การเลิกเป็นทาสโลกีย์อย่างมีลำดับอันน่าอัศจรรย์ (เจ็บเพราะยังไม่หมดความเป็นทาส)
พิธีไหว้ครูที่สันติอโศกปีนี้จัดวันที่ 28 มิถุนายน 2561 พ่อครูไปให้โอวาทปิดท้ายพิธีกรรมอันเป็นอัตถิยิตถัง คือมีผลทำให้จิตเจริญขึ้น พิธีนี้มีศิษย์เก่าสส.สอ.ไม่ต่ำกว่า 10 คน มาร่วมพิธีไหว้ครูนี้ด้วยส่วนใหญ่แล้วเป็นศิษย์เก่า ที่เพิ่งจบไป 1-2 ปีทั้งนั้นเลย ล้วนแล้วแต่คิดถึงโรงเรียนก็เลยมากันเยอะ หลังพิธีก็มาถ่ายภาพร่วมกับพ่อครู
ถ่ายภาพเสร็จ อาสุรเดช-ไพรเมือง ก็กล่าวว่า ศิษย์เก่าหลายคน ยังคงล่องลอยทำงานอยู่อยู่รอบๆสันติอโศก บางคนเปลี่ยนงานไปเรื่อยๆ แต่ไม่ยอมกลับมาทำงานที่วัดเสียที ทั้งที่รู้ว่าดีที่สุด …
พ่อครูเลยบอกกับเด็กๆศิษย์เก่าว่า… “ก็เพราะว่า ยังไม่หมดความเป็นทาสไง”
เด็กๆศิษย์เก่าก็บอกว่า…ฟังแล้วเจ็บเลย…
พ่อครูกล่าวว่า… เด็กพวกนี้ฉลาดนะ รู้เลยว่าเป็นทาสอะไรอยู่?…
เดินทางไปกับพ่อครูครั้งนี้….ได้พบเจอศิษย์เก่าและคนหนุ่มสาวหลายคนที่ได้ทำงานอยู่ในชุมชนต่างๆของชาวอโศก เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในฐานงานต่างๆ ทำมาตั้งแต่เป็นวัยรุ่น จนย่างเข้าวัยกลางคน หลายคนจากที่เคยรับผิดชอบงานเพียงบางส่วน เมื่อทำไปนานๆเข้า ก็ถูกให้เลื่อนเป็นแม่ฐานงานไปโดยปริยาย ภาระหน้าที่รับผิดชอบเพิ่มขึ้นทั้งยังต้องดูแลเด็กรุ่นน้องที่มาเรียนในฐานงานไปด้วย จึงต้องเป็นผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบไปโดยปริยาย
อนุชนคนหนุ่มสาวเหล่านี้ พวกเขาได้ตัดสินใจปลดแอกตัวเองจากความเป็นทาสของทุนนิยมสามานย์ ไม่ทำงานรับใช้นายทุน แต่หันมารับใช้นักบุญ รับใช้พระอาริยะ รับใช้พระโพธิสัตว์ มาทำงานให้กับชาวอโศก ตั้งแต่เป็นวัยหนุ่มสาว
ผู้รับใช้ในฐานบุญนิยมทีวีท่านหนึ่งเปิดใจว่า…งานนี้จากที่ผมเคยรับผิดชอบเฉพาะเรื่องเทคนิคเท่านั้น ก็ต้องมารับผิดชอบส่วนบริหารจัดการงานด้วย เมื่อก่อนผมไม่เคยมีใครมาถามว่า แขกที่เวทีมาจะกินข้าวที่ไหนอย่างไร? โต๊ะหรือกระถางอันนี้จะวางที่ไหน? แต่เดี๋ยวนี้ คำถามเหล่านั้นมาถึงผมแล้ว ผมก็ต้องเพิ่มความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นอีก เพราะผู้ใหญ่ท่านได้วางงานต่างๆลง งานก็ตกมาถึงมือผม รวมถึงภาระหน้าที่ต่อการดูแลน้องๆทั้งสัมมาสิกขาและศิษย์เก่าที่จะมาร่วมงานกันในงานใหญ่ของอโศกแต่ละงาน…สิ่งสำคัญที่ผมค้นพบคือ ต้องควบคุมอารมณ์ให้ดี ถ้าหากอารมณ์เสียแล้ว ก็จะเสียไปทั้งหมด เสียทั้งงาน เสียทั้งคน หากควบคุมอารมณ์ได้ดี งานก็จะดี คนก็จะได้ด้วย...นี่เป็นประสพการณ์ที่ได้จากการทำงานมาเกือบ 20 ปีกับงานสื่อบุญนิยมชาวอโศก …
อีกอย่างที่เขาได้…คือเดี๋ยวนี้เขาจะเตะฟุตบอลโลกกันอย่างไร…มันไม่อยู่ในหัวในความคิดความสนใจของผมเลยครับ...ซึ่งแต่ก่อนผมก็ชอบดูฟุตบอลโลกเหมือนกัน…
เรื่องเล่ามุมเล็กๆของหนุ่มบุญนิยมทีวีท่านนี้ สื่อถึงผลถึงอานิสงส์ของ การปลดแอกจากโลกโลกีย์มาสู่โลกโลกุตระได้ในมุมหนึ่ง…เป็นผลแห่งความพากเพียรและตัดสินใจเด็ดเดี่ยวออกมาจากสายพานของโลกธรรมของทุนนิยมสามานย์ มาเข้าสู่สายพานโลกุตระ
แม้ว่าเขาไม่ได้พูดถึงการปฏิบัติธรรมอย่างมีทฤษฎี แต่การอยู่ในสังคมสาธารณโภคี ได้ฟังธรรมโดยปริยายจากการทำหน้าที่สื่อบุญนิยม ได้ทำงานอยู่ท่ามกลางหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ทำให้เขาซึมซับ Osmosis ความเป็นพระอาริยะไปโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว ว่า จิตมันปลดปล่อยความเป็นทาสฟุตบอลโลกไปได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แม้บัดนี้ มีโฆษณาในทีวี มีข่าวคราวให้เห็น ซึ่งแม้จะไม่สนใจจะดูข่าวมันก็มาชนตา มาเข้าหู แต่ฟุตบอลโลกทำอะไรจิตใจเขาไม่ได้อีกแล้ว ไม่สามารถทำให้เขาสนใจใยดียินดีกับมันได้อีกแล้ว… มีสิ่งที่มีสาระให้เขาทำมากมายรออยู่
กรณีเช่นนี้ …เป็นการปฏิบัติธรรมที่ดูเหมือนจะไม่มีลำดับ เหมือนว่าตนเองไม่ได้ตั้งตบะ ไม่ได้เพ่งเคร่งคุมกับการไม่ดูฟุตบอลโลก แต่ไปเพ่งทำเรื่องอื่นๆแทน แต่ภูมิปัญญาก็เพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ทำให้จิตลดการติดดูฟุตบอลโลกไปได้ด้วย
จิตที่พ้นทาสโลกีย์ในเรื่องนั้นๆแล้วก็เป็นเจโตวิมุติ และมีปัญญาเข้าไปรับรู้ร่วมด้วยกับการหลุดพ้นนั้นๆอย่างสำคัญ ก็เป็นปัญญาวิมุติได้ในเรื่องนั้นๆ
แม้หนุ่มคนนี้อาจจะไม่ได้มีจิตอ่านละเอียดไปถึงอาสวะอนุสัย แต่ว่าเขาก็สบายได้หลุดพ้นได้ในระดับที่จิตเขาอ่านได้ว่า มันไม่มีอาการในเรื่องนั้นๆแล้ว หรือแม้อาการจะมีอยู่ แต่มันก็เป็นความแรงของอาการที่เล็กน้อยจนทำอะไรเขาไม่ได้แล้ว ไม่ทุกข์มากแล้วนั่นเอง…เขาก็ไปฝึกฝนเรื่องอื่นๆอีก มันก็จะสั่งสมญาณปัญญาตัวรู้ในความละเอียดของเขาไปได้อีกเรื่อยๆ
แม้รู้ด้วยบัญญัติภาษาว่า กิเลสมันมีหลายระดับ ตั้งแต่หยาบ กลาง ละเอียด จนถึงอาสวะ อนุสัยแต่ว่า จิตของตนมีความสามารถอ่านรู้อาการได้เพียงแค่นั้นๆ ไม่สามารถอ่านได้ละเอียดกว่านั้นแล้ว ก็เปล่าประโยชน์ที่จะไปทำละเอียดก่อน จะเอามีดโกนมาเฉือนหนังแรด(กิเลสหยาบ) มันก็ไม่มีทางหมด ต้องใช้มีดอีโต้มาสับกิเลสหยาบออกก่อน แล้วค่อยทำกิเลสขั้นกลาง ขั้นละเอียด ต่อไป จึงจะเป็นลำดับและได้ผลจริง
บางครั้งเราเพ่งเพียรทำเรื่องที่เราเห็นว่าเป็นสักกายะ อยากจะให้มันลดละไปได้เร็วๆ มันก็กลับกลายเป็น อภิชปา ตัณหาล้ำหน้าซ้อนลงไปอีก ทำให้เราเสียพลังงานโดยใช่เหตุ และก็ทำสักกายะให้ลดลงไม่ได้ ไม่เป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์ แต่การที่เราแบ่งทำ หรือไปทำเหตุปัจจัยอื่นๆที่เราทำได้ หลายเหตุปัจจัยก็ทำให้เราสั่งสมญาณปัญญา ทำลายสักกายะได้อย่างน่าอัศจรรย์ โดยเฉพาะการอยู่กับมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของการที่จะทำทำพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ได้นั่นเอง
ปัจจุบันจึงสำคัญที่สุด การหมกมุ่นอยู่กับบางเรื่องบางส่ิง ที่เราก็ยังอ่านตัวเราเองไม่ออกไม่ชัดเจน ก็ทำให้เราเสียพลังงานไปกับตัณหาล้ำหน้า อภิชปา เพราะพุ่งเพ่งอยากให้จิตหลุดพ้นจากเรื่องนั้นๆ ก็เลยทำให้ไม่อยู่กับปัจจุบัน ล้ำหน้าไปในอนาคตที่เราอยากให้บริสุทธิ์ ทำให้ละเลยปัจจุบันธรรม ที่เราควรกำหนดรู้อ่านเวทนาเมื่อสัมผัสกับ คน สัตว์ สิ่งของ รูป-เสียง-กลิ่น-รส-สัมผัส ในปัจจุบัน ที่อยู่ตรงหน้า
พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องการปฏิบัติอย่างเป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์ไว้ในปหาราทสูตร ว่า… “ในธรรมวินัยนี้ มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการบำเพ็ญไปตามลำดับ มีการปฏิบัติไปตามลำดับ ไม่ใช่มีการบรรลุอรหัตตผลโดยทันที เหมือนมหาสมุทรต่ำไปโดยลำดับ ลาดไปโดยลำดับ ลึกลงไปโดยลำดับ ไม่ลึกชันดิ่งไปทันที
ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ในธรรมวินัยนี้ มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการบำเพ็ญไปตามลำดับ มีการปฏิบัติไปตามลำดับ ไม่ใช่มีการบรรลุอรหัตตผลโดยทันที นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์ไม่เคยปรากฏประการที่ ๑ ในธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายพบเห็นแล้วต่างพากันยินดีในธรรมวินัยนี้”
พ่อครูได้เทศนาไว้ใน 610603_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ อานาปานสติสูตรพิสดาร ตอน 1 ในเรื่องการปฏิบัติที่เป็นลำดับมีนัยลึกซึ้งซับซ้อนดังนี้….
[286] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอัน เจริญสัมมัปปธาน 4 อยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ
พ่อครูว่า…สัมมัปปธาน 4 คือความเพียร 4
-
สังวรปธาน (เพียรระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้น)
-
ปหานปธาน (เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว)
-
ภาวนาปธาน (เพียรสรรสร้างให้กุศลเกิดขึ้น)
-
อนุรักขนาปธาน (เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ให้เจริญขึ้นเรื่อยๆ ไม่ให้เสื่อมลง)
(พระไตรปิฎก เล่ม 21 ข้อ 14)
สังวรปธานต้องลืมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบสัมผัสแล้วก็ต้องอ่านเวทนาเป็นตัวสำคัญ อ่านอาการหรืออ่านอารมณ์ แล้วแยกอาการแยกอารมณ์ แยกให้รู้ชัดแล้วรู้เหตุที่มาร่วมกับจิตของเราที่ผสมกัน แล้วปรุงแต่งเป็นแบบโลกโลกีย์ อันนี้เป็นตัวตนของโลกีย์ รสชาติโลกีย์ เป็นความหลง เป็นสิ่งที่น่าได้น่ามีน่าเป็นที่เป็นโลกีย์ เราเรียนรู้แล้วเราก็ตามหาเหตุมัน หลงอะไร หลงว่ามันทุกข์ หลงว่ามันสุข คนหลงว่าสุขนั่นแหละเป็นธรรมดา คนหลงยึดทุกข์แล้วชอบใจชอบความรุนแรงชอบความเหี้ยมโหดชอบเตะต่อยตบ พวกนี้คบยากเป็นมาโซคิส เราไม่เอาด้วย เรามาเป็นคนที่มีเมตตามีความช่วยเหลือกัน จะไปเป็นคนที่ไปเบียดเบียนกันทำร้ายกันทำไม หากเป็นผู้ประเสริฐฉลาดแล้วก็จะรู้ทิศทาง จะมาเอาในแนวทางที่ไม่ไปในทางรุนแรงเบียดเบียน สรุปก็คือภาษาอังกฤษเรียกว่าซาดิสม์ เราไม่เอาความรุนแรงต้องการความเรียบร้อยที่ถูกสภาพจะรุนแรงก็ต้องมีผลดี
ความรุนแรงนี้เข้าใจง่ายกว่าความดูดดึงสะสมไว้เรียกว่าความรัก ความดูด อันนี้แหละมันเนียนในมากเลย ก็ต้องมาพิจารณาเรื่องนี้
สรุปคือ เรียนรู้ตัวราคะกับโทสะ โทสะคือตัวทุกข์ร้อนรุนแรง ไม่มีสุข ส่วนความสุขนั่นคือชอบใจมีรสชาติอัสสาทะ มีรสชาติพอใจ เราก็เลิกรสที่เราพอใจนี้ ชัดเจนว่า ให้มันลดลงจางคลายลงเบาบางลง จนกระทั่งเข้าใจ แม้มันละเอียดเราจับไม่ติดแล้ว เราก็ไม่ต้องสนใจ เราได้เท่านี้เอาเท่านี้ก่อน กระทบผัสสะแล้วอย่าให้มันเกิดความชอบที่เราอ่านได้ เราสัมผัสระกำ เราชอบระกำได้แตะได้สัมผัสระกำ อาการที่เราชอบนั้นต่อไปมันก็ไม่เหลืออีกเลยจนกระทั่งมันเหลือนิดนึง เหลือนิดนึง ก็ทำให้ไม่มี มันใกล้มากเลย นึดนึงเรียกอาสวะ มันหมดหยาบใหญ่เหลืออาสวะนิดนึงก็เอาไว้ก่อน
ศึกษาอันอื่นๆอีก มันก็เหลืออีกนิดนึง ศึกษาอันอื่นอีกมันก็เหลืออีกนิดนึง คุณก็จะรู้ว่าอันที่มีอีกนิดนึงนี้มันก็ใช่
คุณก็จะเชื่อเลยว่าอย่างนี้เองมันมีของคุณเองเป็นปัจจัตตัง คุณจึงจะอาศัยเทียบกันได้ อันนี้มันยังมีอยู่นะ อันนี้มันผ่านแล้วอันนี้มันมีอีกนิดนึง อันนี้มีอีกนิดนึง อันนี้มีอีกนิดนึงเราก็จะรู้ว่าอันนิดนึงนี้มันชัดเจนอย่างไร แล้วจะให้มันหายไปอย่างไม่มีเลยมันก็จะชัดเจน ความนิดนึงกับไม่มีเลยมันยาก คุณก็จะรู้มันได้ด้วยตัวเองไม่มีใครทำให้คุณได้ แต่ขั้นนั้นความนิดนึงที่ไม่มีนี้ มันก็ไม่ยากลำบากไม่เป็นพิษภัยแล้ว
ขั้นตอนโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีนี้ ขั้นอนาคามีภูมิจะเหลือนิดนึง อย่าไปกังวลเอาไว้ก่อน จนกระทั่งคุณหมดจากโสดาบัน สกิทาคามี เหลือแต่อนาคามีหยาบ เหลือแต่อนาคานิดๆ ก็มาล้าง เห็นขั้นตอนไหมว่าอะไรควรเอาไว้ก่อน อะไรควรทำก่อน มันเป็นลำดับที่ไม่ง่ายเลย
สรุปแล้วคุณต้องปฏิบัติสังวรปธาน 6 ทวารเป็นเรื่องๆ อันๆ จนสามารถประหารกิเลสนั้นได้ เรียกว่าปหานปธาน ได้แล้วเป็นภาวนา คือการเกิดผลได้ผลเป็นอย่างนี้ คุณก็รักษาผลนี้ให้ได้ อย่าให้มันเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น อย่าให้กลับกลอก อย่าให้มันสลาย อย่าให้มันเสื่อม
รู้จริงๆว่าสิ่งที่เหลือไว้นิดนึง ก็รักษาไว้ สัมผัสแตะต้อง ไม่อย่างที่แม้รู้ตัวไม่รู้ตัวมาอย่างหยาบและละเอียดเราก็อ่านจิตเราได้ว่าเราไม่มี ไม่มีๆคุณก็ได้คำตอบได้ว่าสูญจากกิเลสได้อย่างหยาบกลางละเอียด คุณต้องทำอย่างนี้ได้อย่างนี้ ยิ่งกระทบกระแทกแรงอย่างไร สมาธิก็อยู่ดี ไม่ใช่ว่าไม่มีการกระทบเลยจะบอกว่ามีสมาธิอย่างนั้น ไม่ใช่เลยมันเป็นการหนี ไม่ใช่เหนือ มันเป็นการหนีสิ่งกระทบสัมผัส แต่นี่มันเหนือสิ่งที่กระทบสัมผัสอยู่ แม้กระทบอย่างแรงทีเผลอ มันก็ไม่เกิด มันก็ไม่มี แม้เราไม่ตั้งใจสู้ไม่รู้ตัวมันเล่นทีเผลอ ยิ่งเรามีสติรู้ตัวมันก็สู้ได้มันแข็งแรง เผลอหลายทีมันก็ไม่เกิด จนกระทั่งไม่รู้ตัว มาอีกก็ไม่สะดุ้งสะเทือนเลย นั่นเป็นตัวยืนยันว่าคุณหลุดพ้นแน่ชัด สมบูรณ์แบบ ต้องมีสติตื่นมีปัญญารู้อย่างครบครัน ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาอยู่ในที่ลับไม่รู้เรื่องรู้ราวทิ้งหนีไปเลย มันคนละทิศทางกันเลย เห็นไหม นี่คือสภาวะของจริงที่เราสัมผัสได้
สัมมัปปธาน มีสังวร ปฏิบัติจนกระทั่งกำจัดกิเลสได้เรียกว่าปหานปธาน ได้ก็รู้ว่ากำจัดกิเลสได้เป็นอย่างนี้เป็นภาวนา แปลว่าการเกิดผล ภาวนาไม่ได้หมายถึงไปท่องบทมนต์ ไม่ใช่ เป็นการปฏิบัติเท่านั้น ได้ผลอยู่เรียกว่าภาวนาเป็นตัวได้ผล แต่เขาเข้าใจผิด ดีไม่ดีเรียกการปฏิบัติว่าเป็นการภาวนาเข้าใจผิดเพี้ยนมันน่าสงสาร ก็จะวนผิดฝาผิดตัวจะไปบรรลุได้อย่างไร
สรุปว่าหากเราได้ผลเป็นภาวนา แล้วก็ทำซ้ำเป็นอเสวนาภาวนาให้เกิดผลเช่นนี้ พหุลีกัมมัง ทำให้มากๆๆๆ ก็จะตกผลึกสั่งสมเป็นสมาธิ
สมาธิยิ่งต้องกระทบอยู่กับมัน ไม่ใช่หนีไป อยู่อย่างพิสูจน์เลยว่า มันทนทานได้อย่างไม่มีอะไรจะมาหักล้างความทนทานได้แล้ว อสังหิรัง ไม่มีอะไรหักล้างความทนได้นี่อีกแล้ว มันเป็นสีทนได้ สีที่สุดยอดเลย ไม่ต้องทนมันก็แข็งแรงในตัวมันเองสุดยอด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญอิทธิบาท 4 อยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ
พ่อครูว่า…มีฉันทะคือความยินดี มีวิริยะคือพากเพียรปฏิบัติ มีจิตตะคือมีใจเท่าไหร่ก็ทุ่มเททำให้หมด มีวิมังสาคือคัดแต่เนื้อๆที่ได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญอินทรีย์ 5 อยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ
พ่อครูว่า…อินทรีย์ 5 คือพลังงานของมัน ความแรง ดีกรีของพลังงานจิต มันจะได้พลังงานโลกุตระ โลกียะก็เป็นพลังงาน เราได้พลังงานโลกุตระ ท่านแยกเป็น 5 ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
ศรัทธาคือ ความเชื่อ ความรู้ ความเห็น ความเข้าใจ เรามีแล้ว เราได้สิ่งนี้แล้วอันนี้ใช่ศรัทธาเลื่อมใสเข้าใจ ต้องอันนี้แหละทำอันนี้แหละ คุณก็มาพากเพียรวิริยะ อันที่ 2 ต้องพากเพียรเอาให้ได้ เขาปฏิบัติกันอย่างไรมีสูตรสำเร็จอย่างไรมีความหมายอย่างไร ก็มาปฏิบัติด้วยวิริยะ
ต่อมาก็สติ ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าตัวสติเป็นตัวที่ 3 ของ 5 เป็นความสำคัญ คุณจะต้องมีศรัทธามีวิริยะตามมา ก็ต้องมาเอาสติ มีสติแล้วก็ต้องทำให้เกิดสมาธิกับปัญญาอีก 2
สมาธิคือจิตนั้นเป็นผลแล้วตกผลึกตั้งมั่น โดยมีปัญญาคือธาตุที่ฉลาด ฉลาดรู้แม้แต่ศรัทธาก็ต้องมีปัญญาด้วย ปัญญาคือความฉลาดโลกุตระ ไม่ใช่คนฉลาดแบบโลกียปุถุชน ที่เป็นอย่างเดิม ไม่ใช่ แต่เป็นคนใหม่มีความฉลาดแบบโลกใหม่แบบดาวดวงใหม่ ไม่ใช่ความฉลาดแบบดาวดวงเก่า ให้ออกมาสู่ดาวดวงใหม่ได้แล้ว ดาวดวงใหม่เขาเป็นอย่างนี้เอง มันไม่เหมือนกัน มันต่างกัน ที่โลกนั้นจะเอาอันนี้เขาเรียกว่าดำ แต่ดาวดวงใหม่นี้จะออกไปจากดำ แม้แต่เริ่มเทาก็ต้องออกมาทันที เทาแก่ๆก็ตาม จะไม่ดำแบบหลุมดำเบอร์มิวด้าก็ตาม
มันมีพลังที่รู้ทิศทาง แล้วมีพลังทำออกจากที่เก่า ทำได้มาเรื่อยๆก็เรียกว่าเป็นอินทรีย์มาตามลำดับ มีพลังงานเพิ่มขึ้น เอาย้อนไปทวนอินทรีย์ ของศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ คือจิตที่ทำได้ผลตกผลึกลงเรียกว่าแข็งแรงตั้งมั่น เรียกว่าฌานขั้นที่ 1 ขั้นที่ 2 เรียกว่า ฌาน 1 2 3 4 ก็คือผลของสมาธิที่ทำ ขณะทำเราเรียกว่าฌาน
ฌานเป็นเหตุของสมาธิ ไม่ใช่สมาธิเป็นเหตุของฌาน ไปนั่งหลับตา จะเริ่มต้นด้วยสมาธิแล้วจิตจะเกิดฌาน มันเป็นคนละทิศทางกันเลยคุณเอ๋ย ไปนั่งสมาธิจนกระทั่งจิตเป็นฌาน ฌานลืมตามันต้องมีทวารทั้ง 6 ครบ แล้วได้ผลฌานคือไฟ เป็นพลังงานที่ไปเผากิเลสเรียกว่าฌานที่ 1 2 3 4 อย่างรู้เห็นแจ้ง อย่างลืมตา อย่างมีปัญญา ฌานอยู่ที่ใดปัญญาก็อยู่ที่นั่น ฌานกับปัญญาแยกออกจากกันไม่ได้
คุณจะมีปัญญาก็ต้องมีพลังงานชำระกิเลส ปัญญาคือธาตุรู้ที่กิเลสลดได้จริง เพราะฉะนั้นฌานคืออาวุธสลายกิเลส เมื่อคุณทำอาวุธหรือเครื่องเผาคือฌานสำเร็จ กิเลสก็ถูกเผาลงสำเร็จเรียกว่าผลของฌาน ตกผลึก ทีละตัวๆ ให้มากเข้าแน่นเข้า เรียกตัวมากเข้าแน่นเข้าของจิตที่สั่งสมเป็นผลลงเรียกว่าเป็นสมาธิ ส่วน ฌานคือตัวทำตัวเผา สมาธิก็เป็นผลของจิตที่สะอาดสั่งสมลงไปเรื่อยๆ หากทำสมาธิแล้วไปทำฌาน มันจะได้มรรคผลอย่างไรกันได้
คำเดียวกัน สมาธิ ฌาน คุณก็ใช้ แต่ก็ใช้คนละขั้วกับอาตมา อาตมาผิดคุณก็ถูก หากอาตมาถูกคุณก็ผิด คุณยืนยันไหมว่าคุณบรรลุมรรคผล แต่อาตมายืนยันว่าอาตมาบรรลุมรรคผล อาตมาไม่ได้หมายความว่าอาตมาเอาชนะคุณอย่างที่จะเพียงเอาชนะ แต่อาตมาอ่านกิเลสว่ากิเลสอาตมาเบาบางลง กิเลสมันหมดกิเลสมันไม่มี จิตมันสั่งสมตกผลึกตั้งมั่นเป็นสมาธิ
กระทบสัมผัสกับเหตุทุกปัจจุบันเมื่อไหร่มันก็ไม่เกิดกิเลส อย่างทีเผลอก็ไม่เกิดกิเลส อย่างรู้ตัวก็ไม่เกิดกิเลส กระทบอย่างไรก็ไม่เกิดกิเลสแล้ว เพราะสั่งสมตกผลึกตั้งมั่น ยั่งยืนถาวรแข็งแรงมั่นคง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)
คุณก็ต้องปฏิบัติของจริงของคุณ ปฏิบัติได้ผลคุณก็ได้ผลของคุณ มันตรงกับของพระพุทธเจ้าหรือไม่ หากตรงเป๊ะเปรี๊ยะเลย ก็ใช่ นี่เป็นเรื่องจริงที่เรายืนยันพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าได้ว่าเป็นเช่นนี้
ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญาก็เต็มแล้ว ระวังอย่าล้นก็แล้วกัน ระวังปัญญาจะล้นปัญญาไม่มีการล้น ปัญญาจะมีแต่ความพอดีพอเหมาะ ปโหติ ลงตัวเป๊ะเปรี๊ยะ ไม่มีเหลื่อมแลบเลยเรียกว่าปัญญาครบ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ครบเป็น พละ 5 เป็นตัวจบ อินทรีย์ 5 เป็นตัวสั่งสม
คุณต้องรู้สภาวะจิตอาการจิตของคุณเองว่า ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา คืออะไร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ 5 ประการนี้ ไม่มีแก่ผู้ใดเสียเลยโดยประการทั้งปวง เราเรียกผู้นั้นว่า เป็นคนภายนอก ตั้งอยู่ในฝ่ายปุถุชน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญพละ 5 อยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญโพชฌงค์ 7 อยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ
พ่อครูว่า… “พวกเราทั้งภิกษุฆราวาส มีการพากเพียรเรียกพระโยคาวจร
ปฏิบัติโพชฌงค์ 3 คือสติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ 3 อย่างนี้เป็นตัวปฏิบัติ สำคัญที่สติและธรรมวิจัย แต่ตัวที่ 3 วิริยะคือความเพียร จะต้องพากเพียรปฏิบัติสติ แล้วก็ต้องมีธรรมวิจัย ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาสะกดจิต อย่างนั้นล้มเหลวตั้งแต่โพชฌงค์ข้อที่ 2 ไม่มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์แล้ว คุณวิจัยไม่เป็น ก็ไม่รู้จักทำวิจัย วิจัยจิตตัวเองนะ ไม่ใช่เป็นการทำวิจัยจบด็อกเตอร์ คนจบป. 2 แต่วิจัยจิตเป็นก็มี คนจบด็อกเตอร์แต่วิจัยจิตไม่เป็นเลยก็มี คนจบป. 2 วิจัยจิตเป็นก็บรรลุธรรมเป็นอรหันต์ได้ เพราะฉะนั้นต้องมาวิจัยวิจารณ์ หรือวิตกเป็นธาตุเป็น วิจัยเป็นธาตุรู้
ตักกะจิตดำริ เราก็ต้องรู้ วิจัยแยกแยะ ว่าจิตนี้เป็นเวทนาแบ่งเป็นสอง
เวทนาแท้รู้ความจริงตามความเป็นจริง เวทนาอีกอย่างมีความชอบความชัง คือเวทนาเก๊ เวทนาแท้คือ อันนี้เขียวคือเขียว อันนี้ขาวคือขาว อันนี้คือดำ อันนี้คือรสชาติเปรี้ยวหวานมันเค็มอย่างไรก็เป็นของแท้ คุณจะต้องวิจัยอ่านอาการอารมณ์ที่เป็นเวทนาเก๊ให้ได้ อันนี้มันไม่ใช่เวทนาที่มันเต็มๆ รู้ความจริงตามความเป็นจริง มันมีความชอบหรือไม่ชอบ อร่อยหรือไม่อร่อย สุขหรือทุกข์ อาการพวกนี้ คุณต้องอ่านว่า ก็มันของจริงจบแล้วมันก็เป็นอันเดียวอย่างเดียว
ระกำอันนี้หวานดีนะ ใครมาแตะไม่ว่าจะเป็นลิ้นไทยฝรั่งแขกราวลิ้นจีน ถ้าประสาทไม่เสียก็จะตรงกันหมดว่ามันจะหวานก็อย่างนี้ จะเรียกโดยภาษาฝรั่งก็เรียกไปจีนก็ได้ ไปไทยก็เรียกไปคำว่าหวาน คืออะไรก็ภาษานั้น แต่รสอันเดียวกันของแท้ตรงกันหมดเรียกว่ารสแท้
แต่รสหวานแล้วเกิดความชอบอันนั้นแหละ บางคนกินหวานอย่างนี้ไม่ชอบ ความไม่ชอบนั้นมันของเก๊ มันไม่จริงหรอกมันเป็นผีหลอก นี่แหละทำให้อาการตัวชอบไม่ชอบนี้หมดไป รู้ของจริงตามความเป็นจริงนั้นมันก็เหมือนกันหมด โดยสัจจะมีหนึ่งเดียว มันไม่มี 2 หรอก 2 มันเป็นของเก๊ทั้งนั้น เทฺว ธมฺมา ก็ต้องทำให้เป็นหนึ่งเดียวให้ได้ของแท้ ถ้ามีของปลอมอยู่คุณยังไม่บรรลุธรรม มันยังมีผีหลอกอยู่ แล้วผีพวกนี้ชอบแต่งตัวเป็นเทวดา ชอบนั่นแหละคือผี สุขนั่นแหละคือความทุกข์ ทั้งชอบก็ผีไม่ชอบก็ผีสุขก็ผี
เรามาเรียนวิธีเผาผี ฌาปนกิจผี ทำฌานคือทำไฟเผาผี พวกเรานี่พวกสัปเหร่อ แต่เผากิเลสอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ได้เผาอย่างอื่น อ้าวพรรคสัปเหร่อทั้งหลาย อย่าไปรังเกียจสัปเหร่อ นี่แหละพวกสัปเหร่อตัวจริง เป็นพวกเผาผีเผาซากที่ไม่เอาแล้ว
สติคือธาตุรู้ตื่น ไม่ใช่หลับ คุณหลับตาแล้วไปตื่นในหลับ รู้อยู่ในภพเฉยๆก็ได้ แล้วไปรู้ชัดเจนอยู่ในภพ มันอยู่ในภพนิดเดียวไม่มีอะไรกวนเลย แต่การลืมตามามีสติรู้กระทบอันนี้ยากกว่า
สัจธรรมนี้ ธรรมะพระพุทธเจ้ามีสติคือความตื่น ไม่ใช่ความหลับไม่ใช่ความหลบไม่ใช่ความอยู่ในภพ ให้ออกมานอกภพ จริง ภายนอกมันมีมากก็เอาอันใดอันหนึ่งมา ศึกษาไปตามลำดับ มากนักคุณก็จะไม่ไหว คุมไม่ได้ ให้เอาแค่เรื่องใดเรื่องหนึ่งก่อน ให้มีสติ
ยกตัวอย่างสัตว์มาเยอะแล้ว เอาศีลข้อ 2 เอาของที่เห็นๆนี่แหละ อย่างเช่นพืชที่เป็นวัตถุดินน้ำไฟลม
เอาแตงโม คุณสัมผัสแล้วชอบ ถ้าคุณไปยึดติดกำหนดหมาย แตงโมหากมีรูปอย่างนี้ สีอย่างนี้กรอบอย่างนี้สัมผัสอย่างนี้ชอบเลย คุณสัมผัสเข้า ใครมาสัมผัสแตงโมลูกนี้มากินเนื้อที่กรอบๆ เนื้อหวานเนื้อชุ่ม อะไรก็แล้วแต่ มันตรงกับสเปค ตรงกับที่เรากำหนดหมายอยู่ในใจเคยยึดถือว่าต้องอย่างนี้ ต้องได้แบบนี้ ดีที่สุด มันต่างจากนี้ไปก็ไม่เต็มที่ แต่ถ้าได้แบบนี้เต็มที่เลยถ้าได้ครบทุกมิติ ได้สัดส่วนตามที่เราเคยจดจำว่าต้องได้สัดส่วนนี้ มันก็มาพอดีกับที่ตัวเองยึดไว้ พอดีแตงโมลูกนี้มาพอดีกับตรงที่เราสมมติกำหนดไว้ก็เกิดความชอบ แต่กับอีกคนนึงมาเห็นว่าอย่างนี้ไม่เข้าท่าเลย พอสัมผัสแล้วไม่ชอบ ก็เห็นต่าง ตัวต่างนี่คือจิตสมมุติของแต่ละคน ต่างคนต่าง คนหนึ่งชอบคนหนึ่งไม่ชอบ แต่รสแตงโมนี้มันรสอันเดียวกันไหม ก็รสเดียวกันแท้ๆ แต่ต่างกันนี้ผีหลอก มันชอบ คุณก็ถูกผีหลอก มันไม่ชอบคุณก็ถูกผีหลอก แล้วใครถูกผีหลอก ก็กูเอง กูยึดเองว่ารสนี้กูไม่ชอบกูชอบ ชอบมากชอบน้อยกูเองทั้งนั้น บ้าอยู่คนเดียว ต้องรู้ให้ได้ว่าอาการนี้สัมผัสอีกทีไร แม้มันจะเคยตรงสเปคนี้ Spec นี้เคยชอบ มาสัมผัสอีกทีเดี๋ยวนี้ก็เฉย ชอบหายไปมีแต่เฉยกลางๆ ไม่รู้ตัวทีเผลอ กำลังนอนหลับใครเอามาใส่ปากพอรู้ตัวว่าอะไรเอามาในปาก แตงโมหรือ รสเป็นอย่างนี้เหรอเราเคยชอบ แต่เดี๋ยวนี้อาการชอบนั้นไม่มี คุณก็ยืนยันกับตัวเองได้ นี่คือเรารู้จักผีหลอกกับความจริง เราล้างผีได้หมด มันหลอกเราไม่ได้เลย ชอบก็ไม่มีชังก็ไม่มี สัมผัสทีไรก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง มันไม่เอียงไปข้างชอบหรือไม่ชอบ จึงเรียกว่ากลางๆ เฉยๆ ว่างๆ สูญๆ
คือมันไม่มีทางชอบหรือไม่ชอบ หรือกลางๆ
คำที่ใช้แทนเป็นไวพจน์เป็นคำแทนสภาวะมีเยอะเลย แต่ผู้ที่รู้จักสภาวะแล้วรู้จักใช้ภาษาแทนอย่างไรก็จะเข้าใจความหมายของภาษา มันก็ตรงกับสภาวะหมด ภาษาจะเรียกให้เปลี่ยนแปลงอย่างไรใช้ต่างกันอย่างไรแต่สภาวะอันนี้อันเดียวกันหมด มันสูญว่างกลางเฉย ไม่มีอันตา ไม่มีส่วนแวบออกไปทางนั้นทางนี้ ไม่มีทุกทิศไม่ว่าจะเป็นทิศซ้ายขวาบนล่างกี่องศาก็ไม่มี อยู่ตรงนี้ตรงกลางตรงศูนย์
นี่คือคนบรรลุธรรม เป็นจุดบรรลุธรรมในอารมณ์จิต เรียกว่าความรู้สึกความรู้ธาตุรู้ ตรงนี้แหละ เมื่อเราอ่านสภาวะเรื่องหนึ่ง”…จบธรรมบรรยายจากพ่อครู
…ลำดับอันน่าอัศจรรย์นั้นไม่ใช่เรื่องตื้นเขินเลย…ต้องปฏิบัติจริง ด้วยทฤษฎีจากผู้รู้จริงที่เป็นสยังอภิญญา ผ่านการบรรลุอรหัตตผล และสั่งสมโพธิญาณ มานับชาติไม่ถ้วน จึงสามารถแสดงธรรมบรรยาย อย่างเป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์เช่นนี้…
การที่ทุ่มเทชีวิตมาอยู่กับหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี แม้จะยากลำบาก ไม่มีสวรรค์ให้เสพติดอย่างทาส แต่ว่า ผลของการหลุดพ้นจากความเป็นทาสโลกีย์ได้นั้นมันคุ้มค่าเสียยิ่งกว่าทรัพย์สมบัติโลกธรรมโลกีย์ที่เป็นสมบัติผลัดกันชมอย่างหาค่า บ่ มิได้
และพ่อครูยังกล่าวกระตุ้นพวกลูกๆอีกในวันไหว้ครูสันติอโศก 2561 นี้อีกว่า…
“อาตมาว่าเป็นมนุษย์มันก็มีความรู้เท่านี้ อาจจะมากกว่านี้เจริญกว่านี้ก็ได้ แต่ว่า แนวนี้ ทิศทางนี้ ถ้าเข้าใจองศาของทิศทาง ที่พระพุทธเจ้าจะนำพา อาตมาว่าอาตมาได้นำพายังไม่สูงสุด ชัดเจนว่าสูงสุดด้วยกว่านี้ ตามที่อาตมารู้ว่ามันยังมี อนาคต มีอนาคตังสญาณ ที่มองไปมีวิสัยทัศน์มองไกลไปกว่านี้ เห็นแล้วว่ามันยังมีอะไรอีกที่ยังเจริญได้กว่านี้ โดยมีค่าต้นทุนอันนี้ แล้วก็ยังมีการก้าวหน้าเจริญขึ้นไปอีก อาตมาว่าอาตมาชัดเจน ไม่ได้มัวซัวงมงายมืดมน ก็กระทำตามที่ชัดเจนและมั่นใจ
พวกเราทุกคนที่อาตมาพูดไปนี้ก็บอกความจริงเท่านั้น เราจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็แล้วแต่จะขอกำชับ ถ้าเห็นด้วย เชื่อว่าอาตมาพูดนี้ชัดเจน ถ้าเห็นดีเห็นด้วยตาม ก็เร่งเพิ่มเติมพลังงานของเราให้มากขึ้น พัฒนาอันนี้อย่าไปเฉื่อย เช้าชามเย็นชาม นั่งๆนอนๆ ดีไม่ดีก็ไปกด like เล่นเหลาะแหละ ให้เสียเวลาทั้งนั้นเลย เราก็ผ่านเวลาไป อย่าให้เวลามันผ่าน ให้กาลเวลามันพาเราก้าวหน้าพัฒนาขึ้นไปเถอะ เราก็ขมีขมันไปกับหมู่พวก อาตมาว่าหมู่พวกพวกเรานี้ใช้ได้ พัฒนากันไปได้ อย่าเฉื่อยแฉะ ให้ตื่นตัว active มองหมู่ฝูงเขาทำอะไร ขมีขมัน อุตสาหะวิริยะพากเพียรไปตามหมู่
มันจะเกิดพลังงานก้าวหน้าซับซ้อน มันเป็นนามธรรม ที่มันมีจิตเป็นตัวแกน ไม่ใช่พลังงานทางวัตถุหรือแม้แต่พลังงานทางพืช แต่เป็นพลังงานทางจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นพลังงานที่ใช้ภาษา สื่อแทนว่า มีประสิทธิภาพสูงสุดแล้วในตัวมันเอง ที่มันจะขับเคลื่อน มันยิ่งกว่าหุ่นยนต์ มันเป็นพลังงานในตัวมันเองมีพัฒนาการของการเจริญในตัวเองซับซ้อน ซึ่งเรียกว่าจิต วิญญาณ มันพยายามรวบรวมความก้าวหน้าด้วยความรู้ความเฉลียวฉลาด มันรวบรวมพลังงานทางความฉลาดได้ เป็นเชิงฉลาดระดับปัญญาที่ต่างจากเฉโก”
? ตื่นรู้ตามโพธิ์…29 มิ.ย. 2561
[embedyt] https://www.youtube.com/watch?v=8bMUIxP7WjM[/embedyt]
[embedyt] https://www.youtube.com/watch?v=5uwB_-OtDSc[/embedyt]