610706_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ คือ คนเช่นไร
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://drive.google.com/open?id=1AiQw3qLC1Ay8QumJGnZNrE1zvnRdKFZWXXXxwk4lnkw
ดาวโหลดเสียงที่..https://drive.google.com/open?id=17U1QzTBTrH68jPyUtwskmn8YWOwjz09x
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ที่ผ่านมา เมืองไทยมีเหตุการณ์อะไรมากมายเกิดขึ้น เราลุ้นว่า เด็กทีมหมูป่าจะรอดชีวิตได้อย่างไร ในขณะที่เรากําลังระวังเด็กให้ปลอดภัย ผู้ใหญ่พวกชาวต่างชาติที่มาเที่ยวประเทศไทย ไปนั่งเรือไปเที่ยวทะเล ก็ถูกคลื่นสูงซัดเรือจนจมหายไปกว่า 50 ชีวิต
ขณะที่ทุกชีวิตกำลังตั้งตาช่วยให้เด็กรอด แต่หน่วยซีลที่เข้าไปปฏิบัติการก็เกิดเหตุเสียชีวิต 1 ราย
การเกิดการตายทางร่างกาย หากเราไม่หมดกิเลสก็ยังจะต้องมาวนเวียนเกิดแล้วตายอีกนานนับชาติ ต้องมาเสียใจดีใจกันอีกต่อไป จนกว่าเราจะหมดกิเลสถึงจะเลือกที่จะไม่กลับมาเกิดได้
พ่อครูว่า…ก่อนอื่นก็ อ่าน sms SMS 4 – 5 กรกฎาคม 2561 (พ่อครู : บวรสันติอโศก)
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ คือ คนเช่นไร
_8498ห้ามพระอาริยะเปิดเผยตัวตน เหมือนห้ามหมอจ่ายยาคนป่วย สุดท้ายโรคก็ระบาด
พ่อครูว่า…เราอ่านพระไตรปิฎกก็จะได้เห็นว่าพระพุทธเจ้าท่านประกาศตัวเองทันที ท่านสูงสุดเต็มที่ใหญ่ยิ่งเต็มที่ ท่านก็ตรัสความจริงเต็มที่ของท่านออกไป เป็นการบอกความจริง การบอกความจริงคือการไม่มี สาเฐยะ อาตมาก็มาเปิดเผยความจริงบอกความจริงพูดความจริง เปิดเผยความเป็นอาริยะของตัวเอง
ในโลหิจสูตร ก็มีการกล่าวถึงเรื่องนี้ อาตมาประกาศว่าเป็นสัตบุรุษ ผู้มาเปิดเผยสัจธรรม ก็ไม่เห็นมีใครจะมาตื่นเต้นอะไร ชาวอโศกอาจจะไม่ตื่นเต้นเพราะเชื่อแล้วเป็นแล้ว หลายคนก็เอาชีวิตมาพยายามศึกษาฝึกฝนเอาให้จริงจังได้ เห็นได้ดีชัดเจน เชื่อมั่นว่าถูกต้องแต่คนข้างนอกไม่เชื่อมั่น ว่า ที่อาตมาพูดนี้เป็นสิ่งดีสิ่งประเสริฐที่ยิ่งใหญ่ ในเมืองไทยเป็นพุทธถึง 95 เปอร์เซ็นต์ มีผู้ประกาศว่าเป็นผู้บรรลุธรรม ไม่ใช่บรรลุธรรมดาด้วยอาตมาประกาศว่าตนเองเป็นอรหันต์เป็นโพธิสัตว์
อธิบายมาแล้วว่า โพธิสัตว์นี้เหนือกว่าอรหันต์ธรรมดาตั้งหลายขั้น มันก็เหมือนยกตัวยกตน อรหันต์คือโพธิสัตว์ขั้น 4 อาตมาประกาศเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ด้วย
สมณะเดินดินว่า…ถ้าเชื่อแล้วคงจะมาปฏิบัติอย่างที่เราเป็น
พ่อครูว่า…เขาปฏิบัติไม่ได้ก็คงจะบอกว่าไม่เอา ก็ตีทิ้ง แต่พวกคุณทำไมมา เต็มใจมา ตั้งใจมาพากเพียรจะปฏิบัติให้เป็นอย่างที่อาตมาเป็นนี้ด้วย
ที่อาตมาประกาศแล้ว ไม่ตื่นเต้นเพราะอะไร เพราะเขาเข้าใจพระอาริยะ พระอรหันต์ไม่ได้เป็นอย่างที่อาตมาเป็นอย่างเด็ดขาด ไม่เลย จะเข้าใจอย่างครูบาบุญชุ่มคืออรหันต์ อย่างมหาบัวเป็นอรหันต์ อย่างหลวงปู่แหวน สูบบุหรี่ไชโยมวนโต มหาบัวก็เคี้ยวหมากไม่เคยขาดปาก ก็เป็นสิ่งที่ไม่น่าติดยึดแล้ว เป็นสิ่งเสพติด ก็ยังไม่รู้เลยว่าเป็นสิ่งเสพติดคืออะไร ตัวเองติดสิ่งเสพติดอยู่แค่นี้ก็ไม่รู้ แล้วก็เข้าใจไม่ได้ เขาเข้าใจว่าอย่างนี้คืออรหันต์
อาตมาพูดว่า การนั่งหลับตาไม่ใช่ทางของศาสนาพุทธ เขาก็ไม่เข้าใจ ยากมากที่จะพลิกความเข้าใจที่เขายึดมั่นถือมั่นนี้แล้วให้พลิกกลับมายาก ผู้ที่จะเข้าใจและเห็นว่า สิ่งที่อาตมาพูดนี้ถูก ผู้นั้นต้องเป็นคนพิเศษที่มีปฏิภาณปัญญาเป็นพิเศษ ถ้าเป็นคนธรรมดาสามัญไม่ได้จบด็อกเตอร์เปรียญ 9 เฉลียวฉลาดอะไรหนักหนา ฟังอาตมา ไม่เชื่อว่าอาตมาพาทำถูก เขาก็เชื่ออย่างประเพณีที่เขาเชื่อถือกันแล้ว อันที่มันเป็นแล้วของศาสนาพุทธจมอยู่กับอันนั้นแล้ว นั่นแหละคือสิ่งที่ถูกต้อง อย่างอาตมานี่คือสิ่งที่ไม่ใช่ มันน่าสงสารน่าเวทนาจริงๆ แต่ยิ่งสงสาร ก็ยิ่งต้อง พยายามทำความเข้าใจมีอุตสาหะวิริยะทำความเข้าใจให้ดีๆ
ที่จริงแล้ว ที่เขายึดมั่นถือมั่นกัน ที่ว่า อรหันต์เป็นอย่างไรนั้น พอเขาได้ยินได้ฟังอาตมาแล้ว ก็น่าจะคิดว่า ทำไมถึงคิดว่าตัวเองเป็นอรหันต์ มันน่าศึกษานะ มันแตกต่าง เป็นอรหันต์อย่างที่อาตมาพาเป็นนี้ อาตมาก็ยังเชื่อว่าอาตมาอธิบายธรรมะจนป่านนี้แล้ว คนยังเข้าใจไม่ได้ว่าอรหันต์ของเอ็งมันเป็นอย่างไร และพวกคนเหล่านี้อธิบายว่าอรหันต์คือแบบไหน เป็นอย่างไร เขาก็อธิบายกันว่า ต้องนั่งนิ่งๆ
อาตมายืนยันอรหันต์ว่าคือคนที่ไม่ใช่นั่งนิ่งๆ แต่มีความคล่องแคล่วทั้งเวทนา สัญญาสังขาร มีวิญญาณคล่องแคล่ว เป็น กายปาคุญญตา จะเป็นคนมีกรรมกิริยา การงานคล่องแคล่ว กายกัมมัญญตา
สู่แดนธรรมว่า…แล้วอรหันต์ก็ยังมีการอนุโลมได้หลายอย่างด้วย
พ่อครูว่า…อาตมาเป็นคนไม่ไว้ท่า มีแต่ปรุงแต่ง กายวิญญัติ วจีวิญญัติ ให้คนเข้าใจดีที่สุดให้ถึงที่สุด สื่อ นัจจะคีตะวาทิตะ ท่าทางสุ้มเสียงสำเนียงภาษาคำพูด ต้องพยายามให้สื่อออกไปแล้วคนรับเข้าใจ รู้ได้ ชัดง่าย เร็วไว กระจ่างดีเลย เพราะฉะนั้นอาตมาไม่ได้เป็นคนไว้ท่าเลย เขาก็ว่าไม่ได้ พระอรหันต์ต้องมีการสำรวมกายวาจาใจ ต้องมีท่าทีเต๊ะท่า
อ่านใน อัมพัฏฐสูตรต่อ...พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรมพระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตามทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง...ท่านยืนยันตัวเองอย่างนั้นเลย
หากบอกว่าบอกว่าเป็นอรหันต์ไม่ได้ แม้เป็นจริง แค่คำว่าอาริยบุคคลหรืออรหันต์ จะบอกตนเองไม่ได้ นี่ก็เป็นความเข้าใจผิดที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ โลหิจสูตร เป็นพระสูตรที่ 12 ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 ท่านตรัสไว้ชัดเจนว่า.. [358] ดูกรโลหิจจะ ด้วยประการฉะนี้ เป็นอันฟังได้ว่า ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่าโลหิจจพราหมณ์ครองบ้านสาลวติกา ควรใช้สอยผลประโยชน์อันเกิดในบ้านสาลวติกาแต่ผู้เดียวไม่ควรให้ผู้อื่น ผู้ที่กล่าวอย่างนี้นั้น ชื่อว่าทำอันตรายแก่ชนที่อาศัยท่านเลี้ยงชีพอยู่ เมื่อทำอันตราย ย่อมชื่อว่าไม่หวังประโยชน์ต่อ เมื่อไม่หวังประโยชน์ต่อ ย่อมชื่อว่าเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรู เมื่อเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรูแล้ว ย่อมชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ฉันนั้นนั่นแล ดูกรโลหิจจะ ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์ในโลกนี้ควรบรรลุกุศลธรรม ครั้นบรรลุแล้วไม่ควรบอกผู้อื่น เพราะผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่ผู้อื่นได้. บุคคลตัดเครื่องจองจำเก่าได้แล้ว ไม่ควรสร้างเครื่องจองจำอื่นขึ้นใหม่ ฉันใด ข้ออุปมัยนี้ก็ฉันนั้น เรากล่าวธรรมคือความโลภว่าเป็นธรรมอันลามกเพราะผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่ผู้อื่นได้ ผู้ที่กล่าวอย่างนี้นั้น ชื่อว่าทำอันตรายแก่กุลบุตรผู้ที่ได้อาศัยพระธรรมวินัยอันตถาคตแสดงไว้แล้ว จึงบรรลุธรรมวิเศษอันโอฬารเห็นปานนี้ คือทำให้แจ้งโสดาปัตติผลบ้าง สกทาคามิผลบ้าง อนาคามิผลบ้าง อรหัตผลบ้าง และแก่กุลบุตรผู้ที่อบรมครรภ์อันเป็นทิพย์ เพื่อบังเกิดในภพอันเป็นทิพย์ เมื่อทำอันตราย ย่อมชื่อว่าไม่หวังประโยชน์ต่อเมื่อไม่หวังประโยชน์ต่อ ย่อมชื่อว่าเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรู เมื่อเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรูแล้ว ย่อมชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ดูกรโลหิจจะ ผู้ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิเรากล่าวว่ามีคติเป็น 2 คือ นรกหรือกำเนิดเดียรฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง
(พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 358)
อาตมาประกาศตนเองเป็นอรหันต์นั้นอาตมาไม่มีกิเลสสักนิดเดียวเลย แต่เขาก็ฟังไม่ขึ้น เพราะเขาเชื่อว่าผู้บรรลุธรรมแล้วบอกใครไม่ได้ ให้ตายก็บอกไม่ได้ เห็นไหม อย่างนี้ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ พระพุทธเจ้าพยากรณ์ว่าผู้ที่มีความคิดเห็นยึดถืออย่างนี้ไม่ตกนรกก็เป็นเดรัจฉาน เขาไม่เชื่อว่าใครจะมาพูดได้กล่าวได้นอกจากพระพุทธเจ้า แม้ในยุคนี้ใครจะมากล่าวก็ไม่ได้ เขาไม่กล้าไม่อาสโภ ไม่มีความแกล้วกล้าอาจหาญเพียงพอ เขามังกุตามคำสอนพระพุทธเจ้าเลย
อาตมาเป็นแล้วบรรลุเต็ม ไม่ได้หมายความว่าเหลาะแหละอะไร ก็จะกล่าวด้วยความเต็มใจจริงใจ ว่าเป็นแล้วไม่ใช่อรหันต์แบบเดา ทุกวันนี้มีแต่อรหันต์เดา อรหันต์จริงไม่มีใครกล้ากล่าว ขืนกล่าวก็อาบัติ
อาตมาอธิบายไปแล้วว่าพระอรหันต์มีสติวินัย ไม่ต้องอาบัติอะไรหรอก เพราะหมู่สงฆ์รองรับแล้วให้สติวินัย
อาตมาเป็นอรหันต์ หมู่สงฆ์ก็ประกาศสติวินัยแก่อาตมาอย่างเป็นทางการแล้ว สงฆ์องค์นี้ก็เป็นอุปัชฌาย์เป็นพระผู้ใหญ่ก็ทำตามพระวินัยพระพุทธเจ้า ไม่ทำก็ได้ แต่ทำก็ครบ หมู่สงฆ์ได้ยกสติวินัย สามัญก็ยกให้อยู่แล้ว เป็นสิ่งที่เดาไม่ได้ น่าสงสารคนที่เชื่อถือความคิดตัวเองมากจนยึดถือคำสอนที่ไม่ตรงไม่เต็มไม่บริบูรณ์ อาตมาถือว่ายึดไม่ครบ ก็มีแง่เชิง
เขาอธิบายว่าผู้ที่ประกาศได้คือคนอย่างนี้ อาตมาอยู่ในข่ายของคนที่ประกาศได้ แต่เขาก็ไม่เชื่อว่าอาตมาเป็น ก็เขาไม่เชื่อ เอาแต่ได้ยึดถือว่าในยุคนี้ไม่น่าจะมีใครเป็นได้
อาตมานี่แหละที่เกิดมาในยุคนี้เพื่อรื้อฟื้นศาสนาพระพุทธเจ้าที่มันผิดเพี้ยนไปเหมือนกลองอานกะ ยืนยันตามพระสูตรว่า ธรรมะพระพุทธเจ้านั้นเละยิ่งกว่าขี้แพะแล้ว แทบไม่เหลือศาสนาพุทธในยุคนี้
อาตมาก็เอาโลกุตรธรรมมาเปิดเผย เป็นธรรมที่ประณีตสุขุมละเอียด ไม่มีใครเอาธรรมะมาอธิบายได้ละเอียดอย่างอาตมานี่ย่างเข้า 49 ปีแล้ว สังเกตจุดนี้ไหม ฉุกคิดข้อนี้ไหม แล้วมันผิดไหม อธิบายเป็นเรื่องเลอะเทอะสกปรกเพ้อเจ้อไม่ได้เรื่องได้ราวหรือไม่ หรือว่ามีเนื้อแท้ของศาสนาพุทธหรือไม่ เรียนมากันเยอะ จบทางเปรียญ 9 จบด็อกเตอร์มามากมายก็มาตรวจสอบอาตมา ขออภัยไม่ใช่ท้าทาย อยากจะให้ปฏิบัติให้สมบูรณ์
อาตมามั่นใจว่า นี่คือความจริงความรู้ความถูกต้อง เงี่ยโสตสดับที่จะต้องมาตั้งใจฟังให้ดี สุสูสังลภเตปัญญัง ฟังด้วยดีย่อมได้ปัญญาได้ความฉลาดที่เป็นปัญญาโลกุตระด้วยไม่ใช่แค่ความฉลาดแบบเฉกา เฉโก
ไม่มีใครเอาโลกุตรธรรมมาประกาศเหมือนอาตมาในยุคนี้ มีอาตมาโผล่มาเหมือนขอมดำดิน เขาก็เลยไม่เชื่อ แล้วเป็นขอมดำดินที่ไม่ได้แข็งเป็นแท่งหินเหมือนอย่างนั้นนะ แต่โผล่มาแล้วดิ้น อธิบายประกาศส่งเสียงดังเลยกวาดล้างด้วย
ผู้ที่เข้าใจยึดถือกันผิดไม่ถูกต้องว่า อรหันต์ประกาศตัวว่าเป็นอรหันต์ไม่ได้ อรหันต์ประกาศ จะบอกว่า ประกาศต่อหน้าอนุปสัมบันคือ ผู้ที่ไม่ควรจะได้ยินเป็นอาบัติปาจิตตีย์ก็ได้ แต่อาตมาไม่ได้ประกาศตนเองต่ออนุปสัมบัน จะได้ประโยชน์อะไรเพราะเขาไม่ศรัทธาความรู้แบบนี้ เขาไม่ใช่สหธรรมิก อาตมาจะไปประกาศทำไม อาตมาก็ประกาศในสหธรรมิกคือชาวอโศก ผู้รู้ธรรมะอันเดียวกัน ก็ประกาศในนี้
อาตมาประกาศไปแล้ว เขาก็ไม่เชื่อจึงปฏิเสธทันที เห็นว่า คนๆนี้อวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตนด้วย เขาเชื่อลึกๆว่า อรหันต์ต้องเป็นอย่างที่เขาเข้าใจ โพธิรักษ์นี้ไม่ใช่ ร้อยไม่ใช่พันไม่ใช่แสนไม่ใช่อรหันต์ อรหันต์ จะต้องเป็นอย่างที่เขามี Concept มีความเชื่อถืออย่างนั้น
มีความคิดองค์รวมของเขาสรุปไว้ว่าต้องเป็นอย่างนี้ อย่างนี้ไม่ใช่ นอกจากไม่ใช่อย่างนี้แล้วไม่เป็นอย่างนี้แล้ว มันตรงกันข้ามกับที่เขาคิดด้วย อรหันต์อะไรพูดมากด้วย อรหันต์อะไร ไปว่าเขาผิดหมด ไม่มีส่วนถูกเสียเลย อาตมาว่าจริงๆนะ ไม่ได้เหลือส่วนถูกเลยไม่ได้พูดเล่นๆนะ ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร
เขาเชื่อมั่นเลย แล้วไปกำหนดสัญญา สัญญาคือ คือความกำหนดหมายสัญญามั่นหมายว่า สนิทแน่นเลยว่า อย่างนี้ไม่ใช่อรหันต์ ต้องเป็นอย่างนี้สิถึงเป็นอรหันต์ อาตมาจึงได้แก้ไขสิ่งที่เขาสำคัญมั่นหมายว่าอรหันต์ต้องเป็นอย่างนี้ตาม Concept ของเขา คงจะแก้กันอีกนาน คงพูดกันอีกนาน ยืนยันกันอีกนาน
อาตมาไม่มีอื่นเลย ยืนยัน ด้วยความจริงและความรู้
ความจริงคือความคิดเป็นได้ อาตมามีความเป็นได้เท่าไหร่ อรหันต์หรืออาริยะของพระพุทธเจ้าเป็นสังคมอาริยะ แล้วก็ยืนยันเป็นสังคมชาวอโศก ว่านี่แดนอาริยะของศาสนาพุทธเป็นแผ่นดินพุทธ แผ่นดินอื่นที่ประกาศว่าตนเองเป็นศาสนาพุทธนั้นไม่ใช่ศาสนาพุทธเป็นธรรมะที่เลอะเทอะ ธรรมะของพระพุทธเจ้ายังไม่เข้าร่องเข้ารอยในที่นั้น
ขออภัยพูดไปเหมือนตีทิ้งข่มเขา แต่เลี่ยงไม่ออกที่จะพูดความจริงตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้นจำเป็นมากเลยที่อาตมาจะต้องออกมาพูด และก็ยืนยันความเป็นความมี ก็ต้องแสดงอธิบายยืนยันหลักฐานต่างๆ ที่มันมีอยู่ทั้งหมดทั้งมวล
อธิบายมา 48 ปีแล้วก็ยังไม่ค่อยจะเชื่อไม่ค่อยนับถือ ยังไม่ค่อยจะเห็นได้กันเลย แหม อาตมาจึงจำเป็นจะต้องยื้อชีวิตของตัวเอง ให้ยาวออกไปอีก เห็นใจอาตมาบ้างไหม ที่ต้องยื้อชีวิตตนเอง ให้ยืนยาวออกไปที่จะยืนยันความรู้ความจริงอันนี้
_3867พ่อครูฯก็สอนตามพระธ.คำสอนฯตถาคตฯเทศน์ตามพระไตรปิฎกฯอ่านตามพระ สูตรฯพุทธวจนะฯปฏิบัติตามศาสตร์พระราชาฯแล้วชนกระแสหลักจะเชื่อบ่เชื่อ!จะนับถือบ่นับถือ!จะด่าตำหนิติเตียน!ไม่เป็นไร!เพราะมีแต่ผู้บริสุทธิ์จิตเท่านั้นเข้าถึงความบริสุทธิ์ใจในพ่อครูฯได้
_จากคุณไม้ทอง อยุธยา ช่วยกราบเรียนถามพ่อท่านว่า….เหตุการณ์ 13 คน….เป็น….Bomb of Love….of the World ไม้ครับ
พ่อครูว่า…อาตมาก็ว่าได้นะ เพราะว่าดังไปถึงต่างชาติแต่นัยยะไม่ยิ่งใหญ่เหมือนกับในหลวงรัชกาลที่ 9 Bomb of love หมายถึงโลกุตรธรรม พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงงานมาถึง 70 ปี ประพฤติแสดงมา แต่ท่านในหลวงท่านไม่ใช่นักอธิบายธรรมะเหมือนอย่างโพธิรักษ์ แต่ท่านทรงแสดงพฤติกรรมโลกุตระเท่านั้น ท่านเป็นเจโต อาตมาก็เป็นปัญญา เป็นโพธิสัตว์ 2 องค์ที่มาเปิดเผยในยุคนี้บอกให้ฟังชัดๆ
ถ้าใครเชื่อถือ เข้าใจที่อาตมาพูดด้วยความจริงใจ ไม่ได้พูดเพื่อข่มคนหรือยกตน แต่พูดตามสัจธรรมความจริง
เหตุการณ์นี้ก็เป็นนัยยะสำคัญ ไม่ใช่นัยยะใหญ่ อาตมาไม่อยากพูดมาก หากอธิบายองค์ประกอบลึกๆ ที่เกี่ยวกับ ศึกษาบทบาทที่เป็นนักฟุตบอลเป็นการละเล่นเป็นอบายมุขมันไม่ใช่พฤติกรรมอย่างในหลวง เพราะฉะนั้นบอมออฟเลิฟ เทียบกันไม่ได้
Bomb of Love ของในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นโลกุตรธรรม อันนี้เป็นอบายมุข เขาเป็นนักฟุตบอล แล้วเขาก็ ซนไปเที่ยว คำว่า เที่ยวคำเดียวนี้ เป็นคำที่ยิ่งใหญ่ไม่ใช่เล่น
อาตมาเคยพูดว่า อาตมานึกไม่ออกว่าหยุดเที่ยวตั้งแต่เมื่อไหร่ ติดใจเรื่องเที่ยวไม่มี
ไปเที่ยว ต่างจากคำว่าไปทำงาน
ไปเที่ยว คือการไปสนุกสนาน อย่างอ่อนก็คือไปพักผ่อนหย่อนใจ ไปหาความรื่นเริงบันเทิงสนุกสนานเรียกว่าไปเที่ยว ไปสนุกอย่างสูงสุด ขออภัยที่ต้องพูดคำนี้ไปเที่ยวซ่อง การพนัน ซ่องโสเภณี ซ่องอะไรก็แล้วแต่ มันเลวไหม อย่างนี้เป็นต้น
การไปเที่ยวคือการมีจิตบันเทิงเริงรมย์ ไม่เจริญ ผู้บรรลุธรรมสูงสุดแล้วคำว่าเที่ยวไม่มี จะชัดเจนในคำว่าเที่ยว เที่ยวคือการไปหาอะไรบำเรอจิตตัวเอง จิตตนเองยิ่งพร่องก็ต้องไปหาอะไรเสพ แต่ผู้ใดหมดการเสพ ไม่บำเรอตนเองแล้ว จะจบการเที่ยว
การอ้างอิงว่าไปทำงาน ไปทำให้เป็นประโยชน์ กับแฝงการไปเที่ยว จิตมีแฝงการไปเที่ยวไปเสพ อันนี้แหละบำเรอใจตัวเอง ถ้ายังมีก็มีเชิงเที่ยว
คนไปทำงานนี้จะไปก่อประโยชน์ ถ้าไปเที่ยวนี้ไปเสพ นี่คือนัยละเอียดสองความหมายสั้นๆง่ายๆ
เพราะฉะนั้นในนัยยะที่อาตมาหยิบมาอธิบายคือธรรมะที่จะต้องทำความเข้าใจ เมื่อมาพูดถึงตรงนี้แล้ว ขยายความกัน
เรื่องนี้เป็นความฮือฮา มีสิ่งที่ดีก็คือ เห็นแก่ประโยชน์ต่อชีวิตระหว่างประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นอบายมุขไปเล่นไปเที่ยว ซนอะไรกัน ดันไปเที่ยว มันเป็นความไม่ดี คนไปเที่ยวนี้ไปหาเรื่องตัวเอง จะมีผลอย่างนี้ มีผลจะต้องได้รับวิบาก เพราะฉะนั้นจำไว้ถ้าเราเข้าใจอันนี้แล้วไปคิดเอง ว่าอย่าไปเที่ยวเลย ไปเที่ยวก็คือการบำเรอกิเลสชนิดหนึ่ง ถ้าจะไปก็เพื่อทำประโยชน์ ต้องให้ละเอียดลึกซึ้งก็แล้วกัน
_อาคิม คำวงศ์· กราบนมัสการท่านสมณะค่ะ จากไกดแขมร์ค่ะ
_พิมลธร · ดีจังเลยค่ะได้ชำระจิตใจตนเองมากค่ะนู๋พึ่งเคยมีโอกาสได้ฟังครั้งแรก อจ.ผู้รู้ธรรมเห็นแล้วน้อมนำมาแสดงให้ผู้ไม่รู้อย่างนู๋ได้รู้ตามเห็นตาม ชึ้งใจเลยค่ะ สาธุ สาธุ สาธุเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…ดีมากอนุโมทนาด้วย คนไม่เห็นคุณค่าเยอะ แต่คนเห็นคุณค่าบ้างแม้แต่น้อยคนก็ชื่นใจ ที่ยังมีคนเห็นคุณค่าที่เราแสดงไป
_จากบ้านเล็ก เมืองน้อย…กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูง
คุณค่าของสติปัญญากับคุณค่าของแรงงาน
ในสมัยอดีตที่คุณค่าของสติปัญญากับแรงงานมีค่าเท่ากัน ต่างต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
หัวหน้าเผ่าที่ดีต้องมีคุณธรรมสูง เป็นผู้แข็งแรงมีพละกำลังมาก มีคุณค่าทางแรงงานสูง
และมีกุนซือเป็นผู้ช่วย ผู้มีความฉลาด มีคุณค่าทางสติปัญญามาก
ต่างฝ่ายต่างเข้าใจในสถานภาพบทบาทของตน ที่เปรียบเหมือนน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า จึงสามารถปกครองชนเผ่าเล็กๆของตน แบบพ่อปกครองลูกๆ
ด้วยความเมตตา อะลุ่มอล่วยเกื้อกูลกัน เป็นเหมือนพี่น้องกัน ในสภาพของ บ้านเล็กๆ เมืองน้อยๆ จึงอยู่กันอย่างมีสันติสุข
พ่อครูว่า…อยากให้คนเข้าใจว่า สังคมคนจนเป็นสังคมที่มีความสงบสุข ประเสริฐ อย่างที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัสไว้ว่าให้มาเอาแบบคนจน อย่าไปก้าวหน้าแบบนั้นก้าวหน้าแบบนั้นมีแต่จะถอยหลังอย่างน่ากลัว คนจะตรัสอย่างในหลวงรัชกาลที่ 9 จะต้องมีพระปรีชาญาณอย่างมาก ท่านเป็นในหลวงไม่ใช่คนธรรมดา พูดอะไรออกมาสำคัญต่อสังคมโลกนะ และทางโลกก็ขานรับประเด็นนี้ แต่อาตมาเชื่อว่า สหประชาชาติที่ขานรับ ผู้ที่เป็นปราชญ์ทั้งหลายในโลก ขานรับ แต่ก็จะทำสังคมเป็นคนจนแล้วจะอยู่เย็นเป็นสุขประเสริฐเป็นเศรษฐกิจที่ดีเยี่ยม จะทำอย่างไร?
ในใจเขาแต่ยังไม่ทะลุปรุโปร่งอันนี้อยู่ดี แม้แต่ผู้ที่ขานรับในสหประชาชาติก็ตาม เขายังมองไม่ออกหรอก
อาตมาไม่ข้องใจ อาตมาพาทำได้ สำเร็จผล คนที่มีปัญญารับได้ก็มาเป็นคนจน อาตมาก็ทำได้ซ้อนในคำตรัสในหลวง ซ้อนในประเทศไทย คนไทยเข้ามาเป็นได้เท่านี้คนต่างชาติไม่ได้มาเป็นเพราะฟังภาษาไทยไม่ออก ขนาดคนฟังภาษาไทยออกเข้าใจอย่างดีเลย ยังมาแค่นี้เลย ยังได้แค่นี้เลย เห็นไหม
ไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นเรื่องยากๆแต่เป็นเรื่องประเสริฐ ยิ่งในยุคนี้เป็นได้ยาก มาเป็นคนจนมีวัฒนธรรมในชีวิตประจำวัน อย่างนี้อยู่อย่างคนจน ทำมาหาได้ก็มาช่วยกันร่วมกันกับส่วนกลาง ส่วนตัวก็ไม่รวยกว่านี้เด็ดขาด ที่นี่
ส่วนรวมของสังคมกลุ่มนี้ก็มีขีดจำกัดว่า เราจะไม่สะสม จะไม่สะสมความรวยกว่านี้มีเกินเราก็จะสะพัดออกไม่กักตุน ไม่ปรารถนาจะมีให้รวยให้เหลือและเอาไปออกดอกเบี้ย ไม่เอา ให้มีคงคลังพอหมุนสะพัดออก เป็นความจริงใจซื่อสัตย์ มีความรู้ทางด้านการเศรษฐศาสตร์การบัญชี ที่จะสะพัดหมุนเวียน ไม่รันช็อต ไม่เป็นหนี้ ก็ทำมาจนสำเร็จ
อ่านต่อ…
เมื่อชนเผ่าเล็กๆขยายตัวใหญ่ขึ้น กลายเป็นอาณาจักรใหญ่โต ความสมดุลที่เคยมีจึงหมดไป เป็นเหตุให้การดูแลไม่ทั่วถึง
เปิดโอกาสให้ผู้มีจิตคิดร้ายคิดการใหญ่ เพราะอยากเป็นใหญ่เสียเอง สอดแทรกเข้ามาสู่แวดวงการปกครอง
วางอุบายเสนอแนวคิดใหม่ ที่จะสร้างหลักประกันให้แก่เจ้าเมืองได้มีความมั่นคงดั่งขุนเขา
เนื่องจากเศรษฐกิจในยุคนั้น ยังต้องใช้วิธีแลกเปลี่ยนผลผลิตกัน บ้างได้จากการเพาะปลูก บ้างจากการหาของป่าล่าสัตว์
ซึ่งทำให้อัตราการแลกเปลี่ยนไม่มีความแน่นอน ทั้งต้องพึ่งพาดินฟ้าอากาศ และยังไม่สามารถเก็บสะสมให้คงอยู่ได้นาน
เหตุปัจจัยเช่นนี้บวกกับความโลภของเจ้าเมือง ที่ต้องการทำความไม่เที่ยง(ที่เน่าเสียได้) ให้เป็นความเที่ยง(ที่ไม่เสื่อมสลาย)
จะได้เก็บส่วยไว้คงคลัง เป็นหลักประกันที่ถาวรไม่เน่าเสียเหมือนผลผลิตทางการเกษตร
เจ้าของแนวคิดนี้ คือต้นกำเนิดของการขายประกัน โดยใช้เงินมาเป็นหลักประกันแทนค่าข้าวของทั้งหมด
และแล้ว ก็เกลี้ยกล่อมเจ้าเมืองให้เป็นลูกค้ารายแรกได้สำเร็จ
ระบบเงินตราจึงได้เข้ามาแทนที่การแลกเปลี่ยนของจริงๆที่กินได้ และมีประโยชน์ใช้สอยได้จริงในที่สุด
หลังจากนั้น เงินก็คือเบี้ยประกันชีวิต ที่ชาวเมืองทุกคนต้องมีสะสมไว้
แล้วเจ้าของอุบายความคิดนี้ ซึ่งคือสุดยอดนักสะสมเงิน ก็ได้ใช้เงิน โค่นล่มเจ้า แล้วตั้งตนเป็นเจ้าเมืองคนใหม่เสียเอง
และเป็นผู้เปลี่ยนความมีคุณค่าของสติปัญญา ให้อยู่เหนือคุณค่าของแรงงานไปตลอดกาล
นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ค่าของแรงงานถูกตีราคาต่ำลงเรื่อยมา ผู้ใช้แรงงาน ได้ชื่อใหม่ว่าคนจน
ผู้ใช้สติปัญญา ก็พากันเอาเปรียบด้วยเฉกา จนสถาปนาชนชั้นของตนเป็นคนรวย
ลำดับชั้นวรรณะทางสังคมจึงเกิดด้วยประการฉะนี้
พ่อครูว่า…คนจนอย่างเราใครมาชี้ใช้ไม่ได้ ไม่ได้อยู่ใต้อำนาจนายทุนหรือไม่ได้อยู่ใต้อำนาจต่างชาติ
เมื่อคนจนถูกกดขี่เอาเปรียบ ให้ใช้แรงงานหนักเข้า ก็ลุกฮือขึ้น แล้วก็ตามมาด้วยการถูกปราบปราม
เป็นเช่นนี้ซ้ำซากหลายต่อหลายครั้ง เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินมากมายมหาศาล แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีขึ้นได้
คนจนชนชั้นแรงงานที่เป็นชนส่วนใหญ่ของโลก ก็ยังคงถูกกดขี่ ถูกตีค่าแรงถูก ให้ค่าสติปัญญาแพง
แม้มีคนจนที่ต่อสู้ดิ้นรนจนร่ำรวยขึ้นมาได้ ก็ลบกำพืด ลืมความลำเค็ญของชนชั้นแรงงานจนหมดสิ้น ประพฤติตนเลียนเยี่ยงอย่างคนรวยได้หน้าเลือดไม่แพ้กัน
เพราะการจะข้ามเขตจากจนมาเป็นรวย ต้องเหยียบหัวเอาเปรียบคนจนด้วยกันเท่านั้น ถึงจะข้ามไปได้
จิตวิญญาณจึงถูกเปลี่ยนให้คิดแบบคนรวย ตั้งแต่เลือกเส้นทางที่มุ่งสู่ความรวยแต่ต้นแล้ว
คนจนจึงผูกใจเจ็บ แต่ก็ยังคงอยากได้เงินจากคนรวย
คนรวยก็ต้องพึ่งแรงงาน แต่ก็เอาเปรียบไม่สิ้นสุด กลายเป็นสงครามเย็นระหว่างชนชั้นที่รอวันปะทุ
นี่คือจุดที่แกนนำเสื้อแดงใช้ในการปลุกระดมม็อบอย่างได้ผล
แต่คนจนก็ถูกหลอกอีกเช่นเคย
ปัญหามันเกิดจากความขี้โลภของจิตมนุษย์ กอบโกยเอาเป็นของตนหมด จนคนอื่นขาดแคลน สังคมก็เลยเดือดร้อน
คนจนยังถูกทำให้สันดานเสีย ติดสะดวกรักสบาย ใช้เงินบำเรอกิเลส เสพอบายมุข ตามที่คนรวยล่อลวง เพียงเพื่อหวังคลายทุกข์ไปวันๆ
คานธีพูดไว้ว่า ทรัพยากรในโลกนี้มีเพียงพอสำหรับคนทุกคนในโลก แต่ไม่เพียงพอเลยสำหรับคนโลภเพียงคนเดียว
การจะทำให้ค่าของแรงงาน กลับมาเท่ากันกับ ค่าของสติปัญญาได้นั้น ต้องอาศัยผู้มีมหาพลังเย็นโอบอุ้มโลก
ประเทศไทยแสนจะโชคดี ที่มีทั้ง สุดยอดแห่ง“ศาสตร์พระราชา”ของในหลวง ร.9 อันเป็นหลักของ “เศรษฐกิจพอเพียง” คือ การบริหารประเทศ“แบบคนจน”
“การขาดทุนของเราคือกำไรของเรา” ไม่เอาแบบคนรวยอย่างที่ทั่วโลกหลงกัน แบบที่ก้าวหน้าไม่เอา มันมีแต่ถอยหลังอย่างน่ากลัว
และมี สมณพราหมณา ผู้มีสยัง อภิญญา ที่ได้นำระบบสาธารณะโภคีมาใช้ได้สำเร็จ ซึ่งเป็นระบบเศรษฐศาสตร์สูงสุดของพระพุทธเจ้า
การแก้ปัญหาเศรษฐกิจของโลก ไม่ใช่แก้โดยการสร้างวัตถุสิ่งของขึ้นมา แล้วคนจนจะหมดไป
แต่ต้องให้ความรู้ความเข้าใจเพื่อเปลี่ยนจิตใจคนให้เป็นคนมีวรรณะ 9 มีสาราณียธรรม 6 มีพุทธพจน์ 7
ถ้าไม่รู้จักว่าเป็นยังไง ให้มาดูที่บ้านราชฯ พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ท่านได้ทำหมู่บ้านตัวอย่างไว้ให้ดู ให้ศึกษากัน เป็นโมเดลมีชีวิต
มีทั้งคนรวยที่ยอมมาจน และคนจนที่ให้อภัยไม่ถือสาคนรวย ดำรงชีวิตอยู่ด้วยกัน ในระบบสาธารณะโภคี
ที่รวมเอาความเป็นสุดยอดของ สังคม เศรษฐกิจ และการเมืองที่ดีที่สุดเข้าไว้ด้วยกัน
มาดูให้เห็นกับตาตนเอง ทดลองอยู่ฟรี กินฟรีได้ ในบรรยากาศสดชื่นของริมมูน ที่มีอากาศหวาน อาหารดี ธรรมะยอด คนเยี่ยม เตรียมเรือไว้ให้พาย
มีน้ำตกให้เล่นด้วยนะ แต่ต้องเตรียมชุดมาเอง
แล้วจะได้รู้ว่า คนจน สุขสำราญเบิกบานใจ กันอย่างไร?
พ่อครูว่า.. “คนรวยกว่าคือคนที่เหยียบหัวคนที่จนกว่าทั้งนั้น”…พ่อครู 6 ก.ค. 2561 แล้วคนที่รวยไล่เรี่ยกันก็มีเฉกาพอๆกันก็เหยียบกันยากแต่ก็พยายามจะเหยียบกัน
แม้จะรวยแล้ว ความที่เก็บกด มีเลือดกดขี่กัน เอาเปรียบกัน มันมีอยู่ในอนุสัยของคน
“คนเอาเงินไปบำเรอกิเลสโง่ทุกคน โง่ไม่เสร็จ โง่ไม่จบ” …พ่อครู 6 ก.ค. 2561
หากเอาเงินมาเสียสละ ขาดทุน เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นคนนี้เป็นคนเจริญ เป็นคนจะลดกิเลสได้
วรรณะ 9 สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 ต้องให้พฤติกรรมทางจิตวิญญาณมนุษย์เป็นคนมีวรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9 ขยันเสมอ, ปรารภความเพียร (วิริยารัมภะ)
ทำแล้วก็ไม่เอา ทำแล้วก็มีไว้น้อยๆไม่สะสม มีไว้น้อยๆก็พอ อัปปิจฉะ แม้มีน้อยก็เป็นคนไม่ยาก เป็นคนจนที่เลี้ยงง่าย ไม่ลำบากลำบน ไม่เบียดเบียนใครเป็นคนจนมีประโยชน์ต่อผู้อื่นอีก ทำไมเป็นคนจนที่วิเศษขนาดนี้ นี่เป็นเรื่องมหัศจรรย์นะ สร้างคนจนให้เป็นคนพิเศษ เป็นคนจนมีประโยชน์คุณค่ามีประโยชน์ต่อมนุษย์ต่อสังคม นี่ฟังดีๆ ฟังธรรมะ
ทุกวันนี้พวกเราเป็นพวกนู๊ดที่บริสุทธิ์เต็มที่ไม่มีอะไรปิดบังบอกไปเปิดเผยหมดว่าให้มันดูสิ ทุกอย่างเปิดหมดแล้ว แปลว่าประกาศไปขนาดนี้จ้างก็ไม่มา
มาเข้าเรื่องที่เราเอา อัมพัฏฐสูตรมาอ่านกัน
[163] ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ จรณะนั้นเป็นไฉน วิชชานั้นเป็นไฉนเล่า.
ดูกรอัมพัฏฐะ พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ พ่อครูว่า.. อาตมาไม่ได้บอกว่าอาตมาตรัสรู้เอง อาตมาเอามาจากพระพุทธเจ้า ที่เอามาอธิบายนี้เป็นของตัวเอง ที่ต่างจากกระแสหลักด้วย ที่คุณยอมรับนับถือกัน อาตมาพูดต่างกันและขัดแย้งกับเขาด้วย แต่อาตมาก็มั่นใจว่าจะมาพูดสิ่งที่ถูก ไม่ได้มาทำเล่น
ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ พ่อครูว่า..อาตมาเข้าใจวิชชาและจรณะ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะตามฐานะของโพธิสัตว์ระดับ 7
เสด็จไปดีแล้ว พ่อครูว่า.. อาตมาก็ดำเนินไปดีแล้ว
ทรงรู้แจ้งโลกเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พ่อครูว่า.. อาตมามีนัยยะอย่างนี้ได้แต่ไม่เท่าพระพุทธเจ้า อาตมาเป็นสารถีฝึกพวกคุณได้ ถ้าจะว่าไปแล้วจะมีใครยิ่งกว่าอาตมา พูดความจริงไม่ได้หลงตัวหลงตนอวดตัวตน ทำให้พวกคุณมาเป็นโลกุตระบุคคลอริยบุคคล มาเป็นคนมักน้อยสันโดษ เป็นคนมีวรรณะ 9 มาอยู่ในสังคมสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 มาอยู่ในสังคมกลุ่มสาธารณโภคี ได้ลาภมาโดยธรรม ลาภธัมมิกา ได้ลาภมารวมกันกินใช้ร่วมกันยืนยันมีพฤติกรรมสังคมอยู่ เปิดเผยไม่ได้ปิดบังซ่อนเร้น ไม่ได้อวดใหญ่อวดโต อาตมาก็ว่าทำได้ ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่าตามฐานะในยุคนี้อยู่นะ พวกคุณว่าไหม?
พระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตามทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์
พ่อครูว่า…มนุษย์ที่ประเสริฐที่สุดก็คือพระศาสดา อาตมาไม่ใช่ขั้นนั้น อาตมารู้จักเทวดา เทวดาสมมุติเทพ อุปัติเทพ วิสุทธิเทพ
มนุษย์คือผู้ที่มีจิตเจริญจิตพัฒนา ทำให้จิตเจริญได้ก็เป็นเทวดา ถ้าเป็นเทวดาโลกีย์คือ สมมุติเทพ เทวดาได้เสพสุขตามรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส โลกธรรม คือเทวดาโลกีย์
ถ้าอุปัติเทพ ไม่ใช่เทวดาโลกีย์ เทพคือ เทวดาที่มีจิตอุบัติจิตเกิด เกิดอะไรเกิดเป็นโลกุตระ เข้าใจโอปปาติกโยนิ ทำจิตใจตัวเองให้เกิดใหม่เกิดเป็นโลกุตระ เกิดเป็นอาริยะ เกิดเพราะทำให้กิเลสลด ทำให้กิเลสดับ จึงเกิดเป็นเทวดา นี่เรียกอุปัติเทพ
ถ้าหากได้ส่วนบุญไปตามลำดับ ตัดกิเลสไปเป็นส่วน ก็เป็นเสขบุคคล เป็นคนเจริญขึ้นไปตามลำดับ โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ ถ้าตัดกิเลสหมดอาสวะก็เป็นพระอรหันต์เรียกว่าวิสุทธิเทพ เป็นพระพรหมเป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นผู้ที่ไม่เวียนกลับ อนาคโต ไม่ใช่อาคโต เป็นผู้ที่เลยอนาคามีบุคคล เป็นอรหัตผล
เป็นศาสดาเป็นผู้สอนสมมติเทพ ที่วนในโลกียะ สอนอุปัติเทพให้เป็นวิสุทธิเทพ อาตมารู้จักเทวดารู้จักมนุษย์ สอนผู้ที่ต้องการทำให้จิตใจสูงเรียกว่ามนุสโส
ผู้ที่ยังไม่เป็นมนุสโส เรียกว่า มนุสเปโต ยังตกนรกขึ้นสวรรค์อยู่ พวกเราจะเข้าใจว่าเราต้องรบกับสวรรค์ จบสวรรค์ให้หมดอย่าไปตั้งความหวัง แม้แต่จิตที่จะไปตั้งความคิดเป็นสวรรค์เรียกว่า สาเปกโข มีความหวังที่จะทำให้เกิดอีกก็ไม่เกิด เป็นผู้ที่จะไม่มีสวรรค์นรกเลย มีแต่ปัจจุบันที่ไม่เกิดแล้วทุกอย่างทำในปัจจุบันไม่มีในอนาคต ยิ่งไปหลงอดีตยิ่งไม่ คนหลงอดีตคือคนขยำขี้ ขี้ออกมาแล้วยังไปขยำอยู่ได้ คนไปกับอนาคตคือคนบ้าๆบอๆ
ถามจริง มีใครเห็นอาตมาเศร้าหมองบ้าง ใครเคยเห็นบ้าง อาตมาไม่รู้จักเศร้าหมอง แม้แต่เป็นฆราวาสยังนึกไม่ออกเลย แต่เป็นฆราวาส ยังมีลิงลมอมข้าวพอง มีความโกรธบ้างแต่ก็ไม่ได้โกรธอะไรมาก รู้ว่ามันไม่ควรจะเป็นอย่างนี้ แต่ไม่เคยปักอกปักใจเศร้าหมองเลย
หรือแม้เราทำเองผิดพลาด เราก็เศร้าหมองที่เราทำผิดพลาดก็ไม่ได้เศร้าหมอง เราก็แก้ไขให้มันถูกเสีย จิตไม่ได้จมไปกับความเศร้าหมอง
เป็นผู้เบิกบานแล้วเป็นผู้จำแนกธรรม เอ๊ ใครหนอจะมาจำแนกธรรมอย่างเรา
อาตมารู้โลกนี้โลกหน้า รู้เทวโลก มารโลก พรหมโลก แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งของตนเองเท่าที่ตนเองมี แล้วก็สอนคน อธิบาย อธิบายบรรยายให้ทั้งสมณะพราหมณ์ เทวดา มนุษย์ให้รู้ตาม
อาตมายังไม่เก่ง เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลายของอาตมามีอยู่บ้าง แต่ไม่ได้งามอย่างพระพุทธเจ้า ไม่ได้สัดส่วน จนบางทีคุณก็จะรู้ว่าวนอยู่ยังไม่ดีใช่ไหม
พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง
พ่อครูว่า…อันนี้ยาก อาตมายังทำได้สับสนอยู่บ้าง
คฤหบดี บุตรคฤหบดี หรือผู้เกิดเฉพาะในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ย่อมฟังธรรมนั้น ครั้นฟังแล้วได้ศรัทธาในพระตถาคต เมื่อได้ศรัทธาแล้ว ย่อมเห็นตระหนักว่า ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง การที่บุคคลผู้ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์ให้บริสุทธิ์ โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิต สมัยต่อมาเขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ ละเครือญาติน้อยใหญ่ ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้วสำรวมระวังในพระปาติโมกข์อยู่ ถึงพร้อมด้วยมารยาทและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อยสมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ประกอบด้วยกายกรรมวจีกรรมที่เป็นกุศล มีอาชีพบริสุทธิ์ถึงพร้อมด้วยศีลคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นผู้สันโดษ.
จุลศีล
พ่อครูว่า..พวกเราเป็นผู้มาบรรพชา เป็นผู้หญิงมีมากกว่าผู้ชายอีก บรรพชาคือมาเอาออก เป็นเนกขัมมะ เอาความติดยึดในลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขออก พวกคุณเป็นผู้บวชแล้ว เป็นเนกขัมมะ
การอยู่เป็นโสด คือผู้บำเพ็ญพรหมจรรย์ เห็นว่าการเป็นโสดนี่ดีกว่า ศีล 8 เป็นต้นไป โดยมีทางโปร่งไม่เลอะเทอะ มาเป็นอย่างนี้ไม่ได้ทำได้ง่ายยังมีคนอยู่แค่นี้ พวกคุณทำได้แสดงว่าทำสิ่งที่ยากได้
พวกคุณทำการบรรพชาแล้วโดยไม่ต้องเปลี่ยนชุดอะไรคุณทำที่จิตคุณ ไม่ต้องปลงหนวดก็ได้แต่ปลงก็ดี ยังเหลือแต่ไม้ร่มเท่านั้นไม่ได้ปลงหนวด
อย่าง ผู้ที่จะมาบวชเป็นเณรหรือเป็นสิกขมาตุที่นี่ต้องเซ็นสละอสังหาริมทรัพย์และทรัพย์สินทั้งหมดสังหาริมทรัพย์ พวกเราไม่มีทรัพย์ศฤงคารบ้านช่องเรือนชานเป็นอนาคาริกชน ผู้มาบวชของเรา แต่สังคมสงฆ์ทุกวันนี้วุ่นวายจะตายชัก เรื่องเงินทองข้าวของสมบัติอะไรเลอะเทอะ ใจของเราทำได้บริสุทธิ์สะอาดแม้ในยุคเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นสมณะหรือสิกขมาตุ แม้แต่ฆราวาสพวกเราก็ทําได้ยิ่งกว่าภิกษุหมู่ใหญ่ ขออภัยพูดข่ม สมัครใจแล้วไม่พูดตอแหล แม้เป็นฆราวาสก็ทำได้ ขอยืนยัน เป็นสัจจะที่พิสูจน์ได้จริงใจยืนยันมาเป็นอย่างนี้พากเพียรปฏิบัติได้อย่างสะอาดบริสุทธิ์ นี่คือศาสนาพุทธที่เหลืออยู่
พวกเรานุ่งห่มก็เป็นผ้าสีหมองแล้วไม่ฉูดฉาด ไม่เหมือนกับคนโลก
ให้สังคมอโศกทั้งฆราวาสและ นักบวชไม่ละเมิด มหาศีล ไม่มีเดรัจฉานวิชา บริสุทธิ์ผุดผ่องในมหาศีล แต่เดี๋ยวนี้แทบทุกวัดเต็มไปด้วยเดรัจฉานวิชา แม้แต่การจุดธูปจุดเทียนก็เป็นเดรัจฉานวิชา การรดน้ำมนต์ก็เป็นเดรัจฉานวิชา รักษาไข้ใบ้หวยก็เป็นเดรัจฉานวิชา สวดมนต์สวดกลอนที่ไม่ใช่สังคายนา สังคีติ เป็นการสวดมนต์ที่เอาบทมนต์มาสวดพร้อมกันตั้งแต่ 2 คนต่อหน้าฆาราวาสก็อาบัติอยู่ทุกวัน แล้วไปสวดการประกาศอวดอ้างว่าจะสวดเป็นล้านเที่ยว ไม่รู้เรื่องเลย
ทำไมพระพุทธเจ้าไม่ให้เอาไปสวดอย่างนั้น คือป้องกันศาสนาของท่านไม่ให้เหมือนศาสนาอื่น ที่เป็นเดรัจฉานวิชา ไปใช้การสวดมนต์เป็นการทำมาหากิน ไปหลงความขลัง นี่เป็นประเด็นหลักที่พระพุทธเจ้ากันไว้ไม่ให้เกิด แต่คนไม่เข้าใจก็ทำเลอะเทอะ จบเปรียญ 9 ในศาสนาพุทธอย่างไรก็ทำไม่ถูกยังทำกันอยู่ จนกระทั่งน่าสงสารเอาไปถึงขั้นอยู่ในรัฐพิธีราชพิธี สิ่งที่ไม่ถูกต้องตามศีลธรรมพระพุทธเจ้า แต่ทำกันถึงขั้นเป็นราชพิธี นี่คือความเสื่อมที่ น่าสังเวชใจ แต่อาตมาพูดความจริงไม่ได้ไปดูหมิ่นถิ่นแคลน แต่อธิบายสัจธรรม
คำ ปาติโมกข์ คำสอนพระวินัยพระพุทธเจ้าเรียกว่าธรรมบท ไม่ใช่ประณามคาถา คำปณามคาถาคือคำสรรเสริญพระพุทธเจ้า แต่งขึ้นโดยบุคคลไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า จะเอาปณามคาถามาสวดกันเป็นหมู่อย่างไรก็ไม่มีปัญหาอะไรแต่ถ้าเอาธรรมบทของพระพุทธเจ้ามาสวดตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปต่อหน้าสาธารณะก็เป็นอาบัติปาจิตตีย์ อยู่ในมุสาวาทวรรค ในปาติโมกข์ที่พวกคุณสวดกันและก็อาบัติอยู่ตลอดเวลาเลยก็ไม่ได้ปลงอาบัติด้วยเพราะไม่เห็นว่าผิดก็ไม่ได้ปลง ก็เลยเป็นพระไม่บริสุทธิ์อยู่อย่างนั้น ไม่ได้ใส่ความแต่อธิบายพุทธศาสนาให้ฟัง อาตมาพาพวกเราปฏิบัติตามคำสอนพุทธเจ้าไม่ได้เอามาสวดหากิน
จะไปจะมาก็ระมัดระวัง
ดูกรอัมพัฏฐะ อย่างไร ภิกษุจึงชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล?
-
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะวางศาตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ ข้อนี้เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.