610605_พ่อครูเทศน์เปิดงานอโศกรำลึก ครั้งที่ 37 ปี 2561
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://drive.google.com/open?id=1jQVnWHqr7dm-gHzxo7d32ViEW-DPCnBj_5MPewDRVS8
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=11SyEFnA1YrnHukJLStJNCmd_NQzfz6kg
ดูยูทิวป์ได้ที่…
พ่อครูว่า…วันนี้เป็นวันอังคารที่ 5 มิถุนายน 2561 ที่อาคาร บวร ณ บวร ราชธานีอโศก
วันนี้วันที่ 5 ตรงกับวันอังคาร อาตมาเกิดแรม 8 ค่ำ เดือน 7 ก็คลาดไปแรมหนึ่ง
วัฏฏสงสารหรือกาละก็วนเวียนไปวนเวียนมา อาตมาวนเวียนเกิดมา 84 ปีแล้ว ได้ 7 นักษัตร อาตมาเกิดมาชาตินี้ อาตมาปางเลข 7 ก็มาถึงวาระครบรอบ 7 นักษัตร จากวันนี้ไปก็จะเพิ่มจาก 7 รอบนี้ไป ก็คิดว่า จะเลย 7 รอบนักษัตรมาแต่ละรอบ มันก็จะต้องมีอะไรต่ออะไรพากเพียรมากอยู่ให้มีแรงที่จะเหมือนออกนอกโลก จากอยู่ในวงโคจรของโลก ก่อนจะออกจากโลกเกิด การเปิดศักราชใหม่ มันจะต้องมีแรงที่จะต้องพิเศษ ที่จะสามารถออกไป ไม่เช่นนั้นก็วนอยู่อย่างนั้น เหมือนปุถุชนวนอยู่ในโลกปุถุชน ถ้าไม่มีความรู้อย่างสำคัญและก็พยายามพากเพียร มันก็ออกไม่ได้ ออกจากโลกโลกียะ มีจิตมีพลังงานเป็นพลังงานใหม่เกิดโลกุตระคือจิตสามารถรู้กิเลสตัวเอง และก็สามารถทำให้กิเลสตัวเองนี้ ลดลง ดับลงได้จริง ก็เข้าสู่โลกุตระ
ที่พูดไปนี้เป็นเรื่องของนามธรรม จิตเจตสิก รูป นิพพาน ซึ่งเป็นความตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ และปฏิบัติได้จริง
อาตมาเป็นโพธิสัตว์ได้ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้ามาจนกระทั่งมาถึงปางนี้ชาตินี้ ปาง 7 พูดไปบางคนเขาก็หาว่าพูดอวดดิบอวดดี แต่ที่อาตมาต้องเปิดเผยต้องพูดต้องบอกว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เพราะทุกวันนี้คนไม่มีความรู้ ภาษาที่บอกว่ารูปคืออะไร นามคืออะไร กายคืออะไร จิตคืออะไร บุญคืออะไร บาปคืออะไร มันได้ผิดเพี้ยนไปหมดแล้ว เขาไม่รู้ความจริงและรู้ไม่ถูกต้อง อาตมาต้องมาจัดระบบเอาเข้าที่ ให้ลงตัวให้ถูกสัจธรรม ก็เมื่อย แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ต้องพากเพียรอุตสาหะ ปางนี้อาตมาก็มีหน้าที่ที่จะมาบอก ทำความเข้าใจ ให้มีสติรู้ตัว ตื่น เพราะเราไปยึดผิดมานานมามากแล้ว มาเอาสิ่งที่ถูกต้องเสีย เปลี่ยนแปลงจากที่เคยผิดมาเสีย
ผู้ใดตั้งสติฟังได้เข้าใจก็เปลี่ยนแปลงอย่างเช่นชาวอโศกเรา ได้รับมรรคผลได้ประโยชน์จากศาสนาพระพุทธเจ้า พวกเราได้ประโยชน์จากศาสนาพระพุทธเจ้า ผู้ที่ยังไม่เข้ามาไม่แสดงตัวก็มี ไม่แสดงตัวเพราะจำเป็น ตกอยู่ในฐานะจำนนว่าเราไปอยู่ในหมู่ใหญ่ ที่เขาผิดเพี้ยนไปแล้ว แต่พวกที่ส่วนตัวสามารถรับเข้าใจได้ และก็ปฏิบัติตัวเอง ให้มีมรรคผลในตัวเอง จึงเชื่อว่าที่อาตมาพูดนั้นถูกต้อง แต่ก็จำนนแล้วเพราะถูกชนัก ตำแหน่งยศศักดิ์หน้าที่ผูกไว้มาไม่ได้ ก็จะต้องทำหน้าที่ ปางนี้ชาตินี้ของแต่ละท่านให้หมดไป ก็น่าเห็นใจ
แต่สื่อสารก็สามารถทำให้ฟังเทศน์ฟังธรรมจากอาตมาได้ ฟังอยู่ที่ไหนก็ได้ ได้รับรู้ถ้าสนใจใส่ใจ ไม่มีปัญหาเลย เป็นโอกาสที่ดีมากแล้ว
อาตมาบอกพูด เปิดเผยความจริง อาตมาเกิดมาในชาตินี้ไม่มีหน้าที่อื่น มีหน้าที่มาแก้ไขธรรมะ ก็พยายามที่จะอธิบายความผิดความถูกให้ฟัง คนที่ตั้งใจฟังแสวงหามีปัญญามีปฏิภาณดีก็ชัดเจน ก็แก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้น คนที่ดูถูกเลยไม่เชื่อถือเลยก็ไม่ได้อะไร คนที่อยู่กลางกลางเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้างก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง บางคนก็ได้ระดับสิบตรีบั้งนึง บางคนก็ได้สองบั้งสิบโท บางคนได้สมบั้งสิบเอก (เสียงลำโพงหอน ตัดออกด้วย) ถึงขั้นนายร้อย ก็เป็นธรรมดา
ผู้ที่ฟังแล้วได้เห็นความสำคัญในความสำคัญ สำคัญถึงขนาดเอาชีวิตมาดำเนินไปในทิศทางนี้ เพราะว่าอาตมาทำงานมีกลุ่มหมู่ มีเสนาสนะ มีบุคคล มีอาหาร มีธรรมะ มีสัปปายะ 4 มีสิ่งที่เป็นคุณค่าแสวงหาประโยชน์ได้ครบพร้อม ทั้งสถานที่เป็นบุคคลเป็นชุมชน มีความเป็นอยู่มาเป็นสมาชิกชุมชนนี้ มีเครื่องอาศัยคืออาหารเป็นสิ่งกินสิ่งใช้ต่างๆนานา ช่วยกันสร้างช่วยกันกินช่วยกันทำในระบบสาธารณโภคี มีธรรมะเป็นแกนหลัก มีชีวิตอยู่เราอยู่กันอย่างเป็นธรรมะ
สังคมเราเป็นสังคมที่ถือศีล แม้แต่เด็กหรือผู้ใหญ่ก็ประพฤติศีล 5 เป็นชุมชนเป็นหมู่บ้านที่มีศีล ไม่ใช่พยายามบังคับให้มี แต่คนที่มาจะต้องยินดีเข้าใจจะมาประพฤติปฏิบัติศีลสมาธิ ปัญญา วิมุติ แล้วเราก็อธิบายการปฏิบัติศีลให้เกิด อธิจิต เกิดจิตได้อย่างไร เกิดได้ไหม จนกระทั่งจิตมีวิมุติจริงได้ไหม เราก็สามารถพากเพียรปฏิบัติ จนมีความจริงบรรลุมรรคผล เพราะฉะนั้น ชุมชนชาวอโศกจึงมารวมกันอยู่อย่างศึกษาไตรสิกขาของพระพุทธเจ้า
มีศีล ปฏิบัติธรรม เจริญอธิจิต อธิปัญญา อธิวิมุติขึ้นไป ชุมชนหมู่บ้านชาวอโศกจึงเป็นเมืองพระศรีอารย์ ดินแดนพระศรีอารย์พระศรีอาริยะ ศรีอาริยะคือความเจริญ เจริญแบบพระพุทธเจ้า เจริญที่มีความต่างกับความเจริญแบบโลกๆ อาตมาได้ประพันธ์กวีไว้ ความเจริญ 3 ความหมาย
ความเจริญ 3 ความหมาย
(1) ปรารถนาคนยิ่งล้น ความเจริญ
กิเลสจัดการเกิน กว่ารู้
แย่งลาภยศสรรเสริญ สุขใส่ ตนเฮย
ทำทุกข์ทับตนสู้ สุดด้วยอวิชชา
(2) พาโง่ตามฝรั่งเฟ้อ “อารยะ”
“อริยะ”ฝ่อเฟอะฟะ ผิดเพี้ยน
เพราะห่าง“อุตตระ” พุทธสัจ ไปแฮ
สาระ“อาริยะ”เหี้ยน หดสิ้นสูญหาย
(3) “อารยะ”หมายมุ่งได้ รูปธรรม
ทุนนิยมครอบงำ หนักหน้า
เทิด“วัตถุ”สูงสำ- คัญเลิศ สุดแล
แย่งฆ่าแกงกาจกล้า เบ่งบ้าอาธรรม์
(4) “อริยะ”นั้นมุ่งเข้า หา“จิต”
แต่ต่างทิฏฐิผิด สุดแก้
ทิ้งแก่นสู่ทิพพฤทธิ์ เทวโลก กันเลย
มีแต่ศาสน์พิธีแม้ สวดร้องแข่งกัน
(5) เลิกฝันหาแก่นแท้ “อาริยะ”
สิ้นซากโลกุตระ เมิดจ้อย
เต็มแต่“พระไพศาละ” ลาภยศ ย้อยหยด
เหลือแค่ผ้าเหลืองน้อย ติ่งห้อยติดหู
(6) เลิศหรูโลกียะถ้วน ติตถิยา
เดรัจฉานล้นศาสนา พุทธแล้ว
เอาแต่สวดมนตรา เป็นหลัก เลี้ยงอาตม์
นอกรีตนอกธรรมแคล้ว คลาดสิ้นพุทธธรรม
(7) สำเร็จสร้าง“โลก”พร้อม “อัตตา”
เจริญ“อธิปไตย”พา ศาสน์เพี้ยน
ธรรม“โลกุตระ”หา ไป่พบ แล้วพ่อ
สามเสียบแทงสุดเสี้ยน- ศึกล้างความหมาย
“สไมย์ จำปาแพง” 8 พ.ค. 2561
[นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 335 ประจำเดือนมิถุนายน 2561]
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ดับสวรรค์กับนรก สวรรค์คือความสุข ความสุขเป็นความโกงความเท็จเป็นสุขขัลลิกะ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียวที่สอนอาการของจิต อาการของจิตที่เป็นสวรรค์เป็นนรก ศาสนาพุทธไม่เป็นทั้งสองอย่าง แต่เท่าที่เขาสอนกันมาบอกกันมานั้นคือให้ไปติดสวรรค์ มีแต่อาตมานี่แหละมากลับเลย บอกว่าไม่ไปสวรรค์ไม่ไปนรก ไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก อาตมาขอยืนยัน มีแต่เขาสอนให้ไปสวรรค์และบอกว่าเป็นขั้นๆ
ขั้นต่ำสุด ดับอบายได้ แล้วคุณก็ไม่ติดสวรรค์ที่พ้นจากอบาย แต่ถ้าดับอบายแต่ไปติดสวรรค์ที่พ้นอบายก็หมุนวนอีก จากอบายก็เป็นสวรรค์ แล้วคุณก็ไปติดสวรรค์ก็ดิ่งหัวลงนรก คุณรู้สึกว่ามันสบายดี มันเป็นความโง่ที่หมุนรอบเชิงซ้อน นี่แหละไม่ง่าย มันยากอย่างนี้ จึงเรียกว่ากิเลสมันจัดการได้เกินกว่าคุณรู้ มันแค่รู้นรกสวรรค์แต่ไปจัดการให้เกิดสวรรค์ มันก็รู้ไม่ชัดเจน
ทำทุกข์ทับตนสู้ สุดด้วยอวิชชา เอาไปเอามาก็มาทำทุกข์ทับถมตนเอง
(เสียงลำโพงหอน ตัดออกด้วย)
อัตตาของพวกเทวนิยมเป็นอนัตตัง ใหญ่มหาศาล เพราะเขาไม่รู้จักกาม เขาก็ไม่รู้จักไม่มีหยุดไม่มีพอ สุขด้วยกาม ทางตาหูจมูกลิ้นกายเขาก็ไม่รู้จัก ทั่วโลกเขาปรุงแต่งหลอกกัน เอาตัวอย่างที่นี่ มีผู้สานเส้นพลาสติกเป็นกระเป๋า อาตมาว่าส่งอันนี้ให้ versace เขาก็เอาไปขายทั่วโลกรับรองว่าราคาแพงเป็นหมื่นเป็นแสน คือมันโง่จนไม่รู้จะโง่อย่างไร คุณจะรวยแข่งแจ็คหม่าเลย ยกตัวอย่าง ใครพอมีปฏิภาณก็พอเข้าใจ
มีคำว่า อาริยะกับคำว่าอริยะ คำว่าอริยะ นี้ฝ่อแล้ว ผิดเพี้ยนไปหมดแล้ว เดิมนั้น พระพุทธเจ้าใช้คำว่าอริยะ เป็นบาลี แต่เดี๋ยวนี้ได้ผิดเพี้ยนความหมายไปแล้วไปหลง ทั้งๆที่มันวนอยู่ในโลกียะหรือสว่างจนพร่ามัว ดำดิ่งจนลึก ไปสองทิศ เลยกลายเป็นอาภัสราพรหม สุภกิณหาพรหม
อริยะทุกวันนี้กลายเป็นลึกดำดิ่งเป็นสุภกิณหา แปลว่าหลงความดับดำเป็นสิ่งดี
กับ อาภัสรา แปลว่า หลงความสว่างจ้าเป็นสิ่งดี
อาตมาดึงคำว่า อาริยะ มาแทนคำว่า อารยะกับอริยะ ที่สองคำนี้ความหมายได้ผิดเพี้ยนไปแล้ว มีสามคำ อาริยะ อริยะ อารยะ คนก็หาว่าอาตมาบัญญัติคำใหม่
แต่ว่า ไม่ใช่ มีคำของพระพุทธเจ้าเดิมคือพระศรีอาริยะ เขาก็จำนนว่า คำนี้ก็มี เพราะเขาไม่นึกถึง เพราะอะไร เพราะอันเก่า อารยะก็ผิด อริยะก็ผิด จึงมีผู้ใหม่ผู้รู้จริงเอาพยัญชนะใหม่มาใช้เรียกว่า อาริยะ อาตมานี่แหละ เป็นส่วนหนึ่งที่เอามาใช้ เป็นของเก่าไม่ใช่อาตมาบัญญัติเอง พูดถึงความหมายโลกุตระอาตมาใช้คำว่าอาริยะ ถ้าความหมายบริบทหมายถึงโลกุตระ
ในอาณิสูตร พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าศาสนาพุทธเหมือนกลองอานกะที่ได้เสื่อมได้ผิดเพี้ยนไปแล้ว เพราะใช้ไปมันก็เสื่อม คนก็เอาเนื้อใหม่มาซ่อม เนื้อกลองก็ดี หนังกลองก็ดี เอามาเปลี่ยนมาแทน จนทุกวันนี้ก็เรียกว่ากลองอานกะ เรียกว่าศาสนาพุทธ แต่เนื้อแท้ของกลองเดิมไม่เหลือแล้ว เหมือนทิฏฐิในศาสนาพุทธได้ผิดเพี้ยนไปหมดแล้ว สาระของอาริยะหดไปหมดสิ้นสูญหายไม่มีแล้ว
อย่างการสวดมนต์ของธรรมกายนี้เขาสวดกันเป็นหลัก ศาสนาพุทธเหลือเพียงการสวดกับพิธีกรรมรูปแบบ จารีตประเพณีเต็มไปหมด ทุกวันนี้ศาสนาพุทธให้คนหลงใหลติดยึดแค่ศาสนพิธีกับการสวดมนต์ สรุปว่าศาสนาพุทธทุกวันนี้เหลือแต่ศาสนพิธีกับการสวดมนต์ที่นอกรีต ไม่ได้มรรคผลอะไร เหลือแค่นั้นจริงๆ นี่ไม่ได้ใส่ความหาเรื่องนะ อาตมาก็พยายามดึงกลับมาสู่สาระ
ตั้งชาวอโศกมา ไม่เคยไปสวดมนต์ สวดธรรมบท ของพระพุทธเจ้าตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปในสาธารณชน อาตมาพาสวดเป็นหมู่ไปด้วยกัน มีแต่ปณามคาถาสรรเสริญพระพุทธเจ้าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สวดต่อหน้าสาธารณชนได้เป็นปณามคาถา ไม่ได้ประกอบเสียงร้องเป็นทำนองด้วย สวดเป็นภาษาธรรมดา อาตมาพาทำมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ แม้แต่ฆราวาสชาวอโศกก็สวดมนต์แบบนี้ ไม่สวดแบบข้างนอก
มีคนที่เขาอาจจะศึกษารู้ว่าเขาได้ทำผิดไป แต่เขาแก้ไขไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ มันจมและติดยึดจนกระทั่งสุดจะแก้ไข มันสุดทางแล้วน่าสงสาร คือจะต้องทิ้ง เพราะมันไม่ใช่ ผู้ที่รู้จริงก็ไม่ทำไม่เอาด้วย ผู้ที่รู้ และแก้ไขได้
ทุกวันนี้มีแต่ความไพศาล พระที่มีแต่ความไพศาลด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ตอนนี้ก็ตามชำระกันอยู่ ก็ชื่นใจนะขอสนับสนุนท่านพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ จงทำหน้าที่ของท่านให้เต็มที่เลย มาปราบเสี้ยนหนามศาสนาให้หมดไป ในยุคนี้เป็นยุคที่เจริญขึ้นทั้งด้านศาสนา รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐกิจ ในประเทศไทยดีขึ้น
เศรษฐกิจดีประเทศชาติสังคมเขาจะบอกว่าต้องรวย อันนี้เป็นเรื่องที่ผิด เศรษฐกิจดีไม่ใช่รวย แต่พอดีเป็นเศรษฐกิจพอเพียง พอกินพอใช้และเหลือไม่เป็นหนี้ สามารถเกื้อกูลคนอื่นแจกจ่ายคนอื่นได้ ไม่สะสมไว้มากจึงไม่รวยอยู่ในฐานะที่เทียบกับทางโลกเขาหลงความรวย แต่เราไม่หลงความรวย เราอยู่ในแกนความจนก็อยู่รอด เราก็อยู่ได้ของเรานี้จน ชาวไทยประเทศไทยทุกวันนี้ ไปสอนแม้แต่พูดที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจจะต้องพยายามพัฒนาให้คนรวยกันอย่าให้มีคนจน อาตมาฟังแล้วเศร้าใจ มันจะไปทำอย่างไรจะแก้คนให้รวยทั้งหมดไม่ได้ มาแก้คนให้จนทั้งหมดนี้แก้ง่ายจะตายชัก และมันเป็นความจริงที่ไม่ผิดสัจธรรมด้วย
ให้เข้าใจว่าความจนคืออะไร คนจนนี้สุขสำราญเบิกบานใจ เป็นคนจนมหัศจรรย์ เป็นคนจนที่ประเสริฐ คนจนที่ประเสริฐคืออะไร คือคนที่ไม่มีทรัพย์สินมาก อัปปิจฉะ เป็นคนมีน้อยมักน้อย สันตุฏฐิ แค่นี้พอจริงๆ มีมากกว่านี้ก็สะพัดออก ไม่หลงสวรรค์อสังสัคคะ
เป็นคนพากเพียรอยู่ตลอดเวลา สร้างสรรอยู่ตลอดเวลา มีมากมีเกินตลอดเวลา จึงไม่มีวันจน แต่อยู่ในฐานของคนจน ไม่ไปแย่งชิงใคร แต่ไม่จน ไม่รวยกว่านี้แต่ไม่จนกว่านี้ สุดยอดเข้าใจยาก แต่เป็นจริง อย่างน้อยชาวอโศกเป็นได้ ชาวอโศกทำสำเร็จแล้ว ชุมชนชาวอโศกทุกชุมชนในประเทศไทยอาตมาทำมา 47 ย่างเข้า 48 ปี ได้ผลมีจริง ยืนหยัดว่าต้องแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจแบบนี้แล้วจะไม่ไปเบียดเบียนใคร ไม่เป็นศัตรูกับใคร ไม่เป็นคู่แข่งกับใครในโลก มีแต่คนจะขอบคุณ เพราะเราพอกินพอใช้เหลือกินเหลือใช้ พึ่งตัวเองรอด ไม่เบียดเบียนใครไม่แย่งใคร และเหลือก็สะพัด มีส่วนเกินจึงสะพัดส่วนเกินนั้นออกไป อย่างเช่นการขายถูกหรือไม่ก็แจกฟรีได้ แล้วเราก็ไม่กักตุนไม่หวงแหน
เพราะเรามั่นใจในวิริยารัมภะ ความพากเพียรของเราสร้างสรรอยู่ทุกวัน จึงมีเหลือกินเหลือใช้อยู่ตลอด และไม่ใช่คนงอมืองอเท้า ต่างคนต่างขยันหมั่นเพียรทําอย่างเหลือทั้งนั้น มันจึงมีส่วนเกินเอาไปสะพัด เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นจึงเป็นประโยชน์คุณค่า เป็นคนอนุเคราะห์โลก เป็นคนช่วยผู้อื่น คนจนนี่แหละช่วยใคร ช่วยคนรวย เพราะคนรวยคือคนจนไม่เสร็จ คนรวยนี่โง่ที่สุด จนไม่เสร็จ รวยตั้งหลายชั้นแล้วไปทำเพิ่มอีกไม่เคยหยุดโง่ไม่เสร็จ เขาจะพอแล้วเขามีมากแล้วเขาจะหยุดเขาจะมีความคิดนี้หรือ เขาจะมีความคิดมีแค่นี้ก็พอแล้ว มีแสนล้านเอาเหลือแค่ร้อยล้านก็พอแล้วเขาคิดไม่ได้หรอก แล้วเขาจะปฏิบัติจนตายตายแล้วตายอีกเขาก็คิดไม่ได้ ในหัวของเขาในสมองของเขา ในความรู้ในจิตในธาตุรู้ของเขา ในธาตุวิญญาณของเขา จะมาเป็นอย่างนี้
คนมีเงินร้อยล้านนี่มีไม่ใช่น้อย ใช้กินทั้งชาติและเป็นคนที่ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ร้อยล้านก็พอแล้ว เอ้า ลองถามดู นั่งอยู่นี่มีใครมีเงิน 100 ล้านยกมือ
โลกเมื่อไหร่ก็เป็นเช่นนี้ คนที่อยู่ยอดปิรามิดต้องเสียสละ อย่างเช่นพระเจ้าแผ่นดินที่มีทศพิธราชธรรม ท่านก็มาเสียสละ อยู่อย่างคนจน ท่านโง่หรือ มันมีสิ่งที่เป็นตัวอย่างยืนยันเป็นจริง เป็นอยู่ให้เราศึกษา ให้เราทำตามพระพุทธเจ้า
ศาสนาพุทธนี้อยู่ได้ไหม 1. หยุดการสวด 2. เลิกพิธีกรรม ที่เป็นอาบัติ แต่ที่ทำอยู่นั้นเป็นอาบัติทั้งนั้น ส่วนการสวดเป็นร้อยคนพันคน ก็อย่าเอาธรรมบทไปสวด เอาประณามคาถามาสวด อย่างที่สวด มหากาฯ ภวตุสัพฯ เป็นประณามคาถา อย่างนี้สวดได้
แต่ถ้าเอาธัมมจักกัปปวัตตนสูตรมาสวดพร้อมกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปพร้อมต่อหน้าสาธารณะเป็นอาบัติปาจิตตีย์ สวดอยู่เมื่อไหร่ก็เป็นอาบัติ แล้วเขาถือว่าอันนี้คืองานของพระ ต้องเอาธรรมบทมาสวด อย่างเช่น วัดธรรมกายสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตรเป็นล้านเที่ยว เขาถือว่าตัวเองสำเร็จได้ประโยชน์เป็นบุญใหญ่ บาปใหญ่ไม่รู้ตัว ไม่ได้ใส่ความ เป็นบาปจริงๆ เขาได้บาปเป็นกองน่าสงสารจริงๆ พูดไปแล้วอาตมาไม่ได้มีจิตรังเกียจอะไรหรอก แต่มันน่าเศร้าใจมันน่าสงสาร ด้วยความหลงผิด ไม่รู้จะแก้อย่างไร พูดไปเขาก็ไม่สะเทือน เขาก็หาว่าอาตมาไปว่าด่าเขา มันผิดแล้วอาตมาจะปล่อยปะละเลยไม่ให้เขารู้ไม่ให้เข้าใจมันก็ไม่ได้ ต้องกลายเป็นคนใจดำ อาตมาก็ทำไม่ได้ มันดูอยู่ชัดๆว่ามันผิด
ศาสนาพุทธทุกวันนี้จึงกลายเป็นศาสนาเทวนิยมเต็มไปหมด ธรรมะที่เป็นโลกุตระไม่มีแล้ว มีเหลือก็ในชาวอโศกนี้เท่านั้น อโศกมีเหลืออยู่เท่านี้
ก็มาทำความเป็นอาริยะให้ถูกต้องสำเร็จ อาตมาทำงานก็เป็นเรื่องที่ยาก เขาเรียกว่า ทำอย่าง สรณะ แปลว่า การประกอบการรบ มันเป็นงานประกอบการรบ การทำให้คนมีสัมมาทิฏฐิ มาลดละกิเลส ล้วนแล้วแต่เป็นการรบทั้งนั้น รบให้มันชนะ รบให้มันได้ผล แล้วคุณก็ได้อาศัย รบให้ชนะ หากไม่ชนะคุณก็ล้มเหลว ไม่เป็นสรณะ เป็น นรณะ เป็นนรก หากทำได้ก็เป็นผล อรณะ อรณะแปลว่าไม่รบแล้ว พระอรหันต์คือผู้ที่ไม่รบแล้ว อรณะ บรรลุการรบเสร็จแล้ว นี่คือ ความเจริญ 3 ความหมาย ที่อาตมาได้พยายามทำงานให้มนุษยชาติและสังคมมนุษยชาติเจริญขึ้น ทำงาน 47 ปีแล้ว ไม่สูญเปล่า อาตมาทำงานมาจนถึงทุกวันนี้
มาบวช 47 ปี กำลังจะเข้า 48 ปี อายุตัวเอง 84 พรรษา เลขกลับกัน 48 84 เป็นปีที่พวกเราก็คงเห็นเป็นการครบรอบสำคัญ ก็เลยพยายามทำการฉลอง เป็นวิธีการชี้ชวนให้เห็นว่าที่นี่เขามีอะไรกัน ก็เข้ามารวม ที่จริงเขากำลังทำงานศาสนา นำพามนุษย์ให้มีสาระสร้างสรรโลกุตระ ใครเข้ามาก็จะได้ประโยชน์ คนที่ไม่เข้าใจไม่ยินดีไม่เห็นสิ่งนี้น่าเข้าใจก็เรื่องของเขา
อาตมาทำงานมามีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง ชื่อว่า อังคาร กัลยาณพงศ์ ก็รู้จักกันมานาน ตั้งแต่การสร้างปฐมอโศก ท่านอังคารก็เคยไปยืนแช่น้ำลำธาร อ่านกลอน ห้ามไม่หยุดด้วยนะ จำแม่นด้วย ไม่ต้องมีบันทึก จำแม่น พูด ห้ามก็ไม่หยุด ดุด้วย ใครจะห้ามก็ดุด้วย
ท่านอังคารก็รู้จักอาตมาพอสมควร ท่านเขียนกวี ให้อาตมา วันอังคารที่ 8 มิถุนายน ปี 2553 แรม 11 ค่ำ เดือน 7 ปีขาล
เกียรติยศ มงคลชัย แด่ สมณโพธิรักษ์
-
ร่มโพธิ์แก้ว มุ่งแล้ว เพื่อโลก ร่มเย็น
เห็นกิเลส ตัณหาโรค โศกร้าย
นำมนุษย์เพ่งวิมุติวิโมกข์ โลกุตะ ตรแล
เลิศสติปัญญาไซร้ สว่างฟ้า โพธิญาณ ฯ
-
สมณโพธิรักษ์ รักซึ้ง รัตนตรัย ภพไตร
ชีพเพื่ออุดมคติชัย ใหม่แพร้ว
โพธิสัตว์ปรัชญาสมัย ใจทิพย์ เพ่งธรรม
นำค่าพุทธธรรมแก้ว ช่วยหล้า อกาลิโก ฯ
-
ชีพมั่นขวัญคู่หล้า อยู่คง มงคล
พุทธสติปัญญายง หยุดม้วย
พุทธเจ้า สถิตย์ ธรรมตรง จิตรวิจิตร สนิทนาน
ญาณสว่าง สร่างกิเลสด้วย แวนแก้ว พุทธธรรม ฯ
-
อังคาร กัลยาณพงศ์