610607_พ่อครูเทศน์ ทวช. อโศกรำลึก ครั้งที่ 37 ประกาศโพธิสัตว์ผู้มากอบกู้ศาสนาพุทธ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://drive.google.com/open?id=1VZDJfVF0YS37iqTGSY5-bP0sJtKlBeThsno6V8pFr0U
ดาวโหลดเสียงที่..https://drive.google.com/open?id=1i-ANNL76XDx9erNzM9O0J5CpSfjKVrdK
ดูยูทิวป์ได้ที่…
พ่อครูว่า…วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก งานอโศกรำลึกครั้งที่ 37 วันนี้วันที่ 7 แรม 9 ค่ำเดือน 7 อาตมาเกิดวันที่ 5 แรม 8 ค่ำเดือน 7 อายุก็ยืนยาวไปเรื่อยๆ อาตมาก็มาทบทวนชีวิตเราตั้งแต่เกิดมา ทุกคนตั้งแต่เกิดมายังไม่ตาย ก็ตลอดเวลาที่เรามีชีวิตยืนยาวมาเรื่อยๆ จนเดี๋ยวนี้ยังไม่ตาย มันก็มีการประกอบกรรมหรือว่าทำทางกายและทำทางวาจา ทำทางใจ
คนยังไม่ตายเขาก็ต้องมีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม กรรม 3 ทั้งนั้น แต่ผู้ไม่ได้ศึกษาแล้วก็ควรจะสังวรปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ชีวิตอย่างไร เขาก็ไม่ได้คำนึงว่ามีตัวกิเลส หรือตัวสำนึกดี คนเราก็มีกิเลสที่พาให้สำนึกชั่ว เป็นตัวเหตุที่พาให้สำนึกชั่วคือตัวกิเลส เป็นอำนาจ สำนึกดีก็เป็นอำนาจ ผู้ที่มีอำนาจสำนึกดีมากกว่า ก็กดหัวกิเลสไว้ได้มากหน่อย ถ้ามีแรงของกิเลสมากกว่าสำนึกดี กิเลสมันก็กดหัวเอา แล้วก็ให้ประพฤติไปตามกิเลส กิเลสแรงมันก็ทำแรงโหดร้าย หรือว่า เถื่อนๆดุๆไป คนที่มาศึกษาธรรมะก็จะเข้าใจกรรมกิริยาเหล่านี้
โดยเฉพาะศาสนาพุทธสอนถึงขั้นใช้จิต หากเป็นสัญญาที่ไม่มีอำนาจถึงขั้นกำหนดรู้ สัญญาก็เป็นความรู้ ปัญญาก็เป็นความรู้ แต่สัญญามันไม่มีอำนาจเท่ากับปัญญา ปัญญาเป็นความรู้ที่เป็นโลกุตระ ของเราศึกษา ที่อื่นเขาไม่ได้ศึกษาธาตุรู้ที่กำหนดรู้ นัยยะ ปัญญาคือโลกุตระ และเป็นการประกอบไปด้วยทั้งภายนอกและภายใน ปัญญาต้องมีภายนอกด้วยเสมอ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เปิดทวารทำงาน สัมผัสรู้แล้วกำหนดรู้ ปรุงแต่งสังเคราะห์สังขารกันขึ้นเป็นความรู้ รวมเรียกว่าสังขาร
ความรู้ตัวของคนทั่วไปเป็นสังขาร 3 เขาสังขารไม่มีธาตุรู้ที่จะเข้าไปรู้ลึกซึ้ง มีสติสัมโพชฌงค์ มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ วิจัยจิตในจิต กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิตธรรมในธรรม แล้วก็ดูธาตุที่เป็นจิต เจตสิก มันทำงานเป็นกิเลส เป็นอาการไม่ดี พลังงานไม่ดีของจิต เมื่อเรียนรู้ พุทธใจแยกแยะจิตใจจิตวิญญาณออก วิตกวิจัยจิตวิญญาณ มันตักกะ วิตักกะออกมา ก็วิจัยแก้ตัวกิเลสได้ ระเบียบวิธีการทำให้กิเลสลดลงโดยวิธีการสะกด สมถะ แรง กดดื้อๆ กับวิธีที่กำหนดรู้ด้วยปัญญา การกำหนดรู้ด้วยปัญญานี้ทำให้กิเลสลดนี่ พระพุทธเจ้าอธิบายไว้ชัดเจนแต่คนยังทำได้ยาก คือ
พิจารณาให้เป็นไตรลักษณ์ พิจารณาตัวอาการกิเลส หรือจิตก็เหมือนกัน จิตมันก็ไม่เที่ยงมันก็เป็นทุกข์ มันเป็นอนัตตา กิเลสก็เป็นส่วนหนึ่งของจิต เป็นอาการของจิต มันก็ไม่เที่ยงมันเป็นทุกข์และเป็นอนัตตา
การที่ได้มีปัญญาเข้าใจเลยว่า มันไม่เที่ยง นี่แหละเป็นตัวที่ลึกซึ้งที่สุด เพราะอาการที่มีในจิตตัวผู้ใดมีการปฏิบัติ ถ้าเราใช้คำว่าเพ่ง เพ่งนี้มันแค่สงบเฉยๆสมาธิ เพ่งกับวิจัย ต้องพินิจ เพ่ง วิจัย เห็นว่าอาการมันไม่เที่ยงมันจะละเอียดลึกซึ้งลงไปทุกๆเศษเสี้ยวของวินาที ผ่านไปๆ เศษเสี้ยวของวินาที มันเปลี่ยนเลยนะ มันไม่เที่ยงมันไม่ได้อยู่อย่างเดิม มันอาจจะมีอะไรมาผสมผเส ปรุงแต่งธาตุรู้นั้น เฉพาะธาตุรู้ มีอะไรปรุงแต่งไปเรื่อยๆในความคิด แต่อาการของจิตที่มันผ่านเศษเสี้ยวนั้นไป มันไม่คงเดิม ถ้าใครสามารถรู้ว่าความไม่เที่ยงนี้มันเดินไปเหมือนกับเวลา เวลาเอาพยัญชนะภาษามาเทียบ เป็นวินาที เป็นนาทีเป็นชั่วโมง ข้อกำหนดระยะห่างตรงกลาง จากต้นไปถึงตรงนี้เรียกว่าวินาที เรียกว่านาที เรียกว่าชั่วโมง เรียกว่าวัน ก็เป็นการกำหนดของสังขยาเลข หรือภาษา
ความจริงเราจะเรียกว่าเวลา เวลาคือความไม่เที่ยง มันเดินไปอยู่ตลอดเวลาไม่หยุดที่เก่า คุณจะหยุดให้เที่ยงนี้ จะจับโลกให้หยุดหมุน จะจับพระอาทิตย์ให้หยุดหมุนให้หยุดเดินอยู่นิ่งๆ แล้วมันก็จะเที่ยง เวลาก็จะเที่ยง ใครสามารถทำได้ไหมล่ะ จะอาสาเป็นหนุมาน ไปจัดการดึงสุริยาทิพย์ให้หยุด ดำเนินไป
ภายในเวลาที่เราเกิดจนถึงปัจจุบันนี้ บางคนก็ มีแก่กว่าอาตมากี่คนนะในที่นี้ ..มีสองคน
ศาสนาพุทธมีถึงสองชั้นมีทั้งโลกียะ และโลกุตระ บางทีก็ตรงกันกุศลโลกียะกับโลกุตระ บางทีก็ไม่ตรงกันเลยกุศลโลกียะกับโลกุตระมันทวนกระแสกันด้วย ยกตัวอย่างง่ายๆ เขาเรียนรู้ละเอียดไปถึงขั้นว่า ชีวิตเกิดมาของศาสนาพุทธพระพุทธเจ้าก็สอนให้เรามีสวรรค์ หรือไม่มีสวรรค์ ….ไม่มี เอาสวรรค์หรือไม่เอาสวรรค์ …ไม่เอา แต่ข้างนอกเขามีไหม…มี ของเขามีสวรรค์เอาสวรรค์นะ เขาไม่ได้เอานิพพาน พวกเราไปถึงขั้นนิพพาน หมดสวรรค์หมดนรกถึงขั้นนิพพาน หมดสุขหมดทุกข์คือนิพพาน พวกเราพูดก็ถูกเลยแต่ยังทำไม่ได้เป็นนิพพานสมบูรณ์แบบ แต่เรารู้แล้วว่าเราทำได้ เรารู้ด้วยความหมายภาษาและรู้วิธีที่จะฝึกให้ตัวเองเป็นได้ ของเราทำได้มีไม่น้อยแต่เราไม่รู้ว่าเราทำได้ แต่ไม่ง่ายที่จะเอาพยัญชนะ เอาชื่อยาไปแปะกับตัวยา ที่เป็นลักษณะของนามธรรม ที่เป็นจิตเจตสิกต่างๆ แต่ก็เข้าใจไปเรื่อยๆ หลายคนก็แปะได้ถูกสภาวะและทำเป็น
การศึกษาพวกนี้มีชีวิตของคนผ่านมา มีมาศึกษา อย่างพวกเราก็รู้ว่า อ๋อ นี่เป็นสัมมาทิฏฐิอันนี้เป็นทางเดินของชีวิตที่ควรจะต้องสนใจ ต้องเอาเวลาแรงงาน ทุนรอนที่เราควรได้เอามาศึกษาอันนี้ เวลาทุนรอนแรงงาน เอามาใช้ศึกษามาฟังมาฝึกมาอยู่ ปฏิบัติประพฤติอบรม มีคุณค่ากว่าเอาแต่หาเงิน ซอกๆๆๆ หลงในโลกีย์ เราก็พอกินพอใช้อยู่แล้ว ปลีกเวลามาทางนี้วันสำคัญก็มาทางนี้ เลิก ไม่ต้องไปหาเงินทอง ไม่ต้องไปทำอย่างโลกีย์ มาฝึกฝนอย่างนี้
จริงๆแล้วการปฏิบัติธรรมไม่ต้องปลีกแยกเวลาออกไปหรอก ทุกเวลา เรามาเติมความรู้ทางปริยัติ แล้วก็มาฝึกหัดฝึกปฏิบัติดำเนินไปด้วย ให้มันสมบูรณ์ การปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้านั้นสมบูรณ์ด้วยมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นบวร เป็นสามเส้า บ้านวัดโรงเรียน
ในบ้านก็ต้องมีผู้คน ไม่ใช่ว่าบ้านสร้างเอาไว้แล้วไม่มีผู้คน เป็นที่ให้ มดปลวก อะไรมันอยู่ไม่ใช่บ้าน มันเป็นรังมดรังปลวก สร้างไว้แล้วตัวเองไม่มาอยู่ ต้องมีคนมาอยู่จึงเป็นบ้านมาอยู่อาศัยมาเช็ดมาถูมาดูแลมันด้วย นกมันยังดูแลรังของมัน แต่เป็นคนไม่ดูแลไม่จัดการ ที่อยู่ของเราให้มันดีมันก็รก มันเป็นอะไร
อ่าน sms
SMS มิถุนายน 2561 (พ่อครู : บวรราชธานีอโศก)
0015 ศีล 5 เป็นประชาธิปไตยอย่างไรครับ
พ่อครูว่า…อาตมาบอกว่า ประชาธิปไตยจะต้องมีศีล 5 ซึ่ง ศีล 5 นั้นยิ่งใหญ่กว่าประชาธิปไตยแต่ชาวพุทธไม่รู้จักศีล 5 ถ้าหากนักการเมืองหรือประชาชนมีศีล 5 จะเป็นการเมืองที่ประเสริฐ Excellence สุดยอดเลย แต่ว่ามันก็ยากนะ
ที่นี้พวกเราก็ไม่ค่อยไปวุ่นวาย พวกเราเป็นนักการเมืองนะ ไม่ใช่ว่าไม่เป็นนักการเมือง เป็นนักการเมืองตัวจริง การเมืองคือการทำงานกับผู้คน การทำงานมีผลกระทบ มีผลไปเกี่ยวข้อง กับคนที่อยู่ในเมือง เราอยู่ในเมืองไทย เราก็มีพฤติกรรมกาย วาจา ใจ อยู่ในเมืองไทยมีผลกระทบกับคนไทย มีคุณธรรมศีล 5 เป็นต้น เพราะฉะนั้นพฤติกรรมของเราที่เราไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ สังวรในกาม ไม่พูดปด ไม่ไปเสพสิ่งเสพติดอะไรที่เป็นเบื้องต้น ที่หยาบ เราก็ไม่มีแล้วพฤติกรรมกาย วาจา ใจ เราก็มีผลกระทบต่อคนทั้งประเทศ ถ้าหากคนทั้งประเทศประพฤติอย่างนี้ คนมีศีล 5 นี้เป็นเศรษฐกิจประเสริฐแล้ว เป็นการเมืองที่ประเสริฐ เป็นคนที่มีพฤติกรรมในสังคมสังคมก็เป็นสังคมประเสริฐ เพราะว่าพลเมืองของสังคมเป็นพลเมืองที่มีพฤติกรรมกาย วาจา ใจ ไม่ละเมิดในศีล 5 มันมีแต่สุจริตธรรม
ผลที่เกิด สังขารประเทศ มันก็ประเสริฐ ก็เกิดกรรมกิริยาที่เป็นคนในสังคม ก็ประเสริฐดีงามพวกเราชาวอโศกประพฤติอย่างตามศีล 5 เป็นคนมีศีล 5 สังวรระวัง ใครไม่สังวรก็ตัวใครตัวมันนะ เพราะฉะนั้นชาวอโศกเราสังวรจนศีล 5 เราปฏิบัติได้ ได้หมายความว่าอะไร หมายความว่าทุกเวลาทุกวินาที เราไม่ไปฆ่าสัตว์ เรามีใจเมตตาเกี่ยวกับสัตว์ เราสัมผัสกับสัตว์แม้แต่สัตว์เล็ก สัตว์น้อย สัตว์ใหญ่ เราไม่ไปมีความปรารถนาร้ายต่อสัตว์เหล่านั้น ฆ่านี่ไม่ฆ่าแล้ว เอามาสัมผัสมาเกาะตัวเรามายุ่งเกี่ยวกับบริเวณเรา เราก็จัดการมัน เอาออกไป เพราะสัตว์มันไม่รู้เรื่องหรอก มันมีของจริง มันควรจะมามันก็มาตามประสามัน มันไม่รู้เรื่อง มันไม่รู้ว่าเป็นชิ้นของคุณ แต่มันเกี่ยวกับคุณได้ นี่กล้วยของฉันนะมาแตะ สัตว์มันก็ไม่รู้เรื่อง วัว ควายช้าง ม้า มันก็เดินมาได้ พูดกันไม่รู้เรื่องหรอก ของข้านะเองกินไม่ได้หรอก โอ้โห มันไม่รู้เรื่องหรอกมันรู้แต่ว่าอาหารฉัน
เราสัมผัสกับสัตว์ต่างๆอยู่ เราก็รู้ว่าควรหรือไม่ควร บางทีเราไม่หวงแหน สัตว์มันจะมากินกล้วย มันก็มีเยอะแยะให้มันกิน หรือไม่มีเยอะก็ให้มันกินบ้าง มีเมตตามีความเกื้อกูลมีน้ำใจเราเสียสละให้สัตว์มันกินกล้วยได้ พวกเราฝึกฝนประพฤติและจิตใจ เราไม่หวงแหน ไม่ยึดถือเป็นตัวเราของเราได้ถึงขนาดนี้ บางทีก็ไม่ให้เอาไว้ให้คนกินก่อนให้สัตว์มันไปหากินเองให้ไปกินไมยราพยักษ์แต่มันก็ไม่ค่อยกิน เราก็อยู่อย่างนี้เกี่ยวข้องกันไป อยู่กับสัตว์ สัมพันธ์กับสัตว์เกี่ยวข้องกันไปมา เราก็อยู่อย่างเมตตา ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ต่างก็อยู่กันเป็นเพื่อนทุกข์ช่วยกันอนุโลมกัน อยู่กันได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็ห่างกันหน่อย ก็เท่านั้น
กับสิ่งของ ทั้งดินน้ำไฟลมอุตุธาตุ พีชธาตุ พืชพรรณธัญญาหารเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเราก็รู้ว่าไม่ใช่ของเรา เราก็อย่าไปทำอะไร จะใช้ก็ว่ากันไป คนอื่นไม่ใช้ก็แบ่งกันไป มันก็ไม่ได้แย่งชิงกัน จะรู้กินรู้ใช้ เฉลี่ยกันไปสังคมก็ไม่เดือดร้อนแย่งชิงไม่ฆ่าแกงมีความสงบสุข พวกเราทำให้สังคมสงบสุข เราทำที่นี่ที่ประเทศไทยมันมีผล สัมพันธ์ไป พฤติกรรมมนุษย์โลกเราเป็นมนุษย์โลก คนชาติอื่นก็ตาม ถ้าหากปฏิบัติกับพืช แค่ศีลข้อ 1 2 3 4 5 มันก็เป็นผลในกิริยาที่เกี่ยวเนื่องไปถึงข้างนอก หายไปห่างไป ก็มีผลกระทบน้อย อยู่ใกล้ก็มีผลกระทบมาก
ก็มีพฤติกรรมที่ศึกษาฝึกฝนอบรมตนมาประพฤติสิ่งที่ควรประพฤติ ไม่ประพฤติสิ่งที่ไม่ควรประพฤติ มันก็เป็นประชากรโลก เป็นพลเมืองโลก ที่มีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มีผลกระทบไปสู่กันและกันในโลก เพราะฉะนั้นถ้าคนในประเทศต่างๆ 200 กว่าประเทศ ประพฤติศีล 5 ได้ทั้งหมดนี้ โอ้โห มันจะประเสริฐมันจะสุขสำราญจะอบอุ่นขนาดไหน ถ้าทำศีล 5 ได้ ไม่ต้องไปพูดเลยคำว่าประชาธิปไตย มันยิ่งใหญ่กว่าประชาธิปไตยเป็นไหนๆ ประชาธิปไตยก็เป็นหลักเกณฑ์ของการเมือง ทุกวันนี้ อย่างศีล 5 เฉพาะชาวพุทธแต่เป็นประชาธิปไตยก็รู้กันทั่วโลกไม่ว่าจะศาสนาไหน เขาก็รู้ระบบระบอบวิธีการของประชาธิปไตยที่เป็นสากล ซึ่งเขาก็ยังไม่เข้าใจกันหรอกว่าประชาธิปไตยคืออะไร เข้าใจอย่างตื้นๆ ว่า ประชาธิปไตยจะต้องเลือกตั้งเอาผู้บริหารประเทศมาทำงาน ถ้ายังไม่ใช่การเลือกตั้งนี้ ผู้บริหารยังไม่ใช่มาจากการเลือกตั้ง ยังไม่ใช่ประชาธิปไตย เป็นประชาธิปไตยบ้องตื้นสั้นๆ
ประชาธิปไตยนั้นอาตมาชี้ลงไปลึกๆแล้วโดยเฉพาะพวกเราชาวพุทธเราเข้าใจ ที่จริงสากลก็เข้าใจได้ ถ้าหากอธิบายด้วยภาษาให้ฟัง ประชาธิปไตยจะต้องมีคุณลักษณะ
-
เป็นผู้ที่สร้างอิสระทำให้คนมีอิสระ
-
ทำให้คนไม่มีตัวตน ไม่มีความยึดถือตัวตน
-
ศึกษาพัฒนาวิญญาณศึกษาพัฒนาจิตใจ
ของชาวพุทธเราทำอย่างนี้ เราไม่ต้องไปแคร์หรอกว่าประชาธิปไตยเขาจะหมายถึงอะไรก็ช่างเราปฏิบัติธรรมในศีล 5 แม้แต่คุณภาพคุณธรรม ที่จริงมันคือตัวประชาธิปไตยเต็มๆเลย ที่ประเทศไทยที่เขาเป็นประชาธิปไตยเข้าได้หมด
โสดาบันนี้ เป็นเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน ทั่วทั้งโลก มีคุณสมบัตินี้แล้ว เป็นเอกราชคุณจะไปที่ไหนๆไม่มีขัดข้องกับรัฐที่ไหนเลย นอกจากลัทธิเถื่อนที่ไม่รู้เรื่อง ไม่มีหลักเกณฑ์อะไรหรือมีหลักเกณฑ์บ้าบอ ถ้าเป็นหลักเกณฑ์สากลของโลกที่เขานับถือกัน เป็นลัทธิศาสนาก็เข้าได้หมดไม่ขัดแย้งกับศาสนาไหนเลย ยกตัวอย่างเช่น ศาสนาที่เขากินเนื้อสัตว์แต่เราไม่กินเนื้อสัตว์ เราไปอยู่กับเขาได้ ดีเสียอีกสบาย คุณจะกินฉันไม่กิน ไม่มีตัวแย่ง โอ้โห นี่เนื้อหมีดำเขาก็ได้กิน ไม่ต้องไปก่อคดี เลยกลายเป็นอยากกินเนื้อเสือดำไปล่าเสือดำก็กลายเป็นชนัก
ศีล 5 เป็นคุณธรรมที่ประเสริฐอย่างยิ่ง
_บุญเป็นเครื่องมือชำระกิเลส และเราต้องสร้างเครื่องมือนี้เพื่อมาทำลายกิเลสอย่างไรครับ
พ่อครูว่า…ถามมาสั้นๆ แต่อธิบายตั้งแต่ต้นจนถึงทุกวันนี้ หากวัดระยะทางแล้วปากยื่นยาวไปถึงอเมริกาแล้ว อเมริกาอยู่ตรงข้ามกับประเทศไทยก็สุดโลกเลย ยาวสุดโลกเลย
บุญเป็นเครื่องมือชำระกิเลสหรือเป็นพลังงาน อาตมาว่าจิตวิญญาณเป็นพลังงานพวกนักอภิธรรมว่าเสียไม่มี เขาก็ว่าจิตเป็นวัตถุไม่ใช่นามธรรม แต่เราอธิบายอย่างภาษาวิทยาศาสตร์ว่ามันเป็นพลังงาน มันไม่ใช่แท่งก้อนไม่มีตัวตน วัตถุ มันเป็นพลังงานมันไม่ใช่สสาร มันเป็นตัวละเอียดกว่าสสาร เราพยายามจับอาการของพลังงานให้ได้ แล้วสร้างอภิสังขาร เรียก ปุญญาภิส้งขาร
-
บุญจะต้องมีปัญญามีธาตุรู้ที่กำหนดรู้ เมื่อตากระทบรูป หูกระทบเสียง ทวารเปิดกระทบแล้ว เกิดปรุงในจิต เราก็วิจัยว่าจิตที่ปรุง มีอกุศลเจตสิก เป็นส่วนหนึ่งของจิตที่ชื่อว่าอาการกิเลส จับอาการแยกอาการของสังขารนี้ที่มันปรุงแต่ง แต่มันมีตัวนี้ เราแยกอาการได้ ไม่ใช่ว่า จิต สังขารทั้งดุ้นแล้วทำลายสังขาร ให้มันหยุดบทบาททั้งยวงเลย ทั้งหมดเลย นั่นคือคนที่ไม่รู้จักศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธต้องแยก อาการของกิเลส แล้วหยุดอาการของกิเลส ให้ได้ อย่าให้เกิดอาการ เราเรียกว่าการดับ การนิพพาน เฉพาะอาการกิเลสตัวที่เกิดขณะนี้ เป็นองค์ประกอบตากระทบรูป วิจัยเลย เกิดปรุงกันขึ้นมา เป็นตัวสังขารนั้น แยกเวทนาองค์ประชุมรูปนาม หรือกาย แล้ว จับตัวอาการของกิเลสได้ กำจัดแต่เฉพาะอาการของกิเลสให้หมดไป ให้หมดไป ผู้ทำได้ผู้นั้นบรรลุนิโรธบรรลุนิพพาน นี่คือความรู้ของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นบุญเป็นเครื่องมือชำระกิเลส เราก็ต้องสร้างต้องเรียนรู้อาการของจิต อาการตั้งแต่อภิสังขาร เรียก ปุญญาภิสังขาร เป็นพลังงานที่มีประสิทธิภาพทำให้กิเลสลดลง เห็นกิเลสหยุดการยึดได้ด้วยวิธี กดมันด้วยสมถะ ถ้าเป็นปัญญา มันดูแล้วก็แยก มีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ แยกเฉพาะกิเลสออกมาได้ แล้วมีวิธี ด้วยการกดข่มคือสมถะ วิปัสสนาก็แยกแยะได้ รู้เห็นตัวกิเลส แล้วทำพลังงานปัญญา
ปุญ นี้ต้องมีปัญญา เป็นพลังงานที่มันรู้ มีประสิทธิภาพความรู้ วิ คือประเสริฐวิเศษ ปัสสนา เห็น รู้ตามที่จับกิเลสได้ ความรู้ที่เรียกว่าปัญญา มันเป็นพลังงานที่มีฤทธิ์เป็น อุณหธาตุ เป็นพลังงานเรียกศัพท์ว่า ฌาน เป็นพลังงานไฟ สามารถจัดการไฟราคะโทสะโมหะได้
ถามว่าเป็นเครื่องมือทำลายกิเลสอย่างไรก็อธิบายให้ฟังแล้ว
สร้างพลังงานบุญให้เกิดในจิตแล้วมันก็ไปทำงาน มันเกิดพลังงานที่ชื่อว่าบุญเพราะว่ามันมีประสิทธิภาพ ทำให้กิเลสมันลด คุณทำได้รู้จักตัวกิเลส แล้วทำพลังงานบุญให้เกิดในตัวเอง ในองคาพยพในร่างกายจิตใจของคุณช่วยกันทำ ฟังไปแล้วเมื่อกระทบสัมผัสแล้วก็ไปฝึก มันก็ต้องสร้างพลังงานนี้ให้ได้ ว่ากิเลสมีอาการลดลงไป รู้จักกิเลสเราก็ทำพลังงานบุญให้สำเร็จ พลังงานกิเลสมันก็ลดด้วยพลังงานบุญของเรานี่แหละ มันไม่ง่าย อาตมาว่าอาตมาอธิบายเก่งแล้วนะ ไม่ใช่จะมีคนอธิบายอย่างอาตมาได้ง่ายนะ
_3867ทุกปีเคยส่ง1ในปัจจัย4,จดหมายฤาการด์ถวายพรแด่พ่อครูในวันเกิดท่าน!แต่ปีนี้ศก.แย่!ขอเปลี่ยนเป็นการ ทำบุญช่วยสนับสนุนธรรมะพ่อครูด้วยการซื้อหนังสือสัจจะชีวิต!เป็นการถวายกำลังใจแด่พ่อท่านอีกทาง1จะได้ไหม?กบสิ้นโศก
พ่อครูว่า…อาตมาว่าเฉพาะเศรษฐกิจของคุณเองไหม
เศรษฐกิจดีไม่ได้หมายถึงว่าทำให้ตัวเองรวยครอบครัวรวยหรือสังคมรวย ไม่ใช่ เศรษฐกิจดี คือเศรษฐกิจที่
-
ต้องมีความสร้างสรร
-
ต้องรู้ว่าควรสร้างอะไรหรือไม่ควรทราบ