ธรรมปัจจเวกขณ์ (47)
11 สิงหาคม 2519 ณ พุทธสถานแดนอโศก
ผู้ใดที่เป็นไปด้วยความสำรวม ความสังวร เป็นผู้ที่รู้อยู่ในศีล อยู่ในอายตนะต่างๆ ไม่ว่าทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือใจ เป็นผู้ได้สังวร เป็นผู้ได้สำรวมอยู่ อย่างแท้จริง มีแนวโน้มไปสู่วิเวก มีแนวโน้มไปในทางน้อยลง เพราะคนมันได้หลงมากมาแล้ว หลงใหญ่ หลงเฟ้อ หลงติด จนเป็นภาระ มีความยุ่งยาก จนเกินความจำเป็น จะต้องมาลองหัดลดลง สำรวมลง ให้มาสู่วิเวก น้อยเข้า กำหนดความพอ แล้วทำให้ได้ จนกระทั่ง เราหยั่งลงเป็น ปวิเวกๆ จนเป็นวิเวกเต็ม เราจะเป็นผู้ที่ไม่คลุกคลี ไม่เกี่ยวข้องได้ ตัดขาดได้ หลุดพ้นได้ เป็นอสังสัคคะ เป็นผู้ไม่หลงในสวรรค์ ไม่ติดในสวรรค์ เราต้องกระทำด้วยความพากเพียร ต้องมีปัญญาอ่านรู้ เมื่อรู้ในศีล เราก็ต้องรู้ในจิต เพราะว่าศีล เป็นหลักเกณฑ์ที่เรากระทำ แล้วมีการสังวร สำรวม ตามหลักเกณฑ์ ที่เราได้กระทำตามบทปฏิบัติ เป็นกรรมฐาน เป็นตบะธรรม เป็นข้อปฏิบัติอะไรก็ตาม ที่เราเรียกว่าศีล เราต้องเข้าใจว่า มีความมุ่งหมายอะไร แล้วเราก็ทำให้ตรงเป้า ตรงความมุ่งหมาย อ่านเข้าไปถึงจิต เรียกว่าสมาธิ มีจิตสัมผัส รับรู้อยู่ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็จะไปถึงที่จิต อ่านรู้โลภะโทสะได้ที่จิต แยกให้ออกว่าจิตอย่างนี้ เกินเกณฑ์ที่เราได้ตั้งขึ้นไปแล้ว มากไปแล้ว เราจะต้องลดน้อยลง เรียกว่าสมาธิ แล้วก็ทำให้ได้ รู้ด้วยปัญญา แล้วก็ทำให้ได้จริง ให้จิตมันขาดร่อน จิตวางหรือจิตควบคุมได้ ตามที่เราต้องการ เรียกว่า สมาธิ และมีปัญญาอันรู้แจ้ง เราทำอยู่เราก็รู้ มีกฎเกณฑ์ เรียกว่าศีลเราก็รู้ เราทำให้ได้ ตรงตามจิตตามหมายของเรา ให้ได้จริงๆ ก็เรียกว่าปัญญารู้ หลุดพ้นไปได้ วางขาดไปได้เป็นวิมุติ แล้วเราก็จะมีปัญญา รู้ในวิมุติทั้งหลาย รู้มรรค รู้วิธีกระทำ และรู้ผลที่เราบรรลุแล้ว
แม้เราสังวรสำรวมในศีลแล้ว เราก็ต้องพยายาม ในทุกอิริยาบถ ทุกสิ่งที่ประกอบ ไม่ว่าเครื่องกินเครื่องใช้ ต้องพยายามประมาณ มีโภชเนมัตตัญญุตา พยายามให้รู้จิตตน พยายามให้มันตื่นอยู่ เต็มเวลา พักก็รู้พัก เวลาเป็นอยู่ก็รู้ว่า เป็นอยู่อย่างเต็ม มีชาคริยา มีชาครี หรือสติชาคโร มีสติตื่นเต็ม มีความรู้ให้เต็มรอบ เมื่อเรากระทำอย่างนี้ เราก็จะเกิดความเชื่อมั่นเห็นแจ้ง เรียกว่า ศรัทธา เมื่อเป็นศรัทธา เราก็จะรู้ในสิ่งที่เราเตรียมตัวอยู่ว่า อันนี้เป็นบาปเป็นกรรม เรียกว่า หิริ มีความละอายต่อบาปต่อกรรม มีโอตตัปปะ ถึงขั้นเกรงขั้นกลัว ว่าเราละเมิดลงไปแล้ว มันจะต่ำจะชั่ว เราจะมีความรู้มากมาย เรียกว่า พหุสัจจะ จะเข้าใจลึกแหลม เป็นความจริงออกไปอย่างนั้น เราจะต้องกระทำให้แน่แท้ มีศรัทธา หิริ โอตตัปปะ มีพหุสัจจะ มีความรู้อย่างแท้จริง แล้วจะมีความพากเพียรเสริม วิริยะ มีสติ มีปัญญา ส่งเสริมกันให้ถ้วนทั่ว
การกระทำดั่งนี้ เรียกว่าญาณ… ญาณ ๑, ญาณ ๒, ญาณ ๓, ญาณ ๔ จะเกิดขึ้นตาม จนกระทั่ง ทำได้วางเฉย เป็นจรณะ เพราะมีความรู้ รู้จริง รู้ทั้งนอก รู้ทั้งใน รู้ทั้งสิ่งที่ประกอบนอก และรู้ทั้งสิ่งที่เชื่อมต่อกันเข้าไปหาภายใน ระงับได้แม้กระทั่งจิต เป็นผู้อยู่เหนือจิต มีสมาธิจิตอย่างครบถ้วน รู้แจ้งเป็นสมาธิ ๗ หรืออธิจิต ๗ ดั่งที่เราได้สาธยายกัน แนะนำกัน ผู้นั้นก็เป็นผู้อยู่เป็นสุข มีทิฏฐธรรมสุขวิหาร มีสันตวิหารถ้วนทั่ว.
*****