ธรรมปัจจเวกขณ์ (28)
27 เมษายน 2519 ณ พุทธสถานแดนอโศก
พิจารณาถึงชีวิตให้จริง เกิดมาทำไม คำตอบที่ว่า “เกิดมาทำงาน” ก็พยายามคิดอ่านให้รู้ เกิดมาเพื่ออะไร “เกิดมาเพื่อตาย” เพราะฉะนั้น ในช่วงที่เราเกิดมาแล้ว มันมีตัวตนของรูปร่างขันธ์ มี รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ เรายังเดินทางไป ยังไม่ถึงหลุมฝังศพ ยังไม่ตาย เราก็มีกรรม หรือมีการกระทำ เรียกว่าการงานหรือการทำงาน การทำงานที่เลือกกุศล-อกุศล ถ้าจะทำงานก็ต้องทำงานที่เป็นกุศล กุศลขนาดใดมันจะดีที่สุด เราต้องเลือกเฟ้น อันใดที่ไม่ควรร่วมมือในสิ่งนั้น เพราะเป็นอกุศลแล้ว เราต้องเลิก
พิจารณาชีวิตของเรา ยังดำเนินไปได้ ด้วยการยังกุศลให้ถึงพร้อม ทำงานที่ดี เราพ้นทุกข์ด้วยรู้จักความจบแห่งชีวิต รู้จักความพอ รู้จักความเต็ม รู้จักสันตุฏฐานะหรือสันตุฏฐิ หรือสันโดษ ชีวิตร่างกายจะดิ้นไป มีอาหารเป็นสำคัญที่สุด มีปัยจัย ๔ …แล้วก็เป็นปัยจัย ๔ ที่จริง ยารักษาโรคก็ไม่ได้กินทุกวันหรอก ที่อยู่ที่อาศัยก็ไม่มีก็ได้ ก็นอนโคนไม้โคนไร่ก็ได้ ดังกล่าวแล้ว เครื่องนุ่งห่มก็ขนาดนั้น นานๆ ถึงจะเปลี่ยนเสียทีหนึ่ง ส่วนอาหารเท่านั้นที่กินทุกวันๆ เราไม่อิจฉาริษยาใครแล้ว แม้อาหาร กินอย่างนี้ เราก็ยังมีชีวิตไปได้ และก็ทำงานได้ กินวันละมื้อนี้ เราก็ทำงานได้เต็มที่แล้ว เสื้อผ้าหน้าแพรแค่นี้เราก็พอประมาณแล้ว เย็น ร้อน หนาว กันร้อนกันหนาวหรือว่าอยู่ได้ด้วย คนยังเคารพกราบไหว้ได้นับถือได้ ไม่ดูถูกดูแคลนอะไรได้ก็พอแล้ว ที่อยู่ที่พักพออาศัย ถ้าเขามีหาให้ก็พออาศัย ไม่มีก็อยู่ได้ด้วยอาจหาญ ไปไหนก็อยู่ได้ อยู่นอนดินนอนหญ้าอะไรก็สบาย มีคนเคารพนับถือกราบไหว้ได้เหมือนกัน อย่าว่าแต่เพียงว่าอยู่กับโลกเขาไปเฉยๆ ด้วยเขาดูถูกดูแคลนเลย แม้อย่างนั้น นอนอย่างนั้น กินอย่างนั้น อยู่อย่างนั้น นุ่งห่มอย่างนั้น เขาก็ยังนับถือกราบไหว้ได้ด้วยซ้ำไป ก็ไม่น่าจะเสียดาย และก็ไม่น่าจะน้อยไป ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องของความต่ำอะไร นอกนั้น ก็มีบริขารที่พึงใช้ทำประโยชน์ มีมากรักษามาก มีมากก็ทำประโยชน์ให้ได้มาก ตามบริขารนั้นๆ ไม่ใช่หวงบริขารไว้เฉยๆ แล้วไม่ทำงาน สะสมโลภมาก บริขารต่างๆ ไว้ไม่เกิดประโยชน์อะไร เป็นแต่เป็นเพียงคนมีสมบัติมาก อยางนั้นไม่ควร เรามีสมบัติหรือมีบริขารใด ก็ควรจะให้เป็นประโยชน์ แล้วก็ทำงานเผื่อแผ่ให้แก่โลกเขา อย่างนี้ก็เป็นคนที่มีประโยชน์
พิจารณาไปให้รู้ชีวิต ชีวิตเกิดมาเพื่อตาย ชีวิตเกิดมาทำไม “เกิดมาทำงาน” มาทำงาน มันเกิดมาเพื่อทำงานเท่านั้นแหละ แต่คนเราไม่เข้าใจ เราจึงไปทำงานแล้วโลภ ทำน้อยอยากได้มาก ไม่ทำเลยจะเอาเสียด้วย อย่างนี้เป็นความโลภโมโทสัน เป็นความคิดผิดของมนุยษ์ ไม่ทำเลยแต่จะเอา แต่จะกิน แต่จะอยู่ แต่จะเสวย ไม่ได้ อย่างนี้ไม่ถูกต้อง เราต้องทำ เราต้องทำงานที่ดีๆ ทำมากๆๆๆ ให้เขาได้มากๆ แล้วเราก็เป็นอยู่น้อยๆ ประโยชน์สูง-ประหยัดสุด เป็นคนที่มีงานการดี มีงานการให้เขาได้มากๆ แล้วเราก็เป็นตัวอย่างผู้มักน้อย ผู้มีน้อย ผู้เปลืองน้อย มันก็เดินทางไปสู่หลุมฝังศพอย่างดีที่สุด คนจะมายกย่องสรรเสริญ คนจะเห็นความจริงอันนี้ คนเขาจะนับถือจริงๆ เขาจะเห็นเอง พิสูจน์ไปเถอะ นี่เป็นค่าของมนุษย์แท้ แล้วเรารู้ความจริง เราไม่หลงโลภ เราไม่หลงรูป-รส-กลิ่น-เสียง-สัมผัส ไม่หลงวัตถุสมบัติ ไม่หลงยกตัวยกตน ไม่หลงมานะต่างๆ เราจะเป็นผู้เข้าใจชีวิต
การกินก็ดี ต้องรู้ความจบความพอดีของเรา เรากินขนาดนี้พอดีแล้ว ไม่ดิ้นรน ไม่เบียดเบียนมาก พอดีวันหนึ่งมื้อหนึ่ง อาหารก็ขนาดนี้ ไม่หลงในอนุพยัญชนะ รูป-รส-กลิ่น-เสียง-สัมผัสอะไรมากมาย พอกิน พอไปได้ อันใดฝึดฝืน ก็ให้รู้ว่านี่ฝืดหน่อย อันใดต้องพยายามหน่อยก็พยายาม อันใดไม่ฝืดไม่ฝืน อันนี้คล่องคอก็ให้รู้ว่าคล่องคอ ก็อย่าไปเอาใจไปยินดี เอาใจไปปรีดา เอาใจไปชอบมันมาก แล้วมันจะสั่งสม ระมัดระวังให้มาก แม้การกิน หรือการใช้ของอะไรก็ตามแต่ เป็นผู้ที่รู้มุมเหลื่ยมที่สุด ปรับสิ่งที่เราไปหลงชอบ แล้วก็อยู่ให้ได้ โดยสิ่งที่เราต้องฝืนหน่อย แล้วเราก็สบายแล้ว
ชีวิตนี้เราก็ทำสิ่งที่ดี สงเคราะห์สิ่งที่ดีไปตลอดโลกตาย เมื่อไหร่ก็ตายเป็นความธรรมดา มนุษย์ไม่ตายไม่มี สิ่งใดไม่ตายไม่มี สิ่งใดไม่เสื่อมไม่มี เมื่อยังไม่ตาย ก็ดำเนินไปด้วยศีลอย่างนี้ ใครมายกย่องเชิดชู ก็อย่าไปหลงยกยอชูเชิด อย่าไปหลงตัวหลงตนอันนี้ก็ มันจะกลายเป็นความใหญ่ อย่าเอาความใหญ่ ไปตีรันฟันแทง ไปข่มคนอื่นเขา ต้องระมัดระวังสายนี้ด้วยจุดนี้ด้วย แล้วเราก็ดำเนินความเป็นอยู่ ของชีวิตไปให้ดีที่สุด ตลอดตราบเท่าหมดลมหายใจ ก็เป็นอันพักละ
*****