ธรรมปัจจเวกขณ์ (50)
14 สิงหาคม 2519 ณ พุทธสถานแดนอโศก
เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนใฝ่ดีใฝ่สูงและใฝ่สุข จุดดีนั้นน่ะ แล้วแต่ว่าใครจะคิดเอา ผู้ที่เห็นดีในทางที่เป็นอย่างสมมุติ อย่างชาวที่เราเรียกว่าโลกียะ ก็คือผู้ที่ใฝ่ลาภ ยศ สรรเสริญ และก็สุขอย่างสมใจ อย่างโลกอยู่เป็นธรรมดาได้ ก็ว่าดี และความสุขก็มักจะอยู่ด้วยกันกับจุดที่ต้องสมใจ เมื่อสมใจในสิ่งที่เราหวังที่เราหมาย เราก็จะไปได้สิ่งเหล่านั้น การได้สิ่งที่เราปรารถนาอยู่ แล้วก็สมใจในปรารถนาอยู่ ท่านเรียกว่า อามิส อามิสสุข ซึ่งคนก็ได้พยายามที่จะใฝ่หา แล้วก็เรียกว่า ผู้ที่มีมาก ผู้ที่หาได้มาก ผู้ที่สุขสมใจมาก เป็นผู้ที่ประเสริฐสูง นั้นเป็นโลกียะ นั้นเป็นโลกเขาใฝ่กระทำกัน ก็จริงอยู่สำหรับทางโลกๆ ส่วนทางธรรมนั้น เข้าใจสิ่งเหล่านั้นเพียงพอ เรียกว่าเข้าใจเพียงพอ รู้แน่แท้ เห็นชัดเจน ได้ลาภมาก ก็รู้ด้วยว่ามีลาภมาเป็นคนเก่ง ถ้าสุจริตก็เก่ง สูง และได้ความสุขเพราะอาศัยลาภ เพราะอาศัยยศ ให้แลกเปลี่ยน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส หรือว่าแม้แต่ในตัวการได้ลาภเอง ได้ยศเอง ได้สรรเสริญเอง ก็เป็นความสุข แม้มันหย่อนลง มันเปลี่ยนแปรไป มันไม่เที่ยงตามที่ตัวเองหมาย มันไม่ได้ตามตรงที่ตัวเองยึด มันก็ทุกข์บ้าง ก็เป็นสุขๆทุกข์ๆ อยู่ตามฐานะของบุคคลในโลก เรารู้สุขรู้ทุกข์ของโลกตามธรรมดาอยู่แล้ว
ผู้มาศึกษาทางธรรม ต้องเข้าใจให้ชัดเจน ถ้าหวังสิ่งเหล่านั้นอยู่ ทำสิ่งเหล่านั้นได้ ก็เป็นไปอยู่อย่างโลก และก็ยังมีอยู่มาก ก็เป็นกันอยู่มาก เรายังใฝ่ปรารถนาอยู่ เราก็จงไปทำเอา ผู้ที่จะเดินทางมาสู่โลกุตระนั้น ถือว่าสูงกว่านั้น สูงกว่าผู้ที่จะไปหลงเป็นทาสลาภยศ เป็นทาสสรรเสริญ หรือเป็นทาสความสุข ที่เรียกว่าสุขเพราะได้ลาภมา ได้ยศมา ได้สรรเสริญมา หรือได้รูปที่สมใจ ยศที่สมใจ กลิ่นที่สมใจ ได้สัมผัสที่สมใจ หรือแม้แต่คิดหมายไว้ในใจ กำหนดหมายไว้ในใจ และก็ได้สภาพกำหนดหมายนั้น ถูกใจต้องใจ เป็นความสุข สุขอย่างนั้นเราเข้าใจ เรารู้รสชาติมันแล้ว เราเพียงพอแล้ว เราจึงได้พยายามที่จะเป็นคนสูงอีกชนิดหนึ่ง เป็นคนที่สุขอีกชนิด ซึ่งเป็นนิรามิสสุข ไม่ใช่อย่างอามิสสุข อย่างที่เขาเป็นกันอยู่ สุขอย่างปราศจากอามิสทั้งหลายที่กล่าวแล้ว ที่โลกียะทั้งหมด สุขโดยวางโดยว่างขาดจากมัน แม้เรารู้ก็ยังมีการเคยชิน ยังมีการติด ยังมีการสลัดไม่ออก ยังมีการต้องโหยหา ยังมีการอาวรณ์อยู่ เราจะต้องมาล้างลง มาฝึกหัดตัดออก ลดลง พิจารณาแล้วพิจารณาเล่า หาโทษหาภาระเห็นในภาระของมัน เห็นในการที่ไปหลงติด แล้วเราก็ต้องเป็นภาระมันอยู่ด้วย ยิ่งหลงยิ่งติดในอนุพยัญชนะ ในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ในเครื่องพอกเครื่องเพิ่ม ที่ปรุงกันหลอกกัน แต่งกันมากขึ้นทุกวันๆด้วย เรายิ่งหนักมาก
ถ้าเราลดน้อยลงได้ รู้เท่าทันในอนุพยัญชนะ ที่มันปรุงแต่งลงน้อยลงไปๆได้ เราก็เบาลงๆจนหยุด รู้ฐานะแห่งความจริง ว่าสิ่งที่สังเคราะห์ไว้นั้น ร่างกายไม่มีแค่ปัจจัย ปัจจัยเป็นเอกคืออาหาร ปัจจัยเป็นรองคือเสื้อผ้าที่อยู่ ปัจจัยที่เป็นรองลงไปอีก ก็คือยารักษาโรค เมื่อมันมีโรค ถ้าไม่มีโรคก็ไม่ต้องมียา นอกจากนั้นก็เป็นเครื่องอาศัย ที่ดำเนินชีวิตอยู่กับโลก เพื่อประโยชน์ ประโยชน์ตนอันยังไม่หมด คือการล้างความยึดติดให้หมด แล้วก็เป็นประโยชน์ท่าน คือให้รู้ความจริงสภาวะจริง ของมนุษย์ที่ไม่หลงโลก ไม่ตายอยู่กับโลก ไม่เพียงแต่มีความรู้ แค่รู้ว่าได้ลาภยศสรรเสริญ ได้ความสุขเสพย์ด้วยกามคุณทั้งห้า ด้วยทวารทั้งห้า หรือแม้ทวารที่หก คือทวารใจเองไปสมใจไว้ แล้วถือว่าเป็นสุข เมื่อได้สมใจในภาพหรือในภพ หรือในสิ่งที่เราคิดสร้างไว้ในจิตนั้น มันก็มีอยู่เท่านั้น เพราะอย่างนั้น ผู้ที่ได้มากระทำสิ่งสูง หรือในจุดสูงอันนี้ ก็จะเป็นตัวอย่าง เป็นผู้ที่จะยืนยันความจริงว่า ได้พิสูจน์แล้ว ได้สบาย สุขภาพกายก็เห็นแจ้งว่า สุขภาพดีอยู่ ไม่ได้มาทรมานตน กินน้อยลงก็จริง ไม่มีเงินเหมือนดูกระเบียดกระเสียร ไม่มีสมบัติมากมายเหมือนชาวโลก มนุษย์ส่วนใหญ่เขาเป็น ไม่ได้หลงไปด้วยรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ไม่ได้เอะอะมะเทิ่งไปตามที่เขาว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นสุข สิ่งเหล่านี้เป็นสุขอย่างโลกๆ เราไม่ห่อเหี่ยว ไม่ได้หดหู่ ยังผ่องใสเบิกบาน เห็นได้ชัดแม้ในสีหน้าท่าที สุขภาพบริบูรณ์ ไม่อ้วนไป ไม่ผอมไป เป็นความพอดีพอเหมาะของความเป็นมนุษย์ ร่างกายเบากระปรี้กระเปร่าแข็งแรง ทำงานได้เต็มหน้าที่
และเราจะทำหน้าที่ ที่เป็นครู หรือเป็นตัวอย่าง หรือเป็นแม่พิมพ์ เป็นจุดดึง ดึงความสูงขึ้นไปให้สูงและยิ่งๆขึ้น และเราก็ยังมีอนุโลม มีความรู้ที่เราจะสอนให้คนนั้น เลิกละจากสิ่งชั่วหยาบ ติดยึดในสิ่งชั่วหยาบเป็นขั้นต่ำๆ ให้สูงขึ้นมาบ้าง แม้เขาจะอยู่กับชาวโลก เขาจะยังหลงลาภยศสรรเสริญ ยังจะเสพย์รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสอยู่ก็ตาม เราก็มีจุดขั้นที่ให้เขารู้ ให้เขาเรียน ให้เขาละเลิกความไม่ดีความชั่วความเลว เป็นตอนต่อมา และให้เขาพิสูจน์ว่า เขาจะมีโภคทรัพย์มากขึ้นก็ได้ ถ้าเขาได้ลดสิ่งเผาผลาญ สิ่งที่เปลืองเปล่า สิ่งที่เฟ้อ สิ่งที่ทำให้ตัวของเขาไม่สมบูรณ์ ในโภคทรัพย์ทั้งหลายแหล่ แล้วก็ให้เขารู้ด้วยจิตปัญญาเป็นอริยะ เป็นขั้นต้น ทำให้เขาเป็นโสดาบัน ทำให้เขาเป็นผู้เจริญในขั้นที่หนึ่ง ก็รู้ได้บอกเขาได้ เราก็ได้หลุดได้ละสิ่งเหล่านั้นมาได้ แม้แต่จะหลงในสิ่งที่เป็นกามคุณ โลกกาม โลกธรรมแปด เราก็ให้เขาเรียนรู้ และลดลงมาอีก ให้เขาพิสูจน์ว่า มันเบามันสบาย มันง่าย ชีวิตมันไม่ใหญ่ ชีวิตมันเล็กนิดเดียว เลี้ยงมันไว้ขุนมันไว้ ด้วยความพอดี ส่วนมากเราจะหลงเกิน เกินจนร่างกายทรุดซูบ เกินจนร่างกายใหญ่โตเกินขอบเขต แต่เขาไม่รู้ตัวเลย ทรมานแม้เวลากิน ทรมานตนแม้เวลาที่เป็นอยู่ทำงานทำการ และทรมานตน แม้ในเวลาหลับนอน เขาไม่รู้ เราจะต้องมาพยายามอธิบาย ให้เขารู้ถึงความเป็นจริงว่า นอนเป็นแค่พักผ่อน เป็นอิริยาบถหนึ่ง ที่จะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมากับอิริยาบถตื่น หรืออิริยาบถทำงาน มันเป็นเพียงความพัก ที่เป็นคู่กับความเพียร เท่านั้นเอง ไม่ใช่รสอร่อย
ให้เขารู้การทำงานที่มีประโยชน์ อันใดที่เป็นการงานต่ำ ให้พยายามเปลี่ยนการงานขึ้นมา กระเถิบฐานะของตน ให้มีการงานอันดี เป็นสัมมากัมมันโตขึ้นมาเรื่อยๆ ได้ชื่อว่ามีชีวิตอยู่ เป็นสัมมาอาชีโว แม้ที่สุด สิ่งที่เป็นจิตที่เราไปสร้างภพสร้างชาติ ก็ให้รู้ถึงจิต และเราก็จะไม่ติดแม้แต่ภพของจิต ให้เป็นส่วนเหลือ เป็นอัตตกิลมถานุโยค หรือว่าทรมานตน เพราะไปหลงอัตตาอยู่ ก็จะละล้างไปจนหมดสิ้น ผู้ใดพิสูจน์มาเป็นขั้นตอน มันก็มาสู่จุดเดียวกัน มาสู่จุดที่ผู้ที่รู้เท่าทันแล้วว่า โลกนั้นหลอกไว้ด้วยอามิสอย่างนั้น เมื่อผู้ใดกระเถิบตัว ได้ปฏิบัติลงตัว เป็นข้อพิสูจน์ว่า เราสบาย เบา ว่าง ง่าย ไม่ได้มีความสุขแบบจะต้องมีอามิสมาปรุง มีอามิสมาล่อให้เรากระทำงาน เราจะทำงานด้วยไม่ต้องมีอามิสล่อ แล้วเราจะสุขด้วยไม่ต้องมีอะไรเลย ว่าง เบา พัก หรือตัดปล่อย หลุด ไม่เดือดร้อน ไม่คลุกคลี ไม่เกี่ยวข้อง มันเป็นความง่าย มันเป็นความเบา มันเป็นความพ้นภาระ มันเป็นความสุขที่เรียกว่า สันติสุขอันแท้จริง
ศาสนาพุทธเน้นทิศทางอย่างนี้ ทำให้กระจะกระจ่าง และทำให้เป็นจริง มันยากที่คนมันเคยเสพย์คุ้น กับสิ่งที่เป็นโลกมานานนับกัปนับกัลป์ เพราะฉะนั้น จึงจะต้องมาเรียนรู้และฝึกปรือ ลดถอยพรากจาก พยายามอ่านจิต พยายามเห็นสิ่งที่มันเป็นความชั่วความหนัก มันเป็นภัยเป็นโทษ ทำให้เราต้องวนเวียน ต้องวุ่นวายเดือดร้อน มันจะต้องมาอ่านแล้วอ่านเล่า จะต้องพยายามพิจารณาแล้วพิจารณาเล่า ทบทวนแล้วทบทวนอีก ให้เข้าใจจริง และก็เห็นมุมที่ว่า ถ้าปล่อยลงไปวางลงไป เลิกติดลงไปแล้ว มันง่าย มันสบาย แล้วคนก็เป็นอยู่ได้ มันจะเป็นอยู่ได้อย่างดี จะเห็นสุขภาพแตกต่างกัน ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต ชัดเจนที่สุด คือสุขภาพจิตใจชัดมาก เราเองเป็นผู้รู้ผู้เห็น เป็นปัจจัตตัง เป็นของตน ผู้อื่นก็อาจสามารถเห็นได้ด้วย เพราะมันไม่ย้อนไม่แย้งไม่ขัด มันเห็นจริงเห็นจัง และสุขภาพร่างกาย ก็บริบูรณ์อย่างแท้จริง
ความบริบูรณ์ ไม่ใช่ความอ้วนใหญ่ ความบริบูรณ์คือความพอดี ร่างกายกระปรี้กระเปร่า เบากาย เบาใจเข็งแรง ไม่ได้มากไปด้วยน้ำมัน ไม่ได้มากไปด้วยไขมัน ไม่ได้มากไปด้วยเนื้อส่วนเกิน แต่มีกล้ามเนื้ออันพอเหมาะพอสม ที่จะใช้ตามกำลังงาน กำลังหน้าที่ ถ้าทำงานหนัก กล้ามเนื้อก็ต้องมากหน่อย ทำงานไม่หนัก กล้ามเนื้อก็ไม่ค่อยมากนัก แต่กำลังแข็งแรงพอ ที่จะอยู่ในอัตภาพที่เราเป็นอยู่ ตามวินัยตามศีล หรือตามระเบียบตามกฎของหน้าที่ ที่เรารับผิดชอบแล้ว แล้วมันก็จะพาชีวิตนั้น ดำเนินไปสู่ความสูง ที่สูงและสุขและดี คนเราก็หมายที่ดี ต้องการความดี และต้องมีดีเป็นขั้นตอน และจะมีความสุขที่แท้จริง อามิสสุขและนิรามิสสุขดังกล่าวแล้ว และเป็นความสุขสูงจริงๆ เท่าที่เราเห็นเท่าที่เรารู้ ผู้ใดรับด้วยผู้ใดเห็นด้วย ผู้นั้นก็รู้ว่าสูงด้วย ผู้ใดยังไม่รับ ยังไม่เห็นว่าสูง นั้นก็เป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใดเห็นแจ้งจริงชัดเจน รู้ว่าคนอื่นเขายังไม่นับถือด้วย เขายังไม่ได้บริสุทธิ์ด้วย ก็ต้องเข้าใจตัวเขา เข้าใจผู้ที่เขาไม่ยอมรับนั้นด้วย ถ้าเผื่อว่าเขาจะเห็นได้ ถ้าเราสามารถ ก็พยายามให้เขาเห็นด้วย ถ้าเราไม่สามารถ ก็ต้องปล่อยให้เขาสุขอยู่ อย่างที่จะจมอยู่กับอามิสสุข ที่เขาเห็นว่ามันสูง เมื่อเราไม่ติดในอามิสต่างๆ ไม่ติดในลาภ ในยศ ในสรรเสริญ หรือแม้แต่สุข สุขด้วยกามคุณทั้งห้า หรือสุขด้วยอบายมุขต่างๆก็ตามแต่ หรือสุขด้วยการหลงตัวหลงตน ก็ตามแต่
ถ้าแม้ว่า เราสามารถที่จะทำแก่ตนได้ เราก็เป็นกำไรแล้ว ถ้าเราทำแก่ตนยังไม่ได้ เราก็ไม่ได้กำไร เราก็ไม่ได้พิสูจน์ความจริง มันจะเกิดแก่ผู้รู้ผู้เป็นผู้มีเท่านั้น ไม่เช่นนั้นแล้ว มันก็ไม่มีศาสนา ไม่เช่นนั้นแล้ว ก็ไม่มีการที่จะช่วยเหลือ ดึงจูงผู้อื่นได้ เพราะว่าสิ่งที่มันเป็นโลกธรรมทั้งหลายแหล่ มันถ่วง มันหนัก มันทำให้มี ต้องมีความโลภ และมันจะไม่สมใจในโลภ เรียกว่าโกรธ หรือว่าความไม่พอใจ เรียกว่าโทสะ มันส่งผลอย่างนี้ตลอดเวลา เพราะว่าเมื่อเราไม่โลภอะไรแล้วหมด ความโกรธก็ไม่มี ความสมใจไม่ได้สมใจก็ไม่มี เพราะฉะนั้น จึงอยู่ได้ด้วยดี โลภมันก็ไม่สุข โลภมันเดือดร้อน มันก็เพราะแก่งแย่ง แก่งแย่งลาภยศสรรเสริญ แก่งแย่งแม้แต่ความสุข มันแก่งแย่งกัน มันจึงไม่สันติสุข ถ้าโลกมีแต่คนเข้าใจการงาน ทำงานอันเหมาะอันควร แล้วไม่แก่งแย่งอามิสใดๆกันเลย โลกก็สันติสุขอย่างแท้จริง จึงจะต้องทำให้คน ลดความโลภความโกรธให้ได้ ด้วยอุบายวิธีทั้งหลายแหล่ เท่าที่สามารถ เมื่อมันลดลงบ้าง โลกก็สันติสุขลงได้บ้าง ลดลงได้มากเท่าใด สันติยิ่งเกิดมากเท่านั้น และภราดรภาพ ความเป็นพี่เป็นน้อง ความไม่แก่งแย่ง ความเกื้อกูลเอื้อเฟื้อช่วยเหลือ ไม่ขี้เหนียว เพราะไม่ขี้โลภ มันก็เกิดขึ้นได้
สิ่งนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็น ความดีอันนี้ จึงเป็นความจำเป็น และความสูงอันนี้แหละ เป็นความสูงที่แท้จริง ผู้ใดยังไม่เห็นว่าไม่สูงก็ไม่ว่า และความสูงอันนี้แหละ สุขอย่างสันติแนบเนียน เป็นสุขอย่างปลาย อย่างขั้นปลายขั้นยอด สุขอย่างสงบ สุขอย่างเบา อย่างสบายที่แท้จริง ผู้ที่ทำไม่ได้ จงพยายามเรียน เรียนให้มาก รู้ให้มาก ว่ามนุษย์ต้องการอะไร มนุษย์ต้องการความดี ต้องการสูง ต้องการความสุข เราได้ดีอย่างไร เราได้สูงอย่างไรแค่ไหน และเราได้สุขอย่างไร สุขอย่างหนักหรือสุขอย่างเบา ต้องพยายามพิสูจน์ พยายามอ่านรู้ความจริง เกิดมาเป็นผู้ที่ได้เห็นศาสนาพุทธ เป็นผู้ที่ได้เรียนรู้พุทธ ตามครรลอง ตามทฤษฎี ตามธรรมวินัย ของสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่าเสียชาติเกิด พิสูจน์ให้จริง แล้วเราจะได้ชื่อว่า เราช่วยตนและช่วยท่าน เราพึงมีประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ไปจนกว่าจะถึงความตาย ความบรรลุ เป็นที่สุดมิได้
ขอยืนยันว่า ความบรรลุสูงสุดในศาสนาพุทธ ที่พระพุทธเจ้าท่านทำไว้ เป็นทฤษฎีเป็นกฎเป็นหลัก ให้เทียบให้เคียง มีได้พิสูจน์ ผู้มีแล้วจะท้าทายให้คนอื่น มาพิสูจน์ตาม เป็นเอหิปัสสิโก จะเรียกร้องขึ้น ชี้ชวนและก็กระทำการยืนยัน ให้มาลองดูสิ สิ่งนี้เป็นสิ่งยากเหมือนกัน แต่ก็เป็นสิ่งดีสุดสูงสุด ต้องพยายามยืนยัน.
*****