจจะมาศึกษา ตรงกับยุคสมัย สมสมัย ทันสมัย นำสมัย ประเสริฐสมัย
_หลวงปู่คาดหวัง ให้สัมมาสิกขาเป็นเช่นใด
พ่อครูว่า…ให้ดีที่สุด ให้เจริญให้มีประโยชน์ต่อผู้มาเรียน จะเรียนชั้นประถม มัธยมอาชีวะหรือวิทยาลัย มหาวิทยาลัย ก็ให้ดีที่สุดเท่าที่จะพัฒนา ตามที่หลวงปู่รู้ว่า ดีเป็นสามเส้า
คือ ศีลเด่น คือดีทางธรรมะ ธรรมก็ต้องเป็น
ดีเพราะวิชาการ ความรู้ความชำนาญทางโลก เป็นเรื่องของโลกีย์ แต่เป็นกุศลทางโลกีย์ด้วย ทำเป็นด้วยไม่ใช่แค่รู้ เป็นงาน
ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา จึงรวมไว้ครบทั้งโลกียะโลกุตระที่เป็นกุศลและบุญอยู่ในนี้หมดครบ สามเส้า ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา
_หลวงปู่เคยเหนื่อยไหม หรือท้อใจกับสิ่งที่ทำไหมคะ
พ่อครูว่า…คนนะ ก็เหนื่อยเป็นสิ เหนื่อยเพราะพวกเราสอนยาก ให้เจริญยากเหลือเกินนี่แหละ ช่วยหลวงปู่ด้วย ว่านอนสอนง่าย ตั้งใจศึกษาประพฤติให้พัฒนาได้ก็เป็นการช่วยหลวงปู่ แต่ไม่เคยท้อ ถามว่าแก้อย่างไร ไม่ต้องแก้เพราะทำได้ฝึกฝนทำมาแล้ว ไม่ท้อในการทำสิ่งที่ดี แต่เหนื่อยนี้ก็ต้องมี เพราะว่าใช้พลังงานมาก พระพุทธเจ้าก็ต้องเหนื่อย เป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ พลังงานขาดไม่พอใช้ก็ต้องเหนื่อยเป็นธรรมดา
พระพุทธเจ้าถึงสอนไว้ว่ารู้จักพักรู้จักเพียร อัปปัตติฐัง อนายูหัง ไม่ใช่เพียรจนสูญเสียสุขภาพพลังงาน เสื่อม เสื่อมทั้งรูปธรรม นามธรรม ก็บรรลัย……ไม่ได้! ต้องแก้ไข
_หลวงปู่ครับผมอยากรู้ว่าถ้าเรารู้สึกเหนื่อย หรือท้อแท้ใจ เราควรจะให้กำลังใจตัวเองอย่างไรดี
พ่อครูว่า…ตอบไปเมื่อกี้นี้
_คนเราเกิดมาทำไม มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร คุณค่าของสิ่งที่มีชีวิตอยู่ที่ไหน
พ่อครูว่า..เป็นปัญหาโลกแตก ที่ถามมานี้ เกิดมาทำไม เขาก็ตอบกันทุกวันนี้โลกจะแตกแล้ว คุณค่าของสิ่งมีชีวิตอยู่ที่ไหน ก็ตอบกันมาจนโลกจะแตกแล้ว
หลวงปู่สรุป เกิดมาทำไม เกิดมาทำงาน ทำงานที่ดีด้วยนะ สิ่งที่ไม่ดีก็เลิกไปเลยไม่ทำทำที่กาย วาจา ใจ ให้ดี แล้วต้องรู้ว่าดีคืออะไรชั่วคืออะไร คุณและโทษคืออะไร ให้ทำแต่ดีทำสิ่งที่เป็นคุณอย่าไปทำสิ่งที่เป็นโทษ ทำแต่ดีอย่าไปทำชั่ว นี่พระพุทธเจ้าสรุปเอาไว้แล้ว 4 คำนี้จำไว้
มีชีวิตอยู่เพื่อรับใช้มวลมนุษยชาติ จำไว้เลย จำใส่กบาลไว้ ภาษาไทยเรียกจำใส่หัว ก็ต้องจำใส่สมองไว้หรือจำใส่สัญญา จำใส่จิตใส่ใจสัญญาไว้ มีชีวิตอยู่เพื่อเราเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นในโลกให้มากที่สุด ดีที่สุด ประเสริฐที่สุด เพื่อจะได้ทำงานรับใช้มนุษยชาติ แล้วสิ่งที่ทำงานรับใช้จะต้องดีต้องประเสริฐให้แก่มนุษยชาติด้วย
คุณค่าของสิ่งมีชีวิต อยู่ที่ตอบไปแล้วอยู่ที่เราเกิดมาแล้วเราเองได้รู้จักดีรู้จักชั่วรู้จักคุณรู้จักโทษ อะไรที่เป็นความชั่วสิ่งที่เป็นโทษไม่ทำแล้ว ทำสิ่งที่ดีสิ่งที่ควร ตั้งแต่ความหยาบกายกรรม วจีกรรม จนถึงมโนกรรม ต้องทำให้ถึงตัวเหตุคือกิเลส ทำให้กิเลสตายได้ นั่นแหละคือสุดยอดสิ่งที่ประเสริฐของมนุษย์ที่ควรจะทำได้ มีแต่ศาสนาพุทธนี้ที่รู้จักกิเลส แล้วรู้จักมีวิธีทำให้กิเลสตาย ตายอย่างสนิทตายอย่างไม่ฟื้น ตายแล้วตายเลยนิรันดร นี่คือศาสนาพุทธทำได้
_หนูอยากถามว่า นรกสวรรค์มีจริงหรือเปล่า
พ่อครูว่า…นรกสวรรค์มีจริง นรกสวรรค์ไม่จริง นรกสวรรค์มีจริงคนที่โง่ก็สร้างอาการเหล่านี้ใส่จิตใจ นรกอยู่ในจิตใจสวรรค์อยู่ในจิตใจ สวรรค์คือจิตใจมันเกิดเรียกตามภาษาว่าเป็นความสุขมีความชอบใจพอใจ จิตพองผยองโตขึ้น ถ้าจิตแฟบเหี่ยวก็ทุกข์
อาการจิตนี้ใช้ฟูกับแฟบใช้มากหรือน้อยลง แต่จิตเป็นนามธรรมไม่มีตัวตน รู้ว่ามากคืออะไรมันเป็นอินทรีย์ มีพลังมีแรงมากแรงน้อย แรงสูงแรงต่ำ แรงผลักแรงเบา เป็นเรื่องของอาการของพลังทั้งนั้นเลย เราก็ต้องอ่านดู
นรกคืออะไร นรกคือสภาพ ไม่ดี เป็นทุกข์ แล้วสิ่งที่เป็นสวรรค์คือดี คือสุข
ทั้งสองอาการ ทั้งนรก ไม่ดี ทั้งสุข แล้วก็ว่าดี มันก็เป็นสภาพตัวตนเป็นสภาพๆ แล้วเราก็ต้องมาเรียกโดยภาษาว่าเราเอาอาการสุข อาการดีก็แล้วกัน หากเราจะมีอยู่ แต่ไม่ต้องไปดีแล้วยึดดีเป็นเรา สุขก็ไม่ต้องไปยึดสุขเป็นเรา ถ้ามันดีแรง แต่อย่าไปยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา หรือเป็นสิ่งน่าได้น่ามีน่าเป็น เราทำดีได้มากได้แรงด้วย แต่เราก็ถอนตัวจากแรง ไม่ดูดไม่ซึมไม่ติด เราก็ต้องรู้ว่าดีแรงๆเป็นอย่างไร อย่างหลวงปู่ทุกวันนี้พูดแรงให้คนไม่ดีรับไปปรับปรุง พวกนี้หนังเหนียวต้องบอกความไม่ดีให้แรงให้เขารู้สึกตัว ให้เขาเจ็บว่าถูกด่าแล้วนะ ไม่ได้แก้ตัว ต่อไปจะเบาลง มีคนมาช่วยมากขึ้น หลวงปู่ก็จะมีคนมาแรงแทน
สรุปแล้วนรกสวรรค์คือสิ่งดีกับไม่ดี สิ่งสุข กับสิ่งทุกข์
อาการเหล่านั้นเราอาศัยบ้างแต่เพียงอาศัยใช้งาน เพราะฉะนั้นเราไม่อาศัยสิ่งที่ไม่ดี เราไม่อาศัยสิ่งที่เป็นนรก เราไม่อาศัยสิ่งที่เป็นความไม่ดี เราอาศัยสวรรค์สิ่งดีทำงาน แต่เราไม่ติดสวรรค์ สุขเป็นภาษา แต่ใจเราต้องทำให้มีอาการวางได้ แล้วเราก็ทำอย่างดีอย่างถูกต้องอย่างประเสริฐ เราก็มาเรียนรู้ให้ครบแล้วฝึกหัดไป
_สวรรคมีจริงแต่ไม่จริง
พ่อครูว่า..สวรรค์มีจริงคือสภาพที่เรายึดเพื่อใช้งานในปัจจุบัน หรืออดีตเราจำได้ เป็นสัญญาความจำของชีวิต จำได้ ถ้าสิ่งไม่ดีเราจะลืมเสียก็ได้ แต่ถ้าสิ่งที่ดีไม่ต้องลืมหรอก พยายามจำไว้ทำงาน แต่อย่าไปสำคัญมั่นหมายไปยึดถือว่ามันเป็นเราเป็นของเรา ถ้าเราทำให้มันเกิดเหตุปัจจัยสั่งสมเป็นความตั้งมั่นแข็งแรง พลังงานที่สะสมนี้ถูกต้องแล้วเราก็ไม่ต้องไปย้ำ ที่จริงจะต้องย้ำก่อน เสร็จแล้วเราต้องทำให้มันเกิด แล้วก็ต้องวาง ทำให้มันเกิดทำให้มันมี แล้วก็ต้องปล่อยใจสอนว่าอย่าไปยึดว่าเป็นเราเป็นของเรานะ ต้องบอกว่าไม่ใช่เป็นเราเป็นของเรา จะบอกว่าสวรรค์มีนรกมี สวรรค์กับนรกมันเป็นสิ่งที่คู่กัน
นรกคือทุกข์สวรรค์คือสุข เป็นธรรมะ 2 เป็นของคู่ มีอันใดอันหนึ่งก็ต้องมีอีกอันหนึ่ง เป็นของคู่ ต้องทำให้เป็นเดี่ยว แล้วเดี่ยวนั้น ต้องทำสิ่งดีให้มันเกิด ไม่ดีให้มันหายไปเลยจากตัวเราไม่มีเลยในกรรมกิริยาในจิตของเรา ไม่มีเลยทำก็ไม่เป็น เข้ามาก็ไม่รับ
สวรรค์นรกคนโง่มันก็จะเกิดในตัวเรา แล้วเราไม่รู้วิธีเลิกทั้งสวรรค์และนรก ศาสนาพุทธนั้นไม่มีทั้งสวรรค์และนรกได้ จิตว่างๆ จิตกลางๆ แต่รู้สวรรค์นรก ถ้าจะทำก็ทำแต่สวรรค์ แล้วไม่หลงดีว่าเป็นเราเป็นของเรา ทำสวรรค์แต่ไม่ยึดถือสวรรค์เป็นเราเป็นของเรา ทำแต่เพียงอาศัย
_โศลกคืออะไร
พ่อครูว่า…โศลกคือคำคม ฟังแล้วให้ความคิดให้ความหมายที่ดีและเป็นคำที่เรียบเรียงมา เป็นคำที่จำง่าย เป็นคำไพเราะ เป็นคำที่แทงใจติดใจฟังแล้วอย่างนี้ เป็นคำที่ดีจังเลย ถ้าเราจำและทำได้ตามที่ว่านี้คงจะดี
_หากหลวงปู่ละสังขารแล้วจะเกิดทันทีไหม
พ่อครูว่า…ก็ตามเหตุปัจจัย มันเป็นเรื่องของความเหมาะควร พระโพธิสัตว์บางรูปท่านตายแล้วท่านไม่เกิดอีก ท่านก็ไม่เกิด บางรูปท่านจะเกิดอีกบ้าง ถ้าท่านเองสามารถกำหนด กาละของท่าน ท่านก็ทำได้ แต่ถ้าท่านไม่มีบารมีพอท่านจะกำหนดการเกิดการตายเองไม่ได้ มันจะมีเหตุปัจจัยของวิบากเรา ที่เป็นตัวพาเราเป็น
ชีวิตวิบากพาเราเกิดเราเป็น เพราะเหตุปัจจัยของตัวเราที่สะสม เช่น เราสะสมกรรมวิบากที่ไม่ดีเป็นเหตุปัจจัยที่ไม่ดีก็พาให้เราเกิดไม่ดี มันจะฝืนไปจากนั้นไม่ได้ ไปแย่งของใครเอามาไม่ได้เพื่อจะเกิด เสแสร้งไม่ได้ สัจจะไม่บิดเบี้ยวสัจจะต้องเป็นจริง แต่ถ้าเราทำดีแล้วมีเหตุปัจจัยที่ดีมากกว่าไม่ดี มันก็ต้องดี ส่วนคำว่าดีนั้นละเอียดเป็นโลกียะหรือโลกุตระ ก็ค่อยๆรู้ซับซ้อนไป บางทีเหตุโลกียะดี แต่ไม่มีความรู้ทางโลกุตระ ความดีทางโลกุตระนี้มีความซับซ้อน ทำให้เรามีความสั่งสมวิบากจากกรรมที่เราได้ดี แล้วใช้ความดีนั้นไม่เป็น เช่น วิบากนี้ทำให้เรารวยมีเงินมาก พอเกิดมาแต่ไม่มีคุณธรรมทางโลกุตระ
-
ไม่รู้ว่าดีชั่วเป็นอย่างไร 2. ไม่รู้ความเป็นโลกุตระ ก็เลยได้แต่แบบโลกๆ เลยทำให้ตัวเอง ยิ่งสะสมวิบากที่เป็นโลกหนักเข้าไปใหญ่เลย เช่น หลงความสนุกสนานร่าเริง จนสนุกสนานหนักเข้าจึงกลายเป็นโทษต่อคนอื่น เป็นภัยต่อคนอื่น ตัวเองก็เลยต้องมีวิบากมากๆ เพราะว่าตัวเองนี้เป็นคนเอาแต่ใจตัว เป็นคนใช้อำนาจ เช่น รวยก็เอาอำนาจรวย ไปเบียดเบียนไปฆ่าไปเอาเปรียบคนอื่นไปทำร้ายคนอื่น พวกนี้ หรือแม้แต่ไปแข่งเอาชนะคนอื่นก็ยังมีวิบากชั่ว แต่แข่งอย่างชนะโลกๆ มันชั่ว
ไปแข่งชนะโลกีย์มันชั่ว ต้องแข่งทางโลกุตระ ลดละตัวตน กิเลสอย่างนี้ดี ถ้าแข่งเพิ่มอัตตา เป็นชั่ว แข่ง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ศักดิ์ศรีอะไรต่างๆ มันก็จะชั่ว
สรุปแล้ว ละสังขารจะเกิดทันทีไหม
สรุปว่า อยากเกิดทันทีเหมือนกัน แต่เหตุปัจจัยไม่ทำให้เกิดทันทีได้เหมือนกัน แต่ถ้าเหตุปัจจัยมีบารมีมากพอก็เกิดทันทีได้ อย่างพระพุทธเจ้านี้ท่านจะตายภายใน 3 เดือนท่านก็กำหนด ใครมาเปลี่ยนแปลงไม่ได้หรอก
_เพราะเหตุใดเวลาที่เด็กพยายามอธิบายให้ผู้ใหญ่เข้าใจ ผู้ใหญ่ชอบหาว่าเด็กเถียงคะ
พ่อครูว่า..อันนี้ซับซ้อน ผู้ใหญ่ที่เรามาอยู่ในนี้แล้ว เราต้องเข้าใจว่ามาอยู่ที่นี่แล้วผู้ใหญ่รู้ดีกว่าเรา เพราะที่นี่คัดคน คนที่เป็นผู้ใหญ่ในที่นี้ ถ้าคนที่ไม่มีความดีพอจะอยู่ในนี้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเด็กอย่าไปดูถูกผู้ใหญ่ มันไม่ตรงกับความคิดเราเท่านั้น ผู้ใหญ่บางคนอาจจะแรงหรือมากเกินไม่พอเหมาะพอดี แรงกับเรามากก็มี แต่ไม่เสียหรอก แต่ผู้ใหญ่ที่ประมาณไม่ดีก็ไม่ดี มันผิดเพี้ยนไม่เหมาะสมไม่พอดี แรงไปมากไปเร็วไป ทั้งๆที่เด็กไม่ถึงเวลาต้องทำอย่างนี้ แต่ก็อยากจะเป็นให้ได้ แต่มันทำไม่ได้ยังไม่เก่ง จะเอาให้มากกว่านี้มันก็ไม่ได้ นั่นแหละ คือผู้ใหญ่โง่ ผู้ใหญ่ต้องทำให้เหมาะสม ไม่ดีเหมือนกัน ต้องระมัดระวังและประมาณให้ดี ถ้า ประมาณไม่ดี นี่จึงต้องใช้สัปปุริสธรรม 7 จึงต้องศึกษา แต่โดยค่ารวมพื้นฐานทั้งนั้น ผู้ใหญ่ในที่นี้ดีกว่าพวกเราแน่นอน พวกเราต้องเข้าใจอันนี้ไว้ก่อน เหมือนพระพุทธเจ้าท่านสอนให้มีหลักเกณฑ์อะไรบ้าง ผู้มาบวช การบวชก่อนนี้ กว่าจะมาบวชต้องมีกติกาคัดเลือก ผู้ที่มาบวชก่อนนี้ถือว่าต้องเคารพท่าน จะผิดหรือถูกก็ตาม ต้องเคารพก่อน เพราะว่าผ่านบทเรียนพื้นฐานของสังคมนี้ อย่างของพระพุทธเจ้าบอกว่าคนที่บวชที่หลังต้องกราบคนที่บวชก่อน แม้คนมาทีหลังจะเป็นอรหันต์ก็ต้องกราบ นี่เป็นหลักเกณฑ์สังคม จำไว้ ผู้ใหญ่ที่นี่ไม่ใช่ผู้ใหญ่สะเปะสะปะเหมือนข้างนอก มีมาตรฐานอย่างน้อยศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 แล้วพวกเราทำศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ได้หรือยัง เพราะฉะนั้นผู้ใหญ่ที่นี่ดีกว่าอย่างแน่นอน เป็นผู้ที่รู้จักครุกรณะ เป็นผู้รู้จักการเคารพคารวะตามหลักเกณฑ์ของสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 อย่าเอาตามใจเราเป็นเครื่องตัดสิน เพราะโดยค่ารวมนั้นมันมีมากกว่า เป็นแต่เพียงขอเตือนผู้ใหญ่ว่าอย่าเบ่งอำนาจ อย่าเอาแต่ใจตน ต้องดูใจเขาใจเรา เขาควรได้ตามฐานะของเขา การประมาณนั้นไม่ง่าย
เด็กบางคนตัวน้อย แต่จิตใจเป็นผู้ใหญ่ บางคนตัวโตแต่จิตใจเหมือนเด็ก เราจึงต้องมีสัปปุริสธรรมที่จะต้องประมาณจะต้องระมัดระวัง ก็จะมีผลตอบสนอง เด็กมีมากเป็นหมู่ใหญ่ด้วยต้องระวัง เด็กที่จะเข้ามาที่นี่ต้องผ่านการคัดเลือกเข้าค่ายนะ เด็กก็มีมาตรฐานระดับหนึ่ง หากผู้ใหญ่อวดดีว่าถือว่าเป็นเด็ก ไม่ได้หรอกต้องประมาณอย่างสำคัญ มีความซับซ้อน
_ทำอย่างไร เราถึงจะเลิกความฟุ้งซ่านได้คะ
พ่อครูว่า…ฟุ้งซาน ไม่มีคำตอบอื่น ต้องเห็นว่าความฟุ้งซ่านนั้นมีประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ตอนนี้หรือ บางทีตอนนี้ไม่เหมาะควรเลย บางทีฟุ้งซ่านสิ่งที่ดีแต่มันยังไม่เหมาะควร ยิ่งมันฟุ้งซ่านไปในสิ่งที่ไม่ดีให้หยุด 1. ตรวจสอบสิ่งที่เราฟุ้งซ่านให้ดี ถ้ามันชัดเจนว่าเป็นสิ่งไม่ดีจะโง่ไปถึงไหนจะไปฟุ้งซ่านไปทำไม มีความคิดให้เสียพลังงานแรงงานไปทำไม จะชั่วไม่เสร็จหรือไง แต่ถ้ามันยังมีความดีและมันเหมาะกับฐานะ โอกาสเวลา หากไม่เหมาะสมก็ปล่อยไปก่อน เอาตามเวลาปัจจุบันมันจึงเจริญไปตามลำดับ
_เราควรปฏิบัติอย่างไรถึงอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุขได้
พ่อครูว่า…ปฏิบัติตามหมู่สิ เพราะว่าที่นี่เป็นสังคมที่เราเลือกแล้วเป็นอิสระเสรีภาพ ใครจะมาเป็นสมาชิกก็ตาม เราไม่ได้ไปเรียกร้องไม่ได้ไปซื้อหาบังคับมา ทุกคนมาที่นี่ด้วยอิสระพอใจของตัวเองความสมัครใจของตนเองอิสระด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นเข้ามาแล้ว ที่นี่ก็เป็นสังคมที่ คัดเลือกแล้วสร้างแล้ว
เราต้องรู้ว่าเรามาเลือกสังคมที่นี่เอง บอกว่าเป็นสังคมที่ดีแล้ว เพราะฉะนั้นเราต้องเคารพเสียงของสังคม ถ้าเรายอมรับเสียงของสังคมของคนหมู่ใหญ่ในนี้แล้วไม่มีทุกข์ร้อน ใจเราต้องยอมรับถ้าไม่เช่นนั้นไม่ยอมรับก็จะทุกข์ แม้ว่าเราจะถูก แต่ถ้าหมู่กลุ่มเขาจะเอาอย่างนี้ บอกแล้วว่าหมู่กลุ่มนี้เป็นหมู่ที่คัดเลือกแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นองค์ประกอบของสัปปุริสธรรม ที่เป็น กาละนี้ เหตุปัจจัยนี้ หมู่กลุ่มนี้ธรรมะนี้ มีองค์ประกอบนี้ในหมู่นี้ หรือแม้แต่บางทีเป็นบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่เป็นอำนาจใหญ่ เขาก็จะต้องเอาอย่างนี้ เราก็จะต้องตาม เมื่อองค์รวมสรุปแล้ว เมื่อศึกษาสัปปุริสธรรม 7 นี้แหละ พวกเราเป็นเด็กก็ตามก็ต้องศึกษาว่ามีอะไรบ้าง เนื้อหาของสัปปุริสธรรม 7
สรุปง่ายๆคือ หมู่นี้ไม่ใช่หมู่กเฬวราก หมู่นี้เป็นสังคมโลกุตระเป็นอาริยะชนเป็นหมู่คนประเสริฐ ไม่ใช่อาริยะแบบโลกีย์สามัญ เป็นกุศลของเราแล้วที่ได้มาอยู่ที่นี่ ไม่ใช่เรื่องฟลุค เป็นได้ไม่ง่าย จึงมีคนจำนวนน้อยที่เข้ามาได้ที่นี่ คนทั้งโลกมีส่วนมากที่เป็นโลกียะ เป็นเรื่องอบายเสียเยอะด้วย
_งานอโศกรำลึกปีนี้ มีความหมายใจความว่าอย่างไรบ้างครับ
พ่อครูว่า…จะปีนี้หรือปีไหนก็ตาม
นิยามของวันอโศกรำลึก คือ 1.เป็นวันส่วนตัว 2.เป็นวันเงียบ 3.เป็นวันอิ่ม 4.เป็นวันเล็ก-วันน้อย 5.เป็นวันอบอุ่น 6.เป็นวันอิสระ 7.เป็นวันสะอาด 8.เป็นวันสูญ 9.เป็นวันให้ 10.เป็นวันง่ายๆ 11.เป็นวันสดชื่น 12.เป็นวันรวมแก่น 13.เป็นวันจริงใจ 14.เป็นวันรัก 15.เป็นวันลึก 16.เป็นวันกตัญญู 17.เป็นวันระลึกถึงพระคุณบรรพชน
สรุปคือวันที่จะเอาประเด็นดีๆมาทำให้เกิดผลในวันอโศกรำลึก เอาแต่สิ่งที่ดีๆทั้งนั้นมารวมไว้ให้มากที่สุด
_คนเราเกิดมาเพื่ออะไร
พ่อครูว่า…เกิดมาเพื่อทำงาน ทำงานที่เป็นประโยชน์เป็นสิ่งที่ดีเพื่อคนอื่น ไม่ใช่ประโยชน์เพื่อตนเอง ประโยชน์ที่ว่านี้ก็คือสิ่งที่มันทำออกไปแล้วผู้คนได้อาศัยกิน ใช้
กินก็เพื่อเลี้ยงร่างกายเป็นอาหาร อาศัยใช้เป็นเครื่องไม้เครื่องมือองค์ประกอบเครื่องใช้ต่างๆ เครื่องใช้สารพัดประโยชน์มีมากมาย เพราะฉะนั้นทุกวันนี้จึงคัดเครื่องใช้ที่คนมันงมงายหลงเยอะ หรือเครื่องใช้ที่ไม่ควรใช้ในกาละอันไม่ควร ยังไม่เหมาะสมกับเรา เช่น ใช้มีด หากเด็กเอาไปก็ไปบาดมือเป็นพิษภัยต่อตนเอง ก็ไม่ให้ใช้ จนต่อมาใช้มีดเป็น ต่อมาใช้เครื่องมือที่มีอินเตอร์เน็ต พวกนี้ยังไม่สมควรจะใช้ก็อย่าเพิ่งใช้ เดี๋ยวนี้เด็กกดอินเตอร์เน็ตได้เก่งกว่าหลวงปู่อีก เครื่องใช้มีเยอะแยะ ส่วนเครื่องกินก็ต้องศึกษาให้ลึกซึ้ง กินเพื่อให้ร่างกายได้อยู่ได้ดี ส่วนเครื่องใช้มีมาก ต้องพิจารณาต้องเลือกเฟ้นให้เหมาะสมกับตัวเรา เหมาะสมกับการทำงาน เหมาะสมกับโอกาส บางทีเครื่องใช้พวกนี้มันมีโอกาส อย่างพวกเรามีโอกาส บางทีไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือดีๆใช้ มีโอกาสมีบารมีแค่นี้ ก็ไม่ต้องไปดีดดิ้น ดิ้นรนอะไรมากมายก็พยายามสร้างสรรด้วยตัวเอง ไม่ได้ดีกว่านี้ได้แค่นี้ก็เอาอย่างนี้เป็นต้น ที่นี่พาทำอยู่แล้ว สังเกตดีๆอ่านให้ดี ทั้งการใช้เครื่องใช้ต่างๆ สอนแนะนำ ต้องทำความเข้าใจ ทำไมผู้ใหญ่ไม่ให้เราทำ เชื่อเถอะ ผู้ใหญ่ก็ต้องมีเหตุมีผล ก็ฟังไป ตามผู้ที่มีความรู้เป็นผู้ใหญ่กว่าก็ควรจะรู้ว่าคนไหนควรให้ใช้อะไร เราก็ให้ใช้ไปตามที่ควรได้ ไม่ต้องไปดิ้นรนดื้อดึง ไม่มีก็ดิ้นรนหาที่อื่น หรือไปดิ้นรนหาเงินซื้อมาให้ได้ ทำตามเหมาะควร อย่างนี้เหมาะใช้อย่างไรก็ให้ใช้ ที่นี่อนุโลมมากกว่าที่อื่นแล้ว บางทีเด็กๆบางคนมีความรู้ความสามารถพิเศษก็สามารถใช้อันนี้ได้เราก็ให้ใช้ เราไม่ได้หวงแหนหรอก บางทีใช้ก็เสียก็เสีย ทำเสียบ้างได้บ้าง ถ้ายังไม่สมควรให้ใช้ก็ต้องดูแลกันไม่ให้ใช้ เพราะฉะนั้นที่นี่ดีที่สุดแล้วมาอยู่ที่นี่แล้วก็พร้อมทุกอย่างมีประโยชน์ คำว่าประโยชน์จึงมีความหมายกว้างมาก
_ความรู้คืออะไร
พ่อครูว่า…ความรู้คือสิ่งที่ตอบไม่ได้หมด ความรู้ที่สูงสุดคือความรู้ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า หลวงปู่เรียนมาตามพระพุทธเจ้านั้น ก็ยังเอามาอธิบายให้คนรู้ได้จริงที่รู้มาจากพระพุทธเจ้านั้นก็ยังทำได้ไม่เกินครึ่งเลย อาจเกินครึ่ง ก็ได้ความหยาบ ความง่ายอะไรขึ้นมาก่อน ความลึกซึ้งละเอียดลออยังมีอีกเยอะ ความรู้คือสิ่งที่เรารู้แล้วเอามาทำประโยชน์
ไม่เป็นโทษ เป็นประโยชน์ ไม่เสีย ไม่ชั่ว มีแต่ดี นั่นคือ ความรู้ที่ควรจะต้องรู้และควรจำและควรเอาไปใช้ ถ้าหากเป็นความรู้ที่เสียไม่ดีทำให้ชั่วก็ไม่เอา ไม่เรียกว่าความรู้ เพราะฉะนั้นความรู้ที่เป็นโลกีย์ถ้ามันดีมันมีประโยชน์ จนถึงขั้นความรู้เป็นโลกุตระ นั่นแหละเป็นความรู้ที่ประเสริฐ เมื่อเป็นโลกุตระนั้นจะย้อนแย้งกับโลกีย์ มันจะเลิกจากโลกียะแล้วจะมีประโยชน์ไปตามลำดับ จนกระทั่งกับเป็นประโยชน์ที่ลึกซึ้งเป็นประโยชน์ที่มนุษย์ควรเป็น เช่น มนุษย์เห็นว่าคนเราควรสวย เมื่อมาเป็นโลกุตระแล้วเราก็บอกว่าสวยนี้เป็นความตื้นมาก ก็ลดลงๆ เอาคุณค่าของพฤติกรรมดีกว่า คนรวย รวยเป็นโทษมหาศาลเป็นหนี้เป็นภัยเยอะ เราก็ลดความรวยลงจนกระทั่งจนได้มาก หลวงปู่อธิบายยืนยันความรู้ที่ดีที่เป็นแล้วเราก็มารู้มาเป็น คนของเราจึงมีความรู้แล้วรู้ว่าอะไรดีมาก่อนทำก่อน แล้วก็ทำได้จนกระทั่งค่อยๆอนุโลม เราทำความอนุโลมให้แก่โลก เราก็ค่อยๆยืดหยุ่นให้แก่โลก ให้ทำดีให้มากๆแล้วค่อยอนุโลม ทำดีได้มากๆขึ้นอีกแล้วค่อยอนุโลม แต่หากแต่อนุโลมแล้วเสียท่า หากเราดียังไม่ได้แล้วไปอนุโลมก็จะเสียท่าได้
พระพุทธเจ้าสอนว่าต้องทำคุณอันสมควรให้กับตัวเองก่อนแล้วสอนผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง ต้องทำคุณอันสมควรนี้ได้ให้พอเพียงก่อน แล้วสอนคนอื่นไปทำกับคนอื่น ไปพาคนอื่นทำ
_สร้างความเบิกบานที่ไม่เป็นโลกีย์ให้กับตัวเองได้อย่างไร
พ่อครูว่า…หลวงปู่กำลังจะเอา อานาปานสติสูตรมาอธิบาย
อานาปานสติสูตรจบที่ทำใจให้อภิปโมทยังจิตตัง คือจิตที่เบิกบานร่าเริง ที่ถามมานี้ลึกซึ้งมาก ความเบิกบานร่าเริงที่ไม่เป็นโลกีย์ให้แก่ตัวเอง ที่ไม่เป็นโลกีย์ คือ 1. เป็นอารมณ์ที่เรารู้ว่าควรจะมีควรจะเป็น เหมาะสมกับตัวเรา และไม่เป็นโทษภัยกับคนอื่น 2. แม้เหมาะสมกับตัวเราแล้วก็ไม่มากไม่แรงจนเราไปหลงติด ถ้ามันมาก แรงจนเราหลงติดก็หยุด อย่าไปเบิกบานร่าเริงมากกว่านั้น
อาการเบิกบานร่าเริงมันมากกว่านี้แล้วเราจะหลงติด เราก็ต้องเลิก ก็ต้องเบิกบานร่าเริงให้น้อยลง จนกระทั่งกลางๆ ไม่เบิกบานร่าเริง หรือเบิกบานร่าเริงได้ คุณก็ต้องยอมอนุโลม เพราะคุณเบิกบานร่าเริงได้แล้วคุณก็ไม่ติดในความเบิกบานร่าเริงนี้ อนุโลมความเบิกบานร่าเริงให้จิตใจเราเบิกบานร่าเริง เพราะฉะนั้นจึงต้องเป็นกลางให้ได้ อย่าให้เศร้าหมอง ให้เบิกบานร่าเริงเป็นที่สุด แล้วจนเป็นกลางๆ กลางๆแล้วค่อยๆมีพลังงาน สร้างจิตเป็นกลางได้แข็งแรง จิตเป็นกลางเรียกว่าอุเบกขา เพราะฉะนั้นฐานอุเบกขานี้เป็นอย่างนี้ เรียกว่าบริสุทธิ์ มันไม่เป็นบวกเป็นลบอย่างไรเลย แม้แต่ฝึกไปอีกแล้วกระทบสัมผัสชวนให้ร่าเริง เราก็อย่าไปเหลิงกับร่าเริง ถ้าจะปล่อยให้ร่าเริงไปตาม เดี๋ยวเราจะหลง ก็อย่าเอาร่าเริงไว้ เมื่อเราอนุโลมได้แล้วก็ร่าเริงไปได้ มีพลังศรัทธาจิตเจโต static ฐานยึดไว้ได้ เราถึงยอมอนุโลมเป็นได้
เพราะฉะนั้นอย่าประมาท เราจะอนุโลมอะไรกับใคร ถ้าเรามีเต็มที่ของเรา 100 แต่ต้องอนุโลมไว้แค่ 50 เก่งขึ้นเราจะอนุโลมได้ 70 เราจะอนุโลมได้ 80 หากเลย 80 แล้วเราอย่าไปอนุโลม เราต้องมีต้นทุนไว้อย่างน้อย 20 อย่าไปทำตัวร่าเริงได้เต็ม100 ดีไม่ดีคุณจะร่าเริง 1 50 มันจะบ้า แล้วโลกทุกวันนี้บอกว่าให้เอาร่าเริงให้มาก แค่นี้น้อยไป ต้องร่าเริงให้มากกว่านี้เรียกว่า ขิฑฑาปโทสิกะ ทำความสนุกสนานร่าเริงให้เป็นโทษต่อตัวเอง นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนไว้สูงสุด ขิฑฑาปโทสิกะ ยินดีในความร่าเริงเป็นโทษ กับยินดีในจิตตนเอง มโนปโทสิกะ ยึดติดในจิตตนเองว่าเก่งว่าดีก็เลยติดไว้นิรันดร แม้แต่จิตเป็นพระเจ้าดีที่สุด ก็เป็นนิรันดรไม่มีวันจบ มันถอนอัตตาไม่ได้ ศาสนาพุทธจึงไม่เอายึดถือสูงสุดแม้เป็นพระเจ้า ให้พระเจ้าเป็นเรา กว่าจะอนุโลมได้ถึงขั้นพระเจ้าก็อธิบายยาก หลวงปู่ก็ทำอยู่ ฝึกให้จิตเป็นพระเจ้า จิตที่เก่งสร้างให้ประเสริฐดีที่สุดสูงที่สุดประเสริฐสุด แต่เราไม่ติดยึดในสิ่งที่ดีสิ่งที่ประเสริฐอันนี้ วางได้ปล่อยได้ ตายก็ทิ้งเลย ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ ต้องรู้ความจริงอันนี้แล้วไม่ติดยึดสิ่งที่สูงที่สุดแม้แต่จิตที่เป็นพระเจ้า สูงสุดขนาดไหนตามที่บารมีเรามี เราก็ไม่ติดในความสูงสุดนั้น สูงสุดเต็ม 100 เราจะต้องใช้แค่ 80 อนุโลมได้แค่ 80 อนุโลมเพื่อผู้อื่น
_ทำอย่างไรเมื่อข้าพเจ้าสวดมนต์ก็ให้อย่าสักแต่ว่าสวดมนต์ แต่ให้ซาบซึ้งและเพิ่มศรัทธาในการปฏิบัติธรรมอย่างไร เพราะว่า สวดมนต์กันทุกวันเลยครับ
พ่อครูว่า…บทมนต์คือมนตราหรือคำที่เอามาสอนนี้ คือคำสอนพระพุทธเจ้านั้นสูงสุด ต่อมาก็เป็นของอาจารย์ ต่อมาเป็นของคนไหนก็แต่งขึ้นมา ก็มีเท่านั้นเอง เพราะว่าบทมนต์คือคำสอนพระพุทธเจ้า ต้องท่องไว้ในสมัยโบราณ ก็ไม่มีเครื่องมือบันทึกอะไร แม้แต่ตัวหนังสือก็ไม่มีก็จึงอาศัยการท่องจำ สวดให้ประจําถ่ายทอดไว้ถึงทุกวันนี้ได้ มาถึงทุกวันนี้ คุณจำให้พอใช้พอแล้ว ถ้าคุณรับผิดชอบจะต้องจำปาฏิโมกข์ให้หมดก็ต้องจำให้ได้แล้วก็ใช้แค่ปาฏิโมกข์ คุณจะต้องจำธรรมะอย่างหลวงปู่นี้ อย่างอาตมา จำธรรมะไว้ เพื่อที่จะใช้ประโยชน์ก็จำ จำได้เป็นพระสูตรเลยก็ยิ่งดี หลวงปู่จำได้เป็นส่วนๆ จำทั้งพระสูตรที่ยาวๆยังไม่ได้ จำได้แต่ว่าสูตรสั้นๆ มูลสูตร 10 ข้อ สัมมาทิฏฐิ 10 ข้อ เป็นต้น แปลมงคล 38 จำไม่ได้ทั้งหมด ก็จำแต่พอใช้
เพราะฉะนั้นการสวดมนต์ ทุกวันนี้ จำได้ก็ดี หรือใช้เครื่องมือช่วยจำก็มีเยอะไป ก็ไม่ต้องไปสวดอะไรมาก ทุกวันนี้เขาสวดกันอย่างเสียหายโง่เง่าสวดอย่างหลง หรือสวดธรรมจักรกัปปวัตนสูตรล้านจบ โง่ที่สุดเลย แน่นอน ท่องล้านจบนี้จำได้แน่ แต่ว่าจำได้แล้วจะเสียเวลาไปท่องอีกทำไม
บางทีหลงผิดว่าสวดแล้วจะได้อะไรเป็นสิ่งบันดลบันดาลเป็นปาฏิหาริย์อะไรอีก พระพุทธเจ้าบอกว่าภิกษุจะสวดมนต์พร้อมกันตั้งแต่ 2 รูปให้ฆราวาสฟังไม่ได้ การสวดพร้อมกันเป็นการร้องหมู่ สวดแล้วยิ่งอยากจะได้อะไรให้เกิดเป็นวิมานสวรรค์เป็นปาฏิหาริย์อะไรยิ่งโง่มาก มีคนโง่ตามมาอีกเยอะ คำสอนพระพุทธเจ้านั้นเอาไปทำแบบนั้นแบบดูถูกไม่ได้พระพุทธเจ้าบอกว่าจะสวดตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปกับสาธารณะ มีอยู่ในพระวินัยเป็นอาบัติหากไปทำเข้า ท่านป้องกันเอาไว้ ถ้าคุณจะสาธยายเอามาสวด ก็เรียกสวดสังคายนาแจกแจง หรือสวดท่องจำ คุณมีหน้าที่ก็สวดกันไปเรียกว่าสวดสังคีติ สวดพร้อมกันเป็นหมู่กลุ่มจะได้จำง่ายเหมือนท่องสูตรคูณ สวดท่องอาขยาน ก็ทำให้จำได้ พอจำได้แล้วก็พอ แต่เมื่อเอามาสวดหากินสวดให้คนอื่นเค้าติด สวดแล้วจะได้วิมาน เป็นเรื่องนิรมาณกาย เป็นเรื่องที่คุณสร้างมาอย่างเพ้อฝันเป็นองค์ประกอบอะไรหนึ่งขึ้นมา เป็นเรื่องลึกลับทั้งที่มันไม่มีอะไรเป็นวิมาน หรือ ดีไม่ดีเป็นโทษที่ต้องไปจำว่ามันมี มันไม่มีก็คิดว่ามี ได้วิมานนั้น โง่ สวดแล้วจะบันดาลให้ได้อะไร มันไม่ได้หรอก ต้องสวดแล้วให้รู้เนื้อหาแล้วไปทำให้เกิดผลอย่างนี้ๆ จำไว้เอาไปปฏิบัติอย่างนี้ตามพระพุทธเจ้าสอน จึงเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์
หากสวดแล้วจะไปมีฤทธิ์เดชเป็นคาถาที่เน้นเรื่องความขลัง ให้แปลกอะไรออกไปมันไม่ใช่ มันเป็นความโง่มันทำได้ มันเป็นความซับซ้อนเป็นเรื่องอุปาทาน แล้วคนก็อุปาทานตาม มันเป็นของไม่มีแล้วทำให้มีได้ ในระดับหนึ่ง เพราะฉะนั้นคนที่เก่งถึงขนาดสร้างอุปาทานให้คนอื่นเป็นได้เขาเรียกว่าเป็นโรคจิต psychosis neurosis เป็นโรคจิต โรคประสาททางหมอแก้ทางโรคประสาทได้ง่ายกว่าโรคจิต โรคจิตเขาแก้ไม่ได้เป็นความลึก แต่ของพระพุทธเจ้าโรคจิตแก้ง่ายกว่าโรคประสาท เพราะโรคประสาทมันกินไปถึงรูปธรรม มันก็เลยแก้ยากมันไปฝังเข้าไป แต่ถ้ามีแต่จิตแก้ง่ายกว่า แต่ทางหมอทางแพทย์เขาแก้โรคประสาทได้ง่ายกว่าโรคจิต เพราะเขาไม่รู้เรื่องจิต
หากท่องแล้วไม่มีประโยชน์จะท่องไปทำไม ท่องจำแล้วเอาไปใช้ได้ สวดเพื่อเอาไปจําเป็นบทมนต์พระพุทธเจ้าแล้วเอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ให้เหมาะสมกับเราด้วย บทมนต์อันนี้ไม่เหมาะสมกับเรายังไม่ต้องท่องใช้อะไรไม่ได้ ท่องไว้เพื่อสอนเขาก็อวดเก่ง มันไม่ถูกกับกาลเทศะ
_หลวงปู่คะ หลวงปู่ลดกิเลสของหลวงปู่อย่างไรคะ
พ่อครูว่า…1. รู้กิเลสของตัวเอง 2. เรียนวิธีกำจัดกิเลสคือคำว่าบุญ สร้างพลังงานบุญให้มันกำจัดกิเลสให้ได้ เอาแค่นี้ก่อน
-
ต้องรู้กิเลสของตัวเองจริงๆว่าอาการมันเป็นอย่างไร เรียกว่าสักกายทิฏฐิ สักกายะตัวตนของกิเลส รู้ตัวนี้แล้วมีวิธีที่เรียกว่า ศีลพรต มีวิธีที่จะกำจัดกิเลสตัวนี้ก็ใช้วิธีนั้น เป็นวิธีที่สัมมาทิฏฐิและถูกต้อง อธิบายไว้แค่นี้ก่อนเป็นศีล สมาธิ ปัญญา หรือว่าจรณะ 15 โพธิปักขิยธรรม 37 นั่นแหละคือวิธีการของพุทธเจ้าคือมรรคองค์ 8 โพชฌงค์ 7