ธรรมปัจจเวกขณ์ (5)
22 กุมภาพันธ์ 2519 ณ พุทธสถานแดนอโศก
เราต้องเป็นผู้ไม่หลอกลวงตน เป็นผู้ที่จะต้องรู้สัจจะธรรม หรือความจริงของทุกๆขณะ อดีตก็เป็นสิ่งที่เราจะทบทวน เพื่อที่จะระลึกรู้ เพื่อที่จะเข้าใจว่า ชีวิตนั้นคืออะไร ชีวิตนั้นมีสุขมีทุกข์ ชีวิตนั้นหลงคืออะไร อะไรคือสาระ อะไรคือสิ่งที่ถูกมอมเมา จนเราไปหลงไปติดไปยึด ไปอยากได้อยากมีอยากเป็น เราจะต้องเป็นผู้รู้ที่รู้ให้ชัดเจน เป็นความจริงเป็นสัจจะให้ได้ แล้วก็รู้ความจริงแท้ เป็นที่สุดให้ได้ว่า ชีวิตนั้นคืออะไร มันไม่ใหญ่โต มันเลี้ยงด้วยปัจจัยอย่างน้อย ฉะนั้น มันก็อยู่อย่างบริบูรณ์แล้ว นอกกว่านั้น มันก็เป็นส่วนเกิน ที่เราจะทำประโยชน์ให้แก่โลกได้ เพราะเราได้สั่งสมมันมา เกินมากแล้ว มาเป็นมนุษย์ที่มีปัญญาหรือมีความคิดสูงยอด เกินมามากแล้ว ก็เอาส่วนเกินนี้มาใช้ให้แก่โลก ใช้ให้แก่มวลมนุษย์หรือสังคมเขา เราก็จะเป็นผู้กระทำได้จริง เป็นผู้เห็นจริง เป็นผู้รู้สัจจะ
เราจะต้องพิจารณา ในอดีตที่ผ่านมาให้เข้าใจ ทบทวนบุพเพนิวาสานุสติ ให้เกิดญาณแท้ๆ และต้องรู้ความดับ ทำดับ ทำปล่อย ทำวาง ทำเลิก ทำหยุด ติดหยาบๆ ก็หลุดหยาบๆ มาติดกลางๆ ก็มาหลุดกลางๆ ให้ได้ ติดละเอียดแม้กระทั่งในจิต ก็รู้ตัวตนของจิต รู้ให้ชัด แล้วก็ปล่อยปละละ หลุดลงมาให้ได้จริงๆ จนกระทั่งเราทำได้ ทำเกิดก็ทำได้ ทำดับก็ทำได้ เป็นผู้ไม่หลงความเกิดแท้ เป็นผู้ไม่ได้หลงยินดี ไม่ได้หลงเพ้อพกอยู่กับความเกิด แต่ย่อมรู้ความเกิดว่า ถ้าเราทำให้มันเกิด มันก็เป็นความเจริญที่สุดในโลก ส่วนตัวเรานั้น ไม่ได้มีความเกิด เราไม่ได้เอาความเกิด เราไม่ได้มาสะสมความเกิด ไม่ว่าจะเกิดแค่อารมณ์ยินดี เราก็ไม่ได้สะสมไว้เป็นของเรา หรือแม้แต่อารมณ์ว่าง เราก็ไม่ได้สะสมเป็นของเรา มันว่างก็โดยธรรม โดยตามเวลา โดยสิ่งที่ควรมีควรพอ ไม่ใช่ว่ามีเสียจนไม่รู้จักหยุดจักหย่อนจักว่าง ไม่รู้จักหยุดจักหย่อนก็ไม่ใช่ ว่างพอที่จะสับเปลี่ยนกัน มีพักหรือมีว่างแล้วก็มีเพียร หรือมีการงานอันดี ที่จะทำไปอยู่ เราไม่ได้สะสมอะไรเป็นของเราจริงๆ เป็นการกระทำเป็นการรู้แล้ว กระทำด้วยความเหมาะสมอยู่ จึงเรียกว่าผู้เจริญ และเป็นผู้มีประโยชน์ที่แท้จริง เรียกว่าคนประเสริฐ หรือคนเจริญ
เพราะฉะนั้น อันดับต่างๆ ที่เรากระทำมา และบอกสอนกันอยู่ว่า ควรเลิกมาในระดับหยาบ จนกระทั่งมาถึงระดับละเอียด ขั้นจิตในจิต ขั้นอัตตาที่กำลังเค้ากำลังเน้น กำลังแจกแจง กำลังอธิบายกันอยู่อย่างมาก ในเรื่องอัตตาในเรื่องหยาบๆ ต่ำๆ พวกเราก็เข้าใจกันมาก แล้วก็พยายามพากเพียรอยู่แล้ว พยายามเลิกมาแล้ว ได้พิจารณาอยู่แล้ว ก็เป็นบุญแล้วเป็นกุศลแล้วล่ะ ทำได้จริงก็เป็นของผู้นั้นจริง ผู้ใดทำไม่ได้จริง อย่าหลอกตัวเอง เราต้องไม่หลอกตัวเอง เราต้องรู้สัจจะแท้ เหลือน้อยให้รู้น้อย ยังเหลืออยู่มาก ให้รู้ว่ามันยังเหลืออยู่มาก ถ้ายังเหลือน้อย เราก็รู้แล้วว่าค่อยยังชั่วแล้ว และก็ไม่ต้องไปกังวลกังเวินอะไรมากนัก แต่ก็อย่าประมาท และเราจะเหลือไว้ เราไม่ประมาท มีโอกาสเราจะต้องเข่นฆ่ามันลงไป ลดลงไป ให้น้อยก็ให้น้อยยิ่ง น้อยก็ให้น้อยยิ่งลงไปเรื่อยๆ อย่าประมาทให้มันมีมาก หรือให้มันมีโตหรือให้มีเพิ่ม สิ่งที่เราทำอยู่ให้น้อยลงอยู่ มันมีวันหมดได้ อันไหนหมดแล้ว ก็ให้รู้ความจริง อย่าไปกังวลมันอีก หมดแล้วสิ้นแล้วก็เลิกกัน อย่าไปซ้ำแซะ อย่าไปมัวหลงเสพย์ติด ด้วยความหมดความหยุดนั้นอีก ไม่เอา! เราดูส่วนละเอียดใหม่อีกหรือความสูงใหม่อีก ที่เราจะรู้ว่าไอ้นี่ ควรตัดออกหรือว่าควรทำอีก เรากระทำอยู่ดั่งนี้ เราก็เป็นผู้ที่หวังในความจบสิ้นแห่งที่สุด ในความยึดติดของความเป็นมนุษยชาติ เราจะพ้นความติดยึดในโลกียะทั้งหลายทั้งปวงได้ อย่างแท้จริงเป็นที่สุด แล้วเราก็จะได้เป็นคนประเสริฐ เป็นผู้ที่จะเป็นปฏิสรโณ เป็นที่พึ่งของโลกอีกต่อไป เมื่อเรามีตนเป็นที่พึ่งแห่งตนแล้ว อย่างบริบูรณ์.
*****