610708_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ หัวใจประชาธิปไตยครบสูตร 2 หมวด 3 ประการ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://drive.google.com/open?id=1GRYd24p–v2pyMi_wMrbxm2ezb-l0IgzczV0cjZHoKM
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1WpRa4uMKjiEa9YexbwoX60UX-RhdodNH
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก เรามาฟังวิถีอาริยธรรม ที่พาพ้นทุกข์กัน
พ่อครูว่า…ก่อนอื่นก็โอภาปราศรัยกับ SMS หมู่นี้มีน้อยลง สงสัยเป็นอรหันต์กันหมดแล้ว
_2166 ในฐานะเคยเป็นเจ้าพ่อโทรทัศน์ อยากถามพ่อท่านว่าช่องทีวีทำไมจึงมีแต่เลขคี่ 3-5-7-9-11 ครับ
_3867สงสัยเขาถือเลขคี่ช่องTVตรงกับเลขบันไดบ้าน!บันไดวัดมั้ง?….ก็เหมือนกับเลขสิบสาม! ก็สงสัยเป็นเลขแห่งความสูญเสียฤาเปล่า?เพราะไทยเคยสูญเสียผู้อันเป็นที่รักยิ่งไปกับเลขนี้มิใช่ฤา?ด้วยเหตุนี้ ฤาเปล่า?เรื่องถ้ำหลวงจึงไม่จบ!จึงไม่ใช้เลขสิบสาม แต่ใช้โค๊ช1เด็ก12ฤาทีมหมูป่าแทน!
พ่อครูว่า…แรกๆ โทรทัศน์มีน้อยช่อง ถ้ามันช่องติดกันมันจะกวนกัน คำตอบที่ดีที่สุด จาก ยาฮูรู้รอบ : การเรียกชื่อช่อง เป็นไปตามมาตรฐานสากล ซึงมีข้อกำหนดว่า ความถี่นี้ เรียกช่องที่1 ความถี่นั้นเรียกช่องที่2 ความถี่โน้นเรียกช่องที่3
เหตุที่มีแต่ 3 5 7 9 11 แต่ข้าม 4 6 8 10 เพราะ….
ทีวีไทยใช้กำลังส่งที่ค่อนข้างแรง ความกว้างของสัญญาณมีขนาดใหญ่
ช่อง 3 อาจมีความกว้างของสัญญาณเข้ามาถึงช่องที่ 4ได้ และ สัญญาณช่อง 5 ก็อาจแทรกเข้ามาในช่องที่ 4ได้เหมือนกัน
หากช่องทีวีใช้ช่อง3 4 5 ออกอากาศ สัญญาณอาจจะรบกวนกันจนดูไม่ได้
แต่ทีวีไทยก็ใช้ช่องสัญญาณครบหมด ที่ภาคกลางมี 3 5 7 9 11 แต่ในต่างจังหวัดที่แรงส่งจากกรุงเทพไปไม่ถึง จะมีสถาณีย่อยช่วยส่งอีกทีนึง สถานีย่อยเหล่านี้ เมื่อรับสัญญาณจากช่อง 3 ก็จะส่งออกอากาศในช่องที่ว่างอยู่และไม่รบกวนกัน อาจจะเป็นช่อง 4 หรือช่อง 10 ก็ได้ เพียงแต่เราเรียกว่าช่อง 3 ตามสถานีหลักที่กรุงเทพเท่านั้น
ช่องทีวีที่ใช้ตอนนี้ น่าจะมากกว่า40ช่อง
อย่างไอทีวี น่าจะ ช่องที่ 36
ช่อง7 ทางหัวหิน น่าจะช่อง30หรือ32
พ่อครูว่า…ก็อยากรู้กันจัง พระพุทธเจ้าตรัสถึง โลกจินตา ความรู้เรื่องโลกมีไม่รู้จบ
_2166 สำนวนที่ว่า”บริสุทธิ์บริบูรณ์ครบถ้วนดุจสังข์ขัด” อยากถามว่า”ดุจสังข์ขัด”เป็นอย่างไรครับ?
พ่อครูว่า…คุณก็ไปหาสังข์มาขัดสิ ขัดเองเลย อาตมาไม่ได้ไปขัดสังข์นะ แต่สำนวนบริสุทธิ์บริบูรณ์ครบถ้วนดุจสังข์ขัด มีคำว่าโดยส่วนเดียวด้วยนะ
สังข์นี่ข้างนอกจะมีคราบเหลืองแดงน้ำตาล เมื่อขัดแล้วก็ขาว จะมีความบริสุทธิ์ สีของ แคลเซี่ยม ขัดเข้าไปก็ขาว นี่เป็นคำตอบโดยปฏิภาณของอาตมา
_1945พอใจมากกับร่าง พ.ร.บ.สงฆ์ฉบับนี้ครับ …ไม่อยากเลือกตั้งไม่เอานักการเมือง
พ่อครูว่า…คุณห้ามไม่ให้มีนักการเมืองไม่ได้ บ้านเมืองต้องมีนักการเมือง นักบริหาร ไม่เอานักการเมืองไม่ได้ มันต้องมี ต้องอยากได้นักการเมืองที่ดีสิ จะไปบอกว่าไม่อยากได้นักการเมืองก็ไม่มีใครบริหารเลย ไม่มีใครทำงานเพื่อบ้านเมืองเลยก็ตาย อาตมาจึงพามาทำเป็นนักการเมืองทำงานเพื่อบ้านเมือง แต่อาตมาไม่ได้เป็นนักการเมืองแย่งตำแหน่งหาหน้าที่การงานอะไรจากการทำงานนั้น อาตมาทำงานอย่างราษฎรเต็มขั้น ทำงานการเมืองที่ช่วยบ้านเมือง เพื่อบ้านเพื่อเมือง อาตมาไม่ได้มีงานเพื่อส่วนตัว อาตมาพาพวกเราทำงานก็ทำเพื่อที่จะให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น สำหรับพวกเรานั้น
-
จะต้องทำงานเลี้ยงตนให้รอด เพราะเราดีกว่าสัตว์ มนุษย์ต้องดีกว่าสัตว์ที่มันก็เลี้ยงตัวเองรอดมันก็หาอาหารกินเอง นอกจากตัวลูกที่หาอาหารไม่ได้พ่อแม่ก็เลี้ยง เมื่อลูกโตขึ้นมามันก็เลิกไม่หาอาหารให้ลูก มันรู้จักเลี้ยงลูกให้รู้จักโต เลี้ยงพ่อแม่ให้รู้จักตาย แต่คนนั้นเลี้ยงลูกไม่รู้จักโตเลี้ยงพ่อแม่ไม่รู้จักตาย พ่อแม่ตาย ก็จะได้ระลึกถึงสิ่งที่ดีจะได้ประพฤติตาม ไม่เอาสิ่งเลวร้ายเสียหายอะไรมาพูด พูดถึงก็เป็นความดีงาม เอาความดีงามมาพูดถึง
ไม่อยากเลือกตั้ง อันนี้อาตมาพูด การเลือกตั้งนี้ไม่ใช่เรื่องของสมบูรณ์แบบ ที่ต้องมีเลือกตั้งเพราะไปสร้างการเมืองในระบอบประชาธิปไตยขาเดียว มันเลยจำเป็นต้องเลือกตั้ง ก็เท่านั้นเอง ทีนี้ ประชาธิปไตย 2 ขา มันไม่จำเป็นที่จะต้องไปเลือกตั้ง ให้ในหลวงตั้งมาก็ได้ ถ้ามันจำเป็นแต่ไม่จำเป็นประชาชนก็เลือกกันเองอย่างประชาชนชาวอโศกไม่ต้องเลือกตั้ง ดูกันเองว่าใครจะทำหน้าที่อะไร เป็นหัวหน้าส่วนนั้นส่วนนี้ไม่เห็นเคยแย่งกัน จะเกี่ยงกันเป็นด้วยซ้ำ
การแย่งตำแหน่งหน้าที่ เป็นกิเลสโดยตรง การแย่งกันไปปฏิบัติ อยากเลือกตั้งหรือไม่อยากเลือกตั้ง พวกที่อยากเลือกตั้งคือพวกที่อยากจะมีอำนาจอย่างเดียว
ขณะนี้อาตมาพูดไปแล้วว่า ประเทศไทย เป็นประเทศที่มีประชาชนเป็นราษฎรของประเทศ เป็นผู้ที่ปฏิวัติ เป็นผู้ที่ ประหาร เป็นราษฎรประหาร ไม่ใช่รัฐบาลประหาร ประชาชน ไปปราบปรามผู้บริหารที่ไม่ดีไปหมดแล้ว ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยจริงๆใช้พลังของประชาชนไปจัดการคณะบริหารที่แย่ คณะบริหารที่แย่ๆๆ ตั้งแต่คณะทักษิณ อยู่ในยุคที่พวกเราออกไปทำ นายกฯของจอมพลแปลก จอมพลสฤษดิ์ จอมพลถนอม พวกนั้นอาตมายังไม่ได้เข้ามาอะไร เขาก็มีการประท้วงอะไรไปตามประสา ก็ไม่ได้ไปร่วมด้วยเอามาพูดไม่ได้
เมื่ออาตมาทำงานออกบวช ทำงานกับประชาชนเต็มที่ ยังไม่ได้บวชก็ทำงานเลี้ยงตัวเองเห็นแก่ตัว ทำงานหาเงิน ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติของคนที่ยังโง่อยู่ เมื่อออกบวชก็หมดความเห็นแก่ตัวก็มองเห็นว่า เราควรทำงานเพื่อส่วนรวมเพื่อสังคมประเทศชาติ ก็ทำงานมาตั้งแต่บัดโน้น พากันทำ จนบรรลุผลสำเร็จ พวกเรานี่แหละคือนักปฏิวัติ นักปฏิรูป นักรัฐประหาร ประหารรัฐบาล มา 4 รัฐบาล ขนาดประชาธิปัตย์ยังถูกเราขับออกเลย รัฐบาลทักษิณและนอมินีก็ถูกเราได้สำเร็จ พวกเรารัฐประหารสำเร็จ เราประหารพวกรัฐบาลขี้หมูขี้หมานี้ไปให้หมด เสร็จแล้วก็มีผู้บริหาร
เมื่อเอาขยะกองสุดท้ายที่เลวร้ายออกไปหมดแล้วประเทศไทยก็สะอาด ก็มีผู้บริหารที่ดีเข้ามา ผู้บริหารประเทศทุกวันนี้อาตมาเห็นว่านายกฯ พลเอกประยุทธ์นี้ บริหารได้ดีอยู่ โพลต่างๆว่าบริหารได้ดี เทียบกับนายกฯ 28 คน คนมีปัญญาไม่ได้อยากแย่งอำนาจ เพื่อตนเพื่อพรรคพวกตน ตนเองเคยบริหารแล้วก็สู้เขาไม่ได้ด้วย แล้วจะมาพูดโวยวายที่จะบริหารอีก ไม่ดูหน้าตัวเองเลย ไม่มีกระจกส่องดูหน้า ก็ไปที่ถ้ำนางนอน น้ำเยอะ
อาตมาว่า พระราชบัญญัติสงฆ์ฉบับนี้น่าจะดีกว่าทุกฉบับ เรามีตัวอย่างอะไรขึ้นมาอีกเยอะ ปรับปรุงก็ต้องดีขึ้น อาตมาเชื่อว่า การออกกฎหมายชุดนี้ไม่ได้เป็นการออกที่ลำเลียง ไม่มีคณะที่จะต้องไปลำเอียง เพราะว่าอำนาจของธรรมกายก็หย่อนแล้ว อำนาจเถรสมาคมก็หมด ฝ่ายทางโลกที่เขาไปผสมโรงพวกทักษิณ ก็หมด ก็น่าจะดี
วันนี้ตั้งใจพูดถึงการเมือง…
การเมืองเรื่องประชาธิปไตยอาตมาสรุปว่า ประชาธิปไตยหัวใจของมันคือ องค์ประกอบสำคัญ มีอะไร
-
มนุษย์
-
กษัตริย์
-
จิตวิญญาณ
ที่บอกว่ากษัตริย์ไม่ใช่ประธานาธิบดี ส่วนประธานาธิบดีนั้นไม่ได้มีการสืบต่อเชื่อมต่อทางจิตวิญญาณ สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์พระเจ้าแผ่นดินเป็นผู้เป็นเจ้าของ ผู้มีสิทธิ์ขาดในทุกอย่างของแผ่นดิน แต่ของไทยเราให้รัฐธรรมนูญอยู่เหนือกฎในหลวง ในหลวงก็ต้องอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ก็เป็นวิธีการเหมือนกับศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าตรัสว่าทุกคนหมู่สงฆ์ ไม่ให้ใครเป็นใหญ่ ต้องอยู่ภายใต้ธรรมวินัย พระธรรมวินัยเป็นใหญ่ สงฆ์เป็นมนุษย์นั้นเปลี่ยนแปลงไปได้ ธรรมวินัยเป็นใหญ่ แล้วอย่าไปเปลี่ยนแปลงธรรมวินัยของตถาคต เป็นหลักเกณฑ์สูงสุดแล้วก็อย่าไปเปลี่ยน
ธรรมนูญของศาสนาพุทธ พุทธธรรมมนูญ ไม่ใช่รัฐธรรมนูญ พุทธธรรมมนูญคือจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล คนก็ไม่เข้าใจแล้ว นั่นแหละคือพุทธะธรรมนูญ เป็นธรรมนูญของศาสนาพุทธเป็นหลักเกณฑ์ ให้ใช้ เป็นหลักของชีวิตมนุษย์ ทุกวันนี้ไม่ใช้กันแล้วศาสนาก็เลยเละเทะ เช่น มหาศีล ไม่มีกันก็เลยกลายเป็นเดรัจฉานวิชาบ้าบอ ในมหาศีลมี 7 ข้อ เขาก็ละเมิดจนเกือบหมดแล้วกระมัง มันจึงเสียหมดเลย
จุลศีล เอามาใช้ในการเป็นหลักปฏิบัติ มัชฌิมศีลคือศีลที่ขยายความ ก้าวหน้าจากจุลศีล
ปฏิบัติศีลข้อที่ 1 ก็เกิดอธิจิต อธิปัญญา อธิวิมุติ เกิดเป็นผลสมบูรณ์สุด
ได้ไปตามลำดับ ตามศีลแต่ละข้อ ข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ข้อที่ 1 เกี่ยวกับสิ่งของ ข้อที่ 3 เกี่ยวกับตัวเอง ต้องระมัดระวังกิเลสในทวาร เกี่ยวกับคนเกี่ยวกับสัตว์ที่เราเห็นว่าเป็นกิเลสด้วยซ้ำไป ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับข้าวของ สัมพันธ์กันด้วยทวารทั้ง 6 นี่แหละ ในศีลข้อที่ 3
ปฏิบัติไม่ต้องถึง 26 ข้อของจุลศีลหรอกก็เป็นอรหันต์ได้แล้ว เรื่องจิตวิญญาณจึงเป็นเรื่องหลักสำคัญ ประชาธิปไตยคือระบอบการปกครองบ้านเมือง คือมี
-
ประชาชน
-
หัวหน้า ก็คือกษัตริย์
-
จิตวิญญาณประชาธิปไตย
ประชาธิปไตยขาเดียวนั้นไม่มีจิตวิญญาณประชาธิปไตย เพราะเขาวางค่ายกลไว้แล้วตั้งหลายช่วงหลายปี ก็ได้อำนาจสร้างอำนาจไว้ จะไปเปลี่ยนแปลงไม่ได้ง่ายๆ ประชาธิปไตยในยุคนี้ไม่บริสุทธิ์เพราะสร้างอำนาจกำลังเงินกำลังอะไรไม่สำเร็จ เลือกตั้งทีนึง ใช้เงินกี่หมื่นล้าน แล้วจะบอกว่าตัวเองบริสุทธิ์ได้อย่างไร
ประชาธิปไตยสองขา มีพระมหากษัตริย์ มีการสืบสันตติวงศ์ ผู้ที่จะมาเป็นพระมหากษัตริย์นั้นจะต้องสืบสันตติวงศ์กษัตริย์ต้องเป็นคนดี มีกฎมณเฑียรบาลรองรับให้อยู่ในกรอบนี้ให้ได้ ถ้าหากว่าอยู่ในกฎมณเฑียรบาล ก็เป็นกษัตริย์ที่ไม่ดี อย่างที่เคยมีกัน มันก็ไปไม่รอด มันก็เป็นสัจจะ ถึงบอกว่า มันมีกรอบของมนุษยชาติอยู่แล้ว อย่างน้อยสืบทอดมาตลอดสาย มาถึงยุคนี้ เป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ เพราะได้สืบทอดทางจิตวิญญาณมาอยู่ในกรอบ ทศพิธราชธรรม เป็นหลักของสังคมมนุษยชาติ
แบบที่เป็น 2 ขานั้นออกนอกจากวิธีการของโลกไปแล้วเขาก็บอกว่า เขาอิสระเสรีภาพ
มาเข้าอีกหมวดหนึ่ง
ประชาธิปไตยครบสูตรจะมีมนุษย์ กษัตริย์และจิตวิญญาณที่ดีปกครอง ก็จะเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบ
หมวดที่สอง มีสามเส้าอีก ขยายความประชาธิปไตยอีก
-
มีจิตวิญญาณ
-
มีอิสระเสรีภาพ
-
ไม่มีอัตตา
นี่คือความเป็นประชาธิปไตยที่ Absolute Ultimate เป็นประชาธิปไตยที่สุดยอด คือ ประชาธิปไตยที่ผู้บริหารมีจิตวิญญาณที่ไม่มีอัตตา ให้อิสระเสรีภาพ นี่คือหัวใจของประชาธิปไตย
ประชาธิปไตยครบสูตร
(1) “การปกครอง”รัฐต้อง ครบสาม
หนึ่ง“มนุษย์”ผู้มีกาม ทุกข์แท้
สอง“กษัตริย์”ซึ่งทรงความ- ประสริฐสุด
สาม“จิตวิญญาณ”แพ้- “โลก”..แพ้“อัตตา”
(2) ต้องศึกษา“จิต”ให้ อุตตระ
“เหนือ”นี้ใช่ว่าจะ ง่ายรู้
จบเปรียญก็ใช่ชนะ “เหนือจิต” ได้เลย
ต้องศึกษาฝึกสู้ กิเลสด้วยวิชชา
(3) ซึ่งหาได้จากผู้ เข้าถึง
“สัตบุรุษ”ที่พึง สัมผัสได้
สอนรู้“จิต”จริงจึง จักกำจัด กิเลสแล
ตรวจสอบพุทธพจน์ให้ ถูกพร้อมบริบูรณ์
(4) ไม่พูนกิเลสเพิ่มซ้ำ “จิต”มนุษย์
ต้องพินิจให้พิสุทธิ์ ยากรู้
กว่าจะสะอาดผุด ผ่องสุด เป็นสัจจ์
“อธิปไตย”จึ่งจักกู้ “โลก”ด้วย“ปัญญา”
(5) คือ“วิชชา”พุทธแท้ “โลกุตระ”
ไม่่ใช่ฉลาด“เฉกะ” แค่นั้น
นั่นฉลาดแบบ“โลกียะ” “เหนือจิต” มิได้เลย
“โลก-อัตตา”นี้หลากชั้น หลอกผู้ปุถุชน
(6) คนจักสำเร็จแท้ ด้วย“จิต”
“อุตตระ”จะพิชิต “โลก”ได้
“ธรรมะ”ชนะชนิด ยอดยิ่ง จริงจบ
ถ้ากำจัด“อัตตา”ให้ หมดเกลี้ยงก่อนใด
(7) “อธิปไตย”ครบสูตรนั้น ใช่ใด
ตัว“อัตตา”ที่อยู่ใน “ดนุ”นี้
“มนุษย์-กษัตริย์”ไม่กระไร กันหรอก
“จิต”ไม่มี“อัตตา”ชี้ “โลก”แจ้ง“อุตตระ”
(8) ประชาธิปัตย์นั้น คือระบบ
ยิ่งใหญ่สูตรครันครบ พรักพร้อม
“วิญญาณ”จักบรรจบ จุดสำเร็จ
“ไร้อัตตา-อิสรา”ล้อม ถักร้อย“อธิปไตย”
“สไมย์ จำปาแพง” 6 ก.ค. 2561
[นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 337 ประจำเดือนสิงหาคม 2561]
ประเทศไทยนั้นย่ำแย่มาก่อนที่อาตมาเกิด แต่ก็ยังดีที่มีผู้มาช่วย อาตมาช่วยได้เฉพาะผู้มีปัญญา แต่ในหลวงนั้นท่านช่วยในทุกระดับ โพธิรักษ์ก็มาเก็บตก ผู้ที่ต้องได้รายละเอียดลึกซึ้งต่างๆนานา ในหลวงทำแบบองค์รวม เพื่อเสริมหนุนสร้างให้สมบูรณ์เต็ม อาตมาขอพูดจริงๆ ในหลวงก็เป็นโพธิสัตว์อาตมาก็เป็นโพธิสัตว์ได้มาสืบต่อ ทำให้คุณธรรมคุณวิเศษ ของมนุษยชาติสมบูรณ์ขึ้น บริบูรณ์ขึ้น
อาตมานำข้อเขียนของท่านขุนน้อย ตั้งแต่ วันที่ 5 กรกฎาคม พลังด้านบวกที่มีอยู่จริง
อินทรีเหล็กเยอรมัน…ก็ไปแล้ว ฟ้า-ขาวอาร์เจนตินา…ก็หลับไม่ตื่นฟื้นไม่มี ฝอยทองโปรตุเกส…ก็ปิดฉากลาโรงเอาดื้อๆ แม้แต่กระทิงดุสเปน…ก็ยังต้องกลับไปต้อนวัว ไล่วัว ไม่คิดจะยืนหยัดอวดโชว์ความสง่างามแบบมาทาดอร์อีกต่อไป ก็เลยเหลือแต่ทีม “หมูป่าอะคาเดมี” นี่แหละ ที่เชียร์มันซ์ซ์ซ์ เชียร์สนุก เชียร์แล้วแฮปปี้เอนดิ้ง แถมยังให้ข้อคิด สะกิดใจ อะไรอีกเยอะแยะมากมาย…
———————————————–
พูดง่ายๆ ว่างานนี้…คงไม่ต่างอะไรไปจาก “ปรากฏการณ์” ที่เคยทำให้ใครต่อใครอดตื่นตะลึงต่อสิ่งที่เรียกว่า “ความเป็นไทย” ที่ยากจะหาคำอธิบายมาแจกแจงรายละเอียด ความรู้สึก กันได้ถนัดๆ เช่น ปรากฏการณ์ที่ผู้คนนับล้านๆ หลั่งไหลมารอถวายบังคมพระบรมศพของล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 ชนิดมาเข้าคิวรอตั้งแต่ตีสี่ ตีห้า แม้จะได้เข้าไปถวายความเคารพประมาณเที่ยง หรือบ่ายแก่ๆ ก็ไม่เคยคิดจะบ่นพึมๆ พำๆ ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย ใจจดใจจ่ออยู่กับสิ่งที่ตัวเองเคารพ รัก และศรัทธา แถมยังพร้อมที่จะทำอะไรดีๆ สิ่งดีๆ สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ตามแนวทางของผู้ที่ตัวเองเชิดชู บูชา ชนิดไม่ต่างไปจากอุดมคติ อุดมการณ์ เอาเลยถึงขั้นนั้น…
—————————————————
หรือปรากฏการณ์ที่ผู้คนตั้งแต่เหนือจรดใต้…ไล่ตั้งแต่นราธิวาสไปยันเชียงราย ตั้งแถวรอรับมหกรรมการวิ่งของคุณน้อง “ตูน บอดี้สแลม” พร้อมกับกำเงินบริจาค ตั้งแต่รายละสิบบาท ร้อยบาท พันบาท ยันไปถึงล้านบาท สิบล้านบาท จนไม่ว่างบประมาณสาธารณสุขประเทศไทยจะตั้งเอาไว้ขนาดไหน หรือถูกนำเอาไปใช้ทำอะไรมั่ง แทบไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความมุ่งมั่นที่จะรวบรวมเงินบริจาคเพื่อก่อตั้ง สร้างโรงพยาบาล ซื้ออุปกรณ์เครื่องมือในการเยียวยารักษาผู้อื่น ตามเจตนาความต้องการของคุณน้อง “ตูน บอดี้สแลม” ชนิดพรวดเดียวปาเข้าไปเป็นพันๆ ล้านบาท แถมไม่อาจคิดคำนวณเป็นเงินๆ-ทองๆ ได้เท่านั้น เพราะสายใยแห่งความรัก ความศรัทธา ความเสียสละเพื่อผู้อื่น ที่ถูกผูกโยงเอาไว้ตั้งแต่ใต้จรดเหนือ ยังเป็นอะไรที่คิดเป็นตัวเงินตัวทองแทบไม่ได้
———————————————-
และปรากฏการณ์ทำนองนี้…ก็อุบัติขึ้นมาใหม่อีกครั้ง จากกรณี “หมูป่าอะคาเดมี” ที่ไม่ว่าจะมีรายละเอียด ความเป็นมา มีแง่มุมให้ต้องถกเถียง วิพากษ์ วิจารณ์ กันในแบบไหน แนวไหนก็แล้วแต่ แต่ก็ไม่อาจกลบกระแสแห่งความรู้สึกห่วงใย เมตตา สงสาร ความเอื้ออาทรต่อผู้ที่เป็นทุกข์ เป็นร้อน ผู้ที่เจียนเป็น เจียนตาย อันเป็นสิ่งที่อยู่เหนือไปกว่ารายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ จนทำให้ไม่ว่าชาวไทย หรือชาวโลก ต่างถูกดึงดูดให้เข้ามามีส่วนร่วม จน “ทีมหมูป่าอะคาเดมี” ดังระเบิดซะยิ่งกว่าทีมใดๆ ต่อทีมใด ในฟุตบอลโลกคราวนี้เอาเลยก็ว่าได้…
—————————————————
บรรดาปรากฏการณ์ในแนวนี้…ที่เกิดขึ้นมาครั้งแล้ว ครั้งเล่า ในประเทศไทย ภายในช่วงเวลาไม่กี่ปี เคยทำให้นักคิด นักวิชาการอย่าง อาจารย์ “ธีรยุทธ บุญมี” ท่านเก็บเอาไปคิด เอาไปวิเคราะห์ ตั้งข้อสังเกต ไว้อย่างน่าสนใจไม่น้อย ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วโน่นเลย ด้วยการเรียกรวมๆ เอาไว้ว่า ถือเป็น “พลังด้านบวก” ของสังคมไทย ที่กำลังเพาะตัว ฟักตัว และแม้จะมีลักษณะซ่อนเร้นหรือไม่ได้ก่อรูป ก่อร่าง ขึ้นมาโดยใครคนใด-คนหนึ่ง ไม่ได้มีภาครัฐ ภาคเอกชน เป็นตัวตั้ง-ตัวตี ในการขับเคลื่อนพลังเหล่านี้ แต่ถ้าลองปรากฏตัวขึ้นมาเมื่อไหร่ ด้วยความยิ่งใหญ่ เกรียงไกร อันน่าตื่นตา ตื่นใจ ของพลังที่ว่านี้ ก็อาจขยับเขยื้อน เคลื่อนไหว แต่ละสิ่งแต่ละอย่าง ให้เป็นไปตามความปรารถนา ความต้องการ ได้ไม่ยากซ์ซ์ซ์…
—————————————————-
อาจารย์ “ธีรยุทธ” ท่านยังลงรายละเอียดไปถึงขั้นว่า…ท่านคิดว่าพลังที่ว่านี้ เป็นพลังที่ข้ามพ้นไปจากความเป็นรัฐ ความเป็นพรรคการเมือง ความเป็นเอกชน และแม้แต่ความเป็นขั้ว-เป็นฝ่าย จนทำให้ท่านคิดของท่านเองว่า ถือเป็นพลังที่อยากจะหลุดพ้นไปจาก “กระบวนการความขัดแย้งแบบเก่าๆ” ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งระหว่างพรรคการเมืองกับพรรคการเมือง ระหว่างพรรคการเมืองกับทหาร หรือแม้แต่ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มก้อนมวลชนแบบประเภทเหลืองๆ-แดงๆ อะไรทำนองนั้น และยังเป็นพลังที่ไม่ได้อยู่นิ่งๆ เฉยๆ แต่กำลัง “เฝ้าดู” และ “ตรวจสอบ” ทุกๆ ฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ทหารการเมือง หรือใครก็ตามที่เข้ามามีบทบาทในการบริหาร-จัดการสังคมไทย…
—————————————————–
จริง-ไม่จริง…เชื่อ-ไม่เชื่อ ก็คงต้องลองคิดกันเอาเอง เพราะอาจารย์ “ธีรยุทธ” ท่านย่อมไม่ใช่ “ครูบาบุญชุ่ม” อยู่แล้วแน่ๆ แต่ที่น่าสนใจเอามากๆ ก็คือว่า การอุบัติขึ้นมาของ “ปรากฏการณ์” เหล่านี้แบบครั้งแล้ว ครั้งเล่า ต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ชนิดแทบไม่ต่างไปจากการวอร์มอัพ อุ่นเครื่อง ไปเป็นระยะๆ อันนี้…จะไปปฏิเสธว่าพลังที่ว่านี้ไม่มีอยู่จริง ก็คงเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แม้ว่าพลังดังกล่าวจะไม่ได้คิดไปจดทะเบียนเป็นพรรคการเมือง แบบพรรคพลังประชารัฐ ประชานิยม หรือประชาอะไรก็แล้วแต่ แต่บรรดาพรรคแต่ละพรรค ที่กำลังดูดกันไป-ดูดกันมาในช่วงระหว่างนี้ คงต้องคิดหน้า-คิดหลังเอาไว้มั่ง เพราะถ้าหากดันไปทำอะไรที่สวนกระแส หรือไม่เป็นไปตามกระแสความปรารถนา ความต้องการ ของบรรดาพลังที่มันมีอยู่จริง อีกทั้งยังได้แสดงให้เห็นตัวตนอย่างเป็นที่ประจักษ์มาแล้วหลายครั้ง หลายหน โอกาสที่จะไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี-หนีไม่พ้น ต้องตกชั้น ตกรอบแรก หรือรอบตัดเชือกเอาดื้อๆ ย่อมมีโอกาสเป็นไปได้ไม่ยากซ์ซ์ซ์ ไม่ว่าจะเป็นพรรคใหม่ พรรคเก่า พรรคทหาร พรรคไม่ทหาร ก็ตามที…
—————————————————
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก “Mahatma Gandhi”… “In the midst of death life persists, In the midst of untruth truth persists, In the midst of darkness light persists.- ท่ามกลางความตาย มีชีวิต ท่ามกลางความไม่จริง มีความจริง ท่ามกลางความมืด มีแสงสว่าง…”
—————————————————-
พ่อครูว่า…จิตของคนที่มีน้ำใจเป็นองค์รวม เอามาให้แก่คนที่จะช่วยเหลือชีวิต ทั้ง 13 ชีวิต มันเป็นลักษณะของจิต ที่ต้องช่วยกันเสียสละจนกระทั่งมีคนตาย ตายก็ต้องอนุโมทนาที่เขาได้เสียสละ ไม่มีใครอยากตายหรอก ทุกชาติทุกประเทศมา มันเป็นสุดยอดของน้ำใจ กลับไปเทียบกับฟุตบอลที่เป็นอบายมุข
เพราะฉะนั้น มันเป็นปรากฏการณ์ที่ดึงเอา คุณสมบัติคุณธรรมพิเศษนี้มายินดี สมใจ ทุ่มเทให้อันนี้ ถูกต้องแล้วครับ อย่าไปทุ่มเทให้กับอบายมุขนั้นเลย ตอนนี้ข่าวฟุตบอลโลก ฟุบหมดเลย หมูป่ากลบเกลี้ยง ทั่วโลกเลยนะ ฟุตบอลโลกหงอยไปเลย แล้วแต่ละทีมก็ล้มเหลวกลับบ้านกันไป ทีมใหญ่ๆทีมดังๆตกรอบไปหมดเลย เป็นเหตุการณ์ที่อาตมามองตามภูมิอาตมา ว่า อบายมุขความเลวร้ายของโลกมันจะลดลงแล้ว
ตัดสินเลยว่า เป็นเหตุการณ์ที่เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าภาวะสังคมโลก กำลังจะเจริญดีขึ้น กำลังจะเข้าใจ เรื่องอบายมุขคืออะไร ไม่ควรจะต้องไปหลงใหล ไปเสียเวลาแรงงานเงินทองทุ่มเทเวลา กับสิ่งที่เป็นอบายมุขตอนนี้ ควรลดการละเล่น ละเม็งละคร มันเป็นแค่งาน Amateur เป็นการบันเทิงพักผ่อนหย่อนใจนิดๆหน่อย ไม่ใช่เรื่องหลักไม่ใช่เรื่องชีวิตชีวา
หากประเทศนั้นสังคมนั้นเอาอบายมุขมันเป็นอาชีพประเทศนั้น สังคมนั้นเสื่อมมาก ต้องพยายามให้เกิดปัญญาเข้าใจเลย โดยเฉพาะอบายมุขการพนัน มันจะมาแฝงมากับการกีฬาเลยการพนัน การละเล่นกับการบันเทิงเริงรมย์ ถ้ามันจัดจ้าน ขึ้นมาเมื่อไหร่มันเลวเท่านั้น อย่าไปเร่ง Coefficient ให้มันเจริญก้าวหน้าทำไม กีฬาเป็นการกระตุ้น เป็นตัว Catalyse ที่เหลวไหลมากเลย การละเล่นการบันเทิงกีฬาอย่าไปส่งเสริมเพราะมันเกินขีดแล้ว เราต้องลดมัน มันเกินขีดแดงของสังคมที่ควรไปแล้ว
ถ้าเลิกกีฬาโอลิมปิกไปได้ โลกจะเจริญ ถ้ากีฬาโอลิมปิกพัง เลิกเลย เอเชียนเกมส์อะไรก็เลิกเลย โลกจะเก็บเอาแรงงาน ทุนรอน เวลา คืนมาใช้ เป็นประโยชน์สร้างสรร ความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติคือ 1. แรงงาน 2. เวลา 3. ทุนรอน นี่คือ ความฉิบหายของมนุษยชาติเอาความสูญเสียเหล่านี้คืนมา เอาความสูญเสียของข้าคืนมา เขางมงายกันจนไม่ลืมหูลืมตา
พลังงานความรัก 10 มิติ พลังงานที่ 8 9 10 คือ พลังงานรู้จักพลังงานพระเจ้า รู้จักพลังงานความรัก 1-7 แล้วใช้พลังงานความรักเพื่อผู้อื่น จนถึง ระดับ 10 ก็สมบูรณ์แบบ
พ่อครูว่า…พูดถึงเรื่องกลางแล้ว ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่รู้จักเรื่องของ กลาง ที่ ภาษาบาลีว่า มัชฌิมะ แปลว่าท่ามกลางความเป็นกลางหรือเป็นกลาง กลางก็มีท่าม คือมันอยู่ตรงนี้แหละ คือกลาง มัชฌิมะ แล้ว คนก็ไปแปลมัชฌิมาปฏิปทาว่าทางสายกลาง เป็นเรื่องที่ทำให้เข้าใจไม่ถูกเต็มเข้าใจเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งเท่านั้นเอง ไปแปลตีขลุม ที่จริงแล้วความสำคัญมันอยู่ที่ตรงกลาง ตรงระหว่างกลางเลย มันเจาะตรงหัวใจของกลางเลย ท่ามกลาง มัชฌิมะ คือเจาะหัวใจตรงกลางเลย
ปฏิปทาแปลว่าวิธีปฏิบัติทางปฏิบัติ กระแตแปลว่าทางสายกลาง ท่ามกลางไม่ใช่ทางสายกลาง สายมันยา แต่ตรงกลางมันเจาะตรงนั้นเลย จุดนั้นเลย จุดนั้นมันเล็กน้อยมัน 0 เลยมันไม่มีเลย มันตรงกันข้ามกับคำว่าสายที่มันยาวยืดยาด ไปแปลว่าทางสายกลางทำให้ความหมายของมัชฌิมา ออกนอกโลกไปเลย ปฏิปทาแปลว่าทางปฏิบัติ ส่วนคำว่าสายก็จะยาวไป แปลว่าทางปฏิบัติวิธีปฏิบัติก็สั้นลง ทั้งทางทั้งสายก็ยาว
ต้องแปลว่าวิธีปฏิบัติเอามาปฏิบัติเพื่อให้มันจบ ใช้ภาษาว่าทางสายกลางนี้มันไม่มีวันจบมันยาว แล้วทำให้เข้าใจท่ามกลาง อย่างหมดหวัง เป็นไปไม่ได้หรอกเพราะว่าอยู่ในทางจมอยู่ในทาง แปล มัชฌิมาปฏิปทาว่าทางสายกลาง คำว่าความเป็นกลางตรงกลางจุดตรงกลางจึงหายไปหมด ก็เลยปฏิบัติอย่างเวิ้งว้างตามทางสายกลาง ทางสายกลางแปลว่ามันมี 2 ข้างแล้วก็เดินไปตรงกลางๆ ระหว่างทางกว้าง 2 ข้างนี้ ก็ไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด มันเป็นอย่างนั้นจริงๆศาสนาพุทธเป็นแบบนี้ทุกวันนี้ไม่รู้จักจุดหมายปลายทาง ไม่รู้จักจุดสำคัญของสิ่งที่เราจะไป ไม่รู้วิธีที่จะไปสู่จุดสำคัญด้วย ไปแปลทางของพระพุทธเจ้าให้กลายเป็นทางที่ไม่รู้จักจบ และเป็นทางที่ไม่รู้จักจุดหมายจุดจบ จุดสมบูรณ์ จุดสัมบูรณ์ จุดสรุป หมดท่าเลย
คนที่ไปแปลมัชฌิมาปฏิปทาว่าทางสายกลางนั้น ขออภัยที่ต้องพูดว่าได้บาป มาทำให้คนเข้าใจผิดไป เลยทำให้ตกอยู่ในทางไปอยู่ในสาย ตกอยู่ในทาง ที่มีสาย สายคือที่เขากำลังใช้เชือกดึงเข้าไปในถ้ำนางนอนนี่ไง นำเข้าไปเป็นสาย ก็นำไปในทาง ทางไหนล่ะ ทางก็คือความกว้างสายก็คือเส้น เส้นนี้อยู่ในความกว้างไม่รู้จักสองฝั่งนี้เลย ไม่รู้จักจุดจบด้วย ไม่รู้จัก
อันตา เรียกว่า 2 ข้าง อันตาแปลว่า ปลาย ข้าง อันตะ แปลว่า ไม่มีที่สิ้นสุด อันตาคือพหูพจน์มีสองข้าง เราต้องรู้จักทั้งสองข้าง แล้วทำให้หมดข้างไปเรื่อยๆ ข้างหนึ่งคือกาม ข้างหนึ่งคืออัตตา
สรุปแล้วศาสนาพุทธมี 2 อย่างนี้ เรียนกาม อัตตา แล้วมาลด กาม อัตตา
คุณหมดกาม ก็เหลืออัตตา กามที่ต้องล้างคือ ราคะ พยาบาท ถ้าคุณไม่ต่อให้มันหมดไปหมดไปให้จบสิ้นอีก อนาคามีจะเหลืออัตตา กามหมด ถ้าคุณไม่เร่งทำอัตตาให้หมดอีก มันจะขยายกลับมาเป็นกาม หมุนมาเป็นกาม เพราะฉะนั้นต้องเร่งทำต่อให้จบให้หมดเลย แล้วกามมันก็จะไม่เกิดอีก ประมาทไม่ได้
สรุปแล้วถ้าไปเข้าใจธรรมะพูดให้เจ้าที่ท่านสรุปไว้ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรพระสูตรแรก ก็ให้ศึกษากามและอัตตา ลดกาม ก็อย่าไปยึดมั่นถือมั่นในอัตตา
สมมุติว่ากามมี 100 หน่วยทำให้หมดไปได้ 25 หน่วยแล้วคุณก็จมอยู่ที่นี่ เสร็จแล้วกามก็ดึงออกมาอีกได้ มันต้องกลับมาหาเอาพลังที่ได้เป็นตัวรวมของ พลังรวม เป็น static ของการฆ่ากาม เอาตัวนี้เป็นตัวตั้ง กามหมด 25 เป็นโสดาฯก็เอาให้หมดกามของสกิทาฯอีก 25 ก็จะมีต้นทุนของการฆ่ากามนี้ได้ ลดกามต่อ กามก็หมดไป 50 เหลืออีก 50 ลดไปอีก 25 ลดได้ 75 ก็เบา เหลือรูปราคะ อรูปราคะอีก 25 ก็ล้างไปอีก หมดเกลี้ยงเลย ทีละส่วนที่ละควอเตอร์ ทีละ 25
ธรรมะพระพุทธเจ้าอธิบายไว้ครบหมดเลยแบ่งสัดส่วนแบ่งหยาบกลางละเอียด ให้คุณได้เรียนรู้
การเรียนรู้ มันได้เพี้ยนไปไกล จนกระทั่งไม่รู้กรรมฐาน กรรมฐานของศาสนาพุทธนั้นคือ เวทนา มีอันเดียว แต่ถูกเข้าใจผิด แล้วก็หลงยึดผิด กลายเป็นศาสนาเทวนิยมออกนอกรีต เป็นศาสนาสะกดจิตไม่รู้จักจิต ก็เลยกลายเป็น ไม่ได้เรื่องได้ราว หมดท่าเลย กรรมฐานก็กลายเป็นกสิณ คืออะไรที่คุณใช้เป็นจุดสะกดจิตจดจ่อ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า..พ่อครูพูดถึงความเป็นกลางก็คือที่ตรงกลาง คือ จิตใจเราไม่เพียงไปในทาง กาม ทางอัตตา
พ่อครูว่า…ของพระพุทธเจ้าไม่มีกสิณ 40 ท่านพุทธโฆษาจารย์ในวิสุทธิมรรคได้รวบรวมเอาไว้เป็นกสิณ 40 เป็นสิ่งที่ทำให้ไม่มีธรรมวิจัยไม่มีโพชฌงค์ 7 ไม่มีสติสัมปชัญญะ ที่จะมีธรรมะวิจัยมีวิริยะ ไม่มีทำไมมีใจก็มีแต่หยุดๆๆๆๆ มีแต่หยุดอย่างเดียว มีแต่หยุด อย่าคิดอย่านึก อย่าไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรอีก แล้วก็ร้องว่ามันคือความสงบ
ใช่มันไม่ผิดหรอกมันคือความสงบ แต่ความสงบอย่างนั้นมัน มะรื่อทื่อ สงบ สงบของพระพุทธเจ้านั้นคือ สันตา ยิ่งสงบจิตใจยิ่งคล่องแคล่ว ยิ่งสงบจิตยิ่งปราดเปรียว จิตยิ่งแหลมคมจิตยิ่งทำงานได้ปราดเปรื่องมาก ไม่ใช่จิตอยู่นิ่งนิ่งๆไม่รู้จักคิดอะไรเลย เวทนาก็หมด สัญญาก็ไม่ทำงาน เวทนาก็ไม่ทำงาน ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้นเลย แหม น่าสงสารศาสนาพุทธ พวกที่ท่านหลงใหลผิด เสียดายแรงงาน เงิน เรี่ยไรกันอยู่นั่นแหละ แล้วหยุดสอนเสียทีอย่างที่ผิดๆอย่างนั้นแหละ ขออภัยที่พูดเหมือนไปใช้อำนาจบาตรใหญ่หยุดเขา อาตมาก็ได้แต่สงสาร
จริงๆแล้วขออภัยเถอะ อาตมาทำงานนี้ อาตมามาเป็นพ่อ อย่ามาหาว่าอาตมาเสือกจะสมัครเป็นพ่อเลย โวหารของโพธิรักษ์เป็นอย่างนี้ อย่าหาว่าอาตมาเสือกเป็นพ่อเลย อาตมาเกิดมาในชาตินี้มาเป็นพ่อ ในธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรม เรื่องของสิ่งที่ อินเดียเขามี สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เขายกก็เป็นพ่อ มหาตมคานธี เขายกมาเป็นพ่อของประเทศจึงเรียกว่ามหาตมะ เป็นพ่อของประเทศ บาบูจี
อาตมาจริงๆ อาตมาก็มาในนัยยะนั้น นี่พูดเปิดเผย อวดอุตริมนุสธรรมของตัวเอง มาเป็นพระโพธิสัตว์ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เป็นผู้ที่มีลูก จำนวนพันเป็นอเนก คือนับไม่ถ้วนเลย กี่ Thousand จะเป็น Million thousand ก็ว่ากันไปเลย ล้านๆๆ Thousand มาเป็นพันเป็นอเนก เป็นพ่อที่มีลูกจำนวนมาก ไม่มีประมาณ นี่พระพุทธเจ้าท่านตรัสอาตมาไม่ได้พูดเอง
คือ อาตมามาเป็นพ่อ มาเป็นผู้ที่พยายามจะสร้าง สัตว์โอปปาติกะ สร้างจิตวิญญาณของมนุษยชาติให้มาเป็นคน เป็นพรหม มหาบิดา อาตมามาในสายนั้นเครือนั้น DNA นั้นของพระเจ้า ของพ่อ นี่พูดโดยวิชาการนะ เป็นการศึกษาไม่ได้พูดหลงตัวเองยกตัวเองเป็นการอธิบายสัจธรรม มาทำหน้าที่นี้จริงๆ มาสร้างโลก มาสร้างสัตว์โอปปาติกะให้เป็นลูก ให้ไปเป็นพระพรหมให้เป็นจุดสุดยอดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระพรหมนั่นแหละ ให้มีจิตวิญญาณที่มีเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขาให้สูงสุด ให้มีจิตนี้
เมตตา อาตมาว่า อาตมายืนอยู่ในฐานเมตตา ทำงานอยู่ชีวิตทุกวันนี้อยู่กับเมตตา ส่วนตัวเองนั้นอยู่กับอุเบกขา ตัวเองใช้อุเบกขาเป็นฐาน วิหารธรรม เป็นฐานวิหารธรรม เป็นฐานเครื่องอยู่ของตัวเองเป็นอุเบกขา คือจิตเป็นกลาง เป็นอุเบกขาที่มีประสิทธิภาพสูงมาก ขออภัยที่ต้องชมตัวเอง สูงมากคือเฉยกลาง ใครจะกระทบกระแทกกระเทือนกระทบอย่างไร ก็กลางเฉย อย่างไรๆก็ Invisible ไม่มีตัวตนไม่เห็นตัวตนอาตมาหรอก คุณไม่เห็นตัวตนอาตมาหรอก Invisible
อาตมาเป็น invisible และเป็น untouchable ด้วย คนไม่ถูกหรอก ใครเคยอ่าน เรื่อง invisible Man บ้าง มันเป็นวิทยาศาสตร์คิดทำให้ตัวเองหายไปได้ ไม่มีใครเห็นได้ ทำให้คนอื่นเดือดร้อนมาก เพราะว่าคนไม่เห็นมัน ก็เดินชนมัน คนเดินชนมัน แต่ไม่เห็นตัวมัน มันมีตัวตนแต่มองไม่เห็น
คนเรานี้ถ้าเผื่อว่าไม่รู้สัจธรรม สัจธรรมสูงสุดพระพุทธเจ้า พูดไปก็เหมือนจะไปยกข่มศาสนาอื่น คือเป็นศาสนาที่รู้จัก เอาสัจธรรมะ สิ่งที่ทรงอยู่ทรงไว้ตั้งแต่ 0 จนกระทั่ง .0000001 แล้วก็ .0001 จนถึง .1 มีตัวตนมากขึ้นๆๆ
ผู้ที่สามารถที่จะรู้จัก สภาวธรรม พูดไปด้วยพยัญชนะ อะไรศาสตร์ก็แล้วแต่ เอามาใช้แทนสภาวะเรียกอันนั้นอันนี้ก็แล้วแต่ ถ้าหากเข้าใจสภาวะนั้นแล้ว แล้วก็รู้จักการเกิดการตาย ที่ มหาตมะคานธีสรุปเอาไว้ “ท่ามกลางความตาย มีชีวิต ท่ามกลางความไม่จริง มีความจริง ท่ามกลางความมืด มีแสงสว่าง”
ถ้าผู้ใดสามารถรู้ความจริง ว่า ความจริงมันก็มี ตาย กับมีชีวิต ความจริงมันก็มีมืดกับสว่าง ความจริงมันก็มีความจริงกับความไม่จริง พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่าเราก็อาศัยสองคำนี้แหละ โหติ กับนโหติ นัตถิกับอัตถิ คือความมีกับความไม่มี ท่านก็สรุปในพระสูตรนี้
พระไตรปิฎกล. 16 ข. [43] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง คือ ความมี 1 ความไม่มี 1 ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลก(โลกสมุทัย)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี(โลเก นตฺถิตา สา น โหติฯ) เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลก(โลกนิโรธ)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ มีในโลก ย่อมไม่มี(โลเก อตฺถิตา สา น โหติฯ)
เป็นเรื่องที่จะต้องเรียนความมีกับความไม่มี
มี ต้องมาเรียนรู้ว่าโลกสมมุติว่าอะไรมีหรือไม่มี แต่คุณต้องรู้ความไม่มีของคุณเอง
ความมีกับความไม่มีของตัวเอง เรียนอะไร ท่านก็เรียนโลกสมุทัย กับโลกนิโรธ
โลกนิโรธคือดับโลก โลกสมุทัยคือ เรียนรู้เหตุ ตั้งแต่หยาบที่สุด ทุกวันนี้คนสร้างเหตุที่หยาบที่สุดตั้งแต่อบายมุข อภิมหาอบายมุขใหญ่มากเลยไม่ว่าจะเป็นด้านวัตถุ แย่งวัตถุใหญ่ไม่ว่าจะเป็นแย่งยศใหญ่ อำนาจใหญ่ สุขใหญ่ในกาม ในอัตตา โดยไม่รู้ว่าตนเองตกนรกหมกไหม้
นรกหมกไหม้ คือ สวรรค์ไหม้หมก(สวรรค์ไม่หมด)…พ่อครู 8 ก.ค. 2561
มันโง่ทั้งคู่ ความจริงนรกกับสวรรค์คือความโง่ทั้งคู่ ใครยังมีสวรรค์มีนรกอยู่โง่ทั้งนั้นหมดสุขหมดทุกข์นี่แหละคือ ท่ามกลาง
ขยายเป็น วิชาการของพุทธเจ้าเลย เอาวิปลาส 3 กับ 4 เป็นวิปลาส 7
กิริยาที่ถือโดยอาการวิปริตผิดจากความเป็นจริง, ความเห็นหรือความเข้าใจคลาดเคลื่อนจากสภาพที่เป็นจริง มีดังนี้ :
ก. วิปลาสด้วยอำนาจจิต และเจตสิก 3 ประการ คือ
วิปลาส พตปฎ.เล่ม 31/526
-
วิปลาสด้วยอำนาจสำคัญผิด เรียกว่า สัญญาวิปลาส
-
วิปลาสด้วยอำนาจคิดผิด เรียกว่า จิตตวิปลาส
-
วิปลาสด้วยอำนาจเห็นผิด เรียกว่า ทิฏฐิวิปลาส
ข. วิปลาสด้วยยึดเอาวัตถุเป็นที่ตั้ง 4 ประการ คือ
-
วิปลาสในของที่ไม่เที่ยง ว่าเที่ยง
-
วิปลาสในของที่เป็นทุกข์ ว่าเป็นสุข
-
วิปลาสในของที่ไม่ใช่ตน ว่าเป็นตน
-
วิปลาสในของที่ไม่งาม ว่างาม (เขียนว่า พิปลาส ก็มี)
จิตวิปลาส คือจิตไม่เต็มเต็ง ก็ทำให้สัญญาวิปลาส สัญญาเป็นตัวจารบุรุษ มีหน้าที่เสือก ทำงานแต่ก็ต้องเสือกอย่างมีปัญญา เสือกอย่างมีความรู้ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ต้องมีจิตที่จะต้องมีสัญญาที่สัมมาทิฏฐิ จึงจะต้องมีทิฏฐิให้สัมมา
ต่อไป จะขยายความมิจฉาทิฐิ สัมมาทิฏฐิที่ 10
วิปลาส 4 มี
-
วิปลาสในของที่ไม่เที่ยง ว่าเที่ยง
-
วิปลาสในของที่เป็นทุกข์ ว่าเป็นสุข
-
วิปลาสในของที่ไม่ใช่ตน ว่าเป็นตน
-
วิปลาสในของที่ไม่งาม ว่างาม (เขียนว่า พิปลาส ก็มี)
พระอรหันต์ทุกองค์จะบอกว่าทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป จะเร็วหรือช้าก็แล้วแต่มันตั้งอยู่สุดท้ายมันก็ดับไป ใครยังไม่รู้จักทำให้มันดับได้ถาวรหายไปได้ถาวร คุณก็อยู่กับมันสิ คนที่ดับไม่ได้ถาวร คนไหนที่ดับได้ถาวร คนนั้นก็จบเหตุ ดับได้ถาวร
เตี่ยอาตมาชื่อ ทองสุข
คนวิปลาส เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข คนที่จบแล้วเป็นอรหันต์แล้วก็หมดสุขหมดทุกข์
การเห็นว่าของที่ไม่ใช่ตนเป็นตน ก็เป็นความวิปลาส การเห็นว่าสิ่งที่ไม่น่ายินดีไม่น่าได้ไม่น่ามีไม่น่าเป็นเลย ไม่น่ารักน่าใคร่ ไม่งามเลย ก็ไปหลงว่างาม หลงว่าน่ามีน่าได้น่าเป็น น่าอยาก (สู่แดนธรรมว่า..แล้วไปทำให้มันเจริญอีกด้วย)
เราต้องมาทำสัมมาทิฏฐิที่ให้แจ้ง
เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา) ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา).
สัมมาทิฏฐิ 10
-
ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด) (อัตถิ . ทินนัง) . . . .
-
ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว มีผล (อัตถิ ยิฏฐัง)
-
สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว มีผล (อัตถิ หุตัง)
-
ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว มีแน่ (อัตถิ สุกตทุกกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก)
-
โลกนี้ มี (อัตถิ อยัง โลโก) หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ . .
-
โลกหน้า มี (อัตถิ ปโร โลโก) หมายถึง โลกโลกุตระ .
-
มารดา มี (อัตถิ มาตา) . . .
-
บิดา มี (อัตถิ ปิตา) . .
-
สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ สัตตา โอปปาติกา) . . .