ธรรมปัจจเวกขณ์ (56)
17 กันยายน 2519 ณ พุทธสถานสันติอโศก
ทราบตนแล้วว่าตัวเรานั้น มีสติอยู่พร้อมพรั่งบริบูรณ์ และเป็นไปโดยปกติ มีทิฏฐธรรมสุขวิหารอยู่ อาศัยอยู่ มีสิ่งที่รู้แท้จริงนั้น ฌานนั้นจะยังไม่ใช่ ฌานที่สูงสุดบริบูรณ์ เป็นแต่งเพียงฌานในขั้นต้น อุปจาร ซึ่งเป็นฌานมีสภาพที่กิเลสหยาบบางเบา กิเลสกลางหมดบ้าง เหลือบ้าง กิเลสอ่อนยังเหลืออยู่ กิเลสสุดท้ายยังเหลืออยู่ก็ตาม แม้แต่ฌานขนาดอย่างนั้น ก็เป็นทิฏฐธรรมสุขวิหาร ที่เราจะมีวิตกวิจาร แล้วเราจะสอดแทรกปัญญา สอดแทรกญาณเข้าไปรู้ดี เข้าไปเกิดวิตกวิจารรู้ แล้วก็เกิดปีติ แล้วก็จะเกิดสุข เกิดอุเบกขาขึ้นไป ตามลำดับๆ
เป็นการเพิ่มภูมิ ยกฐานะของผู้ที่กระทำ ในผู้ที่ได้ฌานทั้งสี่ ได้โดยไม่ยาก ได้โดยไม่ลำบากอยู่ และเป็นไปเพื่อปัญญาวิมุติ อันเป็นทิฏฐธรรมสุขวิหาร อยู่อย่างนั้นเอง ซึ่งเป็นการปฏิบัติตนอยู่โดยถูกตน ของผู้ปฏิบัติธรรมอันยิ่งแล้ว และทุกอย่างก็จะเอียงเอน จะไหลเทดำเนินไป เป็นสุขอยู่พอสมควร จะมีตบะธรรมบ้างก็เล็กน้อย เป็นไปอยู่อย่างมัชฌิมาปฏิปทา การหวังถึงที่สุด ก็เป็นอันหวังได้ ถ้าไม่ประมาทอยู่ เราก็จะมีหวังเร็ว ถ้าประมาทเมื่อใด ลดหย่อนย่อหย่อย ผู้นั้นก็ช้า ก็เป็นธรรมดา แต่ผู้ที่ทำถูกต้องลงตัวดีแล้ว โดยทิศด้วยทางที่เป็นมรรคปฏิปทา ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรวจสอบได้แม่นยำ และได้ดำเนินไปที่ถูกทางด้วย ก็ขอให้ดำเนินไป แล้วก็ช่วยกัน ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน จะพึงกระทำให้เกิดล มีสติ สัมปชัญญะ มีธัมมวิจัย มีวิริยะ ดำเนินไปๆให้เกิดปีติ ให้เกิดปัสสัทธิ เกิดสมาธิ เกิดอุเบกขาโดยธรรม แล้วก็ไม่ต้องไปกังวลอะไร จงเป็นสุขอยู่ อยู่สุขเถิด.
*****