610609_พ่อครู เทศน์ ทวช.อโศกรำลึก ครั้งที่ 37 นาม 5 รูป 28 ให้ถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://drive.google.com/open?id=1OPjxMdU1WIRXF7Mh2U94Zau42lVWFXSsaMEo0fImCDo
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1M5oDyERY_Oq1PX8UJShCM6k7rk2CCogA
ดูยูทิวป์ได้ที่…
พ่อครูว่า…ก็มีการเสนอมาว่า ปัจจุบันนี้มีความนิยมหนังสือเป็นเล่มน้อยลง คนนิยมอ่านหนังสือทางโซเชียลมีเดียอินเตอร์เน็ตซึ่งมีทั้งภาพเคลื่อนไหวภาพนิ่งและข้อมูลอัพเดท หลายคนเห็นว่าเราน่าจะยุติการพิมพ์หนังสือเราคิดอะไรได้แล้ว เพราะจะช่วยลดงานโรงพิมพ์และกระบวนการทำหนังสือลง ท่านที่ทำงานนี้มานานบางท่านก็เจ็บป่วยจะได้พักบ้าง โดยต่อไปเราก็สามารถจะพิมพ์ในคอม และส่งขึ้นทางอินเตอร์เน็ตได้เลย ซึ่งตอนนี้เราก็มีเว็บไซต์เปิดโลกบุญนิยม พวกเราก็สามารถเข้าไปชมได้ ซึ่งจะมีเรื่องราวต่างๆมากมาย ทั้งหนังสือและข้อมูลความเคลื่อนไหวมากมาย
เราก็มีการตรวจสอบพระโสดาบันในตนอยู่….คนที่ได้โสดาบันก็มี ได้สกิทาคามีก็มี ได้อนาคามีก็มี ได้อรหันต์ก็มี ถามจริงๆ ใครคิดว่าตัวเองผ่านได้โสดาบ้างแล้วหรือไม่ยกมือขึ้นซิ ….มีคนยกไม่น้อย …อาสโภ กล้าหาญดีมีไม่น้อยแต่คนที่ไม่กล้ายกก็ยังไม่แน่ใจก็ยังมี …ใครไม่กล้ายก เชื่อว่าตัวเองได้แต่ไม่กล้ายก ยกมือ …หลายคน ไม่ถึง 10 คน
(เรื่องงานพิมพ์หนังสือเราคิดอะไร)จริงๆแล้วกองอำนวยการอยากจะหยุดแล้ว แต่ว่าคนอ่านไม่อยากหยุด มีคนเห็นใจคนทำน้อยเดียว คนอ่านไม่ยอมหยุด
_ญาติธรรมท่านหนึ่งอยากให้พ่อครูเทศน์เรื่อง อานิสงส์ของคนที่ให้คู่ครองไปบวช
อานิสงส์ของคนที่ยอมให้คู่ครองไปบวช จะใจเต็มหรือใจไม่เต็มก็ตาม แต่ยอมให้ไปบวช ถ้ายิ่งใจเต็มให้ไปบวชมันก็ยิ่งดีใช่ไหม ถ้าแม้ว่าใจไม่เต็มแต่เอาเถอะไปบวชก็ยอม อย่างนี้นะ
พูดถึงเรื่องนี้ต้องพูดถึงตัวเองบ้างอาตมา ก่อนจะมาบวช ก่อนจะมาทำให้เต็มตัว ขออนุญาตแฟนเลย ก็บอกว่า พี่จะมาทางนี้แล้วนะ เขาก็ไม่ขัดข้องเลย อาตมาก็ประพฤติปฏิบัติ ก็เลยตกลงกัน ดังนั้นก็เอาไดอารี่มาเขียน เดือนนี้พบกันอาทิตย์ละกี่วัน ต่อมาก็พบกันนานขึ้นอีก ห่างกันไป ปักษ์หนึ่ง เดือนหนึ่งพบกันกี่วัน เสร็จแล้วก็ประพฤติ เสร็จแล้วก็ไม่ถึงเดือนละกี่วันหรอก อาทิตย์หนึ่งไม่กี่วัน ตามที่ตกลง แล้วก็ค่อยพบกันน้อยลง เขาก็บอก ตามสบายเลย หากเขาอยากพบเมื่อไหร่ก็จะมาหา จากวันนั้นก็ไม่ได้กำหนดเลยก็ค่อยห่างไปๆ เป็นเวลา 6 ปี อาตมาก็ออกมาทางนี้มาบวช เขาก็รออยู่ถึง 6 ปีไม่ไปมีแฟน เดี๋ยวนี้เขาไปอยู่อังกฤษ มีลูกคนนึง ลูกก็แต่งงานกับฝรั่งไป
ผู้ที่มีอานิสงส์ หรืออานิสงส์ที่ได้จากการยอมให้คู่ครองมาบวช อาตมาว่าเป็นเรื่องของโลกุตระเป็นอานิสงส์สูงมาก การมาบวชก็แสดงว่า เป็นผู้ชายจะให้มาบวช เราก็มีบวชสิกขมาตุเป็นผู้หญิง แต่ที่อื่นเขาไม่มีโดยทั่วไปก็มีแต่ผู้ชาย ก็แสดงถึงการยอมปล่อยวาง โลกีย์ก็มีคู่ ปล่อยวางคู่ให้ไปประพฤติพรหมจรรย์ ก็แสดงถึงว่าจิตจะต้องมีจิตใจดี จิตใจดีเป็นกุศลแน่นอน ถึงขั้นเป็นโลกุตระก็ที่สุด ยิ่งเข้าใจเห็นว่าโลกุตระหมายถึงอะไร
โลกุตระหมายถึงลดความเป็นตัวตน ความเป็นของตัวของตน ลดจริงๆ จิตใจยึดถือเป็นของตัวของตนเป็นของฉันไม่ให้ใครเลยไม่ยอม นั่นคือตัวตน การลดตัวตน เป็นโลกุตระ ถ้าการจำยอม ข่มใจก็เป็นแบบสมถะ ถ้าแบบมีปัญญารู้ว่าไปเถอะด้วยความรู้ความเข้าใจ ความกดข่มจะน้อยลง หรือมีปัญญารู้ว่าไปแล้วก็ดีแล้ว ไม่มีการหวงแหนไม่มีการหน่วงเหนี่ยวเลยอานิสงส์ก็จะสูง จริง ตามที่จิตของเรามีคุณภาพคุณธรรมตามที่อธิบายตามระดับให้ฟังนี้ บอกไม่ได้ว่าอานิสงส์กี่เปอร์เซ็นต์ แต่มีมากมีน้อยตามลำดับนี้ นี่เป็นความรู้ของอาตมาที่เข้าใจกุศลอกุศล แม้แต่ในระดับโลกุตระก็มีกุศลโลกุตระ มีคำว่าบุญนั่นแหละที่เป็นโลกุตระ ถ่ายเดียว หากยังไม่ฆ่ากิเลสไม่เรียกว่าบุญ ทำให้กิเลสลดลงน้อยลงไม่ขาดลงไปก็เรียกว่าส่วนแห่งบุญทีละส่วน
คำว่าได้ส่วนบุญไม่ได้หมายความว่าได้ไป คำว่าได้ส่วนบุญหมายความว่าเสียไป เสียไปจริงๆ ได้บุญครบก็คือ หมดไม่ได้อะไรเหลือเลยไม่มีอะไรค้างเลยไม่มีสมบัติ ไม่มีอะไรตามมาจากการใช้พลังงานบุญหรือ ประกอบพลังงานบุญให้เป็นไฟฌาน สลายไฟราคะโทสะโมหะ เช่น สลายไฟราคะตัวนี้ หมดเกลี้ยงไม่เหลืออนุสัยเลย คุณก็หมดบุญหมดบาปหมดอนุสัยเป็น ปุญญปาปปริกขีโณ
เพียงแต่ความเข้าใจในเรื่องบุญไม่ถูกต้องสมบูรณ์ในนิยามของมัน เข้าใจว่าบุญเป็นสมบัติเข้าใจว่าทำบุญได้ผลแล้ว เราก็จะมีสมบัติที่เป็นกุศลขึ้นมา รองรับตัวเราอีกไม่มี มีแต่ความสบายมีแต่ความว่าง มีแต่ความสูญ จิตไม่มีกิเลสกวนเลยคืออาการนิพพาน อาการว่างจากกิเลสตลอดกาลคือนิพพาน พระอรหันต์มีนิพพานตลอดเวลา จิตท่านบางจากกิเลสตลอดเวลา ไม่มีกิเลสเลยคือพระอรหันต์ เวลาใดก็ไม่มีกิเลสเข้าเลยนั่นคือสภาพของความเป็นนิพพาน เป็นจิตว่าง จิตว่างจากกิเลส แจ่มใส จิตใจยิ่งมีปัญญาเต็ม ยิ่งเป็นคนมีสติเต็มสัมปชัญญะเต็ม สัมปชานะเต็ม นั่นคือจิตว่าง
ไม่ใช่จิตไม่มีอะไร แล้วเข้าใจผิดว่าจิตว่างคือไม่ได้พูดอะไรเลย ถ้าดับไปเลยเรียกว่านิโรธ เป็นภาษาไวพจน์ของนิพพาน แปลว่าดับนิโรธแปลว่าดับ อะไรดับ ก็กิเลสดับ เฉพาะกิเลสดับ แต่จิตใจยิ่งดียิ่งแจ่มใสนะ นิโรธไม่ใช่ดับปี๋ ไม่รู้ ธาตุรู้หายไปหมด ดับเวทนาดับสัญญา เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธไม่รับรู้อะไรเลย อันนั้นมันเป็นอสัญญีสัตว์ คือ ไม่มีแม้แต่สัญญาจะไปรับรู้ด้วยอะไรเลย เวทนาก็ไม่รู้เพราะตัวกำหนดรู้อยู่กับสัญญา สัญญีแปลว่าผู้มีสัญญา คนนี้ดับสัญญาไม่มีการกำหนดรู้เลย เวทนาก็ไม่รู้ สังขารก็ไม่รู้ วิญญาณก็ไม่รู้ ธาตุรู้ไม่มีอะไรเลยเหมือนคนถูกวางยาสลบ ไม่รู้ตัวเลยในภายนอก แต่จิตใจฟุ้งซ่านภายในก็อีกเรื่องหนึ่ง ไม่รับรู้แล้วร่างกาย ทิ้งความรับรู้ภายนอกหมด อสัญญีเป็นอย่างนั้น
นอกจากผู้ที่จะฝึกสมถะ อสัญญีทั้งภายนอกและภายในดับ ความไม่รับรู้ทั้งทวารทั้ง 5 ภายนอก เป็นพรหมลูกฟัก นิ่งหมด ภายในก็ไม่ปรุงแต่งฝึกที่เป็นอสัญญีสัตว์ที่สมบูรณ์แบบเรียกว่าพรหมลูกฟัก ตัวจะแข็ง เพราะว่าร่างกายไม่รับรู้จิตที่พอมีพลังงานเบาจะไปขับเคลื่อนกล้ามเนื้อก็ไม่มีเลย ตกอยู่ในสภาพนั้น หากพลิกตัว ล้มลงไปขาก็แข็งอยู่อย่างนั้น แต่อาตมาไม่เคยฝึกไปได้ถึงขนาดตัวแข็งยังงั้น ดับความรู้สึกไม่รับรู้ได้ขนาดนั้น แต่ขนาดแข็งเป็นพรหมลูกฟัก อาตมาก็ไม่เคยทำได้ขนาดนั้น แต่ทำอยู่เยอะ อยู่มาก อยู่นาน ทำไม่รู้กี่ปี แต่ก่อนนี้ ตอนเข้าใจใหม่ๆ เรียนรู้ธรรมะก็นึกว่าเป็นอย่างที่เขาพาเป็น สงบก็จะต้องหนีไม่ยุ่งเกี่ยว จะต้องเป็นนั่งให้จิตดับจิตสงบเข้าใจสามัญง่ายๆอย่างนี้ เรียกว่าความเป็นสมาธิหรือความเป็นสมถะ เจโตสมาธิเขาหมายถึงอย่างนี้ ความรู้ทั่วไปของสมาธิศาสนาพุทธเป็นแบบนี้
ซึ่งไม่มี
สมาธิของพุทธนั้นดับเฉพาะกิเลส ยิ่งมีนิโรธ ยิ่งมีกิเลสดับ เป็นนิพพานจิตประภัสสรยิ่งสว่างไสวยิ่งตื่นยิ่งรับรู้ได้เร็ว เป็นมุทุภูตธาตุ เร็วไว แววไว จิตใจปรับเปลี่ยนให้เป็นอย่างนี้อย่างนั้นได้ง่ายเป็นอมตะบุคคล เป็นบุคคลที่จะให้จิตใจเป็นอย่างไรตามบารมี จะให้เกิดหรือให้ดับเป็นต้น จิตใจสามารถทำอย่างนั้นสั่งการอย่างนั้นได้ นี่เป็นความรู้ของศาสนาพุทธ ของพระพุทธเจ้าซึ่งรู้จิตเจตสิกต่างๆอย่างแท้จริง
จิตที่ทำได้อย่างคล่องแคล่วอย่างมีสติตื่นเต็มๆ อย่างนี้แหละเรียกว่าเป็นสมาธิ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาไม่รู้เรื่อง สมาธิของพระพุทธเจ้าจึงไม่เข้าไม่ออก ไม่มีการเข้าสมาธิออกสมาธิ มีแต่การปฏิบัติจิตให้ลดละไป ฐานนิพพานคืออุเบกขา
อุเบกขามีคุณสมบัติ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
นี่เป็นจิตตื่นทั้งนั้นเลย เป็นอุเบกขา เป็นฌานที่ 4 เป็นอุเบกขาเจตสิก เป็นฐานของฌานที่ 4 ลืมตาสมาธิของพระพุทธเจ้านี้ยิ่งบริสุทธิ์ ปริสุทธา ปริโยทาตา จะสัมผัสอะไรอยู่ก็บริบูรณ์บริสุทธิ์อย่างนั้นอยู่ตลอด ปริโยาทาตา มีจิตมุทุภูตธาตุ คล่องแคล่วว่องไวรวดเร็ว มีทั้งเจโตและปัญญา มีความรู้สูงทำได้ดีเปลี่ยนแปลงได้ดีปรับ เปลี่ยนแปลงอนุโลมปฏิโลมกับอะไรต่ออะไรที่เราทำงานกับสังคม ก็เป็นความสามารถของ มุทุภูตธาตุ เพราะฉะนั้นจึงร่วมกับมนุษย์สังคมโลกที่มีผู้อยู่รวมกันร่วมกัน มีสัปปุริสธรรม 7 อนุโลมปฏิโลมกับเขาได้อยู่อย่างสบาย กัมมัญญตา ทำกรรมการงานที่เหมาะสมเหมาะควรทุกอย่าง รวมแล้วจิตก็จะประภัสสรอยู่ตลอดเวลา ผ่องใสผ่องแผ้วตลอดเวลา นั่นคือสมาธิหรือฌาน หรือเป็นนิโรธ
นิโรธก็ไม่ได้แปลว่าดับอย่างเดียว นิโรธเป็นการผ่องใสสว่างรับรู้เต็ม ทุกวันนี้ศาสนาพุทธเข้าใจคำว่าสมาธิของพระพุทธเจ้าไม่ได้ แม้แต่คำว่านิโรธก็เข้าใจผิด แต่เข้าใจว่าเป็นการดับอย่างไม่มีสัญญาเป็นอสัญญีสัตว์ ที่จริงคำว่าอสัญญีสัตว์ไม่ได้แปลว่าไม่มีสัญญาเหมือนกับคำว่า คล้ายคำว่า ถ้าปุญญาภิสังขาร มันเป็นอภิสังขาร เป็นการปรุงแต่งชั้นโลกุตระ อภิสังขาร 3 เป็นโลกุตระ ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร
อภิสังขาร คือการปรุงแต่งอย่างโลกุตระ ปุญญาภิสังขารคือการฆ่ากิเลสได้ ทำใจในใจให้มีมนสิการ โยนิโสมนสิการ ทำใจในใจกำจัดกิเลสได้เรียกว่าเป็นปุญญาภิสังขาร ที่อยู่ในภาค เสขบุคคล ได้ส่วนบุญไปเรื่อยๆ หมดอนุสัยคือหมดบุญหมดบาป เป็นอปุญญาภิสังขาร ไม่มีบุญแล้ว บาปก็ไม่มี จึงไม่ได้หมายความว่า อุปญญาภิสังขาร คือคนไม่เป็นบุญเลยก็เป็นบาป ตีความวน โลกีย์วน แต่โลกุตระไม่วนกลับ ได้แล้วได้เลย กิเลสขาดเป็นสมุจเฉทก็ได้ไปเรื่อยๆ สั่งสมความสงบรำงับไปเรื่อยๆ เป็นปฏินิสสัคคะไปเรื่อย เจริญรุดหน้าไปเรื่อย
หากเข้าใจโลกียะโลกุตระที่หยุดวนไม่ได้ก็กลับไปกลับมา เป็นโลกียะเป็นการปรุงแต่งอย่างเป็นบาป ผู้ที่ยังเข้าใจความเป็นจริงสภาวะละเอียดลึกซึ้งพวกนี้ไม่ออกก็จะเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นความถูกต้องแล้ว ปุญญาภิสังขาร ยังเป็นเสขบุคคลชำระกิเลสไปตามลำดับถึงขั้น อปุญญาภิสังขารก็เป็นอเสขบุคคล ไม่มีบุญไม่มีบาปบุญหมดเกลี้ยง พระอรหันต์เป็นคนไม่มีบุญ เป็นคนหมดบุญ เป็นคนไม่มีบุญ บาปก็ไม่มี จึงสัพพปาปัสสอกรณัง
หากยังเหลือกรรมกิริยาอยู่ก็มีแต่กุศล กุสลัสสูปสัมปทา เพราะว่ามีสจิตตปริโยทปนัง เพราะท่านไม่ต้องชำระกิเลสอีก ท่านได้สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ คือชำระกิเลสในสันดานจนหมดเกลี้ยงหมดแล้วสนิท
อานิสงส์ในการครองคู่แล้วปล่อยให้คู่ครองไปประพฤติพรหมจรรย์ ผู้ที่เป็นคู่ครองไปประพฤติพรหมจรรย์แล้วยิ่งเป็นอรหันต์ ก็อนุโมทนาสาธุด้วย ก็ยิ่งดี เป็นอานิสงส์สูงสุด นี่คือ เรื่องของอานิสงส์ ของการให้คู่ครองไปบวช ไม่ต้องพูดถึงคู่ครองไปเป็นโพธิสัตว์เป็นพระพุทธเจ้าก็ยิ่งสูงสุด อย่างเช่นอาตมา คู่ครองให้ไปบวชอานิสงส์ก็ต้องสูง ยกตัวอย่างตัวตนเลย
_มีผู้ที่ค้นตำราจากพระไตรปิฎกว่าด้วยสัญญาเวทยิตนิโรธ พระไตรปิฎกเล่ม 17 ข้อ
[508] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น เป็นเวลาเช้า ท่านพระสารีบุตรนุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวร เข้าไปสู่พระนครสาวัตถีเพื่อบิณฑบาต ครั้นเที่ยวบิณฑบาตในพระนครสาวัตถีแล้วกลับจากบิณฑบาตภายหลังภัต เข้าไปยังป่าอันธวัน เพื่อพักกลางวัน ถึงป่าอันธวันแล้ว นั่งพักกลางวัน ณ โคนไม้แห่งหนึ่ง. ครั้งนั้นเป็นเวลาเย็น ท่านพระสารีบุตรออกจากที่พักผ่อนแล้วเข้าไปยังพระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี. ท่านพระอานนท์ได้เห็นท่านพระสารีบุตรว่า อาวุโสสารีบุตร อินทรีย์ของท่านผ่องใสนัก สีหน้าของท่านหมดจด ผ่องใส วันนี้ท่านพระสารีบุตรอยู่ด้วยวิหารธรรมอะไร?
ท่านพระสารีบุตรตอบว่า อาวุโส ดังเราจะบอก เราสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมเข้าปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่. อาวุโส เรานั้นไม่ได้คิดอย่างนี้ว่า เราเข้าปฐมฌานอยู่ หรือว่าเข้าปฐมฌานแล้ว หรือว่าออกจากปฐมฌานแล้ว.
แท้จริง ท่านพระสารีบุตรถอนทิฏฐิคืออหังการ ตัณหาคือมมังการ และอนุสัยคือมานะออกได้นานแล้ว ฉะนั้น ท่านพระสารีบุตรจึงไม่คิดอย่างนี้ว่า เราเข้าปฐมฌานอยู่ หรือว่าเข้าปฐมฌานแล้ว หรือว่าออกจากปฐมฌานแล้ว.
พระอานนท์เป็นสายเจโตใช้ภาษาก็เป็นภาษาแบบฤาษีเทวนิยมอยู่
วันนี้เป็นวันที่ 9 มิถุนายนแรม 11 ค่ำเดือน 7 วันเสาร์ วันนี้เป็นวันบูชาพระบรมสารีริกธาตุตอนเย็น 6 โมงเย็น
ทำวัตรเช้านี้ก็เลยอธิบายสัญญาเวทยิตนิโรธก็แล้วกัน ผู้ที่ไม่ค่อยจะมีพื้นฐานนักก็หากระไดมา ปีนกระไดฟังหน่อย ขออภัย
สัญญาแปลว่าการกำหนด เป็นเจตสิกของเรา ทุกคนก็ฝึก ศาสนาพุทธฝึก จิตของเราส่วนของจิตของเรานี้ทำงานอย่างนี้ ต้องฝึก ถ้าไม่ฝึกสัญญาไม่เก่งสัญญาต้องทำงาน มันจะกำหนดรู้อันนี้แตงโม อันนี้กล้วย อันนี้เป็นมะระ สัญญาทำงานทั้งนั้น เจออะไรสัญญากำหนดรู้ทันที เพราะฉะนั้นสัญญากำหนดรู้นี้ มันเป็นตัวทำงานที่จะให้เราได้เรียนรู้ ในฐานนามธรรม
นามธรรมเป็นการฝึกปรือ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ดูเหมือนจะข้อ 7 ท่านตรัสถึงรูปธรรมนามธรรม
รูปธรรมคือมหาภูตรูป 4 แล้วก็มีนามธรรมอีก 5
มีมหาภูตรุป 4 อุปาทายรูปอีก 24 ปฏิบัติธรรมนั้นลืมตาปฏิบัติ แต่ที่เข้าใจกันผิดไปทั่วคือ ไปหลับตาปฏิบัติ หากถึงขั้นสัญญาเวทยิตนิโรธ ก็ต้องไปนั่งหลับตาสะกดจิตเข้าภวังค์ ซึ่งผิดไปคนละฟากฝั่งเลย คนละฟากฟ้าหนึ่ง ไม่ใช่ที่เป็นอย่างที่คิดอย่างที่เข้าใจ
ต่อมา การใช้สัญญานั้น พระสารีบุตรบอกว่า ท่านพระสารีบุตรตอบว่า อาวุโส ดังเราจะบอก เราสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมเข้าปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่. อาวุโส เรานั้นไม่ได้คิดอย่างนี้ว่า เราเข้าปฐมฌานอยู่ หรือว่าเข้าปฐมฌานแล้ว หรือว่าออกจากปฐมฌานแล้ว.
แท้จริง ท่านพระสารีบุตรถอนทิฏฐิคืออหังการ ตัณหาคือมมังการ และอนุสัยคือมานะออกได้นานแล้ว ฉะนั้น ท่านพระสารีบุตรจึงไม่คิดอย่างนี้ว่า เราเข้าปฐมฌานอยู่ หรือว่าเข้าปฐมฌานแล้ว หรือว่าออกจากปฐมฌานแล้ว.
ของศาสนาพุทธไม่มีเข้าไม่มีออกฌาน ทำนิโรธทำดับได้ โดยไม่ต้องเข้าต้องออก สามารถฝึก ชำระกิเลสดับกิเลสได้โดยที่กิเลสมันดับได้ แวบหนึ่ง สองแวบ ดับได้นานขึ้น มีทั้ง ขุททกะ ขณิกะ สภาพทำได้เป็นตัวๆ ทำได้เป็นกำหนดเวลาได้เร็วขึ้นและนานขึ้นด้วย ทำได้แข็งแรง ทำได้ละเอียดทำได้ครบทำได้มาก ทำอะไร ทำลายตัวกิเลสไง ก็เป็น คุณสมบัติของการประพฤติปฏิบัติธรรม ที่เราสามารถปฏิบัติได้ดีขึ้นเจริญขึ้น
ท่านไปขยายความไปเป็นฌาน ฌานก็ไม่ได้หลับตา ฌานต้องปฏิบัติลืมตาคือศาสนาพุทธ อย่างพวกชาวอโศก อาตมาพาให้ปฏิบัติฌานสมาธิจนเกิดนิโรธ ก็ลืมตาทั้งนั้น
ฌานคือ เป็นพลังอุณหธาตุ สร้างพลังงานหนึ่งขึ้นมาในจิตและมันก็เผา ฌาปน แปลว่าเผา ฌาปนกิจ คือกิจการงานเผา เผาศพ ฌาปนะ ฌานะ แปลว่าไฟ แปลว่าเพลิง อุณหธาตุที่ไปทำลาย พลังงานไฟราคะโทสะโมหะ
เมื่อทำฌานก็เอาสัญญากำหนดรู้ความรู้สึกของเรา ในขณะกระทบสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อกระทบเสร็จเวทนาเกิด องค์ประชุมของรูปนามคือการเรียนรู้ เราเป็นเจ้าของจิต จิตของเราก็มี ปสาทรูป โคจรรูป ปสาทรูปก็คือประสาท มีประสาทตา หู จมูก ลิ้น กาย มันทำงาน โคจระ คือมันทำงานแล้วไม่อยู่เฉยๆแล้ว บางทีเรากระทบแต่ไม่โคจระไม่รู้เรื่อง เฉยๆ จิตมันไปคิดอะไรโน่น แสงกระทบ retina แต่ประสาทมันมีไม่ได้เสีย แต่โคจระไม่ทำงาน อาการจิตที่จะทำงานร่วมรับรู้รับคิด ตากระทบแสง แสงเข้าประสาทตาแล้ว แต่ความคิดไปอยู่กับอะไรก็แล้วแต่ คนเดินผ่านไปมาก็ไม่เห็น ของอยู่ข้างหน้าก็ไม่เห็น นี่คือสัมผัส ยิ่งไม่สัมผัสแม้มีปสาทรูป โคจรรูปก็ไม่รู้เลย ก็มีแค่คิดอยู่ในสัญญา ซึ่งไม่เป็นทิฏฐะ ไม่เป็นปัจจุบันไม่เป็นปัญญา ทิฏฐิ ปัญญาต้องมีปัจจุบัน มีภายในภายนอกร่วมรับรู้ สัญญากับปัญญาต่างกัน
ปัญญาจะต้องรู้ภายนอกภายในครบ จึงจะเรียกว่าปัญญา เพราะฉะนั้นคนที่เข้าใจความหมายละเอียดพวกนี้ไม่ได้ปฏิบัติ ธรรมะไม่ได้ เช่น ไปนั่งหลับตาสะกดจิตแล้วทำฌานทำสมาธิหลับตา แล้วทำจิตให้ว่างอุเบกขาอยู่ในภพ โดยไม่ลืมตาไม่รับรู้ทวารภายนอกเลย รู้แต่ในจิตข้างใน เสร็จแล้วจิตก็ดับเป็นอุเบกขาแบบสมถะ ดับเป็นอุเบกขาสมถะ เคหสิตอุเบกขาเวทนาได้แล้ว
เสร็จแล้วนิ่งเขาก็บอกว่านิ่งแล้วเสร็จแล้วเดี๋ยวปัญญาจะเกิดตาม นี่คือการไม่รู้ธรรมะ อธิบายผิด ตัวที่จะเกิดตามหลังจากการนั่งหลับตาสนิทได้ มีแต่สัญญาเท่านั้นไม่มีปัญญาเกิดเลย เพราะปัญญาต้องมีภายนอก แต่อานาปานสติหลับตาแล้วก็ไม่รับรู้ภายนอก เหลือแต่ลมหายใจเข้าออก ท่านเรียกว่ากาย ถ้าคุณไม่รับรู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออกคุณอยู่ในภพภายในหมดเลย คุณก็ไม่มีกาย เมื่อปฏิบัติธรรมไม่มีส่วนกายไม่มีธรรมะ 2 ไม่ใช่ของศาสนาพุทธเลย ออกนอกรีตนอกทางไป ฉะนั้นปัญญาไม่มี มันวนอยู่ในสัญญา ก็จะมีแต่ทิฏฐิ 62 ทําในพรหมชาลสูตร นั่งหลับตาสมาธิไม่มีอะไรเจริญเท่ากับอยู่ในกะลาครอบ ไม่ออกไปจากกะลาเลย ไม่มีอาโลกะ ไม่มีแสงสว่างเลย ไม่มี อาโลกสัญญาเลย ฝันอยู่คนเดียว อยู่ในสิ่งที่คุณมีคือคลังสัญญาคือความคิดความฉลาดภูมิธรรมเท่าที่มี คนก็เอาภูมิธรรมเท่าที่มีรับรู้ได้ไม่ครบง่ายๆหรอก อย่างเช่นพระพุทธเจ้าท่านดึงสัญญาเก่าได้ครบ ท่านก็เคยทำมาเดิมตั้งแต่เก่าสำเร็จครบสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว เมื่อมาประสูติอุบัติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ถึงวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ท่านก็นั่งระลึกถึงภูมิ ที่เป็นสัมมาสัมโพธิญาณของท่านขึ้นมา เหมือนกับคุณเองคุณมีสมบัติอยู่ในเซฟ คุณก็เปิดเซฟ ออกมาเอาสมบัติออกมา แต่ถ้าในเซฟของคุณไม่มีสมบัติของคุณในนั้นเปิดเซฟออกมา มันก็ไม่มีอะไรข้างใน บ่จี๊ ทรัพย์สินเงินทองคุณก็ไม่มี
นิโรธของโลกุตระนั้น หาก ไม่มีภูมิธรรมที่เป็นโลกุตรธรรม คุณก็วนอยู่ในโลกียธรรม เพราะฉะนั้นการนั่งปฏิบัติธรรมหลับตา นิโรธจะเก่งให้ตายอย่างไร นั่งมาตายมาเยอะแล้ว แล้วก็บอกว่านั่งหลับตาบรรลุเป็นอรหันต์กัน เป็นอรหันต์เก๊ทั้งนั้น สายหลับตา นั่งแล้วบอกว่าบรรลุธรรมด้วยการหลับตา อรหันต์เก๊ทั้งนั้น เพราะปฏิบัติธรรมไม่ได้เข้าทางพระพุทธเจ้าเลย ไปนั่งหลับตาเข้าฌานได้แล้ว จึงค่อยยกจิตเข้าสู่วิปัสสนา มันเป็นคนละสิ่งคนละอย่างคนละเรื่อง เป็นการเข้าใจผิด
ในพระไตรปิฎกเล่ม ที่บอกว่ารูป 28 นาม 5 ตามปฏิจจสมุปบาท พอถึงข้อ 14 ก็จำแนก รูป 28 นาม 5
การปฏิบัติธรรมต้องปฏิบัติที่ที่รูป 28 นาม 5
นาม 5 มี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ การปฏิบัติธรรมต้องทำใจในใจให้โยนิโส ให้ถ่องแท้ให้ละเอียดลออให้แยบคาย ให้ลงไปถึงที่เกิด โยนิโส แปลว่าอย่างนั้น ให้ลงไปถึงที่เกิดที่ฐานจิตที่เกิดที่ตั้งของจิต กิเลสก็จะตั้งอยู่ตรงนี้แหละ คุณจับอาการของจิตได้ว่าจิตของเราคืออันนี้ คุณก็รู้ หทยรูป มันเป็นนามธรรม
แปลตามพระอภิธรรมเขาเรียนกันว่า หทยรูป อยู่ที่หัวใจ ห้องที่ 4 มีน้ำหล่อเลี้ยงสีน้ำเงินอยู่ อธิบายกันอย่างเป็นรูปธรรม เป็นรูปวิมานเลยทั้งๆที่มันไม่มีรูป เป็นนามธรรม แต่เขาก็ว่ากันไป
เพราะฉะนั้น ผู้ที่สามารถอ่านจิตตัวเองได้ รู้จิตตัวเองเป็น นี่แหละคือนามธรรม อยู่ในกายยาววา หนาคืบ กว้างศอก คือคูหาสยังของใครของมัน เสร็จแล้วคุณเข้าใจแล้วก็ทำ การทำใจต้องมีสติสัมโพชฌงค์ตื่นเต็ม มีสติตื่นเต็มๆทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สัมผัสนอกสัมผัสในรู้พร้อมหมด มีสติสัมโพชฌงค์แล้วก็วิจัย กาย รูปนามเลย จากกายก็เป็นเวทนา วิจัยเวทนา ในเวทนาจะมีตัวจิต เข้ามาเป็นตัวการเรียกอกุศลจิต เข้ามาเป็นเหตุปรุงแต่งจิต อันเกิดกิเลส เป็นเวทนาสุขทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ ตัวเหตุ ทำให้สุขทุกข์คือตัวตัณหาหรืออุปาทาน
พยัญชนะก็บอกว่าตัณหาคือตัวเคลื่อนไหว อุปาทานคือแกนของจิต เป็นกิเลสตัวเดียวกัน กามุปาทานคือตัณหาถ้ามันเคลื่อนไหวเป็น Dynamic ก็เป็นตัณหา ถ้ามันนิ่งอยู่ก็เป็น กามุปาทาน หากเคลื่อนไหวก็เป็นตัณหา ก็อ่านตัวกามนี้ให้ได้ มันมีตัวกามอยู่ก็ฆ่ามัน
ถ้ามันเคลื่อนไหวแล้วก็รู้ได้ดี ถ้าหากมันนิ่งอยู่ก็ตีไม่แตกรู้ได้ยาก จึงปฏิบัติชนิดที่ไม่มีผัสสะไม่มีอาการเคลื่อนไหว มันจะทำลายกิเลสได้ยาก ทำลายกิเลสไม่ออก ทำอย่างไรไม่ถูกตัวมันด้วย ดีไม่ดีมันทำตัวหายตัวไปเลยไม่มีตัวตนเลย ทำเป็นตัวไม่มีตัว ท่านเรียกว่าแปลงกายนิรมาณกาย เสร็จแล้วก็อาทิสมานกาย เป็นกายที่มองไม่เห็น
นิรมาณกายคือกายที่ทำเอง ทำให้มันไม่เห็นจิต เป็นองค์ประกอบ นิรมาณกาย แล้วก็เป็นอทิสมานกาย เป็นกายที่มองไม่เห็นไม่รู้จะทำอย่างไรกับนามธรรมจิตของตัวเองที่มองไม่เห็นที่ทำให้มองไม่เห็นเองก็เลยโง่ เสร็จแล้วโง่ด้วยกันก็เลยเป็น สัมโภคกาย เลยไปนั่งทำจิตแบบนั้น เสพติดแบบนั้นบนโลกร่วมกัน ไปทำแบบนั้นกัน พวกนี้พวกกายนอกรีตทั้งนั้นเลย นิรมาณกาย อทิสมานกายสัมโภคกาย มันไม่ใช่นามกาย นั่นแหละคือพวกธรรมกาย สำนักธรรมกายนี่แหละทำการวิปริต 3 นี้ทั้งนั้น
ทั้ง นิรมาณกายเป็นเทวดาเฟส 2 เฟส 3 เฟส 4 มีวิมานอยู่นั่นอยู่นี้ ฤาษีลิงดำ 9 วิมานชั้น 5 วิมานชั้น 6 วิมานชั้น 7 ฤาษีลิงดํา สายนั่งแล้วปั้นวิมานธรรมเจโต มันเป็นการยึดติดคนละทางกัน แต่มันออกนอกทางน่าสงสาร ขออภัยยกตัวอย่างธรรมกายหรือฤาษีลิงดำก็ดี สายฤาษีลิงดำสายอาจารย์มั่น มีพวกนี้ผสมกัน
ฤาษีลิงดำนั้นเด่นไปทางวิมาน ทางธรรมกายก็วิมานมหาวิมาน เป็นพวกนิรมาณกาย แต่กลับอีกที อาทิสมานกายนั้นไม่เห็น แต่ดันไปเห็นอีก ฤาษีลิงดำก็เช่นกันแต่เห็นแบบสุภกิณหา แต่ทางด้านธรรมกายเห็นอย่างอาภัสรา เปลี่ยนรูปพรหม 2 สาย วิมานพรหม เป็นพรหมนอกรีต
พระพรหมคือลักษณะสะอาดจากกิเลส มันไม่มีรูปร่างตัวตน ไม่มีสีสันเส้นแสงอะไร รู้ด้วยอาการของกิเลส แล้วทำให้กิเลสออกไปหมดให้จิตใจสะอาดเกลี้ยงได้เลย พรหมที่เป็นแสงสีรูปร่างตัวตนเส้นแสงสีสาย เลยเกิดเป็นลมแสงสว่างมีรัศมี พรหมปาริสัชชาพรหม มหาพรหม
1 รูปพรหม
1.1 ชั้นที่ 1 พรหมปาริสัชชาภูมิ เป็นลูกน้องของมหาพรหม
1.2 ชั้นที่ 2 พรหมปุโรหิตาภูมิ
1.3 ชั้นที่ 3 มหาพรหมาภูมิ
สามเส้านี้ ของพรหม เขาอธิบายกันเป็นรูปร่างตัวตนเป็นชั้นอะไรไป พวกนี้นอกรีตทั้งนั้น เขาเรียก ปฐมฌาน ฌาน นั้นที่มีรูปร่างตัวตนผิด แต่หากอธิบายลักษณะนามธรรมก็ดีไป แต่เข้าใจไม่ได้ก็เป็นรูปธรรม เป็นรัศมีแสงสว่าง ความมืด มาอธิบายความเป็นพรหม เอาแสงมาอธิบาย
1.4 ชั้นที่ 4 ปริตรตาภาภูมิ เป็นแสงสภาพจิตที่นั่งเห็นแสง คุณหลับตาปั๊บ มันไม่มีแสงอะไรหรอก มันก็จะเห็นแต่ความมืด แต่คนที่ปิดตาลงแล้ว มีแสงสี แวบ สีม่วงสีแดง อะไรอุปาทานทั้งนั้น คนไม่มีอุปาทานอะไร ปิดตาแล้วก็มีแต่มืดแต่มืด หากมีแวบก็เป็นเศษอุปาทานหากยิ่งเข้าใจผิดว่านั่งหลับตาแล้วจะเกิดเห็นแสงสีใส แดงเขียวอะไรมันยังไม่ใสก็เพ่งให้มันใส ยิ่งใสยิ่งอาภัสรา หรือสายมืด ทำให้ดับดำมืดได้เป็นสุภะก็เป็นสายสุภกิณหา ก็มีแค่สองสาย
ความเป็นพุทธไม่ได้มีแสงไม่มีสีไม่มีมืดไม่มีสว่าง มีแต่กิเลสกับกิเลสลดลงไป จางคลายลงไปมีแต่ประภัสสร มีแต่เจริญ มีแต่สะอาด มีแต่รู้อย่างเต็ม กิเลสหมดไปได้เรื่อยๆ
การอธิบายเทวดา 6 ชั้นพรหม 16 ชั้น อรูปพรหมอีก 4 ชั้น เขาก็ไปอธิบาย หากอธิบายเข้าหาสาระธรรมก็ได้ แต่ไปอธิบายเป็นความแสงสว่างความเป็นความมืดความเป็นภพ เป็นการปฏิบัติไม่ตรงกับธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นมิจฉาทิฎฐิเป็นสิ่งที่ปั้นสร้างขึ้นในจิตเป็นตัวเป็นตน แล้วก็รวมเป็นภพ จากชาติก็เป็นภพต่อ ไม่เข้าใจความละเอียดความเป็นชาติ ไม่เข้าใจความละเอียดของความเป็นภพ จึงสัญญา (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) จึงสัญญากำหนดหมายอะไรผิดหมด
ปฏิบัติธรรมนั้นสัญญาเป็นการกำหนดรู้ในสภาพของ เวทนา สัญญา สัญญาก็ออกมาเป็นตัวทำงานกำหนดรู้เวทนา กำหนดรู้เจตนา แทนที่จะเป็นเวทนา สัญญา สังขาร ก็เป็นเวทนา สัญญา เจตนา
มโนสัญเจตนามีอยู่ 3 ชนิด
-
กามตัณหา 2. ภวตัณหา 3.วิภวตัณหา เราใช้วิภวตัณหาคือตัณหาที่จะทำให้ไม่เกิดภพ ตัณหาคือความต้องการเป็นความประสงค์ เป็นความปรารถนาที่จะให้จิตเราไม่มีภพ เป็นวิภวตัณหา
เสร็จแล้วก็เรียนจาก กามตัณหา เป็นฐานภายนอกฐานเบื้องต้น กามตัณหา 5 คือกามคุณ 5 ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย กระทบสัมผัสแล้วก็เกิดเวทนา คุณก็วิจัยเข้าไปในเวทนา แล้วก็จัดการ วิจัยเวทนา เป็นกรรมฐาน ศาสนาพุทธมีกรรมฐานเดียวคือเวทนาเป็นกรรมฐาน แต่เขาออกนอกทิศนอกทางไปตามวิสุทธิมรรค เป็นกรรมฐาน 40 อันนั้นไม่ต้องทำเลย ทำอย่างนี้แหละ จะมีสมถะจิตแข็งแรง ที่เป็นสภาพโลกุตรธรรมกว่าไปนั่งแยกทำสมถะที่ 1 วิปัสสนาที่ 1 เสร็จแล้วก็ไปปนเปกัน แล้วก็นึกเอาว่าวิปัสสนา ถ้ายังไปนั่งหลับตาสะกดจิตแล้วยกจิตสู่นิพพานนั้นเป็นการขี้โม้ สภาวะจิตมันไม่มี นั่งหลับตาให้จิตสงบแล้วยกจิตสู่วิปัสสนานั้นมันหลงเลอะเทอะไปใหญ่เลย ผู้รู้เห็นแล้วก็บอกว่า ตลกมกจ๊กหลอกเด็ก อธิบายวิปัสสนาแบบอยู่ในภพ มันยิ่งกว่าตลกมกจ๊กผสมเชิญยิ้ม
เมื่อเราอ่านจิต รู้จักสังกัปปะ 7 สังกัปปะ 7 นั้นลืมตา เมื่อลืมตาเกิดภาษาก็วิจัยมัน มีสติมีธรรมะวิจัย มีวิริยะ มันเกิดเป็นเวทนา มันเกิดเป็นอารมณ์ความรู้สึก ก็เจาะเข้าไปในเวทนา ในเวทนามันมีตัวเหตุทำให้สุขทำให้ทุกข์ สมใจก็เป็นสุขไม่สมใจก็ทุกข์ สุขกับทุกข์มันผีหลอก ผีหลอกเราจริงๆ ผีหลอกคือความสุข ผีจริงคือคุณทุกข์ ก็เพราะไปหลงสุขกัน เพราะฉะนั้นดับเหตุที่มันเป็นทุกข์เป็นอริยสัจจ์มันไม่ใช่สุข สุขมันคือผีแปลงตัวเป็นเทวดา เป็นกามเทพมาหลอกเรา
เพราะฉะนั้นเหตุที่มันจะเกิดผีหลอก ก็คือ กาม ที่มัน เป็น เทพบุตรมาร แปลงตัว เป็นเทพบุตรมาร ชะๆ เอ็งเป็นผีแท้ๆชื่อว่ากามเทพ ที่จริงเป็นเทพบุตรมาร มันเป็นมารไม่ใช่เทพ เราก็จับตัวการนี้ได้ อาการกาม แล้วลดหรือกำจัด ชําระลงไปได้ ชำระได้แข็งแรงหมดเลย เร็วๆแข็งแรง แกร่ง ถ้ามันไม่ได้ก็ค่อยๆจางคลาย เราจะเห็น พระพุทธเจ้าท่านสอนถึงความจางคลายความเป็นขั้นตอนของการดับ
-
อนิจจานุปัสสี
-
วิราคานุปัสสี
-
นิโรธานุปัสสี