570721_ความเป็นมาของมหาวิชชารามนาวาบุญนิยม (วนบ.)
๓๐ เม.ย. ๕๗ เริ่มก่อตัวสถาบันอุดมศึกษาของชาวอโศก
คุณหนึ่งฟ้า นาวาบุญนิยม ได้พาอ.ศักดิ์ …(ตำแหน่งหน้าที่อะไร?อาตมานึกไม่ออก) ซึ่งเป็นผู้ร่วมพัฒนาหลักสูตรการศึกษาระดับอุดมศึกษา ของสถาบันอาศรมศีล ได้มาพบพ่อครูที่ห้องถกเถียง พุทธสถานสันติอโศก มานำเสนอว่า ทางสถาบันอาศรมศีล มีโครงการ….(ดูเหมือนชื่อปูทะเลมหาวิชชาลัย)
เป็นการศึกษาระดับอุดมศึกษา ให้นักศึกษาได้เรียนป.ตรีแบบทางเลือก นักศึกษาสามารถพัฒนาหลักสูตรด้วยตนเองได้ โดยอ.เอนก นาคะบุตร ที่เป็นผู้จัดทำหลักสูตรนี้ ได้นำเอาหลักปฏิบัติวิถีพุทธไปทำหลักสูตร มีหลักศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชาด้วย โดยจะมีการประเมินผลการเรียนของนักศึกษาเป็นระยะ เมื่อจบแล้วโดยมีผลการเรียนผ่านตามเกณฑ์การศึกษา ทางสถาบันอาศรมศีล ก็จะรับรองให้จบปริญญาตรีได้ ถูกกฎหมายตามนิตินัย และอ.ศักดิ์ ได้เสนอให้ชุมชนชาวอโศกที่กำลังจะตั้งสถาบันอุดมศึกษาของชาวอโศก ส่งนักศึกษามาเข้าเรียนตามหลักสูตรนี้ ซึ่งชาวอโศกสามารถจัดการเรียนการสอนด้วยตัวเองได้เลย แล้วสถาบันอาศรมศีลจะออกใบรับรองปริญญาบัตรให้ ซึ่งพ่อครูก็ได้รับข้อเสนอไว้พิจารณาต่อไป ซึ่งภายหลักอ.เอนก นาคะบุตรก็ได้มากราบนมัสการพ่อครูด้วยตัวเองหลายครั้งเพื่อปรึกษาหารือเรื่องความเป็นไปได้ในการทำการศึกษาระดับอุดมศึกษาของชาวอโศก
๔ มิ.ย. ๕๗ ประกาศทิศทางการศึกษาระดับอุดมศึกษาของชาวอโศก
ในระหว่างงานอโศกรำลึก ฉลอง ๘๐ปีวิชิตชัย(๘๐ไม่มีแก่) ได้มีการจัดประชุมเรื่องการศึกษาระดับอุดมศึกษาของชาวอโศกขึ้นที่ชั้น ๒ เฮือนศูนย์สูญ และในเย็นวันที่ ๔ นี้เองพ่อครูได้เทศนาไว้ในรายการเทศน์ภาคค่ำตอนหนึ่งว่า…ก่อนจะได้อ่านจะได้ขยายความ ก็ขอแจ้งข่าวก่อนว่าวันนี้เราได้ประชุมกันที่ชั้น ๒ เฮือนศูนย์ฯเมื่อตอนบ่าย ไปเสร็จเอาบ่ายสี่โมง ประชุมด้วยเรื่องการศึกษา ระดับอุดมศึกษาของชาวอโศก เราได้พยายามขมีขันทำกันมาตั้งแต่พศ.๒๕๔๐ ตอนนี้พศ.๒๕๕๗ มากกว่า ๑๐ ปี ก็ไม่สำเร็จกัน อาตมาเริ่มทำตั้งแต่ม.วช.(มหาลัยวังชีวิต) ตอนนั้นเราก็ยังไม่พร้อมเท่าไหร่ เรายังไม่อยากเป็นนิตินัย จนดำริต่อจากม.วช ต่อมาก็เป็น สัมมาสิกขาลัยวังชีวิต(ส.สว) แต่เราไม่ได้เปลี่ยนโลโก้ ไม่ได้เปลี่ยนตราเปลี่ยนเข็ม ยังเป็น ม.วช อยู่ แต่ชื่อก็ถูกท้วง หาว่าเราจะมาตั้งสถาบันการศึกษาผิดกฎหมาย เราก็เปลี่ยนมาเป็น ส.สว. ต่อมาก็คิดว่าเราจะทำเป็นนิิตินัยเลย อาตมาตั้งเป็น ว.บบบ. วิทยาลัยบรรดาบัณฑิตบุญนิยม ทำให้เป็นธรรมะเข้ม พอดำริที่จะทำให้ส.สว.ให้เป็นนิตินัย ก็ปรึกษาหารือ หลายคนก็ไม่เห็นด้วย ว่าจะต้องตั้ง ว่าไม่พร้อมหรืออะไรก็แล้วแต่ จนกระทั่งสุดท้ายสรุป ว่ายังไงๆเราก็จะเอาให้ได้ ก็เลยมาประชุมกัน โดยที่จริงๆก็ไม่ตั้งใจเป็นกิจลักษณะ แต่คราวนี้ประชุมกันก็พร้อมกันมากเลยผู้มานั่งประชุม
สรุปว่าเราจะเร่ิมต้นเลย ได้ชื่อชัดเจนว่า สถาบันสัมมาสิกขาวิชชาราม(ส.สว) มีที่อื่นเขาตั้งเป็นสถาบันระดับอุดมศึกษาเหมือนกันเขาก็ใช้วิชชาลัยมีหลายแห่งแล้ว ไม่ได้ใช้วิทยาลัย แต่ตอนนี้ก็เปลี่ยนมาหาทางธรรมะ คำว่าวิชชานี่มาหาทางธรรมะ ตรงข้ามกับคำว่าอวิชชา เป็นวิชชาความรู้ที่มีความระดับปรมัตถธรรม ของพระพุทธเจ้า ผู้ใดมีวิชชา ผู้นั้นก็คือเป็นผู้ที่บรรลุธรรม ตั้งแต่มีวิปัสสนาญาณ ถึงอาสวักขยญาณ เราก็เลย สรุปประชุมได้ว่าตกลงจะตั้งแล้ว ก็เลยเดินเรื่อง ทางด้านที่จ ติดต่อที่จะทำเป็นนิตินัยก็ตั้งบุคคลไป ส่วนทางปฏิบัติก็เร่ิมเลยไม่ฟังเสียง จะเป็นสถาบันอุดมศึกษาของชาวอโศกเลยภาษาอังกฤษก็ใช้ Sammasikka Vijjaram Institute (SVI) อ่านแสลงสำเนียงอีสานว่า สวีสวี นี่แปลว่าไปหวั่งๆเลย ไปหายไปเลยไกลลิบเลย ก็ขอประกาศว่าเราจะเร่ิมต้นป.ตรี ผู้ใดจะมาศึกษาก็เชิญเลย ปัญญาตรี ซึ่งจะมีคณะก็คือคณะพุทธชีวศิลป์ ที่เราเคยตั้งไว้ แล้วจะไปแตกแขนงเป็นเศรษฐกิจพอเพียงหรือคณะอะไรก็ว่ากันไป แต่เราชื่อปัญญาบัติ ไม่ใช่ปริญญาบัตร เราเรียกของเรา แต่นิตินัยเขาจะเรียกปริญญาก็ว่าไป แต่ของเราจะเรียกว่าปัญญาบัตร ก็จะเร่ิมตั้งแต่ปัญญาตรี ผู้ใดสนใจจะจบม.๖ ก็สมัครได้ จบม.๓ ก็สมัครได้ ไม่ถึงม.๓ ดีนัก อ่านออกเขียนได้สามารถมีความพิเศษสามารถพอที่จะสมัครได้ก็เอา เราจะมีหลักเกณฑ์ให้ชัดเจนภายหลัง ผู้จะมาสมัคร เราเอาความเป็นได้จริงมากกว่าความรู้ทางโลก อายุเท่าไหร่ก็สมัครเรียนได้ แต่เมืองนอกนี่มหาวิทยาลัยของเขาอายุเท่าไหร่ก็เรียนได้ อายุ ๘๐ เพิ่งจบป.ตรีอาตมาก็เห็นข่าว ของเราจะตั้งหลักเกณฑ์ให้คะแนน ผู้ที่ไม่จบม.๖ จะพิจารณาพิเศษอย่างไร เราจะมาเอาความจริงที่รู้และทำได้ โดยเฉพาะเราเน้นคุณธรรม ๗๐ % และวิชาการทางโลกแค่ ๓๐ % เท่านั้น นี่ง่ายๆ ส่วนจะแบ่งเป็น ศีลเคร่ง เก่งงาน ชำนาญวิชชา ที่เป็นปรัชญาการศึกษาของเรา
ประชุมกันก็เห็นว่าชาวอโศกมีความพร้อมในการศึกษา ที่จะทำให้ทั้งเกิดความรู้และเกิดความสามารถ เกิดความชำนาญ ในความเป็นชีวิตที่สุจริตธรรม เป็นชีวิตที่มีสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ซึ่งเป็นเรื่องเลิศ เรื่องประเสริฐ เรื่องยอดแล้ว เรามีพร้อมในชาวอโศกเราได้ทำมาแล้วหลายปี ต่างคนเห็นสอดคล้อง ทั้งพวกเราเองและแม้แต่คนข้างนอกที่เขาเห็นว่าเราพร้อม มีผู้มาให้ความเข้าใจให้ความรู้เป็นตัวอย่าง เช่นแพทย์หญิงมาจากอเมริกา มารับรู้ก็ศรัทธาเข้าใจ เป็นต้น นอกนั้นก็คนในพวกเราก็เข้าใจ แม้แต่ผู้ที่ครูพักลักจำ ทำงานอยู่ข้างนอกไม่ใช่ชาวอโศกอย่างแท้จริง แต่เข้าใจอโศกนำเนื้อหาอโศกไปใช้ แม้ไม่ประกาศตัวเป็นอโศก เขาเอาไปตั้งโรงเรียน ไปตั้งวิทยาลัยด้วยซ้ำ ซึ่งก็เป็นผู้ปัญญาชนทำงานในสังคม มีทุนทางสังคมไม่น้อย อาตมาไม่ได้กล่าวชื่อ ก็ไม่ได้เป็นชาวอโศก แต่ก็เอาของชาวอโศกไปทำ อย่างที่เข้าใจและยอมรับว่าอันนี้คือความจริงของมนุษยชาติ
จนตอนนี้เราก็จะพึ่งมหาวิทยาลัยของอ.คนนี้แหละ ที่ดูแลอยู่ เพื่อที่จะสัมพันธ์ว่า พวกเราเรียนป.ตรี ๔ ปี(แต่เดิมอาตมาว่าจะเอาสัก ๕ ปีที่เคยร่างเอาไว้ว่า ๕ ปีจบ) แต่สมมุติว่าเรียนไป ๔ถึง ๕ ปีแล้วก็ยังตั้งวิชชาลัยของเราไม่สำเร็จ ก็ไปขอขึ้นกับสถาบันที่ท่านตั้งได้แล้ว รับเป็นนิตินัยปัญญาบัตรนิตินัยกับทางมหาวิทยาลัยของอ.คนนี้ได้เลย สถาบันของอ.คนนี้ก็เรียกว่าปัญญาบัตรเหมือนกัน อาศัยออกใบปัญญาบัตรก่อน เขายินดีร่วมมือ ถือว่าเป็นการศึกษาบุญนิยมได้เลย
จากนั้นในวันที่ ๖–๘ มิ.ย. ๕๗ ได้มีการรับสมัครนักศึกษาที่จะมาเรียนหลักสูตรอุดมศึกษาของชาวอโศก(พ่อครูเรียกว่าเป็นอุดรศึกษาที่หมายถึงการศึกษาแบบเหนือโลกโลกีย์) ปรากฎว่า มีคนมาสมัครเข้าเรียน ๑๐๓ คน ทั้งที่หลักสูตรที่จะเรียนนี้ยังไม่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการเลย
ในภาคค่ำของวันที่ ๘ มิ.ย. ๕๗ นี้เองพ่อครูก็ได้เทศนาเกี่ยวกับเรื่องการศึกษาไว้ว่า…เรากำลังจะตั้งมหาวิทยาลัยของพวกเรา เราทำนี่ก็เพื่อประโยชน์แก่โลกเขา เพราะแม้เรามีความสามารถ แต่คนติดอยู่ที่ติดยึดถือ เป็นเรื่องของโลกีย์ที่สร้างไว้ คนก็เลยไม่ใช้สัจจะ แต่ไปใช้เกณฑ์ของโลก ว่ามีใบปริญญา แต่ของเราไม่มีกรอบเดินตามนั้นเขาเลยไม่รับ แถมถูกมองแง่ลบอีก ก็ทำงานไม่ได้เยอะ แต่ก็ไม่ได้ต้องการให้ได้เยอะ แต่ให้ได้เท่าที่ควรได้ แค่นั้นก็ยังไม่ค่อยได้เลย เราก็เลยต้องหาทาง
แล้วมีคนที่เข้าใจเชื่อมั่นในพวกเราอโศกมาก ขอให้พวกเราผลิตไปเถอะ แล้วเขาจะให้เข้ากับที่เขาทำได้ ออกมาเป็นปริญญาบัตรได้เหมือนโลกๆเขาในประเทศไทย เขายินดีให้เลย ขอให้เราทำให้สำเร็จ ของเขามีสถาบัน ของเรายังตั้งเป็นสถาบันไม่ได้ ให้พวกเราเรียนกันแบบพวกเราแล้วให้ครบหน่วยกิต ครบ ๔ ปีเขาก็จะรับรอง ว่าได้ปริญญาตรี พวกเราก็เลยมาบอกกัน ประชุมกันตั้งแต่วันที่ ๔ มาวันที่ ๖ อีก และวันที่ ๘ ประชุมกัน ปรากฏว่ามีชาวอโศกที่เข้าใจแล้ว มาสมัครเรียนกัน สถาบันของเราชื่อ สถาบันสัมมาสิกขาวิชชาราม SVI แต่เราทำศึกษาก่อนที่จะไปขออนุญาตไม่ได้ เราใช้ชื่อนี้ไม่ได้ ต้องขออนุญาตทางการก่อน แต่เราก็ทำในเนื้อหาไปก่อน
งานนี้เราก็เลยรับสมัคร เราไม่กำหนดว่าต้องจบม.๖ เท่านั้น ขอให้อ่านออกเขียนได้ เราดูแล้วว่าผู้นี้ฐานะ วัยวุฒิ คุณวุฒิพอได้ เราก็รับเข้าเป็นนิสิต มีทั้ง ป.๔ ป.๖ ปวช. ปวส. ป.ตรี ป.โท ป.เอก ได้หมด ปรากฏว่ามีพวกเรามาสมัครกัน ๑๐๓ คน แล้วคนสมัครแล้ว เป็นนิสิตต้องอยู่ที่นี่เลยนะไม่ใช่ไปกลับ เป็นการเรียน ศีลเคร่ง เก่งงาน ชำนาญวิชชา แต่หลายคนก็เป็นหลักในชุมชนอื่นๆ ก็ไม่อนุโลมนะ จะต้องมาอยู่ประจำทางนี้เลย อาตมาว่าเอาเข้าจริงแล้วมาไม่ได้หมดหรอก
๑๑ มิ.ย. ๕๗ พ่อครูได้ให้โอวาทแก่นิสิตใหม่ มินิ ว.บบบ ที่ใต้เฮือนศูนย์สูญ
จากที่ได้มีการประกาศรับสมัครนิสิตปรากฏว่า มีนิสิตมาสมัครมากกว่า ๑๐๐ คน พ่อครูจึงได้ให้โอวาทก่อนแยกย้ายกลับจากงานอโศกรำลึกที่บ้านราชฯ พ่อครูเรียกชื่อลำลองหลักสูตรอุดรศึกษานี้ว่า “มินิ ว.บบบ.”
โดยพ่อครูให้โอวาทบางส่วนว่า…ผู้ที่มาสมัครแล้ว ก็จะต้องจัดการให้พอเหมาะพอสม เมื่อได้ฟังก็รู้สึกว่าดี ถูกปลุกเร้า แล้วเราก็จะทิ้งส่ิงที่เรารับผิดชอบ สำหรับผู้ที่มีหน้าที่สำคัญ ก็ต้องประมาณดู เรายังเปิดรับอีกหลายปี เราก็อย่าเพิ่งใจร้อนอยากเป็นรุ่น ๑ ถ้าเป็นรุ่น๑ ที่ไม่ได้เรื่อง แต่เราเป็นรุ่นบ๊วยแต่ได้เรื่องนั้นดีกว่า อยากให้สติพวกเรา อย่าเพิ่งเอาแต่เห็นแก่ตัวเอง พยายามมององค์ประกอบที่เรามีชีวิต สังคมเรายังเล็กยังเพิ่งสร้างก่อ ก็ได้กลุ่มเล็กกลุ่มน้อยก็ดีนักหนาแล้ว
อย่างม.วช คือมหาลัยวังชีวิต ต่อมาก็เป็นว.บบบ. แต่ที่เราทำนี่ ยังไม่ได้ตั้งชื่อนะ แต่มีคนนิยม มีคนสมัครเข้ามาเกินขีดเกินเขตนะ มันตลก มีคนเรียกว่า มินิ ว.บบบ. เราก็ไม่ได้ปลุกเร้าอะไรนะ แต่คนก็สนใจ สุดท้ายนี่มันเริ่มใหญ่ มีแฟ้มรายชื่อรับสมัครใหญ่เบ้อเริ่มนะ
การศึกษาพวกเราอยากให้เสียสละให้มาก อดออม อดทน อย่าให้เป็นการศึกษาที่หรูหราฟู่ฟาอย่างทุนนิยม เขาใช้ส่ิงเหล่านั้นเป็นตัวนำ เราต้องมาเน้นไปในแนวทางแบบคนจน แบบประหยัด แบบมัธยัสถ์ แบบมักน้อยสันโดษ จะเป็นอย่างไรก็ค่อยๆเข้าใจ เป็นให้ตรง ภาษาว่าอย่างไรก็เรียนรู้ให้ตรง เป็นAcademy เป็นเศรษฐศาสตร์ ที่เป็นความมัธยัสถ์ ประหยัด ขอให้เป็นลักษณะอย่างนั้น อดทน อดออม อย่างสุรุ่ยสุร่ายอย่าทิ้งขว้าง ให้กระเหม็ดกระแหม่ เพราะพวกเราไม่พร้อมทั้งสถานที่แต่มันจะเกิดนะ เราไม่ใช่มาอย่างลูกเศรษฐีที่มีอะไรรองรับเลย
อาคารเรียนเดิมเรามีอาคารของอาชีวะอยู่แล้ว แต่นั่งเรียนไม่ได้เพราะเสียงดัง เสียงสะท้อน อาตมาก็เลยคิดว่าจะสร้างใหม่ อยู่หลังโฮงปัว ตรงที่เป็นดงดอกโสน เราวัดที่ไว้แล้ว แต่ว่าต่อมาเราซื้อที่ของพล.อ.วิมล ก็ว่าที่นี่น่าจะเหมาะกว่า หลายคนก็เห็นว่าเหมาะ อาตมาก็ได้รับการแนะนำก็เห็นด้วยนะว่าน่าจะเกิดตรงนี้ ตอนแรกว่าจะทำเป็นอาคาร ๑๒ ชั้น อาณาบริเวณจะกว้างกว่าเฮือนศูนย์นี่ตามที่เรากะไว้ จะลงฐานรากไว้ ๑๒ ชั้น แต่เราจะสร้างก่อนไป ๓ ชั้นหรือ ๕ ชั้น เราก็ยังไม่สามารถขอเปิดเป็นทางการได้ เราก็ให้อาชีวะมาใช้ก่อน นี่เป็นลักษณะดีของสาธารณโภคี นี่สุดยอดของเศรษฐกิจเลย
สำหรับ ว.บบบ.มีคนเขียนบอกมาว่าล้มเหลวใช่ไหม?…ตอบ..ไม่ได้ล้มเหลว เราก็ยังมีว.บบบ.อยู่ เราจะเริ่มต้้นอุ่นเครื่องเรียนก็ตอนเข้าพรรษาเลย เข้าพรรษาคือ ๑๑ ก.ค. เลย อีก ๑ เดือนเป๊ะเลย
๑๖ มิ.ย. ๕๗ พ่อครูประกาศชื่อสถาบันอุดมศึกษาของชาวอโศก
โดยพ่อครูได้เทศนาไว้ในรายการเทศน์ภาคค่ำที่ชุมชนปฐมอโศก จ.นครปฐมว่า…ที่บ้านราชฯก็กำลังก่อเกิดสถาบันการศึกษาขั้นอุดมศึกษา โดยให้อ.เอนก นาคะบุตร ที่ทำมหาวิทยาลัยให้กลุ่มอาศรมศีลอยู่แล้ว ออกใบรับรองทางนิตินัยให้ พวกเราก็ยินดีกันมาก มาสมัครกัน ๑๘๐ กว่าคน อาตมาตั้งชื่อว่า วิชชารามนาวาบุญนิยม (วนบ.)
๒๘ มิ.ย. ๕๗ พ่อครูเทศนาเรื่องชื่อตำแหน่งอาจารย์ของ วนบ.
ในรายการเอื้อไออุ่น ที่สวนบุญผักพืช งานคืนสู่เหย้าเข้าคืนรัง นศ.ปธ. ครั้งที่ ๑๑ พ่อครูได้เทศนาไว้ว่า..ตั้งแต่ม.วช.ส.สว. ว.บบบ. มาจนบัดนี้เกิด วนบ. หรือวิชชารามนาวาบุญนิยมจะเกิดขึ้นที่ ราชธานีอโศก ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลก พอประกาศในงานอโศกรำลึก มีนศ.มาสมัคร ๑๘๘ คน ไม่เคยเกิดอย่างนี้เลยในชาวอโศก อาตมาก็ยิ่งเห็นว่าดี ก็เลยเตรียมสร้างอาคารรองรับ ตอนแรกก็ยังไม่เกิด วนบ. เราก็ทำ ส.สว. ซึ่งไม่ได้สักที (สถาบันสัมมาสิกขาวิชชาราม) แล้วยังไม่ได้ เราก็มีคนไม่อยากรอ พวกเราจบป.เอกมาก็ฟิตสิ ทำหลักสูตรมา สรุปแล้วทำกันอย่างตั้งใจ จนกระทั่ง สถาบันอุดมศึกษาที่เขาได้รับใบอนุญาตมาแล้ว ที่อ.คนนี้ดูแลอยู่ ก็เลยรับรองพวกเรา ตั้งขึ้นมาเลย ว่าให้พวกเราเรียนแบบอโศกไปเลย ทำไปเลย ถ้าอยากได้ใบรับรองก็ทางโน้นจะออกให้ ๔ ปีจบ ขอให้มีการบันทึกมีหน่วยกิจเองเลยร่างหลักสูตรเอง เน้นธรรมะเป็นหลัก อาตมาจะเป็นคุรุสอนเป็นหลัก แล้วเขาให้ตำแหน่ง วิชชาธิบดีเลย
ตำแหน่งอาจารย์ที่เราตั้งไว้คือ คุรุวิชช์ และคุรุชาญ คุรุวิชช์คือคุรุวิชาการ ส่วนคุรุชาญคือผู้เชี่ยวชาญพิเศษที่ชำนาญเฉพาะด้านไม่ต้องมีใบอะไรรับรองก็ได้
อาตมาก็เลยเบาใจชื่นใจมากที่จะทำอันนี้เต็มที่เลย ที่จะทำการศึกษาเพื่อผลิตคน คนเราฝึกฝนศึกษาก็เพื่อทำงาน เดรัจฉานมันหากินเป็นอย่างเดียว กินเสร็จก็พัก แล้วก็กิน หรือทำงานสร้างรวงรังบ้าง อย่างมดปลวก ผึ้งก็ทำงานสร้างรังเพื่อที่พักที่ออกลูก ที่เก็บอาหาร แต่คนทำมากกว่านั้น ทำได้เหมือนเดรัจฉาน แต่ได้มากกว่าคือทำมีคุณธรรม มีเกื้อกูลช่วยเหลือ ถ้าไม่มีคุณธรรมจะอาศัยหมู่เพื่อเอาเปรียบเอารัด แต่ถ้ามีคุณธรรมก็จะเป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลกันยิ่งขึ้น
๔ ก.ค. ๕๗ เปิดเผยวิชาที่พ่อครูจะสอนในวนบ.ในรายการการศึกษาพุทธชีวศิลป์ ที่ทะเลธรรม
ในวันแรกของงานเอื้อไออุ่นชาวบุญนิยม(ภราดรภาพซาบซึ้งใจ) ที่สังฆสถานทะเลธรรม พ่อครูได้เทศนาไว้ว่า…พุทธชีวศิลป์คือรู้จักศิลปะแบบพุทธ แล้วเอามาใช้ในชีวิต จบศาสตร์ที่เราจบแล้วก็เอามาใช้เป็นประโยชน์แก่โลก เล้วเราไม่เสพไม่ติดต่อไป เป็นชื่อที่อาตมาตั้งไว้ เป็นศิลปะในการใช้ชีวิตบบพุทธ อาตมาทำงานมา ๔๐ กว่าปีก็เห็นผล มีผู้ช่วยทำในเชิงวิชาการ มีทั้งบุคคลและผู้ช่วยเรียบเรียงรวบรวม จัดระเบียบ ก่อตัวเป็นสถาบันการศึกษา ต่อจากระดับมัธยม ซึ่งเราก็ทำมาเรื่อยๆก็ยังไม่สำเร็จเพราะเหตุปัจจัยไม่ครบ แต่มาถึงวันนี้อาตมาเห็นว่าครบแล้ว ก็น่าจะพอ มีทั้งสถาบันที่จะมาช่วย เราตั้งมาตั้งแต่ ว.มช. ส.สว. แล้วตอนนี้มาเป็น วนบ.
วนบ.ก็จริงจังในพฤตินัย และจะให้เกิดทางนิตินัยด้วย ทางส.สว.ก็เดินเรื่องไป และวนบ.ก็ดำเนินไป เป็นปึกแผ่นอย่างไม่น่าเชื่อ มีนักศึกษาเกือบสองร้อยกว่าคนแล้ว ศึกษาทั้งการเป็นอยู่ ไม่ใช่ว่าเอาแต่เล็คเชอร์ในห้องเรียน ทำการพิสูจน์ก็ทำเล็กๆน้อยก็ถือว่าจบการศึกษา นั่นคือขาดเรื่องสังคมอย่างมาก แต่ก็ออกมาทำงานกับสังคม ผู้ทำวิจัยก็ทำตามตำรา แต่ในจินตนาการ แล้วพอเวลาทำงานก็เอาจากตำราต่างประเทศที่ต่างจากเรา มาทำหลักสูตรระบบระเบียบก็เละไปหมด ไม่อยู่ในฐานความจริง
วนบ. ก็คือ วิชชารามนาวาบุญนิยม โลโก้กำลังให้เขาทำกราฟฟิกให้คม แบบเสร็จแล้ว ปีนี้เอาจริงเอาจัง อาตมาก็อายุปูนนี้แล้วจะมีเรียวแรงสอนเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ตอนแรกว่าจะสอน ๒ วิชชาคือ สรรค่าสร้างคน และพุทธชีวศิลป์ แต่ตอนนี้ก็คงจะต้องสอนอีกวิชชาคือ ความรัก ๑๐ มิติ เป็นวิชชาที่กว้าง
๘ ก.ค. ๕๗ พ่อครูให้นโยบายที่จะดำเนินต่อไปแก่ชาวอโศก ในรายการทำวัตรเย็น ที่ศาลาเห็นแจ้ง ชุมชนวังน้ำเขียว จ.ชัยภูมิ
ในการเทศนาตอนหนึ่งมีเนื้อความพูดถึง วนบ.ว่า…ตอนนี้การเมืองมีกัปตัน เดินเครื่องคุมทิศทางไปได้แล้ว เราก็จะมาทำการศึกษา ไม่ออกไปทำการเมืองมาก นี่เป็นนโยบาย ทั้งการศึกษาแบบนิตินัย และการศึกษาภายใน จะเปิดอุดรศึกษาเป็น วิชชารามนาวาบุญนิยม วนบ. เปิดปีหนึ่งปีนี้ อาตมาจะลงไปเป็นคุรุเต็มตัว ตอนนี้ได้ ๓ วิชชาแล้ว วิชชาสรรค่าสร้างคน ,พุทธชีวศิลป์ และความรัก ๑๐ มิติ (ความรัก ๑๐ มิติจะสอนแต่นิสิตปี ๑) สรรค่าสร้างคนจะเป็นเชิงการเมืองและสังคม
ส่วนพุทธชีวศิปล์จะเป็นเรื่องการศาสนาเป็นส่วนใหญ่ มีสถาบันอาศรมศิลป์ มาให้ใบปริญญารับรอง ถ้าใครต้องการ ขอให้ปีที่สี่ส่งหลักฐานให้เขา แล้วเขาก็จัดสรร ให้จบได้ใบปริญญา แต่เขาก็ไม่เรียกปริญญา เพราะอ.เอนก เอาแนวอโศกบุญนิยมไปทำ แบบครูพักลักจำ เอาไปทำเต็มที่ เท่าที่ภูมิผมมี ถ้าอโศกจะไปทำเองก็ไม่รังเกียจ ส่วนใครจะเอาปัญญาบัตร วนบ.ก็ได้ ต่อไปเราก็จะตั้งสถาบันของเรา ผู้ใดมีคุณสมบัติมาสอนได้เราก็จะตั้งเป็น ผู้ช่วยศิลปาจารย์ เป็นรองศิลปาจารย์ และเป็นศิลปาจารย์เลย เป็น ผศ.เป็น รศ. เป็น ศ. เลย ใช้ตัวย่อเดียวกัน ส่วนอาตมาเป็น วิชชาธิบดี เป็นคนเซ็นใบปัญญาบัตรทองคำเลยนะ จะเอาแต่ปัญญาบัตรของเราก็ได้ หรือจะเอาสองอย่างเอาปัญญาบัตรทางอาศรมศีลก็ได้ ของเขามีอธิการธิบดี ของอาตมาเป็น วิชชาธิบดี
อธิบายมาเพื่อให้ตรวจสอบเปรียบเทียบว่าอันไหนดีงาม อันใหม่ก็บอก อันเก่าก็ให้ตรวจสอบ ก็มียกตัวเอง คณะหมู่กลุ่มมาเป็นองค์ประกอบบ้าง เพื่อขยายความ วันนี้ก็มีส่ิงใหม่เกิด ว่าในอนาคตจะมีการเมืองแบบอาริยะของพระพุทธเจ้านี่แหละ ที่เขาเพี้ยนไปแล้ว จริงๆแล้วประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้ามีคุณลักษณะดีจริงได้ แต่ไม่มีคนอธิบายได้ ทุกวันนี้บัญญัติภาษาก็พอที่จะทำให้เข้าใจได้ เชื่อว่าผู้มีบัญญัติภาษาจากภายนอกจะพูดกับอาตมได้เข้าใจเพ่ิมขึ้น ที่เปิดวิทยาลัย มีวิชชาสรรค่าสร้างคนจะมีเนื้อของการเมืองและสังคมมากหน่อย แต่พุทธชีวศิลป์จะมีเนื้อศาสนามากหน่อย อาตมาเป็นคนมีบัญญัติภาษาทางโกลน้อย เราก็จะได้บัญญัติภาษาทางโลกมาช่วยกัน
๑๑ ก.ค. ๕๗ พ่อครูปฐมนิเทศน์นิสิต วนบ. ที่เฮือนศูนย์ (ตามจากในอีเมล์เทศน์พ่อครูต่อได้)
(ต่อมาเรียกชื่อสถาบันอุดมศึกษานี้ว่า มหาวิชชารามนาวาบุญนิยม เพื่อให้ล้อไปกับคำว่ามหาวิทยาลัยของทางโลกเขา)
570712_พ่อครูสอนวนบ.เป็นคาบแรก ประเดิมวิชชา สรรค่าสร้างคน ที่เฮือนศูนย์ฯ
วันนี้เราเร่ิมด้วยวิชชาสรรค่าสร้างคน …คนเราในธรรมชาติของการอยู่รวมกันเป็นมนุษย์โขลง แต่ไหนแต่ไรมาก็จัดอยู่ในสัตว์โขลง ไม่ใช่ปลีกเดี่ยว แต่อยู่กันอย่างสัมพันธ์เป็นหมู่กลุ่มคณะ แล้วอยู่กันอย่างมมีระบบ เป็นระบบสัญชาติญาณ สัตว์อื่นก็อยู่อย่างสัญชาตญาณ นอกจากนั้นมนุษย์ยังมีจิตวิญญาณพฤติกรรมที่ซับซ้อนกว่าสัตว์สารพัดสัตว์ มีอะไรพิเศษแตกต่าง ไม่ต้องพูดก็รู้กัน แต่พูดนำเท่านั้น แต่ก็พูดให้เป็นสิ่งประกอบ สัจจะ
และมนุษย์ยังสามารถมีความคิดความรู้ได้สุดยอดในความเป็นสัตว์ที่ได้อุบัติมาเป็นอัตภาพชีวิต ชีวิตมีทั้งแบบพีชนิยามและจิตนิยาม ซึ่งพลังงานที่ก่อเกิดตัว เป็นพีชนิยามและจิตนิยาม เป็นพลังงานที่ก่อตัว จับตัวขึ้นมาทำงานเป็นลักษณะ เช่นพลังงานฟิสิกส์จับตัวกันมีพลังงานแสงเสียงเป็นต้น แล้วก็มีอะไรที่แตกต่างกันเยอะแยะเลยแม้แค่วัตถุ จนมันพัฒนาการมา เช่นโลกลูกนี้ กว่าจะปรับตัวมีองค์ประกอบต่างๆพร้อม
ช่วงปีแรก ตั้งแต่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ – ประมาณ สิงหาคม ๒๕๕๘ มีการเรียนการสอน ดังนี้
นิสิต วนบ. รุ่นแรกนี้ได้ชื่อจากพ่อครูว่า“รุ่นฉันทะ” จะเป็นกลุ่มทดลองที่จะมาร่วมสร้างหลักสูตร วนบ. ให้มีความเป็นไปได้จริง
เป้าหมาย ต้องการสร้างอาริยบุคคลในระดับต่างๆ ขั้นต่ำโสดาปัตติมรรคบุคคล
ในฐานศีล ๕
วัตถุประสงค์ ต้องการย่นมิติเวลาของผู้เรียนให้สามารถเข้าสู่โลกุตระโดยใชเวลาให้สั้นที่สุด
สามารถพิสูจน์ผลของความสำเร็จของการศึกษาได้ว่า นอกจากสามารถพึ่งตนเองได้และไม่เป็นภัยต่อสังคมแล้ว ยังเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม ส่วนจะเปนประโยชน์ได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ ความสามารถ ศักยภาพและโอกาสที่จะได้รับจากสังคมเป็นสำคัญ
เนื้อหาหลักสูตรประกอบด้วย ๒ ส่วนคือ
๑ พุทธศาสตร์ สอนโดยสมณะโพธิรักษ์ประกอบด้วย
□ วิชชาหลัก คือ พุทธชีวศิลป์ และ สรรค่าสร้างคน ทั้ง ๒ วิชชานี้สอนตลอดหลักสูตรการเรียนการสอนมหาวิชชารามนาวาบุญนิยม และสอนตลอดชีวิตของพ่อครู
□ วิชชารอง เช่น ความรัก ๑๐ มิติ สอนเฉพาะปีที่ ๑ เทอม ๑ และ ๒ ส่วนในปีที่ ๒–๓–๔ จะเปลี่ยนเป็นวิชชาอื่น แต่ยังไม่ได้แจ้งว่าเป็นวิชชาอะไร
□ วิชาอื่นๆ เช่น พุทธบูรณาการศาสตร์ สอนในปีที่ ๑ เทอม ๑ โดย อ.อภิสิน ศิวะยาธร เป็นต้น
โลกียศาสตร์ เน้นสอนวิชาที่เกี่ยวกับความรู้ทางโลก ที่จำเป็นสำหรับการนำมาใช้ประโยชน์ในการทำงานในฐานงานต่างๆ ให้เกิดการพัฒนาความรู้ความสามารถ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสมรรถภาพในการทำงาน ที่เป็นสัมมาอาชีวะ ที่จะต้องใช้เป็นเครื่องอาศัยในเส้นทางของการพัฒนาจิตวิญญาณในแต่ละภพชาติ เช่น วิชา SWOT สอนโดย อ.เอนก นาคะบุตร วิชาการบริหารการจัดการ และการเงิน–การบัญชีพื้นฐาน สอนโดย อ.วัชรพงษ์ (อโต) วราภรณ์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ ความจำเป็น ในการที่จะต้องพัฒนางานในฐานงานต่างๆ และขึ้นอยู่กับนโยบายของชุมชนในแต่ละเทอม โดยเฉพาะนโยบายจากพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ เป็นต้น
ประเภทของนิสิต แบ่งเป็น สายวิชช์ กับ สายชาญ
เกณฑ์การประเมิน: ศีลเคร่ง ๔๐% เก่งงาน ๓๕ % ชำนาญวิชชา ๒๕%
ภายหลังจากเปิดการเรียนการสอนมาประมาณ ๑ ปี ได้มีการปรับกระบวนการ ว.นบ.ครั้งใหญ่
580705_ประชุม วนบ. ปรับทิศทางปีการศึกษาใหม่ ๕ ก.ค. ๒๕๕๘
พ่อครูว่า….อาตมาก็มาตามนิมนต์กำหนดการ… วันนี้เขานิมนต์ให้มาเทศน์ ๑ ปี ว.นบ. เจริญหรือเสื่อม
เจริญธรรมชาว ว.นบ. วิชชารามนาวาบุญนิยม ที่มีจำนวนเหลืออยู่ทั้งสิ้นทั้งปวง นอกนั้นก็ไปสู่ที่ชอบๆหลายคนแล้ว ผู้ที่ไปที่ชอบๆก็ได้มาลิ้มลองลิ้มรสแล้ว บางคนก็อยู่ได้นาน บางคนก็อยู่ได้ไม่นาน ผู้อยู่ได้นานจนถึงบัดนี้ก็อนุโมทนา
จะให้อาตมาพูดถึง ๑ ปี ว.นบ. เจริญหรือเสื่อม และเจริญอย่างไร?
อาตมาตอบได้ว่าเจริญขึ้น และไม่ใช่น้อย ไม่ใช่หมายถึงมวลปริมาณ ไม่ได้หมายถึงเอาสาระประโยชน์ทางปรมัตถ์ ซึ่งอาตมาเองเป็นผู้ที่ได้แจก เอาสินค้า ปรมัตถ์ สินค้าธรรมะที่ลึกซึ้งออกมาแจกจ่ายแก่นิสิต ว.นบ.โดยทางปริยัติ และวัดโดยมิเตอร์อาตมาด้วย ว่าฟังได้เข้าใจลึกซึ้งแค่ไหน อาตมาก็ให้คะแนนได้ว่า เจริญขึ้น ไม่ได้เสื่อมหรอก ในยุคอย่างนี้ ซึ่งเป็นยุคที่พระพุทธเจ้าท่านไม่เกิดหรอก เกิดมาก็เสียของ ถึงท่านเกิด ท่านก็ไม่แสดงตัว ไม่พูดไม่จาอะไร เพราะพุทธุปาทกาละ คือกาละอย่างนี้
พ่อครูมีนโยบายอย่างไรในปีการศึกษาต่อไป
นโยบายที่จะมีต่อไปก็คือ วนบ.นี่จะต้องเป็นอุดมศึกษาจริงๆ เป็นอุตมะซึ่งเป็นอนุตระ เป็นสิ่งเหนือสามัญ ไม่ใช่โลกีย์ อุดม เป็นภาษาไทย เป็นการศึกษาขั้นปรมัตถ์โลกุตระแท้จริง ซึ่งเน้นเอาเรื่องของคุณธรรมที่เป็นอาริยธรรม อุตริมนุสธรรม เป็นตัวตั้งเลย จะต้องพยายามให้เป็นจริงไม่ใช่แค่เรื่องฝันเพ้อ เราเริ่มต้นมา ๑ ปี ก็รวมตัวกันได้ มาขนาดนี้แล้ว โดยมี หนึ่งฟ้าเขาเป็นตัวปฏิกิริยาสำคัญ พยายามดึงคนนั้นคนนี้มารวมกัน โดยอาศัยโครงสร้างทางโลกมา เช่นสวอทหรือเอาผู้มีการศึกษาทางโลกมาบ้าง เชื่อมโยงไป อาตมาไม่เก่งเขาเชื่อมโยงได้อาตมาก็อนุโมทนาสาธุ
มาถึงวันนี้ก็มีนโยบายที่อยากให้พวกเรารวมตัวกันทำให้เป็นอุดมศึกษาที่แท้จริง ให้สมณะ สิกขมาตุ ทั้งฆราวาสที่เหมาะควรมาช่วย ไม่ใช่ให้คุณหนึ่งฟ้าวิ่งคนเดียว จะด้วยเกรงใจคุณหนึ่งฟ้าหรือไม่ชอบใจคุณหนึ่งฟ้าก็ตาม ปล่อยให้คุณหนึ่งฟ้าวิ่งแบกหนักคนเดียว อาตมาก็ว่าคงจะไม่ไหว ไม่ดี ก็เลยขอให้ทางสมณะ สิกขมาตุ และฆราวาสที่สมเหมาะสมควรที่พวกเรารูัจักมาช่วยสนับสนุน แล้วทำให้เป็นรูปร่างทำให้เกิดการศึกษาขั้นอุดม เป็นอุตมะที่แท้จริง
อาตมาตั้งใจจะสร้างอาคารการศึกษาก็ตั้งใจจะให้เป็นอาคาร ว.นบ. จะไม่ให้เป็นแบบนิตินัย แต่ใครจะฉวยเอาไปจดทะเบียนได้ก่อนก็เป็นไป เท่าที่มี ว.สว. หรืออื่นๆ ก็ต้องมีสถานที่ไปยื่นเป็นนิตินัย ไม่ใช่แค่หลักลอย ก็เอา อย่างที่ออกแบบไว้ อาตมาจะเพิ่มเป็น ๕ ชั้นก็ยังคิดว่ามีโลโก้ของ ว.นบ.ที่มีตัวหนังสืออยู่บนเรือ อาตมาก็คิดว่าจะให้ปั้นโลโก้แล้วเสียบไว้บนแผงหลังคาเลย สองด้านเลย คิดอย่างนั้นนะ หล่อเป็นโลหะติดไว้เลย ส่วนจะเป็นวิทยาลัยอะไรก็ติดป้ายไป แต่รู้กันภายในว่าเป็นอาคาร ว.นบ. จะให้ไปจดทะเบียนอย่างอื่นก็ได้ แต่มีชื่อว่า ตึก ว.นบ. แล้วโดยพฤตินัยจะใช้เป็นการศึกษาองค์รวมอยู่ในนั้นหมดตั้งแต่มัธยม อาชีวะ วิทยาลัย อยู่ในนั้นหมด เพราะนักศึกษาเราจะมีไม่มากไม่ต้องห่วงหรอก อาคารไม่เล็กเลย แบ่งกันคนละชั้น มีห้องรวมกัน ไม่มีปัญหา หรือแม้แต่จะเป็น ส่วนจะใช้ร่วมกันอย่างชั้นโถงล่างใช้ร่วมกันหมดได้ มีห้องสมุด ห้องประชุม ห้องเลคเชอร์ใช้ร่วมกันได้
นี่ก็คือแนวคิดนโยบาย เพื่อให้ไปสู่ผลการศึกษาที่อาตมารวมไว้แล้ว ศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชา พวกเราก็รู้หมดแล้วที่พูดมาก็เคยพูดมาทั้งนั้นเป็นการตั้งใจจริง ส่วนใครอยากได้ใบรับรองเป็นปริญญาบัตร หนึ่งฟ้าก็เชื่อมกับทางอาศรมศิลป์ ทางอ.เอนกไว้แล้วก็ทำไป ได้ก็เอา ส่วนใครบอกไม่ต้องการไม่อยากได้ก็ไม่เป็นปัญหา
สำหรับอาตมาตั้งใจแต่ต้นเลยว่าจะทำปัญญาบัตร เอาแผ่นทองคำทำ ตอนนี้ก็ยังคิดอยู่ว่า มันจะสามารถไหมนี่ จบออกมาสัก ๑๐ หรือ ๒๐ ใบ แผ่นหนึ่งก็ทองคำหนักเป็นบาทเลย อาตมาเคยทำตัวอย่างแล้วมันก็หล่นหายไปไหนไม่รู้แล้ว
ก็คิดว่าคงพอเป็นไปนะ มันน่าจะได้ นี่ถึงปี ๔ มันจะเหลือกี่คน จะจบสักกี่คน คิดว่านะ ตั้งแต่ ๑๐๐ กว่าคน ลดลงมาเหลือกี่คน ตอนนี้นับหัวเลย เหลือ ๗๐ คน มันก็ควรจะสอบได้สัก ๕๐ คนเป็นอย่างน้อย แล้วคนละ ๑ บาท ทองบาทหนึ่งก็สองหมื่น เท่าไหร่ เป็นล้าน แค่ล้านเดียวจิ๊บจ๊อย ปฐมอโศกให้อาตมาเดือนละล้านอยู่แล้วก็ไม่ขาดตอน ปีกว่าแล้วให้อาตมาเดือนละล้านเขาก็ทำได้อยู่ กิจการเขาไม่ทรุดโทรมนะ ส่วนศีรษะบอกว่าถ้าได้จะให้มากกว่าล้านได้เลย แต่ก็เห็นยังไม่มีอะไรเป็นหลักเป็นฐาน ส่วนที่ปฐมอโศกเขามีโรงงานยา โรงงานปุ๋ย มีฐานอื่นๆอีก
อาตมาว่า บวกลบคูณหาร สอบได้ ๗๐ คนนี้ยังไหวเลย เงินล้านกว่าบาทก็พอได้ น่าจะมีคนช่วยอาตมาน่า ก็ถ้าเผื่อว่าครบ ๔ ปีก็จะต้องจ่ายประมาณนี้ก็ปีละล้านกว่าๆ ค่าใบปัญญาบัตร ก็คุ้มแสนคุ้มให้มันรู้เสียบ้างว่า ปัญญาบัติหรือใบของผู้จบสถาบันนี้ไม่ใช่กระดาษนะ ทองคำนะ พูดเหมือนล่อใจ ก็อย่าไปคิดว่าล่อใจ แต่เป็นการสมเกียรติ สมค่า
ก็จะมีการสอบวัดผลให้คะแนนกัน ให้ทำไว้เป็นหลักฐานแบบของเรา แล้วจะได้รวบรวมให้มีราคา เป็นหลักเป็นฐาน เป็นการศึกษาบุญนิยม เป็นตัวอย่างของการศึกษาอุดมศึกษาของชาวอโศก ส่วนการศึกษาที่มีแล้ว จะเป็นมัธยมหรืออาชีวะที่มีอยู่ก็ทำไปได้ดีอยู่แล้ว ….
ก็ขอฝากไว้ว่า ช่วยกันทำให้เป็นจริงตามที่อาตมาพูดนี้นะ…สาธุ
ส.เดินดินว่า พวกเราอยู่กันได้ตลอด ๔ ปีหายาก ที่จะผ่านด่านมนุษย์ทองคำนี้ หลักสูตรนี้มันเหมือนกับ ว.บบบ.เป็นหนังตัวอย่าง สูตร ลัดคัดสั้น ม้วนเดียวจบ ๕ วัน จริงๆก็การวัดผลก็ยังยากมากเลย แล้วพวกที่สัญญาดีๆ ก็ตอบได้เก่งมาก พวกปริยัติเก่ง แต่เข้ากับเพื่อนไม่ได้จะตอบเก่ง แต่ทางเราก็พยายามกรองให้ดี แต่ไม่มีเวลามาก แต่ ๔ ปี หากให้สมณะ สิกขมาตุ ได้คบกับพวกเรานานๆจะประเมินได้อย่างแน่ใจกว่า แค่ ๕ วันจบแน่ แต่ถ้า ๔ ปีค่อยๆพูดค่อยๆสนทนา ค่อยๆพบกัน ก็จะดี ต่อไปจะมีการพบกันมากขึ้น ต่อไปจะมีการแบ่งกลุ่มในการพบกับนิสิต แบ่งกลุ่มกัน ไล่วันเวลา ก็มีช่วงเวลา
รูปแบบของ ว.นบ.จะเป็นต้นแบบของอุดมศึกษา เป็นเรื่องที่ประสพการณ์ในการพัฒนาจิตวิญญาณเราจะมาคุยกัน ให้สมณะ สิกขมาตุ เป็นพี่เลี้ยง กระบวนการในการรู้จักสักกายทิฏฐิของตนเอง มีกระบวนการอย่างไรในการอ่านสักกายะ อ่านเวทนาได้
_การที่สมณะสิกขมาตุ ได้ลงมาช่วยในการสนทนาธรรมกลุ่มย่อย เป็นการเสริมให้การเรียน ว.นบ.ให้ดีย่ิงขึ้น โดยจะจัดสรร วันเวลา เอาไว้ในการพบกลุ่ม ซึ่งจะมีทั้ง นักบวชพบนิสิต และมีทั้งกระบวนการที่นักบวชมีกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันอีกด้วย โดยจัดสรรวันเวลาไว้ เป็นตุ๊กตา หรือ modelดังนี้
๑. วันจันทร์ ช่วงทำวัตรเช้า อาจใช้เวลาพบกลุ่มย่อย ระหว่าง นักบวชกับนิสิต
๒. วันศุกร์ หลังพ่อครูเทศน์ ซึ่งจะเลิกเร็วกว่าทุกวันเนื่องจากไม่มีคสช. พบกลุ่มย่อยได้ ในเวลา ๒๐.๐๐–๒๑.๐๐ น.
๓. วันเสาร์ เวลา ๑๔.๐๐–๑๕.๓๐ น. เป็นเวลาที่สมณะ สิกขมาตุ จะมาสรุปผลและเรียนรู้ร่วมกัน
๔. วันอาทิตย์ เวลา ๑๘.๐๐–๒๐.๐๐ น. ประชุมใหญ่ ว.นบ. ทิศทาง ว.นบ.
ต่อมา มีการแบ่งกลุ่ม ว.นบ. ออกเป็น ๙ กลุ่ม รวมนิสิต ว.นบ. ทั้งหมด ๙๑ คน มีชาวชุมชนมาร่วมสมทบอีกหลายสิบคน โดยไม่ได้ลงทะเบียนเรียน ว.นบ. แต่มาสังเกตการณ์ร่วมด้วย เข้ากลุ่มด้วย มีสมณะ สิกขมาตุประจำกลุ่ม ให้มีการพบสมณะสิกขมาตุ หลังรายการพ่อครู ในวันศุกร์ เสาร์ และมีการประชุมรวมในวันอาทิตย์ ของทุกสัปดาห์ โดยมีการรวมกลุ่มนิสิต ว.นบ.ไปช่วยงานตามฐานงานต่างๆในชุมชนที่จำเป็น เป็นการสลายภพ และรวมแรงร่วมใจกันของว.นบ.
เปิดรับ ว.นบ. รุ่น ๒ เร่ิมตั้งแต่ ๑๔ ก.ย. ๒๕๕๘ พ่อครูประกาศผ่านรายการธรรมาธรรมะสงคราม สมัครได้ที่ พุทธสถานราชธานีอโศก