คลิกดูภาพตลอดงานได้ที่ปุ่มใต้ภาพข้างบน⇑
บันทึกการจัดงานอโศกรำลึกและบูชาพระบรมสารีริกธาตุ
ครั้งที่ ๓๗ ปิตุบูชาพ่อครู ๘๔ ปี ๔๘ พรรษา
อังคารที่ ๕ มิถุนายน – อาทิตย์ที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๑
นับเป็นครั้ง ๒ ที่มีการจัดงานอโศกรำลึกที่บ้านราชเมืองเรือ ครั้งแรกจัดเมื่อปี ๒๕๕๗ ตอนนั้นจัดภายใต้สโลแกน ๘๐ ปี ไม่มีแก่ ปีนั้นจัดพิธีกตัญญุตาบูชาพ่อครู ที่ริมฝั่งแม่น้ำมูล ฝนฟ้ากระหน่ำลงมาอย่างหนัก แต่ลูกๆทุกคนยังอยู่อาการสงบสำรวมและมุ่งมั่น ที่จะตั้งจิตอาราธนาให้พ่อครูฯมีสุขภาพที่แข็งแรง เป็นร่มโพธิ์ร่มธรรมให้กับลูกหลานตลอดไป
มาปีนี้ ๒๕๖๑ กับงานอโศกรำลึกครั้งที่ ๓๗ ลูกๆชาวอโศก ได้จัดพิธีกรรมน้อมกตัญญูบูชาพ่อครู ที่เวทีใหญ่เฮือนบวร ภายใต้สโลวแกน ๘๔ ปี ๔๘ พรรษา พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ สร้างคนจนสุขสำราญเบิกบานใจ
ในงานนี้มีการแสดงนิทรรศการ ผลงานของพ่อครู บุญนิยมในทุกด้าน เราเห็นได้ผ่านนิทรรศการภายในอาคารบวร ซึ่งแสดงผลงานไว้ทั้งหมด ๗ ด้าน
-
ประวัติพ่อครู
-
ศาสนา เน้นคดีประวัติศาสตร์ สยังอภิญญา
-
ชมพูทวีป สัปปายะ๔ แผ่นดินพุทธ โนอาห์นาวาบุญนิยม พระอรหันต์อยู่ที่ไหนที่นั่นย่อมมีแต่ความรื่นรมย์
-
เศรษฐกิจดีที่สุดในโลกคือสาธารณโภคี เปลี่ยนจากมือที่ยื้อแย่งมาเป็นมือที่แบ่งปัน ไปสุดที่จนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ
-
การเมืองการปกครองแบบบุญนิยมเน้นที่ความสงบสยบความรุนแรง
6.การศึกษาบุญนิยม บวร
7.สามอาชีพกู้ชาติ
อ่านบทความนำชมนิทรรศการ ได้โดยคลิกที่นี่
แล้วยังงานประติมากรรมของศิลปินโลกุตระอีกมากมาย ที่สื่อแสดงถึงนัยยะการสอนธรรมะที่เป็นวิชชาและอวิชชา พร้อมวิถีของนักการเมืองที่ไม่ลดกิเลส กู้ประเทศไม่ได้
ก่อนงานมีค่ายนักเรียน ม.๕ มี ๒๔ คน จาก ๕ โรงเรียนสัมมาสิกขา เพื่อช่วยเตรียมงาน
วันจันทร์ที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๖๑
-
๐๖.๐๐ – ๐๙.๐๐ น. มีประชุมคภส. (คณะเอาภาระสงฆ์)
-
๑๓.๐๐ – ๑๕.๓๐ น. มีประชุมสมณะมหาเถระ โดยมีสมณะมหาเถระเข้าประชุม ๓๓ รูป สมณะเดินดิน ติกขวีโร ดำเนินการประชุม พ่อครูมาให้โอวาท ก่อนปิดประชุม
-
๑๖.๐๐ น. สมณะ ๑๖ รูป พระ ๒ รูป สิกขมาตุ ๔ รูป ร่วมงานฌาปนกิจศพ คุณยายอ่ำ เสรีรักษ์ อายุ ๙๐ ปี ที่เฮือนสุดชีวิต โดยสมณะเดินดิน ติกขวีโร แสดงธรรม หน้าศพ
วันอังคารที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๑
-
๐๖.๓๐ น. สมณะและพระ ๔๔ รูป สิกขมาตุ ๑๓ รูป โดยพ่อครู นำบิณฑบาตรที่เฮือนบวร
-
๐๙.๐๐ น. พ่อครูแสดงธรรมเปิดงานอโศกรำลึก ปี ๒๕๖๑ ….
วันนี้วันที่ 5 ตรงกับวันอังคาร อาตมาเกิดแรม 8 ค่ำ เดือน 7 ก็คลาดไปแรมหนึ่ง
วัฏฏสงสารหรือกาละก็วนเวียนไปวนเวียนมา อาตมาวนเวียนเกิดมา 84 ปีแล้ว ได้ 7 นักษัตร อาตมาเกิดมาชาตินี้ อาตมาปางเลข 7 ก็มาถึงวาระครบรอบ 7 นักษัตร จากวันนี้ไปก็จะเพิ่มจาก 7 รอบนี้ไป ก็คิดว่า จะเลย 7 รอบนักษัตรมาแต่ละรอบ มันก็จะต้องมีอะไรต่ออะไรพากเพียรมากอยู่ให้มีแรงที่จะเหมือนออกนอกโลก จากอยู่ในวงโคจรของโลก ก่อนจะออกจากโลกเกิด การเปิดศักราชใหม่ มันจะต้องมีแรงที่จะต้องพิเศษ ที่จะสามารถออกไป ไม่เช่นนั้นก็วนอยู่อย่างนั้น เหมือนปุถุชนวนอยู่ในโลกปุถุชน ถ้าไม่มีความรู้อย่างสำคัญและก็พยายามพากเพียร มันก็ออกไม่ได้ ออกจากโลกโลกียะ มีจิตมีพลังงานเป็นพลังงานใหม่เกิดโลกุตระคือจิตสามารถรู้กิเลสตัวเอง และก็สามารถทำให้กิเลสตัวเองนี้ ลดลง ดับลงได้จริง ก็เข้าสู่โลกุตระ
ที่พูดไปนี้เป็นเรื่องของนามธรรม จิตเจตสิก รูป นิพพาน ซึ่งเป็นความตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ และปฏิบัติได้จริง
อาตมาเป็นโพธิสัตว์ได้ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้ามาจนกระทั่งมาถึงปางนี้ชาตินี้ ปาง 7 พูดไปบางคนเขาก็หาว่าพูดอวดดิบอวดดี แต่ที่อาตมาต้องเปิดเผยต้องพูดต้องบอกว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เพราะทุกวันนี้คนไม่มีความรู้ ภาษาที่บอกว่ารูปคืออะไร นามคืออะไร กายคืออะไร จิตคืออะไร บุญคืออะไร บาปคืออะไร มันได้ผิดเพี้ยนไปหมดแล้ว เขาไม่รู้ความจริงและรู้ไม่ถูกต้อง อาตมาต้องมาจัดระบบเอาเข้าที่ ให้ลงตัวให้ถูกสัจธรรม ก็เมื่อย แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ต้องพากเพียรอุตสาหะ ปางนี้อาตมาก็มีหน้าที่ที่จะมาบอก ทำความเข้าใจ ให้มีสติรู้ตัว ตื่น เพราะเราไปยึดผิดมานานมามากแล้ว มาเอาสิ่งที่ถูกต้องเสีย เปลี่ยนแปลงจากที่เคยผิดมาเสีย
ผู้ใดตั้งสติฟังได้เข้าใจก็เปลี่ยนแปลงอย่างเช่นชาวอโศกเรา ได้รับมรรคผลได้ประโยชน์จากศาสนาพระพุทธเจ้า พวกเราได้ประโยชน์จากศาสนาพระพุทธเจ้า ผู้ที่ยังไม่เข้ามาไม่แสดงตัวก็มี ไม่แสดงตัวเพราะจำเป็น ตกอยู่ในฐานะจำนนว่าเราไปอยู่ในหมู่ใหญ่ ที่เขาผิดเพี้ยนไปแล้ว แต่พวกที่ส่วนตัวสามารถรับเข้าใจได้ และก็ปฏิบัติตัวเอง ให้มีมรรคผลในตัวเอง จึงเชื่อว่าที่อาตมาพูดนั้นถูกต้อง แต่ก็จำนนแล้วเพราะถูกชนัก ตำแหน่งยศศักดิ์หน้าที่ผูกไว้มาไม่ได้ ก็จะต้องทำหน้าที่ ปางนี้ชาตินี้ของแต่ละท่านให้หมดไป ก็น่าเห็นใจ
แต่สื่อสารก็สามารถทำให้ฟังเทศน์ฟังธรรมจากอาตมาได้ ฟังอยู่ที่ไหนก็ได้ ได้รับรู้ถ้าสนใจใส่ใจ ไม่มีปัญหาเลย เป็นโอกาสที่ดีมากแล้ว
อาตมาบอกพูด เปิดเผยความจริง อาตมาเกิดมาในชาตินี้ไม่มีหน้าที่อื่น มีหน้าที่มาแก้ไขธรรมะ ก็พยายามที่จะอธิบายความผิดความถูกให้ฟัง คนที่ตั้งใจฟังแสวงหามีปัญญามีปฏิภาณดีก็ชัดเจน ก็แก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้น คนที่ดูถูกเลยไม่เชื่อถือเลยก็ไม่ได้อะไร คนที่อยู่กลางกลางเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้างก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง บางคนก็ได้ระดับสิบตรีบั้งนึง บางคนก็ได้สองบั้งสิบโท บางคนได้สมบั้งสิบเอก ถึงขั้นนายร้อย ก็เป็นธรรมดา
ผู้ที่ฟังแล้วได้เห็นความสำคัญในความสำคัญ สำคัญถึงขนาดเอาชีวิตมาดำเนินไปในทิศทางนี้ เพราะว่าอาตมาทำงานมีกลุ่มหมู่ มีเสนาสนะ มีบุคคล มีอาหาร มีธรรมะ มีสัปปายะ 4 มีสิ่งที่เป็นคุณค่าแสวงหาประโยชน์ได้ครบพร้อม ทั้งสถานที่เป็นบุคคลเป็นชุมชน มีความเป็นอยู่มาเป็นสมาชิกชุมชนนี้ มีเครื่องอาศัยคืออาหารเป็นสิ่งกินสิ่งใช้ต่างๆนานา ช่วยกันสร้างช่วยกันกินช่วยกันทำในระบบสาธารณโภคี มีธรรมะเป็นแกนหลัก มีชีวิตอยู่เราอยู่กันอย่างเป็นธรรมะ
สังคมเราเป็นสังคมที่ถือศีล แม้แต่เด็กหรือผู้ใหญ่ก็ประพฤติศีล 5 เป็นชุมชนเป็นหมู่บ้านที่มีศีล ไม่ใช่พยายามบังคับให้มี แต่คนที่มาจะต้องยินดีเข้าใจจะมาประพฤติปฏิบัติศีลสมาธิ ปัญญา วิมุติ แล้วเราก็อธิบายการปฏิบัติศีลให้เกิด อธิจิต เกิดจิตได้อย่างไร เกิดได้ไหม จนกระทั่งจิตมีวิมุติจริงได้ไหม เราก็สามารถพากเพียรปฏิบัติ จนมีความจริงบรรลุมรรคผล เพราะฉะนั้น ชุมชนชาวอโศกจึงมารวมกันอยู่อย่างศึกษาไตรสิกขาของพระพุทธเจ้า
มีศีล ปฏิบัติธรรม เจริญอธิจิต อธิปัญญา อธิวิมุติขึ้นไป ชุมชนหมู่บ้านชาวอโศกจึงเป็นเมืองพระศรีอารย์ ดินแดนพระศรีอารย์พระศรีอาริยะ ศรีอาริยะคือความเจริญ เจริญแบบพระพุทธเจ้า เจริญที่มีความต่างกับความเจริญแบบโลกๆ
อาตมาบวชมา 47 ปี กำลังจะเข้า 48 ปี อายุตัวเอง 84 พรรษา เลขกลับกัน 48 84 เป็นปีที่พวกเราก็คงเห็นเป็นการครบรอบสำคัญ ก็เลยพยายามทำการฉลอง เป็นวิธีการชี้ชวนให้เห็นว่าที่นี่เขามีอะไรกัน ก็เข้ามารวม ที่จริงเขากำลังทำงานศาสนา นำพามนุษย์ให้มีสาระสร้างสรรโลกุตระ ใครเข้ามาก็จะได้ประโยชน์ คนที่ไม่เข้าใจไม่ยินดีไม่เห็นสิ่งนี้น่าเข้าใจก็เรื่องของเขา
อาตมาทำงานมามีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง ชื่อว่า อังคาร กัลยาณพงศ์ ก็รู้จักกันมานาน ตั้งแต่การสร้างปฐมอโศก ท่านอังคารก็เคยไปยืนแช่น้ำลำธาร อ่านกลอน ห้ามไม่หยุดด้วยนะ จำแม่นด้วย ไม่ต้องมีบันทึก จำแม่น พูด ห้ามก็ไม่หยุด ดุด้วย ใครจะห้ามก็ดุด้วย
ท่านอังคารก็รู้จักอาตมาพอสมควร ท่านเขียนกวี ให้อาตมา วันอังคารที่ 8 มิถุนายน ปี 2553 แรม 11 ค่ำ เดือน 7 ปีขาล
เกียรติยศ มงคลชัย แด่ สมณโพธิรักษ์
ร่มโพธิ์แก้ว มุ่งแล้ว เพื่อโลก ร่มเย็น
เห็นกิเลส ตัณหาโรค โศกร้าย
นำมนุษย์เพ่งวิมุติวิโมกข์ โลกุตะ ตรแล
เลิศสติปัญญาไซร้ สว่างฟ้า โพธิญาณ ฯ
สมณโพธิรักษ์ รักซึ้ง รัตนตรัย ภพไตร
ชีพเพื่ออุดมคติชัย ใหม่แพร้ว
โพธิสัตว์ปรัชญาสมัย ใจทิพย์ เพ่งธรรม
นำค่าพุทธธรรมแก้ว ช่วยหล้า อกาลิโก ฯ
ชีพมั่นขวัญคู่หล้า อยู่คง มงคล
พุทธสติปัญญายง หยุดม้วย
พุทธเจ้า สถิตย์ ธรรมตรง จิตรวิจิตร สนิทนาน
ญาณสว่าง สร่างกิเลสด้วย แวนแก้ว พุทธธรรม ฯ
อังคาร กัลยาณพงศ์
- นักเรียน สสฐ. ร่วมร้องเพลงบินตามพ่อ ,นักเรียน สสธ. ร้องเพลง ๘๔ ชันษาบูชาพ่อ, นักเรียน สส. สอ. ร้องเพลง หนึ่งแสงธรรมหมื่นแสงประกาย, วงฆราวาส, คุณทิพวัลย์ ปิ่นภิบาล, คุณอุมาพร บัวพึ่ง, คุณนันทวัน เมฆใหญ่ ร้องเพลง ก่อนสิ้นแสงตะวัน ต้นดอกนกยูง, คุณกัญจณปกรณ์ ร้องเพลงอย่าบอน, คุณเทพ ทูลใจ ร้องเพลงเพ้ออะไร ดอกไม้ไทยลาว ไทยดำรำพัน, การแสดงสัมมาสิกขาบวรสันติอโศก เพลงสาวสัมมาสิกขา
-
๑๓.๑๕ น.รายการพูดคุยเสวนากับศิลปิน ผู้ร่วมงานในอดีตกับพ่อครู มี คุณขวัญชนก ชูเกียรติ ดำเนินรายการ คุณวงจันทร์ ไพโรจน์ คุณทิพวัลย์ ปิ่นภิบาล คุณอุมาพร บัวพึ่ง คุณนันทวัน เมฆใหญ่
-
๑๓.๔๕ น.รีวิวจากนักเรียนสัมมาสิกขาบวรสันติอโศก เพลงแสงแห่งรัก เพลงแตกต่างแต่สามัคคี อ.กัญจน ปกรณ์ ร้องเพลงโทน คุณทิพวัลย์ ปิ่นภิบาล ร้องเพลง ธารสวาท และบัวขาว คุณอุมาพร บัวพึ่ง คุณวงจันทร์ ไพโรจน์ ร้องเพลงกุหลาบเวียงพิงค์ อุทยานดอกไม้ อ.กัญจนปกรณ์ แสดงหาญ ร้องคู่กับ คุณนันทวัน เมฆใหญ่ เพลงมาร์ชประเทศไทย ร้องหมู่
-
๑๕.๐๐ – ๑๖. ๓๐ น. รายการเสวนา โครงการค้นหาพระโสดาบันในตน โดย อาจารย์ ๑ (สมณะบินบน ถิรจิตโต) สมณะลานศิลป์ วชิโร คุณไชยวัฒน์ สินสุวงค์ ดร.หมอเขียว (ใจเพชร) ทนายรินไท มุ่งมาจน ที่เวทีเฮือนบวร
-
๑๘.๐๐ น.คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ มากราบพ่อครู ได้กล่าวถึงการได้รู้จักชาวอโศก ช่วงลาออกจากพรรค จากนั้น
-
-
พิธีปิตุบูชา กตัญญุตาพ่อครู โดยพ่อครูกล่าวเกริ่นเล็กน้อย ก่อนที่ สมณะเดินดิน ติกขวีโร นำกล่าวทำพิธีปิตุบูชา กตัญญุตาพ่อครู….“ลูกหลานชาวอโศกขอน้อมรำลึกนึกถึงพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ในการครบรอบ เจ็ดนักกษัตริย์ของชีวิตในการกอบกู้ศาสนาพอครูได้ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจตัวเองทุกหยาดด้วยเลือดทุกหยดเพื่อประโยชน์และความสุขของมวลมนุษยชาติลูกลูกชาวอโศกจะศึกษาให้ถึงพร้อมในไตรสิกขา อันได้แก่อธิศีล อธิจิต อธิปัญญาให้ยิ่งขึ้นไปด้วยความไม่ประมาทในโทษภัยอันมีประมาณน้อย เพื่อที่จะช่วยกัน สืบสานบวรพุทธศาสนา ให้เจริญรุ่งเรืองไปจนถึง 5000 ปีและรวมกันทุ่มเทแรงกายแรงใจสร้างชุมชนบวร สาธารณโภคีให้เป็นองค์ประกอบของมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีซึ่งเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของการทำพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ สาธุ สาธุ สาธุ”
-
ที่เฮือนบวรวันนี้ ซุ้มบวรสันติอโศกมีการทำเท็มเป้ มีนิทรรศการผลงานของพ่อครู ๔๘ พรรษา ที่สร้างคนให้มีศีลมีธรรม นิทรรศการมีชีวิต นาแรงรักแรงฝัน นาข้าวหลายสายพันธุ์ มานำเสนอ วันนี้มีการปลูกต้นทองอุไร หรือ พ่อครูตั้งชื่อให้ใหม่ว่า ต้นทองอโศก
-
ในส่วนของศิษย์เก่าสัมมาสิกขา จากทุกโรงเรียน ได้รวมตัวกัน ขึ้นร้องเพลงถวายพ่อครู ชื่อเพลงบินตามพ่อ และร่วมกันปลูกไม้ป่า เช่นยางนา มะค่าโมง เป็นต้น คุณหนิง-แก่นหยก ศิษย์เก่าสัมมาสิกขาปฐมอโศกรุ่นที่ ๑ กล่าวว่า “ต้นไม้พันธ์นี้ชื่อว่า ต้นรัก ขอบคุณพี่ๆน้องๆทุกคนที่มาร่วมด้วยช่วยกันแม้แดดจะร้อนยังยิ้มสู้ ปลูกป่าบูชาพ่อครูและยังเป็นการคืนป่าให้แผ่นดิน ถ้ามีโอกาสมีเวลากลับมาช่วยกันตัดหญ้าและปลูกเพิ่ม เสริมได้เสมอ ทางนี้จะเพาะเม็ดพันธ์ุไว้รอนะคะ”
วันพุธที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๖๑
-
๐๓.๓๐ น. สมณะ ๓๒ รูป พระ ๗ รูป สิกขมาตุ ๑๓ รูป โดยสมณะเดินดิน ติกขวีโร นำสวดมนต์
-
๐๔.๑๕ น. เทศน์ทำวัตรเช้า … สิกขมาตุ กล้าข้ามฝัน อโศกตระกูล:- ขอพูดความรู้สึก ประทับใจ พอใจ ซึ้งใจ กับการที่ญาติธรรมมาร่วมกันมากๆ ความพรั่งพร้อมทุกอย่างลงตัว อะไรไม่สำเร็จก็สำเร็จ คนที่มาเยี่ยมก็ลงตัว เมื่อชาวอโศกมารวมตัวมากๆ ก็เกิดเป็นผล ในแต่ละครั้งที่ได้มาพบกันงานใหญ่ๆ เราจะได้มาพัฒนาจิตวิญญาณให้สูงขึ้น เราต้องเอาวันที่ ๕ – ๑๐ มิถุนายน มาพัฒนาจิตวิญญาณ อย่างนิทรรศการ มิใช่ของพ่อครูอย่างเดียว แต่เป็นนิทรรศการของเราด้วย เราเป็นกะลาหงายหรือกะลาคว่ำ ไม่ใช่กะลาหงาย แต่ก็รับไม่ได้เหมือนดาวเทียมล่ม เราต้องเปลี่ยนแปลงเป็นกะลาหงาย อัตตภาพนี่มันโดดเดี่ยวยิ่งนัก สวดมนต์เห็นท่านติกขะ ท่านถิระ แล้วท่านสันตะไปไหน? เราต้องมาตั้งใจรับผิดชอบตัวเอง ฟุ้งเราก็ฟุ้งคนเดียว เราหลับเราก็หลับคนเดียว ยิ่งเมื่อวาน หมอเขียว แจกแจงเรื่องนรกน่ากลัว เราควรพาร่างหนีให้ไกลจากความวนให้ความสำคัญในเรื่องนี้ ร่างนี้เราอาศัยมันมิใช่หลงมัน ช่วงที่เราอาศัยมันก็จัดการมัน ได้ร่างมาก็ฝึกไปจนขาดวิตามิน ขาดธาตุอาหาร เมื่อวานก็มีต้มมะระใส่เท็มเป้ ระดับอาจารย์เขาว่า บี๑๒ มีอยู่ในเท็มเป้มาก ในประเทศไทยมีการรณรงค์ ๓ ตัวร้าย ทุกคนก็ทำหน้าที่ แล้วอย่าไปสุดต่ออันใดอันหนึ่ง ทำอะไรก็ให้ต่อเนื่อง บางคนก็ทำมากไป เช่น วิ่งแต่ไม่ดื่มน้ำ ชาตินี้เราเลือกได้ เมื่อเกิดเป็นแม่ครัวก็ทำได้ ใบชา ยามีวิตามินอันดับ ๒ ของโลก ทําอาหารมิใช่ต้มน้ำเปล่าๆ ทำให้ประณีต ทำอะไรก็ให้ประณีต อะไรไม่ประณีตก็ทิ้ง ทางโลกพลาสติกอุดตัน เขาขยะทั้งวันทั้งคืน ก็เป็นขยะของโลก ตอนนี้ก็ตั้งใจอยู่กับปัจจุบัน อ่านผัสสะ เราเห็นความสำคัญวิชชาโลกุตระเต็มที่
-
๐๔.๕๐ น. เทศน์ ทำวัตรเช้า….สมณะบินบน ถิระจิตโต ตอนนี้ใครแบกอะไร ใครรู้สึกว่ามันหนักๆ ธรรมะมีไว้ให้แบกหรือไว้ให้วาง มีธรรมะเยอะ เครียดมากขึ้น คนที่วางและจะว่างได้ ก็ เป็นนักมองตน อาตมาไปหลายๆที่ เห็นญาติติธรรมที่ปฏิบัติธรรมมาหลายสิบปี ยังไปเครียดกับคนอื่น ข้างนอก มีอาชญากรรมฆ่ากันเยอะ ทำไมเราไม่เครียดกับเขา หากเรารู้สึกว่าคนอื่นทำให้เราเครียด เป็นความรู้สึกผิดหรือถูก? ใครทำให้เราทุกข์ เครียด ก็ตัวเราเอง ศาสนาพุทธเบื้องต้น ต้องพึ่งตนจึงพ้นทุกข์ เชื่อมั่นในวิบากกรรมของเรา หากผู้ใดเกิดทุกข์อยู่ ไม่กำหนดรู้ทุกข์ ผู้นั้นมีปัญญาทราม
-
๐๖.๓๐ น. สมณะ และ พระ ๔๐ รูป สิกขมาตุ ๑๐ รูป นำโดย สมณะเดินดิน ติกขวีโร หนังบิณฑบาต สายหน้าโรงเรียนอาชีวะ มาเฮือนบวร
-
๐๙.๐๐ น. มี คุณจิรา บุญโชค อ.ไตรภพ โคตรวงษา รมช. วิวัฒน์ ศัลยกำจร เสวนา การจัดงานวันดินโลก จะจัดอย่างไร ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำจร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กล่าวเกี่ยวกับการเตรียมการจัดงานวันดินโลก โดยมีเนื้อหาว่า”วันที่ ๕ ธันวาคมนี้ เราจะรำลึก ถึงพระมหากษัตริย์ผู้ทรงอุทิศชีวิตเพื่อราษฎร พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นพ่อของแผ่นดิน ด้วยการจัดงานมหกรรมวันดินโลก โดยเราทุกคนที่เป็นลูกของพระองค์ท่าน สามารถแสดงกตัญญุตา และระลึกถึงท่าน ด้วยการลุกขึ้นช่วยกัน ทำดินให้ดี ใครจะราดสารพิษลงดิน ใครจะอนุญาตให้ยาพิษ ที่ฆ่าสรรพชีวิตในดินยังคงใช้ได้ ใครจะไม่รักแผ่นดินก็เรื่องของเขา แต่เราจะช่วยกันคืนชีวิตให้แผ่นดิน ช่วยฟื้นแม่ธรณี ให้แม่ธรณีได้เลี้ยงแม่โพสพ เลี้ยงพืชพรรณธัญญาหาร ที่จะหล่อเลี้ยงชีวิตเรา มาช่วยกันทำดินให้ดี ให้น้ำดี อากาศดี เป็นเครื่องระลึกถึงและแสดงความรักต่อในหลวงรัชกาลที่ ๙ โดยพร้อมเพรียงกันจากนั้น อ.ยักษ์และคณะได้ร่วมกันปลูกป่าและทำนาโยน
-
๑๑. ๑๕ น. การแสดงของบวร ต่างๆ ของชาวอโศก มีการแสดงของดินหนองแดนเหนือ กล่าวบทกวีปฏิญาณ มี การแสดงของ บวรราชธานีอโศก การแสดงของบวรปฐมอโศก เป็นรีวิว เพลงสาวสัมมาสิกขา เพลงเห่เรือบูชาพ่อ เพลงบินตามพ่อ กลุ่มวังจันทร์พฤกษา สานสัมพันธ์ตะวันออก การแสดงแพทย์วิถีธรรม คุณซึ้งบุญ บูรณกิตติ (คุณแซมดิน มาประชาสัมพันธ์ รมช. วิวัฒน์ ศัลยกำจร ให้ผู้จะไปช่วยปลูกป่า การทำนาโยน สมัครไปช่วยได้โดยเตรียมรถไว้หน้าเฮือนบวร) คุณไหม ตะวันเดือน ร้องเพลงลํ้าค่ากว่าดาว วงลูกอโศก มาแสดงดนตรีไทย
-
การเสวนา ปิ้งปิ้ง บี๑๒ มหัศจรรย์ เจ๋งเลย โดย ทญ. หมอฟ้ารัก ทิพยธรรม คุณนิดดา หงษ์วิวัฒน์ ผ.ศ. นิตดา ศรีสกุล อ.ศุภษา เจริญพงศ์
ทญ. ฟ้ารัก: ปีนี้เป็นปีที่ ๘๔ ของพ่อครู และ บวชมา ๔๘ พรรษา ชาวอโศกเป็นนักมังสวิรัติ ไม่กินไข่และนม ปีนี้เน้นไม่ใช้ผงชูรสและบริวาร กินอย่างไรเพื่อให้สุขภาพดี และสมองใส
คุณนิดดา หงษ์วิวัฒน์:องค์ประกอบการสร้างเลือด กระดูกสร้างเลือดด้วย กระดูกแขน กระดูกขา ป้านิดล้ม ก็กินอาหารที่มีแคลเซียม ผักใบเขียว กล้วย งา ตากแดด แช่น้ำปัสสาวะ ๑๐-๒๐ นาที แสงแดดสร้างวิตามินดี ตากแดดให้ใส่เสื้อสีอ่อน ก่อนตากแดดให้ดื่มน้ำ ๑ แก้ว ตากด้านหน้า ๑๐ นาที ด้านหลัง ๑๐ นาที ก่อนตากแดดอาบน้ำก่อน ตอนนั้นอายุ ๖๕ ปี เมื่อดูแลสุขภาพดี กระดูก ตรวจแล้วเท่ากับผู้มีอายุ ๒๗ ปี ให้กินอาหารสดเข้าไว้ มีคนญี่ปุ่นอายุ ๑๑๐ ปี เขาไม่กินอาหารเสริม ปัญหาที่เรามี กินอาหารสุกเยอะ เราควรเน้นการกินผักสด เอนไซม์ได้จากการกินผักสด ผลไม้สด อาหารอร่อยได้จากดอกเกลือ แสงแดดขยายเส้นเลือด เลือดไหลดี รักษาการอักเสบ แสงแดดมีออกซิเจนมากขึ้น การกินสาหร่าย มีบี ๑๒ แสงแดดทำให้สายตาดี การย่ำหญ้าได้ประจุไฟฟ้าสมดุล การเคี้ยวอาหารให้ละเอียด การพักผ่อนหยุดคิด
จากนั้นประกาศผล เรื่องการปรุงรสและบริวาร น้ำส้มกล้วย ชนะเลิศ บวรศาลีฯ คุณอนงค์ (นุ่มลึก) คชสารทอง รองชนะเลิศ บวรภูผาฯ คุณพุทธพิมพ์ไพร ชวนนทกิจ ซีอิ๊วขาว สูตรสีมาฯ รางวัลชมเชย สีมาฯ คุณพรดิน อิ่มจิต
อาหาร บี๑๒ ชนะเลิศ บวรราชธานีฯ เต้าเจี้ยวสมุนไพร พลังธรรมชาติ ของ คุณดินเย็น ชาวหินฟ้า รองชนะเลิศ บวรปฐมอโศก ยำเต้าเจี้ยวสันโดษ รสเด็ด ของอุบาสิกาใจบุญ ชาวหินฟ้ารางวัลชมเชย บวรราชธานีฯ เต้าเจี้ยวสมุนไพร พลังธรรมชาติ ของคุณเทียนดิน ทัศโน
อาหารพื้นบ้านชนะเลิศบวรปฐมอโศก คุณต้นบุญ จำชูรองชนะเลิศ บวรสันติอโศก สลัดผักพื้นบ้าน คณชลลดา พันธุเมธากุลรางวัลชมเชย บวรภูผาฯ แกงแค คุณสู่กระแสธรรม คำใหญ่
วันนี้ คุณสุทธิชัย หยุ่น มาสัมภาษณ์พ่อครู ออกในรายการฟังเสียงประเทศไทย ช่องไทยพีบีเอส …สัมภาษณ์เรื่องเกี่ยวกับ ศาสนา การเมือง สังคม และชุมชนชาวอโศก
-
๑๕.๐๐ น. ประชุมคุรุสัมมาสิกขา ที่ชั้น ๒ เฮือนศูนย์สูญ มีสมณะจำหน่าย ๘ รูป สิกขมาตุ ๒ รูป นำโดย สมณะบินบน ถิรจิตโต
-
รายการภาคค่ำ ของวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๖๑ รายการ ๕ ธันวา(วันดินโลก) เฉลิมฉลอง แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง สมณะเดินดิน ติกขวีโร นำสัมภาษณ์ มี คุณธีรัชวัช วงค์ศิริกุล อ.สามารถ หนูทอง อ.เชาว์วัช หนูทอง คุณขวัญดิน สิงห์คำ
ครูที: เป็นลูกชาวนา อยากเป็นครูตั้งแต่เด็ก โตขึ้นเป็นครู อึดอัดระบบ สุดท้ายลาออก มาเป็นครูที่ไม่มีสังกัด แต่เป็นครูโดยจิตวิญญาณ ไปอบรมที่มาบเอื้อง กลับมาทำกสิกรรม สร้างบ้านดินอยู่ มีความสุข พออยู่ พอกิน พอใช้ พอร่มเย็น ปลูกไผ่ ได้ดินดีมีหน่อไม้ มีเห็ดเกิด (เห็ดโคน)ตอนเป็นครู อูให้เงินแม่เดือนละ ๒๕๐๐ บาท ปลูกผัก ปลูกมะนาว มีเงินให้แม่มากกว่านั้น เก็บพันธุ์ข้าวได้ ๒๐๐ สายพันธุ์ หาพันธุ์ข้าวให้เหมาะกับนา ข้าวเหนียวขาววิสุทธิ์ นุ่ม หอม น้ำท่วมไม่ตาย ปลูกต้นเดียวแตกกอดีมาก ตกไร่ละ ๑๒๐๐ กก.คนตาย เหม็นเน่า ดินตายก็เหมือนกัน ไถนา เจอไส้เดือนตัวเดียวดีใจมาก
อ.สามารถ หนูทอง: ลาออกจากครู เพื่อมาหาความพอเพียง เป็นอิสระดี ปลูกถั่วเขียว หน้าแล้ง ปลูกข้าวหน้าฝน ได้ปุ๋ยอย่างดี นาโยน ๑๐๐ ถาด ต่อ ๑ ไร่ โยนแบบไม่ปราณีปราศรัย ปุ๋ยไม่ใส่ ข้าวนา หนามาก ข้าวล้มรถก็เกี่ยวได้ ต้นถั่ว เป็นปุ๋ยให้ข้าว ฟางข้าวเป็นปุ๋ยให้ถั่ว ถ้อยทีถ้อยอาศัยปลูกข้าวอินทรีย์ ระยะห่าง ๘๐ ซม. แตกกอเต็มพื้นนา คันนาปลูกเผือก เตรียมการณ์ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง ผู้ผลิต กสิกรรมไร้สารพิษ ขยายวง
อ.เชาว์วัช หนูทอง: อ.สามารถ เป็นพี่ใหญ่ อ.เชาว์วัช เป็นน้องเล็ก เป็นวิศวกรด้วย เป็นครูด้วย สุดท้ายเป็นชาวนา ถ้าทำพื้นนาเรียบ วัชพืชจะไม่ขึ้นเลย เตรียมดินให้ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง ข้าว ๙ มงคล ขาว ๓ แดง ๓ ดำ ๓ ถ้าดินดี พันธุ์อะไรก็ปลูกได้หมด ดินไทย ร้อนชื้น ดินดีอินทรีย์วัตถุไม่ต่ำกว่า ๕ ⁒ ดินดีมีอินทรีย์วัตถุ ๘ ⁒ ได้ข้าวไร่ละ ๖ ตัน
อ. ขวัญดิน สิงห์คำ: ชาวนามีความหลากหลาย แต่รักดินเหมือนกัน การรักดินต้องมีความฉลาด ก๊อปปี้อดีต พัฒนาอนาคต รักพ่อหลวง ต้องพัฒนาตัวเองใช้สื่อเจาะใจ สัมภาษณ์คนทำเรื่องดินหลายๆคน เป็นต้นแบบ พวกสื่อต้องขยัน สื่อสารไปทั่วโลก ใจเปลี่ยน โลกก็เปลี่ยน
สมณะเดินดิน ติกขวีโร: สร้างคน สร้างดิน สร้างตัวเองก่อน ปฐมอโศกแจกข้าว มีคุณค่า คนรวยคนจนก็กินข้าว ช่วยกันทำให้ล้นเหลือ ไม่ให้ข้าวยากหมากแพง
วันพฤหัสบดีที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๖๑
-
๐๓.๔๕ น. สมณะเดินดิน ติกขวีโร นำสวดมนต์ มีสมณะ ๓๙ รูป พระ ๖ รูป สิกขมาตุ ๑๔ รูป
-
๐๔.๑๕ น. พ่อครูแสดงธรรม…
ก็ขอสรุปว่า ประกาศตัวเองอย่างยิ่งใหญ่ในวันอโศกรำลึกปีพ.ศ 2561 ซึ่งเป็นปี 77 ก็คือ 2+5 หรือ 6+1 มันก็ 7 อาตมาเกิดปี 2477 ขอประกาศเลยว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์เป็นผู้จะมากอบกู้ศาสนาพุทธอย่างสัมมาทิฏฐิ ดึงให้เข้าร่องรอยที่มันออกนอกทิศทางเลอะเทอะเยอะแยะ จนกระทั่งทำลายศาสนา ปูยี่ปู้ยำอยู่ในสังคม ตอนนี้สังคมเขาปราบมันก็ดีขึ้น ปราบปรามสนามของศาสนาไป นี่ก็ประกาศตัวเองขึ้นมาในวันนี้ ปีนี้ปี 77 เกิดปี 2561 วันนี้กลาง วันที่ 7 เดือน 7 ด้วย แรม 9 ค่ำ ก็ประกาศมันข้างแรมนี่แหละ มันก็ยาก เพราะว่าประกาศตอนเดือนมืด พระขึ้น 9 ค่ำก็ดีนะ ก็ได้แค่นี้แหละโพธิรักษ์ ประกาศแสงสว่างในที่มืดก็ได้แค่นี้
คำว่าโพธิสัตว์นี้คนละเรื่องเลย โพธิสัตว์ของเขาของศาสนาพุทธในเมืองไทย เข้าใจว่าโพธิสัตว์นี่คือปุถุชน เป็นอาริยะชนไม่ได้ เพราะถ้าขืนเป็นอาริยชนแล้วอย่างต่ำก็เป็นพระโสดาบัน เขาก็เข้าใจตื้นๆว่าโสดาบันจะต้องเกิดอีก 7 ชาติ จากท้องพ่อท้องแม่เป็นคนนี้ชื่อนี้ จากท้องพ่อท้องแม่ 7 คน 7 ชาติ สูงสุดได้แค่นั้น ชาติที่ 7 เขาต้องเป็นอรหันต์ อย่างช้าที่สุด เมื่อเป็นอรหันต์แล้ว เวลาร่างกายตายลง อรหันต์ตายแล้วจะต้องสูญ ต่อภพต่อชาติอีกไม่ได้ โพธิสัตว์ก็เลยสั้นจู๋อยู่แค่นั้น ถ้าเป็นโพธิสัตว์เกิดอีกกี่ชาติก็ต้องตายสูญ ในศาสนาพุทธจะสืบทอดกันอย่างไร ตายแล้วต่อเป็นโพธิสัตว์เป็นพระพุทธเจ้าไปอีกได้อย่างไร าเพราะฉะนั้นจะเป็นพระอาริยะไม่ได้เพราะเข้ากระแสแล้วอีกแค่เจ็ดชาติจะต้องตายสูญ หมดสิทธิ์เป็นพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเป็นพระโพธิสัตว์หมดสิทธิ์เป็นพระอาริยะ นี่คือความเข้าใจผิดของเถรวาท น่าสงสารจริงๆเลย
บอกว่าเป็นพระอาริยะ เป็นพระโสดาบันไปตามลำดับ พระพุทธเจ้าบอกว่าปฏิบัติเป็นลำดับมหัศจรรย์งดงามและสัดส่วนไปตามลำดับดีที่สุด ในปหาราทสูตร
เพราะฉะนั้นเราจึง ขาดแหว่งไปเรื่อย โพธิสัตว์เป็นอาริยะก็ไม่ได้ ต้องเป็นปุถุชน ศาสนาพุทธในเมืองไทยจึงไม่เคารพโพธิสัตว์ ไม่นับถือโพธิสัตว์ ก็เลยน่าสงสาร เพราะว่าโพธิสัตว์เขาบอกว่าไม่ใช่อาริยบุคคล เขาจะเอาแต่อรหันต์ เขาไม่เอาโพธิสัตว์ มันก็ดีที่อรหันต์ แต่ถ้าคุณเข้าใจว่าอรหันต์นี่แหละ โพธิสัตว์คือยอดรู้ของอรหันต์ รู้จักอรหันต์เป็นลำดับตั้งแต่โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์
โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.สัมมาสัมพุทธโธ(พระพุทธเจ้า)ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า
อาตมาเป็นคนพูดเองเรื่อง 9 โพธิสัตว์ เป็นคนเรียงลำดับและอธิบายความหมายให้รู้ อาตมาไม่ได้บัญญัติภาษาใหม่
อาตมาพูดแบบแข็งๆกระด้าง เปรี้ยงๆตรงๆ เหมือนขวานจักตอก ใครจะยอมรับหรือติก็แล้วแต่ อาตมามาประกาศตนว่าอาตมามาสืบสานศาสนา คนทุกวันนี้เข้าใจแล้วเชื่อเพิ่มขึ้น เพราะอาตมาพิสูจน์ความจริงที่ว่า ถ้าให้คนมาปฏิบัติธรรมรู้จักศีล สมาธิ ปัญญา รู้จักวิมุต แล้วก็พามาปฏิบัติ จนกระทั่งเกิดปรากฏการณ์จริง คนปฏิบัติได้จริง มีตัวตนบุคคลจนกระทั่งเกิดสถานที่ นี่แดนศรีอาริย์ นี่แผ่นดินพุทธ นี่ชมพูทวีป เป็นแดนแห่งคนมีคุณธรรม ศีล สมาธิปัญญาวิมุติตามคุณธรรมพระพุทธเจ้าได้จริง คุณหลุดพ้นมาจากอบายภูมิ
อบายภูมิคืออะไร อบายภูมิ มีอยู่ในโลก แดนที่แย่งชิงกันมากไม่รู้จบ ตะกละตะกรามทุจริตด้วย ได้เงินมามากมายร่ำรวยทุจริต หรือทำภัยทำโทษให้แก่คนอื่น เช่น ร่ำรวยมาด้วยน้ำเหล้าร่ำรวยมาด้วยอาวุธ ร่ำรวยขึ้นมาด้วยการฆ่าสัตว์ ร่ำรวยขึ้นมาด้วยอกุศลต่างๆอบายมุขต่างๆ คนที่ไม่รู้ มุ่งความร่ำรวย โลกเขาก็รู้เขารวยด้วยการสร้างอาวุธ ฆ่าสัตว์ สร้างความมอมเมาสิ่งมอมเมาครอบงำให้คนสนุกสนาน ติดยึดในกีฬาการละเล่นบันเทิง ขิฑฑาปโทสิกะ เป็นสัตว์นรกที่มาหลอกด้วยรูปเทวดา หรือไปหลงใน มโนปโทสิกะ หลงจิตมโน อย่างที่พวกศึกษาหลงจิต เขาไม่เอาบันเทิงเริงรมย์ แต่ก็มุ่ง ไปทางเดรัจฉานวิชาไสยศาสตร์ จิตก็เลยถูกมอมเมา พระพุทธเจ้าแบ่งโทษด้วย 2 อย่างเท่านี้แหละ
ขิฑฑาปโทสิกะหลงกามเป็นอัตตา มโนปโทสิกะหลงจิตเป็นอัตตา
ขิฑฑาปโทสิกะคือหลงความบันเทิงเริงรมย์ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ล่ากามคุณ 5 ได้เยอะมันก็เรื่องภายนอกทั้งนั้น ก็เป็น ขิฑฑาปโทสิกะ คือนรกที่เขาหลงว่าเป็นเทวดา สัตว์นรกกับเทวดาเป็นอันเดียวกัน คุณจะไปสุดโต่งสวรรค์นรก ศาสนาพุทธไม่เอาสวรรค์ไม่เอานรก สวรรค์คือรสชาดโลกีย์ อาตมามาสอนหักด้ามพร้าด้วยเข่า เลิกโลกีย์มาเอาโลกุตระ เยิ่นเย้อยืดยาด แยกไม่ได้ โลกียะกับโลกุตระอยู่ตรงไหน จนอธิบายไม่ออกในเวทนา 108
เคหสิตเวทนาเป็นโลกียะ เนกขัมมสิตเวทนาเป็นโลกุตระ ต้องอ่าน กาย เวทนา จิตธรรม อ่านกาย ที่เป็นจิต มโน วิญญาณไม่ได้ แยกให้เป็น เคหสิตะ เนกขัมมะ มโนปวิจาร 18 อาการจิต โลกียะกับโลกุตระ คุณแยกไม่ออก แล้วทำเวทนาสองให้เป็นหนึ่ง ให้เป็นเนกขัมมะอย่างเดียว เอกสโมสรณาภวันติ เทวธัมมา ทวเยนะ ทำเวทนาโลกีย์ให้หมดไป ให้เหลือแต่เวทนาโลกุตระ
คุณทำไม่สำเร็จ ถูกหลอกให้ไปทำกสิณอะไรเยอะแยะ มันก็เลยหลงทิศทางน่าสงสาร อาตมาพยายามดึงกลับ
คนยังไม่ตายเขาก็ต้องมีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม กรรม 3 ทั้งนั้น แต่ผู้ไม่ได้ศึกษาแล้วก็ควรจะสังวรปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ชีวิตอย่างไร เขาก็ไม่ได้คำนึงว่ามีตัวกิเลส หรือตัวสำนึกดี คนเราก็มีกิเลสที่พาให้สำนึกชั่ว เป็นตัวเหตุที่พาให้สำนึกชั่วคือตัวกิเลส เป็นอำนาจ สำนึกดีก็เป็นอำนาจ ผู้ที่มีอำนาจสำนึกดีมากกว่า ก็กดหัวกิเลสไว้ได้มากหน่อย ถ้ามีแรงของกิเลสมากกว่าสำนึกดี กิเลสมันก็กดหัวเอา แล้วก็ให้ประพฤติไปตามกิเลส กิเลสแรงมันก็ทำแรงโหดร้าย หรือว่า เถื่อนๆดุๆไป คนที่มาศึกษาธรรมะก็จะเข้าใจกรรมกิริยาเหล่านี้
โดยเฉพาะศาสนาพุทธสอนถึงขั้นใช้จิต หากเป็นสัญญาที่ไม่มีอำนาจถึงขั้นกำหนดรู้ สัญญาก็เป็นความรู้ ปัญญาก็เป็นความรู้ แต่สัญญามันไม่มีอำนาจเท่ากับปัญญา ปัญญาเป็นความรู้ที่เป็นโลกุตระ ของเราศึกษา ที่อื่นเขาไม่ได้ศึกษาธาตุรู้ที่กำหนดรู้ นัยยะ ปัญญาคือโลกุตระ และเป็นการประกอบไปด้วยทั้งภายนอกและภายใน ปัญญาต้องมีภายนอกด้วยเสมอ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เปิดทวารทำงาน สัมผัสรู้แล้วกำหนดรู้ ปรุงแต่งสังเคราะห์สังขารกันขึ้นเป็นความรู้ รวมเรียกว่าสังขาร
ความรู้ตัวของคนทั่วไปเป็นสังขาร 3 เขาสังขารไม่มีธาตุรู้ที่จะเข้าไปรู้ลึกซึ้ง มีสติสัมโพชฌงค์ มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ วิจัยจิตในจิต กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิตธรรมในธรรม แล้วก็ดูธาตุที่เป็นจิต เจตสิก มันทำงานเป็นกิเลส เป็นอาการไม่ดี พลังงานไม่ดีของจิต เมื่อเรียนรู้ พุทธใจแยกแยะจิตใจจิตวิญญาณออก วิตกวิจัยจิตวิญญาณ มันตักกะ วิตักกะออกมา ก็วิจัยแก้ตัวกิเลสได้ ระเบียบวิธีการทำให้กิเลสลดลงโดยวิธีการสะกด สมถะ แรง กดดื้อๆ กับวิธีที่กำหนดรู้ด้วยปัญญา การกำหนดรู้ด้วยปัญญานี้ทำให้กิเลสลดนี่ พระพุทธเจ้าอธิบายไว้ชัดเจนแต่คนยังทำได้ยาก คือ
พิจารณาให้เป็นไตรลักษณ์ พิจารณาตัวอาการกิเลส หรือจิตก็เหมือนกัน จิตมันก็ไม่เที่ยงมันก็เป็นทุกข์ มันเป็นอนัตตา กิเลสก็เป็นส่วนหนึ่งของจิต เป็นอาการของจิต มันก็ไม่เที่ยงมันเป็นทุกข์และเป็นอนัตตา
การที่ได้มีปัญญาเข้าใจเลยว่า มันไม่เที่ยง นี่แหละเป็นตัวที่ลึกซึ้งที่สุด เพราะอาการที่มีในจิตตัวผู้ใดมีการปฏิบัติ ถ้าเราใช้คำว่าเพ่ง เพ่งนี้มันแค่สงบเฉยๆสมาธิ เพ่งกับวิจัย ต้องพินิจ เพ่ง วิจัย เห็นว่าอาการมันไม่เที่ยงมันจะละเอียดลึกซึ้งลงไปทุกๆเศษเสี้ยวของวินาที ผ่านไปๆ เศษเสี้ยวของวินาที มันเปลี่ยนเลยนะ มันไม่เที่ยงมันไม่ได้อยู่อย่างเดิม มันอาจจะมีอะไรมาผสมผเส ปรุงแต่งธาตุรู้นั้น เฉพาะธาตุรู้ มีอะไรปรุงแต่งไปเรื่อยๆในความคิด แต่อาการของจิตที่มันผ่านเศษเสี้ยวนั้นไป มันไม่คงเดิม ถ้าใครสามารถรู้ว่าความไม่เที่ยงนี้มันเดินไปเหมือนกับเวลา เวลาเอาพยัญชนะภาษามาเทียบ เป็นวินาที เป็นนาทีเป็นชั่วโมง ข้อกำหนดระยะห่างตรงกลาง จากต้นไปถึงตรงนี้เรียกว่าวินาที เรียกว่านาที เรียกว่าชั่วโมง เรียกว่าวัน ก็เป็นการกำหนดของสังขยาเลข หรือภาษา
ความจริงเราจะเรียกว่าเวลา เวลาคือความไม่เที่ยง มันเดินไปอยู่ตลอดเวลาไม่หยุดที่เก่า คุณจะหยุดให้เที่ยงนี้ จะจับโลกให้หยุดหมุน จะจับพระอาทิตย์ให้หยุดหมุนให้หยุดเดินอยู่นิ่งๆ แล้วมันก็จะเที่ยง เวลาก็จะเที่ยง ใครสามารถทำได้ไหมล่ะ จะอาสาเป็นหนุมาน ไปจัดการดึงสุริยาทิพย์ให้หยุด ดำเนินไป
ภายในเวลาที่เราเกิดจนถึงปัจจุบันนี้ บางคนก็ มีแก่กว่าอาตมากี่คนนะในที่นี้ ..มีสองคน
-
๐๖.๓๐ น. สมณะ พระ สิกขมาตุ บิณฑบาต นำโดย สมณพิสุทธิ์ พิสุทโธ
-
๐๙.๐๔ น. สิกขมาตุ สัจฉิกตา ตั้งเผ่า แสดงธรรม…. การเป็นชาวอโศกอย่างพ่อท่านอธิบาย วันนี้ชาวอโศก แตกต่างจากชาวโลก เรามักน้อยสันโดษ แต่เฮือนบวรใหญ่มาก เป็นธรรมะสัปปายยะมั๊ย ทุกอย่างก็รวมอยู่ในนั้น เฮือนบวรใหญ่มาก ต่อให้ชาวอโศกมีเป็นพัน นั่งก็นิดเดียว ไม่ใช่ชาวอโศกทำอะไรใหญ่เกินตัวก็ไม่ใช่ แต่มองถึงอนาคต ทุกคนที่เข้ามายากเย็นลำบาก ไม่ง่าย ต้องฝืนใจตัดกิเลส จนกระทั่งมาถึงวันนี้ ก็ต้องฝืนทน ซึ่งมันแตกต่าง เหมือนอย่างคนอยู่โรงพยาบาลบ้า เมื่อปี ๒๕๑๗ ที่โดนทดสอบ มาคบอโศก อโศกก็ยังไม่เป็นนักบวช ไม่เหมือนสมัยนี้ ตอนนั้นมาเป็นปะ โกนผมออกเลย เราจบทางโลกแล้ว สมัยโน้นใส่ผ้าขาว สไบขาว โกนผมเข้ามาก็มุ่งมั่นเต็มที่เลย วันนี้เป็นวันอโศกรำลึก แต่ละชีวิตต่างมากันคนละอย่าง ก่อนจะออกมาต้องใช้ทุนก่อน ตั้งใจว่าอายุ ๒๙ ปี จะบวช จริงๆ ๒๙ ปี ก็ได้บวช ก็ลงดัว เราเอาตัวเราเป็นที่ตั้ง ไม่ได้คิดถึงองค์ประกอบโดยกฎเกณฑ์ กติกา ไป ๑ ปี ต้องมาใช้ทุน ๒ ปี ใจมุ่งมั่นตั้งแต่เด็ก ตั้งใจบวช ในความเป็นจริง ใจเราเศร้ามาก
ท่านได้เล่าถึง กิ่งอโศก อยู่ที่จังหวัดนนทบุรี ตอนเช้าต้องขึ้นรถเมล์ไป ไม่ได้ใส่รองเท้า ศรีษะก็โกน เท้าก็ไม่ใส่รองเท้า ตอนเลิกงานรถแน่นมากเลย รอรถเมล์คันที่คนไม่แน่น จากสี่โมงเย็นจนถึงทุ่มกว่า ตอนนั้นก็จับความรู้สึกกับอดทน ตอนนั้นตั้งความหวังไว้ครบแล้ว แต่ยังไปไม่ถึงจุดหมายของชาวอโศก เบิกบานแจ่มใส ตอนนี้ตื่นมาก็ปรับอารมณ์ พวกเราโอกาสดีมากๆ อย่างเขาว่าเมืองไทยอุดมสมบูรณ์ ชีวิตของพวกเรา ฟังพ่อท่านก็ใช่เลย เด็กๆทุกคนก็ต้องฝึกฝนตนเอง
-
๐๙.๔๐ น. สมณะผืนฟ้า อนุตตโร: แสดงธรรม…ฟังสิกขมาตุ ก็นึกถึงอดีต ยังไม่มีมวล แต่ก่อนก็อยู่กันแค่๒-๓ คน ตอนเย็นก็เตรียมอาหาร จนมีชื่อว่ากินต้นมะละกอ ความจนทำให้เราเข้มแข็ง ที่แดนอโศก น้ำต้องโยกใส่ตุ่ม ตอนนั้นเน้นเรื่องธรรมะ พ่อครูสอนเช้า สาย บ่าย เย็น พ่อครูสร้างพิรามิดยอดลงมา สมัยก่อนก็บวชจากข้างนอก ก็ไปหลงเรียนอภิธรรรม ไปถามอาจารย์ว่าจะบรรลุอรหันต์อย่างไร ท่านว่าให้ไปถามพระป่า จึงไปอ่านหนังสือหลวงพ่อชา หลวงปู่พุทธทาส มีเพื่อนท่านมนาโปมาบอกว่า พ่อครูทำตามพุทธบัญญัติจริงๆ ไม่ใช้เงิน ไม่ใช้ย่าม ไม่ฉันเนื้อสัตว์ เมื่อเข้าไปแดนอโศก ขนลุก ก็ได้มาอยู่กับพ่อครู ถ้าบวชเถรสมาคม คงได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ ดีแต่ว่าไม่ไปติด ลาภ ยศ สรรเสริญ จึงออกมาง่าย มาอยู่กับพ่อครู ต้องมี สัมมาทิฏฐิ อาตมาชัดเจนใน มรรคมีองค์ ๘ ตอนอยู่สันติ อยู่โรงพิมพ์ มีงาน มีองค์ประกอบ มีสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิเบื้องต้นอยู่กับพ่อครูถูกต้องแล้ว
-
ช่วงบ่ายมีการประกวดร้องเพลงสัจจะชีวิตและเพลงชาวอโศก
รุ่นเยาวชน
ที่ ๑ ได้แก่ ด.ญ. นฤมล ใต้หล้า (มดตานอย) จาก บวรปฐมอโศก
ที่ ๒ ได้แก่ ด.ญ. ปัณณิกา อุ่นแพทย์ จาก บวรราชธานีอโศก
ที่ ๓ ได้แก่ ด.ญ. เพชรเพียงพุทธ นิยมพุทธ
ที่ ๔ ได้แก่ ด.ญ. สุพัตตา กัมบังกาย ร้องเพลงพญาแร้ง
ที่ ๕ ได้แก่ ด.ญ. เย็นกลางเพลิง
รุ่นผู้ใหญ่
ที่ ๑ ได้แก่ น้องเมิด จากศีรษะอโศก ร้องเพลง จงดิ้นให้แร้งดู
ที่ ๒ ได้แก่ คุณธรรมชาติ คุณพิชัยยุทธ ร้องเพลงสันติธรรม
ที่ ๓ ได้แก่ ด.ญ.ปภาวี ประภาโชค ร้องเพลงผู้แพ้
ที่ ๔ ได้แก่ คุณทนสู้ อุปชาใต้ ร้องเพลง พ่อพระ พ่อพิมพ์
ที่ ๕ ได้แก่ คุณสวนบุญ โคตรบุญอาริยะ ร้องเพลง เก็บดอกหญ้ามาฝาก
-
๑๕.๐๐ น. ประชุมสถาบันบุญนิยม มีสมณะ ๙ รูป สิกขมาตุ ๓ รูป นำโดย สมณะเดินดิน ติกขวีโร
-
๑๘.๐๐ น. รายการคนจนสุขสำราญเบิกบานใจ นำสัมภาษณ์ โดย สมณะบินบน ถิรจิตโต สมณะดวงดี ฐิตปุญโญ สมณะดินทอง นครวโร คุณลัคณา กุลศรี คุณดวงธรรม อุดมรักษ์ คุณดาบบุญ ดีรัตนา คุณปลุกดิน ขยันงาน น.ส.ฟ้าใกล้รุ่ง เลิศทรัพย์สุรีย์
คุณลัคณา กุลศรี อายุ ๘๑ ปี อยู่สีมาอโศก เป็นครูประชาบาล ชีวิตเมื่อก่อนจะไม่พูดว่าจนดี เมื่อตอนเล็กๆก็ขยันขันแข็ง หาเงินหาทอง หาได้ก็เก็บ ทำไปก็เพลิน มีลูก ๓ คน เมื่อก่อนไปวัดเอาอาหารไปทำบุญ รับพรแล้วก็กลับ พระก็ว่าเป็นกิเลส หาได้ก็เก็บ เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของสังคม วัดชลประทาน วัดสวนแก้ว ก็ไปจนปี ‘๓๐ อบรมครู ชาวอโศก ไปให้ความรู้ เมื่อก่อนก็ไม่รู้เรื่องมังสวิรัติ รู้จักกับ ทญ. วิจิตร ซึ่งก็ปฏิบัติเหมือนคนทั่ว ๆไป ตอนนั้นถือศีลก็ยังไม่รู้จะทำอย่างไร จนต่อมาก็เข้าใจการปฏิบัติศีลจริงๆ เราปฏิบัติศีล เราไม่เล่นแชร์ ไม่เล่นหวย แต่ก่อนไม่รู้ว่าเล่นหวยเป็นอบายมุข เรามีศีลบอกให้ไปเที่ยวก็ไม่ไป วันนี้ไม่มีรายได้ มาช่วยงานวัด
สมณะดวงดี ฐิตปุญโญ โยมออ มีลูก มีผัว มีเงิน มีทอง แต่ก็มาอยู่ที่ศีรษะอโศก โยมออ มีลูกมาเรียนที่สัมมาสิกขา มาทีแรกก็กินเจ มาปฏิบัติธรรมปี ‘๓๐
คุณดวงธรรม อุดมรักษ์ เป็นคนชอบอ่านหนังสือธรรมะ ไปบุกเบิกที่ร้อยเอ็ดอโศก ทุกวันนี้มีความสุขไม่กังวลอะไร ไม่ใช่คนจนที่ทุก์ระทมตรอมตรมใจ
คุณดาบบุญ ดัรัตนา ปัจจุบันทำงานส่วนกลางมา ๗ ปี ชื่อเดิม วิวัฒน์ มีคุณแม่อายุ ๙๔ ปี พ่อครู ๘๔ ผม ๖๔ จบ ปวส. พระนครเหนือ ไปทำงานที่โรงกลั่นบาห์เรน ไปเรียนต่อที่อเมริกา ไม่ได้ใช้ทางบ้านแต่บาทเดียว รู้จักอโศก ก่อนที่จะเดินทางไปอเมริกา คุณสงกรานต์ เอาหนังสือชาวอโศกมาให็ ช่วงเดินทางอ่าน ๑๘ ชั่วโมง ได้อ่านหนังสือชาวอโศก เครื่องบินก็กินมังสวิรัติ เริ่มกินมังสวิรัติปี ‘๒๑ กินมังสวิรัติมา มา ๔๐ ปี ไม่เคยตกเรื่องมังสวิรัติเลย กลับมาเมืองไทย ไปทำงานที่สงขลา บวชกับชาวอโศก ปี ‘๒๖ บวชได้ ๑ ปี ก็เวียนกลับไปอเมริกา ตั้งแต่มาอยู่ ชมร. ปฏิบัติถือศีล ลดละอบายมุข ที่กลับมาเมืองไทย เพราะพ่อป่วยจึงกลับมา ทำงานไม่มีเงินเดือน ๑๑ ปี อยู่อเมริกาใช้รถถึง ๔๓ คัน
คุณปลุกดิน ขยันงาน อยู่ ต.กระเบื้องใหญ่ จ.นครราชสีมา เกิดปี ๒๕๒๒ การศึกษาจบ ม.ภ จบ ปวช. ปวส. เรียน ๒ ปี ได้ปริญญาตรี ที่รังสิต ปทุมธานี เรียนปริญญาโท สาขาพืชไร่ ตั้งแต่เรียนปริญญาตรี ไม่มีรายได้เลย แต่ก่อน เดินทางก็ขึ้นรถไฟ มีจักรยานใช้ อายุ ๓๙ ปี ชีวิตไม่มีเงิน ปลูกผัก ปลูกผลไม้กิน และเหลือแจก
น.ส. ฟ้าใกล้รุ่ง เลิศทรัพย์สุรีย์ อายุ ๒๘ ปี จบจากสัมมาสิกขาภูผาฟ้าน้ำ ประมาญ ๑๐ ปี เรียนปริญญาโท ที่สถาบันบิณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ไปสอบสัมภาษณ์ก็ใส่ชุดอโศก คณะนี้มีนักศึกษามากที่สุด รุ่น ๑๘ มีนักศึกษา ๑๕๐-๑๖๐ คน แต่จบแค่ครึ่งเดียว ไปเรียนไปอยู่สังคมชั้นสูง และเพื่อนๆ เป็นผู้บริหารภาครัฐและเอกชน รวยทุกคน เราจนที่สุดในรุ่น เรากินมังสวิรัติ ห่อปิ่นโตไปกิน เรียนนิด้ามีกิจกรรมมาก เพื่อนกินเหล้าเพื่อนก็จะเกรงใจ เพื่อนอยู่ในวัยทำงาน เพื่อนกินสูบดื่มเสพ แรกๆ เขาก็ไม่รู้ เพื่อนเริ่มสงสัย หลังๆ เพื่อนก็สนใจ ก็บอกเขาว่าวัดส่งเรียน หนูจ่ายค่าเทอมตรงเวลาที่สุด เพื่อนหลายคนก็จ่ายไม่ตรงเวลา เมื่อก่อนก็คิดอยากรวยเหมือนกัน เราไม่เคยไปทำมาหากินภายนอก ช่วงวัยเด็ก พ่อทำธุรกิจ ตอนเด็กรู้จักความลำบาก ช่วงเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง อายุ ๗ ขวบ อยู่โรงเรียนเอกชน แม่ไปรับไปส่ง ใส่รองเท้าเองไม่เป็น เราไม่ได้ตั้งใจจน ถูกบังคับให้จน เรามาเรียน มาฝึกซักผ้าเอง มาเรียนวิถีคนจนที่มีแบบ ตอนเรียนข้างนอก ๘-๙ ขวบ นั่งรถเมล์มา ตอนนั้นก็คิดว่า ทำไมชีวิตต้องเป็นแบบนี้ มาเรียนที่โรงเรียนวัด ช่วยสร้างพื้นฐาน มาใช้ชีวิตอย่างคนจน ทุกวันนี้มีความสุข เรามาพิสูจน์ ระบบสาธารณโภคี เราไม่มีมรดกอะไร ทางบ้านก็กลัวว่าเจ็บไข้ได้ป่วยใครจะดูแล แรกๆก็ไม่มั่นใจ จบสัมมาสิกขา ไม่ได้ใช้เงินเลย วัดก็ส่งเสียเรียนปริญญาตรี ปริญญาโท จนจบ
วันศุกร์ที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๖๑
-
๐๓.๓๐ น. สมณะเดินดิน ติกขวีโร นำสวดมนต์
-
๐๔.๑๐ น. พ่อครูแสดงธรรมทำวัตรเช้า
อาหาร 4
-
กวลิงการาหาร (อาหารคำข้าว ให้รู้กิเลสเบญจกาม)
-
ผัสสาหาร (อาหาร คือ ผัสสะกระทบให้เกิดเวทนา)
-
มโนสัญเจตนาหาร (อาหารใจที่เจตนามุ่งกับตัณหา)
-
วิญญาณาหาร (อาหารของวิญญาณ กำหนดรู้นาม-รูป อันเป็นปัจจัยให้ตั้งอยู่แห่งสังขาร เพื่อการเกิดในภพใหม่ คือมีปัจจัยเกิดชาติชรามรณะ ทุกข์ และความคับแค้น)
(ปุตตมังสสูตร พตปฎ. เล่ม 16 ข้อ 241-244)
หากใครรู้อาหาร 4 และปฏิบัติธรรมลดกิเลสในอาหาร 4 ได้นี้ก็เป็นอรหันต์ได้ ไม่ต้องมากเลย
กวฬิงการาหารคือ อาหารคำข้าว กินเข้าไปเลี้ยงกายขันธ์ สัมผัสอาหาร ก็สามารถเกิดกิเลสได้ครบทุกทวาร มันมีกามคุณ 5 อาหาร คือคำข้าว คือเบญจกามคุณ จากตาหูจมูกลิ้นกาย ใจจะเกิดกิเลสในทางทวาร 5 คือกามคุณ
การปฏิบัติธรรมต้องมีสัมผัสภายนอกเป็นเบื้องต้น แล้วก็เรียนรู้กิเลส ฆ่ากิเลส กำจัดกิเลสให้ได้ พอได้แล้ว กาม ยิ่งกามหยาบๆ ที่เขาปรุงแต่ง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่ปรุงแต่งกันไม่รู้จักจบ อาหารปรุงแต่งรส รูป เต็มไปหมด เมืองไทยนี้ขึ้นชื่อนะ ที่หลอกเขา อาหารไทยจะเป็นที่ 1 ของโลกแล้วตอนนี้ มันบ้าปรุง คนไทยไปเมืองนอก ไปถึงบอกว่าแกง น้ำซุป ก็เลยบอกว่าทำไมรสมันจืดจาง ไม่นัวไม่เค็มเปรี้ยวเผ็ดอะไร น้ำแกงสู้ต้มยำกุ้งไม่ได้ ต้มยำกุ้งก็เลยไปดังทั่วโลกทั้งเปรี้ยวเผ็ดหวานมันเค็ม ปรุงรสตามที่ลิ้นชอบ ใครหนักรสไหน คนไทยรู้ดีมาก ทำแบบจืดนั้นง่าย ถ้าหากปรุงรสต่างๆนี้ให้สุดเลย ก็หลอกกันไป ก็มาเรียนรู้ที่เป็นอบายมุข มันแรงเกินไปจัดเกินไปมากเกินไป ก็ลดลงๆ เรียกว่ารสชาติ มีรูปก็ชวนกิน มีกลิ่นชวนกิน มีสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง ก็ชวนกิน ที่จริงอาหารไม่มีเสียง แต่ว่า ร้านอาหารก็เลยเอาดนตรีไปประกอบกินข้าวเคล้ากับเสียงเพลง ที่จริงอาหารมันมีเสียงประกอบน้อย แต่อย่างไรก็ครบหมด เป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสหมด
อาหารจึงเป็นหนึ่งที่เอามาปฏิบัติธรรมเป็นโภชเนมัตตัญญุตา ในการประมาณเมื่อมีสัมผัส 6 การปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธต้องมี สัมผัส 6 แล้วเป็นอปัณกปฏิปทา 3 หลักปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าถ้าอยู่ในกรอบ 3 อย่างนี้ไม่ผิด แต่ถ้าไม่อยู่ใน 3 อย่างนี้ เป็นการปฏิบัตินอกรีต
-
ต้องมีการสังวรสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ถ้าเอาแต่ปิดทวารนั้นมันผิด ปฏิบัติธรรมกับอาหารคุณจะตื่นหรือหลับ ชาคริยา หากคุณหลับก็ไม่มี สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา มันเป็นการปฏิบัติที่ผิด ก็เรียนกันมารู้กันมา อธิบายกันมาแต่เขาโง่ ปฏิบัติกันแค่นี้ กลายเป็นนั่งสะกดจิตหลับๆตื่นๆ ก็ง่ายๆตื้นๆ ปฏิบัติในภพ แต่ของพระพุทธเจ้าต้องตื่นลืมตาพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม ขาดจากกายไม่ได้ พระพุทธเจ้าเห็นความเสื่อมของศาสนาออกนอกรีตไป ไปเข้าใจอานาปานสติว่า จะต้องนั่งสมาธิ แล้วก็กำหนดลมหายใจอานาปานา แปลว่า ลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก หากขาดจากลมหายใจเข้าออกแล้วไม่มีกายแล้ว ไม่ใช่การปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าเพราะไม่มีกาย มันออกนอกรีตแล้วก็ไม่เข้าใจ
การนั่งหลับตาสะกดจิตไปเล่นลมหายใจเก่งมาก ออกนอกรีตตรงที่ว่า นั่งหลับตาแล้วลมหายใจข้างนอกไม่มี มันมีแต่ว่าไม่รู้จักแล้วไม่มีความรับรู้ต่อมันแล้ว ไม่สำคัญมั่นหมายกับมัน แล้วก็เล่นกับลมหายใจข้างใน ลมขึ้นบนลมลงล่าง ขยายลมใหญ่ลมเล็ก อธิบายไปเป็นคุ้งแควเละเทะไปหมด
หากขาดความรับรู้ลมหายใจเข้าออกที่มีภายนอกอยู่ นั่นคือไม่มีดินน้ำไฟลม ไม่มีมหาภูตรูป 4 ที่มีข้างนอกสัมผัสด้วย มันผิดจากศาสนาพุทธ นั่งเหลือแต่ลมหายใจนั้นมันเกือบหมดแล้วนะ แต่กลับไปหลงยินดีว่านี่แหละคือการปฏิบัติสมาธิ สัมมาสมาธินี้ไม่ได้หมายความว่าสะกดจิต ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องหรี่จิต แต่สมาธิหมายถึงจิตที่ตั้งมั่นตกตะกอนแข็งแรงจากการเรียนรู้จิตที่มีอกุศล แล้วทำให้กิเลสมันตาย กิเลสตายจิตใจก็สะอาดสั่งสมลงเป็นจิต ส่วนที่สะอาด จิตสะอาดสั่งสมตั้งมันแข็งแรงขึ้น เรียกว่าเป็นสมาธิ ในขณะปฏิบัติจิตรู้จักจิตรู้จักกิเลส แยกมโนไปวิจาร 18 ว่านี่คือกิเลส เอากิเลสออกได้ดับกิเลสไปได้เกิดจิตที่สะอาดสั่งสมลง จิตก็ยิ่งแคล่วคล่อง มีมุทุภูตธาตุ มีกายปาคุญญตา กายคือหมวดของจิตเจตสิก 3 คือ เวทนา สัญญา สังขาร คือกาย พยัญชนะก็ถูกต้อง แต่ความเข้าใจของชาวพุทธ แม้แต่พระเจ้าบอกว่ากายก็คือดินน้ำไฟลมไม่มีจิตใจร่วมด้วยเลย นี่คือออกนอกธรรมะพระพุทธเจ้าแล้ว หลุดไปเพี้ยนไปไกล
การปฏิบัติธรรมะพิจารณากายในกาย กายนอกกายก็ผิดไปหมด เพราะว่ากายมีแค่ดินน้ำไฟลม ไม่มีจิตใจร่วมด้วย
คำแรกของโลกุตรธรรมพิจารณากายในกายก็ไม่เหลือแล้ว เพราะคำว่ากายคำเดียวนี้ผิดไปแล้ว อาตมานำมูลกรรมฐาน 5 ที่พระบวชเริ่มต้น ต้องหัดพิจารณามูลกรรมฐานให้รู้กายรู้จิต เดี๋ยวนี้ไม่เข้าใจกันแล้ว อุปัชฌาย์อาจารย์ที่สอนไม่รู้แล้ว ไปพิจารณากรรมฐาน 5 ว่าให้พิจารณาไตรลักษณ์ เห็นกายไม่เที่ยงเป็นทุกข์อนัตตา พิจารณา เวทนา จิต ธรรม เป็นไตรลักษณ์ ซึ่งไม่ใช่ ท่านให้พิจารณามูลกรรมฐานคือตั้งแต่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ให้พิจารณาว่าเมื่อใดเป็นกายเมื่อใดเป็นจิต เล็บเรา ผมเรา ส่วนใดที่เป็นกายส่วนใดไม่ใช่กาย แต่เขาไม่เรียนกันแบบนี้ เขาให้เรียนรู้ว่ามันไม่เที่ยงเป็นทุกข์มันไม่มีตัวตนเป็นไตรลักษณ์
อาตมาพยามอธิบาย แต่มันไม่ง่าย ใครที่คิดว่าตัวเองเข้าใจดีแล้ว… มีอยู่ไม่กี่คน ใครเข้าใจไม่เต็มที่ …มีมากเลย
ขนาดอาตมาพูดฉ่ำปากเลยนะนี่ มันก็ยังไม่ได้ง่ายเลย
ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ล.16 ข. 230 มีในพระไตรปิฎกเขาอ่านแล้วก็จะงงกัน
ในร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า ความเจริญก็ดี ความเสื่อมก็ดี การเกิดก็ดี การตายก็ดี ของร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต ทั้ง 4 นี้ ย่อมปรากฏ ฉะนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงเบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้างหลุดพ้นบ้าง ในร่างกายนั้น แต่ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ปุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่อาจจะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิตเป็นต้นนั้นได้เลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่าจิตเป็นต้นนี้ อันปุถุชน ผู้มิได้สดับ รวบรัดถือไว้ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฐิว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ดังนี้ ตลอดกาลช้านาน ฉะนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงจะเบื่อหน่ายคลายกำหนัด หลุดพ้นในจิตเป็นต้นนั้นไม่ได้เลย ฯ
อย่างคุณเข่ง ใจแก้วนี้ แต่ก่อนที่มากับตอนนี้ ที่เห็นนี้เปลี่ยนไปไหม…เปลี่ยนไปมากเลยในร่างกายนี้ มหาภูตรูปนี้ ก็เป็นภาระเป็นทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ ต้องกินข้าว ต้องหาอาหาร ต้องออกกำลังกาย ต้องดูแลรักษา ให้มันมีธาตุเข้าไปเลี้ยงที่แข็งแรง แต่ก็เป็นวัตถุ ง่าย แต่เรื่องจิตสิ มันรู้ยากเห็นยากแล้ว บริหารให้เป็นอาริยะยาก พัฒนามันทำมัน มนสิการ หรือมนสิกโรติ ทำให้มันเจริญได้ยาก มันเป็นเรื่องที่จะทำให้ถ่องแท้จะทำให้ละเอียดลึกซึ้ง โยนิโสฯ ให้ลงไปถึงที่เกิด
อะไรคือลงไปถึงที่เกิด ที่เกิดคือปภวะหรือสัมภวะ คุณจะต้องมีการทำจิต ต้องมีการทำจิตหรือมนสิการเป็นสัมภวะ ในมูลสูตร 10
แต่เขาแปลโยนิโสมนสิการคือพิจารณาให้ถ่องแท้แยบคาย เขาทิ้งคำว่ามนสิการ การทำในใจของเรานี่แหละตรงนี้ที่จะทำให้เกิดให้ตาย เพราะมันมีกิเลสเกิดต้องทำให้กิเลสตายตรงที่ใจนี้ สัมภวะ เป็นแดนเกิดแดนตาย คุณจะต้องทำให้ตายให้ได้ ถ้าอันนี้ให้ตาย ทำให้กิเลสตาย แล้วจิตสะอาดจิตอาริยะก็จะเกิดตรงนี้ คือความเกิดความตายที่พระพุทธเจ้าให้เรียน ทางร่างกายนั้นไม่ได้ยากอะไร การเกิดและตายมันจัดการของมันเองอยู่แล้ว คนที่ยังไม่อยากตายทางร่างกายอยู่แล้ว แต่ทางจิตใจนี้สิ เราต้องเรียนให้ละเอียดลงไป คุณจะต้องรู้จักสมุทัย คุณจะต้องมีผัสสะเป็นสมุทัยเป็นเหตุ
สมุทัยนี้ ไม่ใช่ตัณหาในอริยสัจ 4 แต่เป็นสมุทัยในการปฏิบัติ การปฏิบัติที่ไม่มีผัสสะเป็นเหตุเป็นการปฏิบัติที่ออกนอกรีตศาสนาพุทธแล้ว นี่คือมูลสูตร สูตรต้นรากต้นแบบ ต้องเริ่มต้นมีฉันทะเป็นสำคัญ ปฏิบัติธรรมไม่มีฉันทะไม่มีความยินดีปฏิบัตินั้นไม่ง่าย จะมาเรียนปรมัตถ์อย่างที่พวกเราเรียนนี้ไม่ง่าย ต้องมีความฉันทะมีความตั้งใจยินดีมีความเสียสละ หลายคนรักโลกธรรมลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ไม่มีฉันทะพอเลยไม่มา ขนาดมีงานอโศกรำลึกยังไม่มาเลยเพราะติดงาน ติดงานที่เป็นโลกียะ แล้วงานที่มาเอาโลกุตระนี้ไม่ใช่งานสำคัญหรืออย่างไร ปีหนึ่งมีหนเดียว เราก็ต้องพยายามจัดให้มันเป็นวิธี ปลุกเสกฯ พุทธาภิเษกฯ มหาปวารณา รวมกันมาฟังธรรม มาปฏิบัติประพฤติไปด้วยกัน เป็นกลวิธีเป็นอุบายโกศล วิธีให้มาศึกษาฝึกฝนปริยัติปฏิบัติปฏิเวธ ก็เขาไม่เห็นความสำคัญ ขาดบาทขาดสลึง กลัวจะพร่องก็ปลีกมาไม่ได้ ชีวิตคุณจะอยู่กับแบบนั้นตลอดกาล ก็เอาเถอะ ใครจะเห็นความสำคัญกับธรรมะก็มา คนเห็นความสำคัญของสาระในสาระก็มา
เมื่อเราเองสามารถเรียนรู้เข้าใจว่าการปฏิบัติธรรม เขตสำคัญคือ รู้จักเวทนาในเวทนา
-
มีธาตุรู้คือปัญญา 2. มีสิ่งที่ให้ธาตุรู้มากำหนดรู้ มีธาตุรู้ที่กำหนดรู้คือสัญญา สิ่งที่กำหนดรู้คือรูป แยกแยะ กาย เวทนา จิตได้
กายคือ ต้องมีวัตถุพร้อมข้างนอกพร้อม แล้วก็มีจิตร่วมด้วย ความมีรูปนาม เราสำคัญที่รูปนาม ธาตุรู้เมื่อรู้แล้วแยกแยะ สิ่งที่ถูกรู้เป็นรูป เช่น นี่มะระมีลูกสีเขียว กล้วยน้ำว้าสุกก็เป็นลูกเหลืองๆอย่างนี้ เราก็เห็นรูปร่างอย่างนี้ แต่นามธรรม เวทนาความรู้สึกของเรา
-
ธาตุรู้เวทนารู้แท้ ว่ามันเป็นอย่างนี้ เห็นแต่รูปเฉยๆ ได้กลิ่น ได้สัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งหรือรับรสว่ามันเป็นอย่างนี้ ใครมาสัมผัสทางลิ้น ว่ารสมะระอย่างนี้ คนไหนมาสัมผัสก็รสเดียวกันหมด เพราะว่ารสนี้มันเป็นของอันนี้ ส่วนอีกอันหนึ่งเป็น รสเก๊ อันนี้ชอบ ขมกำลังดี เข้าท่า แต่อีกคนก็ว่าไม่ไหวไม่เอา อีกคนหนึ่งก็ว่าขมน้อยไปนะ สวยแต่รูปจูบไม่หอม สู้สะเดาไม่ได้ คนติดรสอันนี้ก็เกิดความชอบความชัง ความชอบไม่ชอบคือรสเก๊ แต่รสจริงก็เป็นของมัน มะระมันก็เป็นการขมอย่างนี้ เอาสะเดามาแข่งมันก็เป็นของมัน แต่คุณชอบหรือไม่ชอบคุณกำหนดของมันเอง อันนั้นคือตัวปลอม ตัวเก๊ที่จะต้องไม่ให้มีในจิต
อาตมาว่าอาตมาอธิบายชัดแล้ววนเวียนซ้ำซากน่าเบื่อไหม
-
๐๖.๓๐ น. สมณะ พระ สิกขมาตุ ๓๔ รูป ออกบิณฑบาต ที่เฮือนบวร
-
๐๘.๐๙ น. พ่อครู ร่วมเสวนาโครงการ ทบทวนการตรวจสอบพระโสดาบันในตน มี สมณะ ๑๑ รูป สิกขมาตุ ๒ รูปร่วม โดย คุณฝากฟ้า รายงานความคืบหน้าโครงการทบทวนตรวจสอบภูมิพระโสดาบันในตน การเตรียมงานวิสาขบูชา ๓ ปี นิทรรศการมีชีวิต ตลาดนัดวิชาการ คุณไชยวัฒน์ สินสุวงค์ พูดถึงการแบ่งหน้าที่รับผิดชอบ มีเวทีที่เชียงใหม่ ที่ธรรมสถานภูฟ้ราผาธรรม เวทีบ้านราชฯ งานแบ่งออกเป็น ๒ ลักษณะ มีเวทีสัมมนานานาชาติโสดาบัน กลุ่มงานซึ่งจะจัดอีก ๓ ปึ กรอบ กลุ่มที่ขับเคลื่อน เดรัจฉานวิชาเอาออกหมดเลย ด้านวิชาการ ดร.วิชัย รูปขำดี “ผมจะรับภาระ จะไปพูดคุยกับมูลนิธิธรรมโฆษ ส่วนของชาวอโศก โครงการค้นหาโสดาบันในอโศก รณรงค์ให้ชาวอโศกกรอกแบบสอบถามล่าสุด โครงการนี้ประมาณ ๕๐๐ คน การขับเคลื่อนมี ๔ ลักษณะงาน ๑. วิชาการ พ่อท่านสอน ปี ๒๕๒๗ เรื่องโสดาบัน ๒. พัฒนาเครื่องมืออย่างไร ๓. ส่วนประชาสัมพันธ์ ขับเคลื่อนจริง ๔. การขับเคลื่อนเป็นประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน การบริหารอารมณ์ ติงหลักธรรมข้อไหน ส่วนตน ประโยชน์ส่วนรวม วิสาขบูชาปีนี้ เขาเน้นเรื่องพุทธศาสนาพัฒนามนุษย์ งานนี้ไม่มีประธานกลุ่ม มีคณะทำงาน เลขาฯ มี ๓ คน เป็นขบวนการกลุ่ม พ่อท่านเมตตาเป็นที่ปรึกษา
คุณจุฬา: พูดถึง ผู้มาร่วมงาน มี นักบวชชาวอโศก นพ.ประเวศ วสี คุณสุลักษณ์ ดร.วิชัย รูปขำดี
คุณฝากฟ้า: ว่า สมณะทุกพุทธสถาน ก็รับช่วย โดยที่ปฐมอโศก ก็มี สมณะเสียงศีล ชาตวโร ที่สันติอโศก ก็มี สมณะซาบซึ้ง สิริเตโช ที่สีมาอโศก ก็มี สมณะสร้างไท ปณีโต ทีศาลีอโศก ก็มี สมณะลือคม ธัมมกิตติโก ที่ภูผาฟ้าน้ำ สมณะบินบน ถิรจิตโต สมณะโพธิสิทธิ์ โพธิสิทโธ ส่วนฆราวาส ที่ปฐมอโศก ก็มี คุณทิวเมฆ คุณจอน คุณก้อนดิน ที่สันติฯ มี คุณปานปั้น ที่ทะเลธรรม ก็มีคุณถาวร คุณโกเม้ง ฟางฝน บ้านราชฯ ก็มี ดร.ก้อย(พิมพ์ชนก) จะมีการทำหนังสือไปยัง ๙ องค์กร
พ่อครู:คงเป็นตลาดความจริง กับความรู้ มันเป็นของยากมากสำหรับโลกุตระ อาตมาพยายามหาภาษา อ่านศึกษาแล้วนำไปปฏิบัติด้วยแม้มีบัญญัติคำสอน แต่ไม่มีสัตบุรุษก็รับรองไม่ได้ เริ่มต้นไม่มีสัตบุรุษ ก็จะเหลือ อนาคามี สกิทาคามี โสดาบัน สัตบุรุษแสดงความจริง นำคำสอนบรรลุ ตั้งแต่โพธิสัตว์ มีลูกหลักพันเป็นเอนก ของพระพุทธเข้ามาฆบูชาครั้งเดียว ๑,๒๕๐ รูป มีครั้งเดียว ถ้าพวกเรา อาตมายังอยู่ก็จะเป็นที่ปรึกษาที่เป็นวิทยาศาสตร์ มีความรู้เชิงวิชาการ แม้ไม่มีสัตบุรุษอยู่ก็ยังมีความเข้มข้น
-
๐๙.๐๐ น. รายการเทศน์ก่อนฉัน แสดงธรรมโดย สมณะดวงดี ฐิตปุญโญ และสมณะฟ้าไท พูดถึงเรื่องพระโสดาบัน ชาวอโศกเทศน์ไปรู้หมด แต่ไม่ทำต่อเนื่อง เช่น ออกกำลัง ทุกคนรู้ว่าดี แต่ไม่ทำต่อเนื่อง อย่างสมุนพระราม เทศน์เสร็จก็ให้นั่งสมาธิก่อน การตั้งใจก็จะได้ โพธิสัตว์ ตั้งจิต ๗ อสงไขย ปฏิญาณต่อหน้าพระพุทธเจ้า ๙ อสงไขย สายวิทยาธิกะ ตั้งจิต ๒๐ อสงไขย เราตั้งจิตก็ยังจะทำยาก โพธิสัตว์ ปัญญาธิกะ ยังนาน การปฏิบัติเป็นรูปธรรมยังทำไม่ได้ผล จับกิเลสยังยาก มีสิสัมโพชฌงค์ มิใช่ง่าย สรุปว่า มาปฏิบัติธรรมกับชาวอโศกตรงที่สุด พ่อครูสายตรงพระพุทธเจ้า เราอยู่กับพ่อครู ไม่พาไปผิด เราอยู่กับพระโพธิสัตว์ ตรงทางที่สุด พ่อครูอธิบายประเด็นเป็นลำดับ การกินข้าวกับหมู่ การทำงานอยู่กับหมู่ ก็ละลดละกิเลสได้มากที่สุด มิตรดีสหายดีเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์
-
รายการแสดงจากเวทีเฮือนบวร สีมาอโศก วัฒนธรรมการรำโทน
การแสดงของหินผาฟ้าน้ำ การแสดงโปงลางบูชาพ่อ
รายการแสดงของศาลีอโศก ชุด ชาวเขาและชาวเราศาลีอโศก ร้องเพลงอีกหนึ่งฟากฟ้า
การแสดงจากบวรสันติอโศก แสดงรำวง ชมรมมังสวิรัติแห่งประเทศไทย
เพลงสมรรถภาพ เพลงเมื่อไหร่จะรู้สักที
-
๑๒.๓๐น. นักศึกษา วนบ. ถ่ายรูปกับพ่อครู จากนั้นประชุมเสวนา ชีวียั่งยืน ดำเนินรายการโดย สมณะแสนดินภูมิพุทโธ มี ผ.ศ. รัศมี กฤษณมิตร คุณปะสร้อยฟ้า อโศกตระกูล คุณวิชาญ จิระเวชบวรกิจ คุณกิ่งกาญจน์ ไชยภักดี คุณสุรีย์ แซ่ซือ
สมณแสนดิน ภูมิพุทโธ : ทำอย่างไรพวกเราจะมีอายุยืนยาวได้ ๑๐๐ ปี ที่ศาลาเฮือนศูนย์สูญ พ่อครูถามว่าใครอายุยาวกว่าพ่อครูบ้านมี ๒ คน
คุณวิชาญ จิระเวชบวรกิจ: เป็นโรคซึมเศร้ามาอยู่วัดหายเลย พ่อครูจิตแพทย์สู้อาจจะมาไม่ได้ ได้ไปวิ่งแล้วแขนขาชาเลยรีบวิ่งอย่างเร็วเลย แล้วไปบอกท่านแสนดิน พาไปหาหมอ หมอตรวจก็ไม่เป็นอะไรแล้ว ต่อมาไปตรวจอีก หมอว่าเป็นหัวใจรั่ว ไปประชุมที่ มูลนิธิพลตรีจำลอง ศรีเมืองไ ด้มีผู้แนะนำให้ไปตรวจที่ศิริราช มีหมอมือหนึ่งไปตรวจดู ก็กลับมาร่างกายไม่ดี ก็ซ้อมวิ่งเช้าวิ่งเย็น คุมเรื่องอาหาร จากนั้นก็ไปตรวจอีกที รู้ก็เล็กลงไปแล้ว ก็เลยไม่ต้องไปผ่าตัด ใช้ระบบ ๘ อ ของพ่อท่าน ใครเป็นอะไรก็ต้องพึ่งตนเอง การตั้งตนอยู่บนความลำบาก กุศลก็ยิ่งเจริญ
อ.รัศมี กฤษณมิตร: เป็นคนไม่ชอบออกกำลังกาย จนไปเรียนที่สเปน เดินบ่อยๆไม่ป่วยเลย คิดว่าการออกกำลังกายไม่จำเป็น ตอนไปตรวจสุขภาพ ก็ไปกินทุเรียนไขมันสูงก็ไม่ยอมกินยา แต่ไปออกกำลังกายไปเดิน เหงื่อก็ไม่ออกก็ต้องไปวิ่งได้ ๑ รอบ ๒ รอบจน ๓ รอบเหงื่อออกดีมาก ไตรกลีเซอไรด์จาก ๖๐๐ ลดเหลือ ๓๐๐ แต่ก็ยังเกิน ปกติต้อง ๑๕๐ ก็เริ่มสนใจออกกำลังกาย ปวดขา ปวดคอ ทั้งหมดเป็นการสั่งสม เมื่อก่อนไปหาหมอนวด หลังแข็ง ปวดน่อง เมื่อยสิกขมาตุ ใจขวัญ มาแนะนำหนังสือ น้ำพุแห่งความแววไว ก็ไปซื้อมาอ่านเลย ท่าน้อยไม่ต้องออกมาก ก็ลองมาทำเลยเริ่มทำ ๓ มีนาคม สิกขมาตุกล้าข้ามฝันก็บอกว่าออกกำลังกาย ๕ ท่ามี สิกขมาตุพูลเพียร ปะสร้อยฟ้าคุณบึงบุญ คุณเล็ก ป้าสภาพ คุณผ่องบุญ ก็ทำ เป็นท่าที่ทำได้ง่าย
สิกขมาตุพูนเพียร ชาวหินฟ้า: ดิฉันก็พยายามออกกำลังกาย แต่ก่อนหมดแรงง่าย หายใจลึกๆไม่เป็น ดิฉันทำได้ปีกว่าหายใจเป็น ดิฉัน ที่ปอดมีจุด ๓ เดือนบริหารแผลก็หายแล้วหายใจได้ลึกขึ้น ท่านี้ บังคับให้หายใจเป็น
คุณสุลี แซ่ซือ:ลาออกจากโรงพยาบาลเชียงราย มาอยู่บ้านราชฯ มาฟังเทศน์ ทีแรกไม่ได้ตั้งใจอยู่ร้อยปีหรอก เราต้องอยู่ให้ได้ ให้ดี เป็นตัวอย่างที่ดี ไม่ป่วย เราก็แข็งแรงฟังเทศน์บ่อยๆ ได้ออกกำลังกาย ถ้าเราไม่ออกกำลังกายตามพ่อท่านไม่ได้ ที่บ้านราชฯ ทุกอย่างก็ดี เลือกอาหารเก่ง อยู่ก็ทำงานตามหมู่กลุ่ม
คุณกิ่งธรรม ไชยภักดี:ทำงานที่ โรงพยาบาลมหาราช เชียงใหม่ คนไข้ที่มีอาการซับซ้อน ก็มาที่โรงพยาบาลนี้ ใช้ยามากมาย คนไข้รายหนึ่งแจกยาไป กระเพราะรูพรุนไปหมดก็ล้างท้อง จากนั้น ก็ได้ไปเป็นเพื่อนคุณพรตะวัน ไปเรียนฝังเข็ม แต่เหนือการฝังเข็มคือไม่ต้องฝังเข็ม ไปรักษาที่จุดปฐมเหตุ ไม่ต้องกินยาสุขภาพดีควรกินอาหารไร้สารพิษ งดของทอด น้ำมันทรานส์ น้ำตาลทรายขาว อากาศเราไม่ควรเหม็น เราไม่อยากให้สังคมถอยเหมือนสังคมญี่ปุ่นตอนนี้ถอย คนอายุยืนต้องอารมณ์ดี
-
๑๘.๐๐ น. รายการภาคค่ำ สัมภาษณ์ปฏิบัติกร ชุด ร่วมฉลองร้อยปีชีวีพ่อครู ดำเนินรายการโดยสมณะแสนดิน ภูมิพุทโธ สัมภาษณ์
อ.พรเทพ ศรีนฤหล้า:บางวัฒนธรรมไม่กินวัว บางวัฒนธรรมไม่กินหมู บางวัฒนธรรมเชิดชูนม บางวัฒนธรรมเชิดชูไข่ บางวัฒนธรรมเลี้ยงหมาเหมือนลูก บางวัฒนธรรมกินหมา บางวัฒนธรรมกินสมองลิง บางวัฒนธรรมกินเลือดงู ความรู้ใหม่ๆมีมาตลอด อยู่ที่กาลเวลาพิสูจน์ ใช้สามัญสำนึกเป็นหลัก ต้นไม้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์ กินดินกินอากาศ อายุยืนที่สุด อาหารมาจากดินน้ำ ลม ไฟ คนเห็นหมาตายแล้วขยะแขยง เพราะหมาไม่ใช่อาหารคน มือคนเหมาะกับการเด็ดกล้วย ฝรั่ง ผลไม้ เนื้อสัตว์ไม่อร่อย เพราะต้องปรุงแต่งจึงกินได้ สัตว์กินเนื้อสัตว์ที่กินพืช เช่น เสือกินกวาง ดินเท่านั้นที่ผลิตโปรตีนได้ ผลไม้เป็นอาหารอันดับ ๑ ถั่วเป็นอาหารอันดับ ๒ มะพร้าวคือถั่วที่ใหญ่ที่สุด ธัญพืชและผักเป็นอาหารอันดับ ๓ อันดับ๔ ผลไม้มีรสชาติต่างๆนานามากที่สุดในโลก รับประทานได้โดยไม่ต้องปรุงแต่ง มีรูปร่างมากกว่าเรขาคณิต ลิงกลายเป็นคนได้ยังไง ลิงกินอ้อย อ้อยทำให้สมองพัฒนา สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ๔๔๙๙ ชนิด ถึงวัยหย่านมฟันจะขึ้น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจะมีนมได้ต้องมีลูก วัวถูกบังคับให้มีลูก ลูกตัวเมียเลี้ยงไว้เป็นแม่พันธุ์โดยไม่ได้กินนมแม่ ลูกตัวผู้เลี้ยงไว้ฆ่าเป็นอาหาร ๑. ผลไม้ ทานตอนท้องว่าง๒. ผัก ส้มตำ ๓. แป้ง ๔. โปรตีน ผลไม้สีเหลืองฆ่าเซลล์มะเร็ง ออกกำลังกายเดินดีที่สุด เต้นรำ ต้องถ่ายทุกวัน ปัสสาวะทุก ๒ ชั่วโมง
นพ. ประธาน วาทีสาทกกิจ นายแพทย์โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ๘ อ ของพ่อครูสู่เป้าหมาย ๑๕๑ ปี
ช่วง ๑> ๓๖ ปี ช่วง ๒> ๔๘ ปี = ๘๔ ปี
ช่วง ๓> ๖๐ ปี = ๑๔๔ ปี
ช่วง ๔ ชมผลงาน ๗ ปี = ๑๕๑ ปี
จิตใจ ๓ อ อิทธิบาท อารมณ์ อาชีพ
ร่างกาย ๒ อ ออกกำลังกาย เอนกาย
สิ่งแวดล้อม ๓ อ อาหาร อากาศ เอาพิษออก
ปัญหากระเปาะในลำคอพ่อครู ไปเบียดหลอดลม เบียดหลอดอาหาร เบียดหลอดเสียง ทำให้เกิดการสําลักอาหารทำให้ปอดอักเสบได้ อาหารสด ไร้สารพิษ ไร้สารปรุงแต่งรสไม่จัด สารอาหารคุณค่าสูง หลีกเลี่ยงอาหารชิ้นใหญ่เอาพิษออกจากกระเปาะลงถุงลมดื่มน้ำให้พอเพียง การบริหารกล้ามเนื้อทำท่าซุปเปอร์แมนก่อนนอนช่วยกล้ามเนื้อหลัง บริหารสมอง คิดดีตลอดเวลาสมองไม่เสื่อม
วันเสาร์ที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๖๑
-
๐๓.๓๐ น. สมณะเดินดิน ติกขวีโร นำสวดมนต์ มีสมณะ ๓๘ รูป พระ ๔ รูป สิกขมาตุ ๑๒ รูป
-
๐๔.๑๐ น. พ่อครูแสดงธรรม…
_ญาติธรรมท่านหนึ่งอยากให้พ่อครูเทศน์เรื่อง อานิสงส์ของคนที่ให้คู่ครองไปบวช
อานิสงส์ของคนที่ยอมให้คู่ครองไปบวช จะใจเต็มหรือใจไม่เต็มก็ตาม แต่ยอมให้ไปบวช ถ้ายิ่งใจเต็มให้ไปบวชมันก็ยิ่งดีใช่ไหม ถ้าแม้ว่าใจไม่เต็มแต่เอาเถอะไปบวชก็ยอม อย่างนี้นะ
พูดถึงเรื่องนี้ต้องพูดถึงตัวเองบ้างอาตมา ก่อนจะมาบวช ก่อนจะมาทำให้เต็มตัว ขออนุญาตแฟนเลย ก็บอกว่า พี่จะมาทางนี้แล้วนะ เขาก็ไม่ขัดข้องเลย อาตมาก็ประพฤติปฏิบัติ ก็เลยตกลงกัน ดังนั้นก็เอาไดอารี่มาเขียน เดือนนี้พบกันอาทิตย์ละกี่วัน ต่อมาก็พบกันนานขึ้นอีก ห่างกันไป ปักษ์หนึ่ง เดือนหนึ่งพบกันกี่วัน เสร็จแล้วก็ประพฤติ เสร็จแล้วก็ไม่ถึงเดือนละกี่วันหรอก อาทิตย์หนึ่งไม่กี่วัน ตามที่ตกลง แล้วก็ค่อยพบกันน้อยลง เขาก็บอก ตามสบายเลย หากเขาอยากพบเมื่อไหร่ก็จะมาหา จากวันนั้นก็ไม่ได้กำหนดเลยก็ค่อยห่างไปๆ เป็นเวลา 6 ปี อาตมาก็ออกมาทางนี้มาบวช เขาก็รออยู่ถึง 6 ปีไม่ไปมีแฟน เดี๋ยวนี้เขาไปอยู่อังกฤษ มีลูกคนนึง ลูกก็แต่งงานกับฝรั่งไป
ผู้ที่มีอานิสงส์ หรืออานิสงส์ที่ได้จากการยอมให้คู่ครองมาบวช อาตมาว่าเป็นเรื่องของโลกุตระเป็นอานิสงส์สูงมาก การมาบวชก็แสดงว่า เป็นผู้ชายจะให้มาบวช เราก็มีบวชสิกขมาตุเป็นผู้หญิง แต่ที่อื่นเขาไม่มีโดยทั่วไปก็มีแต่ผู้ชาย ก็แสดงถึงการยอมปล่อยวาง โลกีย์ก็มีคู่ ปล่อยวางคู่ให้ไปประพฤติพรหมจรรย์ ก็แสดงถึงว่าจิตจะต้องมีจิตใจดี จิตใจดีเป็นกุศลแน่นอน ถึงขั้นเป็นโลกุตระก็ที่สุด ยิ่งเข้าใจเห็นว่าโลกุตระหมายถึงอะไร
โลกุตระหมายถึงลดความเป็นตัวตน ความเป็นของตัวของตน ลดจริงๆ จิตใจยึดถือเป็นของตัวของตนเป็นของฉันไม่ให้ใครเลยไม่ยอม นั่นคือตัวตน การลดตัวตน เป็นโลกุตระ ถ้าการจำยอม ข่มใจก็เป็นแบบสมถะ ถ้าแบบมีปัญญารู้ว่าไปเถอะด้วยความรู้ความเข้าใจ ความกดข่มจะน้อยลง หรือมีปัญญารู้ว่าไปแล้วก็ดีแล้ว ไม่มีการหวงแหนไม่มีการหน่วงเหนี่ยวเลยอานิสงส์ก็จะสูง จริง ตามที่จิตของเรามีคุณภาพคุณธรรมตามที่อธิบายตามระดับให้ฟังนี้ บอกไม่ได้ว่าอานิสงส์กี่เปอร์เซ็นต์ แต่มีมากมีน้อยตามลำดับนี้ นี่เป็นความรู้ของอาตมาที่เข้าใจกุศลอกุศล แม้แต่ในระดับโลกุตระก็มีกุศลโลกุตระ มีคำว่าบุญนั่นแหละที่เป็นโลกุตระ ถ่ายเดียว หากยังไม่ฆ่ากิเลสไม่เรียกว่าบุญ ทำให้กิเลสลดลงน้อยลงไม่ขาดลงไปก็เรียกว่าส่วนแห่งบุญทีละส่วน
คำว่าได้ส่วนบุญไม่ได้หมายความว่าได้ไป คำว่าได้ส่วนบุญหมายความว่าเสียไป เสียไปจริงๆ ได้บุญครบก็คือ หมดไม่ได้อะไรเหลือเลยไม่มีอะไรค้างเลยไม่มีสมบัติ ไม่มีอะไรตามมาจากการใช้พลังงานบุญหรือ ประกอบพลังงานบุญให้เป็นไฟฌาน สลายไฟราคะโทสะโมหะ เช่น สลายไฟราคะตัวนี้ หมดเกลี้ยงไม่เหลืออนุสัยเลย คุณก็หมดบุญหมดบาปหมดอนุสัยเป็น ปุญญปาปปริกขีโณ
เพียงแต่ความเข้าใจในเรื่องบุญไม่ถูกต้องสมบูรณ์ในนิยามของมัน เข้าใจว่าบุญเป็นสมบัติเข้าใจว่าทำบุญได้ผลแล้ว เราก็จะมีสมบัติที่เป็นกุศลขึ้นมา รองรับตัวเราอีกไม่มี มีแต่ความสบายมีแต่ความว่าง มีแต่ความสูญ จิตไม่มีกิเลสกวนเลยคืออาการนิพพาน อาการว่างจากกิเลสตลอดกาลคือนิพพาน พระอรหันต์มีนิพพานตลอดเวลา จิตท่านบางจากกิเลสตลอดเวลา ไม่มีกิเลสเลยคือพระอรหันต์ เวลาใดก็ไม่มีกิเลสเข้าเลยนั่นคือสภาพของความเป็นนิพพาน เป็นจิตว่าง จิตว่างจากกิเลส แจ่มใส จิตใจยิ่งมีปัญญาเต็ม ยิ่งเป็นคนมีสติเต็มสัมปชัญญะเต็ม สัมปชานะเต็ม นั่นคือจิตว่าง
ไม่ใช่จิตไม่มีอะไร แล้วเข้าใจผิดว่าจิตว่างคือไม่ได้พูดอะไรเลย ถ้าดับไปเลยเรียกว่านิโรธ เป็นภาษาไวพจน์ของนิพพาน แปลว่าดับนิโรธแปลว่าดับ อะไรดับ ก็กิเลสดับ เฉพาะกิเลสดับ แต่จิตใจยิ่งดียิ่งแจ่มใสนะ นิโรธไม่ใช่ดับปี๋ ไม่รู้ ธาตุรู้หายไปหมด ดับเวทนาดับสัญญา เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธไม่รับรู้อะไรเลย อันนั้นมันเป็นอสัญญีสัตว์ คือ ไม่มีแม้แต่สัญญาจะไปรับรู้ด้วยอะไรเลย เวทนาก็ไม่รู้เพราะตัวกำหนดรู้อยู่กับสัญญา สัญญีแปลว่าผู้มีสัญญา คนนี้ดับสัญญาไม่มีการกำหนดรู้เลย เวทนาก็ไม่รู้ สังขารก็ไม่รู้ วิญญาณก็ไม่รู้ ธาตุรู้ไม่มีอะไรเลยเหมือนคนถูกวางยาสลบ ไม่รู้ตัวเลยในภายนอก แต่จิตใจฟุ้งซ่านภายในก็อีกเรื่องหนึ่ง ไม่รับรู้แล้วร่างกาย ทิ้งความรับรู้ภายนอกหมด อสัญญีเป็นอย่างนั้น
นอกจากผู้ที่จะฝึกสมถะ อสัญญีทั้งภายนอกและภายในดับ ความไม่รับรู้ทั้งทวารทั้ง 5 ภายนอก เป็นพรหมลูกฟัก นิ่งหมด ภายในก็ไม่ปรุงแต่งฝึกที่เป็นอสัญญีสัตว์ที่สมบูรณ์แบบเรียกว่าพรหมลูกฟัก ตัวจะแข็ง เพราะว่าร่างกายไม่รับรู้จิตที่พอมีพลังงานเบาจะไปขับเคลื่อนกล้ามเนื้อก็ไม่มีเลย ตกอยู่ในสภาพนั้น หากพลิกตัว ล้มลงไปขาก็แข็งอยู่อย่างนั้น แต่อาตมาไม่เคยฝึกไปได้ถึงขนาดตัวแข็งยังงั้น ดับความรู้สึกไม่รับรู้ได้ขนาดนั้น แต่ขนาดแข็งเป็นพรหมลูกฟัก อาตมาก็ไม่เคยทำได้ขนาดนั้น แต่ทำอยู่เยอะ อยู่มาก อยู่นาน ทำไม่รู้กี่ปี แต่ก่อนนี้ ตอนเข้าใจใหม่ๆ เรียนรู้ธรรมะก็นึกว่าเป็นอย่างที่เขาพาเป็น สงบก็จะต้องหนีไม่ยุ่งเกี่ยว จะต้องเป็นนั่งให้จิตดับจิตสงบเข้าใจสามัญง่ายๆอย่างนี้ เรียกว่าความเป็นสมาธิหรือความเป็นสมถะ เจโตสมาธิเขาหมายถึงอย่างนี้ ความรู้ทั่วไปของสมาธิศาสนาพุทธเป็นแบบนี้ ซึ่งไม่มี
สมาธิของพุทธนั้นดับเฉพาะกิเลส ยิ่งมีนิโรธ ยิ่งมีกิเลสดับ เป็นนิพพานจิตประภัสสรยิ่งสว่างไสวยิ่งตื่นยิ่งรับรู้ได้เร็ว เป็นมุทุภูตธาตุ เร็วไว แววไว จิตใจปรับเปลี่ยนให้เป็นอย่างนี้อย่างนั้นได้ง่ายเป็นอมตะบุคคล เป็นบุคคลที่จะให้จิตใจเป็นอย่างไรตามบารมี จะให้เกิดหรือให้ดับเป็นต้น จิตใจสามารถทำอย่างนั้นสั่งการอย่างนั้นได้ นี่เป็นความรู้ของศาสนาพุทธ ของพระพุทธเจ้าซึ่งรู้จิตเจตสิกต่างๆอย่างแท้จริง
จิตที่ทำได้อย่างคล่องแคล่วอย่างมีสติตื่นเต็มๆ อย่างนี้แหละเรียกว่าเป็นสมาธิ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาไม่รู้เรื่อง สมาธิของพระพุทธเจ้าจึงไม่เข้าไม่ออก ไม่มีการเข้าสมาธิออกสมาธิ มีแต่การปฏิบัติจิตให้ลดละไป ฐานนิพพานคืออุเบกขา
อุเบกขามีคุณสมบัติ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
นี่เป็นจิตตื่นทั้งนั้นเลย เป็นอุเบกขา เป็นฌานที่ 4 เป็นอุเบกขาเจตสิก เป็นฐานของฌานที่ 4 ลืมตาสมาธิของพระพุทธเจ้านี้ยิ่งบริสุทธิ์ ปริสุทธา ปริโยทาตา จะสัมผัสอะไรอยู่ก็บริบูรณ์บริสุทธิ์อย่างนั้นอยู่ตลอด ปริโยาทาตา มีจิตมุทุภูตธาตุ คล่องแคล่วว่องไวรวดเร็ว มีทั้งเจโตและปัญญา มีความรู้สูงทำได้ดีเปลี่ยนแปลงได้ดีปรับ เปลี่ยนแปลงอนุโลมปฏิโลมกับอะไรต่ออะไรที่เราทำงานกับสังคม ก็เป็นความสามารถของ มุทุภูตธาตุ เพราะฉะนั้นจึงร่วมกับมนุษย์สังคมโลกที่มีผู้อยู่รวมกันร่วมกัน มีสัปปุริสธรรม 7 อนุโลมปฏิโลมกับเขาได้อยู่อย่างสบาย กัมมัญญตา ทำกรรมการงานที่เหมาะสมเหมาะควรทุกอย่าง รวมแล้วจิตก็จะประภัสสรอยู่ตลอดเวลา ผ่องใสผ่องแผ้วตลอดเวลา นั่นคือสมาธิหรือฌาน หรือเป็นนิโรธ
นิโรธก็ไม่ได้แปลว่าดับอย่างเดียว นิโรธเป็นการผ่องใสสว่างรับรู้เต็ม ทุกวันนี้ศาสนาพุทธเข้าใจคำว่าสมาธิของพระพุทธเจ้าไม่ได้ แม้แต่คำว่านิโรธก็เข้าใจผิด แต่เข้าใจว่าเป็นการดับอย่างไม่มีสัญญาเป็นอสัญญีสัตว์ ที่จริงคำว่าอสัญญีสัตว์ไม่ได้แปลว่าไม่มีสัญญาเหมือนกับคำว่า คล้ายคำว่า ถ้าปุญญาภิสังขาร มันเป็นอภิสังขาร เป็นการปรุงแต่งชั้นโลกุตระ อภิสังขาร 3 เป็นโลกุตระ ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร
อภิสังขาร คือการปรุงแต่งอย่างโลกุตระ ปุญญาภิสังขารคือการฆ่ากิเลสได้ ทำใจในใจให้มีมนสิการ โยนิโสมนสิการ ทำใจในใจกำจัดกิเลสได้เรียกว่าเป็นปุญญาภิสังขาร ที่อยู่ในภาค เสขบุคคล ได้ส่วนบุญไปเรื่อยๆ หมดอนุสัยคือหมดบุญหมดบาป เป็นอปุญญาภิสังขาร ไม่มีบุญแล้ว บาปก็ไม่มี จึงไม่ได้หมายความว่า อุปญญาภิสังขาร คือคนไม่เป็นบุญเลยก็เป็นบาป ตีความวน โลกีย์วน แต่โลกุตระไม่วนกลับ ได้แล้วได้เลย กิเลสขาดเป็นสมุจเฉทก็ได้ไปเรื่อยๆ สั่งสมความสงบรำงับไปเรื่อยๆ เป็นปฏินิสสัคคะไปเรื่อย เจริญรุดหน้าไปเรื่อย
หากเข้าใจโลกียะโลกุตระที่หยุดวนไม่ได้ก็กลับไปกลับมา เป็นโลกียะเป็นการปรุงแต่งอย่างเป็นบาป ผู้ที่ยังเข้าใจความเป็นจริงสภาวะละเอียดลึกซึ้งพวกนี้ไม่ออกก็จะเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นความถูกต้องแล้ว ปุญญาภิสังขาร ยังเป็นเสขบุคคลชำระกิเลสไปตามลำดับถึงขั้น อปุญญาภิสังขารก็เป็นอเสขบุคคล ไม่มีบุญไม่มีบาปบุญหมดเกลี้ยง พระอรหันต์เป็นคนไม่มีบุญ เป็นคนหมดบุญ เป็นคนไม่มีบุญ บาปก็ไม่มี จึงสัพพปาปัสสอกรณัง
หากยังเหลือกรรมกิริยาอยู่ก็มีแต่กุศล กุสลัสสูปสัมปทา เพราะว่ามีสจิตตปริโยทปนัง เพราะท่านไม่ต้องชำระกิเลสอีก ท่านได้สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ คือชำระกิเลสในสันดานจนหมดเกลี้ยงหมดแล้วสนิท
อานิสงส์ในการครองคู่แล้วปล่อยให้คู่ครองไปประพฤติพรหมจรรย์ ผู้ที่เป็นคู่ครองไปประพฤติพรหมจรรย์แล้วยิ่งเป็นอรหันต์ ก็อนุโมทนาสาธุด้วย ก็ยิ่งดี เป็นอานิสงส์สูงสุด นี่คือ เรื่องของอานิสงส์ ของการให้คู่ครองไปบวช ไม่ต้องพูดถึงคู่ครองไปเป็นโพธิสัตว์เป็นพระพุทธเจ้าก็ยิ่งสูงสุด อย่างเช่นอาตมา คู่ครองให้ไปบวชอานิสงส์ก็ต้องสูง ยกตัวอย่างตัวตนเลย
-
๐๖.๓๐ น. สมณะ พระ สิกขมาตุ บิณฑบาต ที่อาคารเอือนบวร
-
๐๙.๐๐ น. เทศน์ก่อนฉัน โดยสมณะเดินดิน ติกขวีโร สมณะแสนดิน ภูมิพุทโธ
สมณะเดินดิน ติกขวีโร…วันนี้เป็นวันสุดท้ายของ งานอโศกรำลึก เมื่อวานมีทั้งรายการทั้งเช้าทั้งเย็นฉลองให้มีอายุยาว ๑๐๐ ปี ไม่ใช่ภพพ่อครูอยู่ร้อยปีแต่เราก็ไม่ได้ไปด้วย งานนี้พ่อครูประกาศโพธิสัตว์ แต่เห็นองค์ประกอบเขาพูดกับพวกเราก็ต้องลดตัวลงมาด้วย เช่น เคยมีข้าราชการใส่รองเท้าเข้ามา พอเขาไปกับพวกเรา กลับมาเขาถอดรองเท้า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของคน คนเขามีปฏิภาณ พวกเราทุกคนเป็นตัวแทนให้เขาเข้าใจโพธิสัตว์ พ่อครูอยู่ร้อยปีแต่ลูกตายหมด ฉะนั้นจึงให้พวกเรามาอยู่รวมตัวกัน อยู่กันแบบสาธารณโภคีได้ ธรรมกาย ผลประจักษ์เขาใช้ไม่ได้ พวกเราแต่ละคนก็มีนัยยะจะขับเคลื่อน เราพยายามดูพ่อครูอยู่ร้อยปีให้ได้ งานนี้คนมาอุ่นหนาฝาคั่งขึ้นพ่อครูก็ระวังอุบัติเหตุกับการสำลักเท่านั้น
สมณะแสนดิน ภูมิพุทโธ…. ใน ๑ รอบนักษัตริย์ พ่อครูเทศน์มีใหม่ๆเรื่อยๆ ช่วงก้าวกระโดด พ่อครูอธิบายธรรมะก็เข้าใจง่ายขึ้น เช่นปสาทรูป มีประสาทรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้นกาย โคจรรูปก็คือจิตเคลื่อนไปรับ อย่างรัชกาลที่ ๙ เราก็พลาดมาแล้ว พ่อครูทุ่มเทกับศาสนา พวกเราทุ่มเทให้โลกีย์กับทุ่มเทให้กับโลกุตระ เรามาอยู่วัด กลับไม่มีเวลามาฟังธรรม เราทุ่มเทให้กับการงานหรือทุ่มเทให้กับธรรม เรื่องที่ ๒ เป็นกรรมฐานของชาวอโศก พ่อครูว่ากรรมฐานของชาวอโศกอยู่กับเวทนา เปิดคลิป ทหารจอดรถทำผิดกฎจราจร ถูกคนผู้รักษากฎซึ่งเป็นประชาชนคนธรรมดาว่า ทหารก็ยกมือไหว้ ขออภัย แต่คนว่าคิดว่าตนเองถูกจึงว่าเต็มที่ เลยถูกคนในสังคมว่าเอา ถูกคนว่าว่าพูดเกินไป เป็นเรื่องอันตรายกับความไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นในจิต
-
ที่เวทีเฮือนบวร มีการแสดงของวงฆราวาส การแสดงของเด็กสันติบาล รื่อง ความตาย อะไรเอ่ย อ่านบทกวีของอาจารย์เป็นต้น เด็กสัมมาสิกขาบวรราชธานี ร้องเพลง บุญล้อมข้าว ๒ เพลงดอกหญ้า การแสดงของนักเรียนสมุนพระราม ร้องเพลงสมรรถภาพ ทำอะไรถึงสวย คนดีสี่ภาค คุณศีลเพชร ร้องเพลงส่องเมืองเรือ แม่พันธ์ ราศี ร้องเพลง บ้านราชเมืองเรือ เพื่อมวลมนุษยชาติ การแสดงของศิษย์เก่า อีกร้อยปีต่อมา ณ ผาแหงน รวมเหล่าศิษย์เก่าสัมมาสิกขา ร้องเพลงบินตามพ่อ คุฯหินทอง ดีรัตนา คุณแม่บัวใส มาร้องเพลง คุณหายโง่ มาอ่านบทกวีบูชาพ่อ การแสดงกลองสะบัดชัย ของ บวรภูผาฟ้าน้ำ
-
๑๓.๐๐ น. ประกาศคำขวัญการแยกขยะ
รางวัลที่ ๑ นักเรียนสัมมาสิกขาราชธานีอโศก ด.ญ.เพชรเพียรพุทธ นิยมพุทธ “แยกขยะเป็นนิสัย สร้างวินัยให้ตนเอง”
รางวัลที่ ๒ คุณสุกาญจน์ ขันคุ้ม “แยกขยะ พัฒนาจิต เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม”
รางวัลที่ ๓ ด.ช.มีมา “โลกจะเป็นพิษ ถ้าเราไม่คิดแยกขยะ”
-
๑๗.๓๐ น. พิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ที่เฮือน บวร
วันเสาร์ที่ ๙ ม.ย.๖๑ เวลา ๑๗.๓๐ น.เริ่มการประกอบพิธีกรรมการบูชาพระบรมสารีริกธาตุ โดยพ่อครู นำหมู่สมณะ สิกขมาตุ เดินธรรมญาตราจากหน้าน้ำตกผาแหงน ผ่านลานแก่งสะโพ ทางด้านหน้าพระพุทธาภิธรรมนิมิต มายังเฮือนบวร โดยมีน้องๆนักเรียนสัมมาสิกขาและรุ่นพี่ศิษย์เก่า ร่วมร้องเพลงต้อนรับ ๒ บทเพลง ได้แก่ เพลงบินตามพ่อและเพลงพญาแร้ง…..พ่อครูและท่านสมณะนั่งบนเรือเจิ้นเทิ่น เป็นลำนาวาเอี้ยมจุ๊นที่จะพาฝ่ากระแสโลกีย์สู่โลกโลกุตระ
พ่อครูเทศนาเกริ่นนำ ก่อนพากล่าวคำบูชาพระบรมสารีริกธาตุ
อิติปิโส ภควา อรหัง สัมมาสัมพุทโธ
วิชชาจรณสัมปันโน สุคโต โลกวิทู อนุตตโร
ปุริสทัมมสารถิ สัตถา เทวมนุสสานัง พุทโธ ภควาติ
ขอนอบยอบหมอบกราบคารวะ
ด้วยสุดเกล้าสุดเศียรสุดกระหม่อม ของเหล่าข้าน้อยนี้
เกลือกถูรองรับอยู่ใต้ละอองผงคลีแห่งธุลีฝ่าพระบาทของสมเด็จพ่อ
ผู้เป็นพระอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้มี “พุทธคุณ” ดังกล่าวข้างต้น
อย่างสุดเทิดสดบูชายิ่ง
เหล่าข้าน้อยทั้งหาย ขอน้อมบูชา
เทิดทูนพระคุณอันหาที่สุดมิได้
ณ วาระศุภสมัยนี้ เหล่าข้าน้อยทั้งหลาย
ขอตั้งปณิธานต่อพระมหาบรมสารีริกธาตุ ต่อพระพุทธาภิธรรมนิมิต
ณบัดนี้ว่า… เลือดและวิญญาณของเหล่าข้าน้อยทั้งหมดนี้
ขอถวายอุทิศแด่พระพุทธศาสนาไปตราบดินสิ้นฟ้า
จนกว่าข้าน้อยแต่ละคนจะปรินิพพาน
ขอได้โปรดรับปณิธานนี้
ด้วยสุดเกล้าสุดเศียรสุดกระหม่อม
เหล่าข้าน้อยเถิดเทอญ
สาธุ-สาธุ-สาธุ
พ่อครูเทศนาก่อนพาทำพิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ …..วันที่ 9 มิถุนายนของทุกปีชาวอโศกเราก็เรียกกันว่า เป็นวันที่เราจะทำการบูชาพระบรมมาสารีริกธาตุ เมื่อก่อนเราทำกันอยู่ที่สันติอโศกมีพระเจดีย์อยู่ที่พระวิหารพันปี ที่นั่นที่บรรจุพระบรมมาสารีริกธาตุเอาไว้เยอะ โดยเฉพาะพระบรมสารีริกธาตุ 12 องค์แรกที่อาตมาได้มา จริงๆแล้วอาตมามีพระธาตุอยู่องค์เดียวในชีวิตที่ปฏิบัติธรรมมาก็ได้อยู่องค์เดียว ขนาดเท่าเมล็ดข้าวสาร ก็ประกาศไปว่ามีใครอยากจะได้ก็มาขอ ก็มีคนชื่อ ธรรมสามีติดต่อมารับไป จากนั้นก็ไม่มี
จนกระทั่งวันหนึ่งได้บิณฑบาตอยู่หน้าพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม วันที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้เดินบิณฑบาตข้ามสะพานเจริญศรัทธา ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเอาสตางค์มาใส่บาตร อาตมาก็รับเป็นพิธี รับเสร็จแล้วก็มอบคืนอย่างที่เราเคยทำ เราปฏิบัติธรรมมาแล้วบวชแล้วก็ไม่ได้ใช้เงินใช้ทองไม่ได้รับเงินมาเพื่อเป็นของตัวของตน เพราะผิดวินัยทำไม่ได้ ก็เลยรับกรรมที่เขาศรัทธาใส่แล้วด้วยใจจริงและก็คืนเขาไป บอกว่าเรารับมันไม่ได้เขาก็รับเงินคืนไป
แล้วเขาก็บอกว่า…ใช่แล้ว อาตมาก็ไม่รู้ว่าเขาว่าใช่อะไรนะ แล้วเขาก็ควักสิ่งของในกระเป๋าออกมา ควักเอาตลับสีแดงออกมา ตลับสำหรับใส่ทองคำ ก็นึกในใจว่าคงเป็นทองคำเอามาให้อีก อาตมาก็บอกว่าจะรับอย่างไรเพราะเห็นว่าตลับสำหรับใส่ทองคำ เขาก็บอกว่าอันนี้ใส่พระบรมสารีริกธาตุ 12 องค์ ที่เขาได้มา ซึ่งอาตมาไม่กล่าวว่าได้รับมาจากใคร เพราะไม่ควรกล่าวได้รับมาจากคนที่สูง เขาบอกว่า ถ้าพบผู้ที่มี ความควรจะรับพระบรมสารีริกธาตุก็ให้ไป เขาก็บอกว่า เจอแล้ว ใช่แล้ว ตอนนั้นเราไม่เพียงแต่ไม่รับเงินแต่เดินบิณฑบาตสงบมาก ไปเห็นกิริยาตอนนั้นสงบเนียนดีมากเลยทุกอย่าง ทุกอย่างตอนนั้นเรานิ่งมาก
เสร็จแล้วเขาก็ยืนยันว่าท่านต้องรับไป อาตมาก็เห็นว่าปรารถนาดีไม่ใช่ระเบิดแน่นอน อาตมาก็รับมา รับมาจนกระทั่งบิณฑบาตเสร็จ กลับมาที่สนามตรงพระปฐมเจดีย์ จึงเปิดออกมาเห็นเป็นพระบรมสารีริกธาตุ 12 องค์ พอได้พระบรมสารีริกธาตุมา กำลังนั่งล้อมวงจะฉันอาหารกัน แผ่นดินก็ไหวเลย ตรงที่พระปฐมเจดีย์นั่นแหละ ก็มีแผ่นดินไหว จากนั้นมาอาตมาจึงนำพระบรมสารีริกธาตุมาเก็บรักษาเอาไว้ จนกระทั่งมีคนนั้นคนนี้เอาพระบรมสารีริกธาตุมาให้อีกเยอะเลย ไหลมาเทมาเยอะแยะ จนกระทั่งอาตมาจะสร้างพระวิหารพันปีที่สันติอโศก เราก็ทำเจดีย์เป็นทองคำ ผสมเจดีย์ที่เป็นทองคำทำด้วยทองโกลด์มาสเตอร์ ไม่ใช่ทองคำgilding แบบทองคำเปลว แต่เป็นทองคำโกลด์มาสเตอร์ ใช้เครื่องสำหรับผสมทองคำมาใช้ทำเจดีย์
เสร็จแล้วก็นำมาไว้เป็นยอดพระวิหาร ก็บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ บรรจุในเจดีย์ทองคำอันนั้นก็มีพระบรมสารีริกธาตุนอกจาก 12 องค์นั้น ก็มีพระพุทธรูปหลายองค์ที่บรรจุในเรือนแก้วของเจดีย์ มีหิน ที่มาจากอินเดียเป็นถิ่นกำเนิดมีทั้งใบโพธิ์ที่มาจากอินเดีย จากสังเวชนียสถานบรรจุเข้าไป ในพระเจดีย์เสร็จแล้วตั้งแต่วันนั้น ก็ยกเจดีย์ขึ้นตั้งก่อนจะยกเจดีย์ขึ้นตั้งขึ้น มีคนปรารถนาดีต้องเป็นช่างทองเขาก็เอา cyanide มาล้างเจดีย์ มาฉาบเพื่อจะทำให้มันวาววาม แล้วก็ล้างหากเป็นทองคำเปลวที่แน่นไม่มีรูเข้าไป น้ำยาก็จะเข้าไปไม่ได้ แต่ทองโกลด์มาสเตอร์นี้มันมีรูมีร่องไม่แน่น มันก็ทำให้น้ำยาซึมเข้าไปได้ น้ำยาก็เข้าไปทำปฏิกิริยากับ nickel ที่ฉาบโครงสร้างของเจดีย์เอาไว้ด้วยทองเหลืองแล้วก็ผสมทองคำเข้าไปซ้ำไป ถ้าหากผสมทองคำกับทองเหลืองมันจะไม่ติดกันจึงต้องใช้นิกเกิลหุ้มเอาไว้ เสร็จแล้วน้ำยาก็ไปทำปฏิกิริยากับนิกเกิลเป็นสนิมออกมาไหลออกมาห่อหุ้มทองคำโกลด์มาสเตอร์ทำให้เจดีย์มีสีดำเหลื่อม ทองคำก็ไม่ได้หายไปไหนนะ
แต่เหตุประการนี้ ทุกอย่างมาแต่เหตุ เราก็ยังนึกว่าอโศกเอ๋ยทองคำยังดำเป็นสนิมเลย เจ้าประคุณมันไม่ใช่สนิมทองคำแต่เป็นสนิมอื่นเข้ามา จบ มันไม่สะอาดบริสุทธิ์สดใสชัดเจนได้ มันจะต้องคลุมเครืออยู่อย่างนั้น ทองคำก็ยังคลุมเครือหาว่าเป็นทองคำจริงหรือไม่ แต่แปลกนะหากดูพระเจดีย์นี้ตอนกลางวันจะเป็นสีคล้ำดำ แต่ว่าถ้าเห็นตอนกลางคืนจะมีแสงไฟสาดสองจะเห็นเจดีย์เหลืองเป็นทองคำแต่ตอนกลางวันจะดำ ถ้าเป็นกลางคืนเหลืองเป็นสีทองอร่าม เป็นเรื่องที่ทุกอย่างมาแต่เหตุไม่ได้เป็นเรื่องลึกลับหรือเรื่องแปลก แต่เป็นเรื่องที่น่าประหลาดอย่างมีเหตุปัจจัย นี่คืออโศก เป็นเรื่องที่ชาวอโศกต้องเป็นเช่นนี้ อาตมาเข้าใจตัวเองเกิดมาปางนี้
เหมือนกับพญาแร้ง อย่างเพลงที่ร้องกันเมื่อกี้นี้ คนรังเกียจแต่พญาแร้งไม่มีอะไรที่ทำให้คนลำบากเดือดร้อน มีแต่ทำให้เกิดความสะอาด เป็นสัตว์ที่ทำให้เกิดประโยชน์แก่โลก แข็งแรงที่สุดบินได้สูงที่สุด เป็นพญาแร้งจะไปบอกว่าเป็นสกั๊งค์ คนก็ยังไม่เข้าใจเรา ก็เลยกำหนดอะไรซักอย่างที่เหมาะสมกับเรา ก็คือแร้งเป็นสัตว์ประเภทแร้ง อาตมาเป็นหัวหน้าแร้งเป็นพญาแร้งก็เป็นนิทานนิยายของชาวอโศก
อาตมาก็จะขอพูดในวันสำคัญนี้ เรามาสร้างราชธานีอโศกก็เป็นสถานที่กว้าง สันติอโศกขยายไม่ออกแล้ว ถูกบังคับด้วยกรอบและที่ดินก็แพง ไม่ได้บรรยากาศอีก อาตมาก็เลยว่ามาสร้างที่นี่ ก็มาลงตัวที่นี่ ไม่ได้เจตนาแต่ทุกอย่างมีเหตุปัจจัยที่จะต้องมาที่นี่ เป็นที่นี่ อาตมาไม่มีความคิดจะวางแผนจะต้องทำให้กว้าง มันเป็นไปตามธรรม ก็มาเกิดราชธานีอโศกซึ่งเป็นถิ่นที่เกิดของอาตมาอยู่ที่อุบลราชธานี ก็เลยตั้งที่นี่ขึ้นมา ก็พอดีอาตมาเลือกที่นี่ก็เอาเท่านี้แหล่ะ ก็เลยตั้งชื่อสถานที่นี้ว่าราชธานีอโศก เอามาจากคำว่าอุบลราชธานีต่อคำท้ายมาตั้งชื่อเป็นหมู่บ้าน ตอนแรกก็เป็นชุมชนราชธานีอโศกก็ไปขอจดทะเบียนทางมหาดไทยทางการก็ยอมรับว่าเป็นหมู่บ้านหนึ่งในตำบลบุ่งไหมหมู่ที่ 10 เรียกเต็มๆว่าหมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก หมู่บ้านเป็นนิตินัยแต่ชื่อของเราคือชุมชนราชธานีอโศก เขาไม่ยอมแก้ให้เป็นหมู่บ้านราชธานีอโศกก็เลยตั้งชื่อว่าเป็น หมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก จังหวัดที่มีชื่อท้ายว่าราชธานีก็มีแต่อุบลราชธานีนี่แหละ พวกเราเป็นราษฎรเต็มขั้นแล้วจะเปลี่ยนเป็นราษฎรอโศกเขาจะให้ใหม่นะหมู่บ้านราษฎรอโศก แต่มันจะมากไป ก็เลยเอาตามเหตุปัจจัย เราเป็นราษฎรเต็มขั้นก็เลยต้องเอาแบบนี้
เราดำเนินชีวิตกันมาเป็นหมู่บ้าน ที่อาตมาใช้ทฤษฎีธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นหลักในการสร้างมนุษย์ จนได้มรรคได้ผลกันเป็นชุมชนที่มี ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติอย่างแท้จริง คนเขาไม่เข้าใจเขารังเกียจก็ไม่มา แต่คนที่เขาไม่เชื่อก็มี มันก็มีสองทิฏฐิ คนที่ไม่เชื่อก็ไม่มา แต่เราพูดความจริงเรามีสิทธิ์พูดความจริง แต่ความจริงใจอาตมาตรวจจิตใจตัวเองว่าเราอยากอวดไหมเราอยากโชว์ไหม อาตมาว่าอาตมาไม่มีสาเฐยจิตพวกนี้แต่ทำไมต้องพูด เพราะคนเข้าใจผิดในเรื่องอาริยะมันเป็นเรื่องผิดฝาผิดตัว เป็นเรื่องเลอะเถอะไปหมดแล้ว เราก็ทำตามหลักพระพุทธเจ้ามีหลักฐานตรวจสอบตามหลักวรรณะ 9 เรื่องศีล สมาธิ ปัญญา อาตมาก็อธิบายมาหมด คำว่าบุญ คำว่ากุศลธรรม กาย คำว่าศีล สมาธิ ปัญญา เป็นนัยยะที่เป็นโลกุตระ อาตมาก็ขยายความอ้างอิงคำสอนพระพุทธเจ้ามาตลอด เอาพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐมาเป็นหลัก ก็พออยู่ได้มีหลักฐาน เขาก็ยอมรับนับถือพระไตรปิฎกฉบับเดียวกัน
ก็เลยอยู่ได้ทำงานศาสนามา 47 ปี เริ่มปีที่ 48 จะพยายามสร้างสมรรถภาพ อาตมายืนยันว่าจะอยู่ทำงานอีกต่อไปพยายามรักษาร่างกายขันธ์ให้มันยืดยาวต่อไปจนถึง 151 ปีตามที่ตั้งไว้ มันจะได้เท่าไหร่ก็ไม่รู้ ก็เป็นการพิสูจน์ธรรมะพุทธเจ้าที่เป็นสัมประสิทธิ์ พลังงานสัมประสิทธิ์ออกมาพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ C เป็นสูตรที่ต่อจากไอน์สไตน์คิดมา
E=C(mc2+A)
ตัว A ใหญ่คือ Abstract เป็นนามธรรมที่ทำเพิ่มขึ้นไป เติมต่อไปจนเกิดสัมประสิทธิ์ได้ ตัว m คือมวลแล้วก็มีพลังงานทางจิตคือตัว c คือจิต มันเร็วกว่าแสง เพราะฉะนั้นความเร็วกว่าแสงนี่แหละมันก็เท่ากับความเร็วที่ยกกำลังแล้วเราก็เพิ่มยกกำลังได้อีกโดยชุด E=C(mc2+A) นี่คือชุดของ C ใหญ่ที่อยู่ข้างนอก อาตมาจะพิสูจน์สูตรของ CoEfficient สัมประสิทธิ์ แม้เป็นนามธรรมก็ทำให้มีฤทธิ์. อายุของร่างกายอาตมาก็ทำให้เกิดผลตามที่เข้าใจ
วันอาทิตย์ที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๑
-
๐๓.๔๐ น. สมณะเดินดิน ติกขวีโร สมณะบินบน ถิรจิตโต นำสรุปงานโดยสมณะเดินดิน ติกขวีโร
สมณะเดินดิน ติกขวีโร กล่าวว่า มาช่วยกันสรุปว่า มีข้อแก้ไข มีข้อดีอย่างไร ก็ยังรู้สึกไม่ลงตัว อาคารโน้น เฮือนบวร เหมาะกับคนเยอะๆ เมื่อคืนคนก็เยอะเหมาะอยู่ เมื่อวานประชุมเรื่องสื่อ พ่อครูสรุปว่าหนังสือก็ยังทำต่อไป ศาลอโศกคน เขียนคนรายงานไม่ค่อยมี เนื้อหาข้อมูลไม่ค่อยมี โลกยุคนี้การบันทึกสำคัญ ยาไทยกับยาแผนปัจจุบันไม่มีการบันทึก ใช้จำกันมากการจำบางคนก็ขี้โม้ เกินจริง คนใช้ความจำยาไทยก็ไม่มี งานศาสนาไม่มีการบันทึกไว้ก็ลืม งานหน้าก็นับหนึ่งกันใหม่อีกงาน ๘๔ ปีฯ ก็ไม่ได้บันทึกไว้ ฉะนั้นก็เขียนไว้คนละมุม หนังสือพ่อครูทำให้คนอ่านเข้าใจง่ายที่สุด ทำสื่อไม่มีคนอ่านก็ใช้ไม่ได้ คนอโศกไม่อ่านก็ไม่มีใครอ่าน คนจะเป็นนักเขียนได้ก็ต้องเป็นนักอ่าน
สมณะบินบน ถิรจิตโต เสริมว่า สำหรับงานนี้การบันทึกก็ควรบันทึกว่า การบูชาพระบรมสารีริกธาตุงานนี้ลงตัว ช่วงร้องเพลงก็ดี
คุณศิริมา ศรสุวรรณ (หายโง่)…การจัดนิทรรศการเนื้อหาดีมากแต่คนชมนิทรรศการไม่มากนัก ควรดำรงไว้ไม่ควรเก็บ มีความรู้ ควรมีคนอธิบาย
คุณอุ๊(อิงไอดิน)…อยู่เวทีก็เห็นอนิจจังของการจัดงาน มีการปรับเปลี่ยนรายการหรือผังงานอยู่ตลอด ทำให้ได้ฝึกวางใจอยู่กับปัจจุบัน
ปีนี้เป็นปีที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดมีโรงบุญ ๙๖ โรง พืชผักใช้ไป ๔,๘๗๕ กิโลกรัม ผักบุ้งงานนี้ใช้ ๗๑๐ กิโลกรัม มะละกอ ๕๐๐ กิโลกรัม ฟักเขียว ฟักทอง ๘๐๐ กิโลกรัมขิง ข่า ตะไคร้ ๒๐๐ กิโลกรัม งานนี้ใช้พืชผักไร้สารพิษ ๑๐๐% เครื่องปรุง ๑๐๐% ข้าวใช้ไป ๑,๐๘๐ กิโลกรัม วนผลไม้ เงาะ สับปะรด ประมาณ ๒ ตันแตงโมประมาณ ๒๐ ตัน
งานต่อไปชาวอโศกควรเตรียมอุปกรณ์การกิน เครื่องนอน บัตรประชาชนมาด้วย
-
ช่วงก่อนฉัน สมณะ สิกขมาตุ เทศนา…รำลึกถึงวันอโศกรำลึก