ธรรมปัจจเวกขณ์ (58)
22 ตุลาคม 2519 ณ พุทธสถานสันติอโศก
ถ้าผู้ใดได้พยายามใช้ บุพเพนิวาสานุสติ ย้อนระลึกทบทวน ตรวจตราดูตัวเองด้วย และให้รู้ในสภาพหรือสภาวะ ที่เราได้ผ่านๆมา ชีวิตของเรา ตั้งแต่เกิดมา ไม่ต้องไปย้อนถึงชาติโน้นชาติไหน ที่มันพิสูจน์ไม่ได้จริงแท้ก็ได้ เอาที่สำคัญ เอาที่เด็ดแน่ๆ เรารู้กันในชาตินี้ ที่จำได้ด้วยสัญญาอันมั่นคงนี้แหละ ทบทวนย้อนทวนดู แล้วก็วิเคราะห์ อ่านดูว่าเราได้ผ่านชีวิตมา อย่างไรคือโลกียะ? อย่างไรคือโลกุตตระ? อย่างไรคือที่เรียกว่าโลกหลอก? เราเรียกว่า อลิกะ และเราก็หลงเป็น สุขขัลลิกะ แล้วไปติดเป็น กามสุขขัลลิกะ หรืออะไรคือ อัตตกิลมถะ? ได้ทรมานตนเกินไป ได้ลำบากเกินไป ได้ยึดถือปักมั่นเข้าไปในจิต อย่างลึกเกินไป เป็นสุดโต่งสองฝั่ง ดังที่เราพยายามแจกแจง อธิบายชี้แนะให้ฟัง ตรวจดูจริงๆ ถึงสภาวะที่เราได้หลง และได้ละคลายมาได้บ้างแล้วยัง มันคลายไป มันหน่ายไป หรือว่ามันวางไปเองก็มีอยู่ เพราะเกิดแต่กาละ เกิดแต่ความพ้นผ่านตามกำหนด ว่าเด็กจะต้องเล่นตุ๊กตา พอพ้นวาระเด็กแล้ว ไม่เล่นตุ๊กตา นั่นเป็นการผ่านโดยวาระกำหนด ไม่ใช่ว่าเราเองหมดกิเลส กิเลสมันยังมีอยู่ ถ้าเราเกิดใหม่อีก ชาติหน้าเราผ่านเด็ก เรายังไม่ลดกิเลสพวกนี้ ไม่เข้าใจในสิ่งที่หลอกล่อพวกนี้อีก เป็นเด็กในชาติหน้า มันก็ต้องไปติดสิ่งนั้นอีก การวนเวียนเป็นอยู่อย่างนี้ เป็นของธรรมดา เราจะเห็นได้ แม้แต่สมัยนี้ หรือว่าแม้แต่ชาตินี้ ถ้าเราจะได้พบได้ปะมาบ้าง คนที่แก่แล้วก็คือ เวียนกลับไปเป็นเด็กอีก ยังไม่ตายหรอก ยังไม่เกิดชาติใหม่หรอก จะเห็นได้ว่า มีอากัปกิริยาและมีความคิดนึก มีอะไรหลายๆอย่าง เหมือนเด็ก
ผู้ใดยิ่งสติเสื่อม สัมปชัญญะเสื่อม ก็ยิ่งจะกลับไปเป็นเด็กอีก คนแก่นี่แหละ ไม่ต้องไปเอาชาติหน้า จะเห็นได้ว่า มีความสำนึก และก็วนเวียนกลับ หมุนวน มันซ้ำซาก แล้วก็วนไปหาสิ่งเก่า มันก็จะวนกลับไปกลับมา อยู่อย่างนี้เป็นต้น นี่เป็นสิ่งตัวอย่าง ที่จะให้เอาไปเทียบเคียง และให้ไปวิเคราะห์ให้เห็น และก็ให้เข้าใจด้วยว่า ทุกอย่างมันเป็นวัฏฏะ เป็นความวน ถ้าเราไม่ล้างด้วยกิเลสจริงๆ เราไม่เห็นด้วยปัญญาอันชัดแจ้ง เป็นปัญญาอันยิ่ง เป็นอธิปัญญา เราจะวางปล่อยหน่ายคลาย หรือว่าเลิกละ แล้วก็ดับสูญไปอย่างแท้จริงไม่ได้ ปัญญินทรีย์ หรืออธิปัญญาอันสุดท้าย จะล้างด้วยความเห็นจริงว่า นี่เป็นเรื่องของโลก เป็นเรื่องของโลกียะ ที่มันหลอกหลอนมนุษย์ และก็พยายามครอบงำมนุษย์ไว้ ชั่วนาตาปี หรือนิรันดร
ถ้าเราไม่เรียนรู้ด้วยทางธรรมะ เป็นสัจธรรมแท้จริงแล้ว แล้วใช้ปัญญาล้างมันแล้ว เราจะละหน่ายคลายไม่ออก เพราะงั้น อะไรที่เราได้วิเคราะห์ เห็นด้วยปัญญาทั้งหมดแล้วก็ปล่อย อย่าไปหลงอย่าไปติด จงเข้าใจให้ชัดแจ้งแท้ บุพเพนิวาสานุสติดู ระลึกย้อนทบทวนดู ในวาระที่เราควรจะอยู่สงัด เมื่อเวลาใด เรามีโอกาสอยู่สงัด หรือเรียกว่า เราพยายามปลีกตนอยู่สงัด แล้วก็ให้ทบทวน ทบทวนแล้วทบทวนอีก ให้เห็นจริง อย่าปล่อยให้จิตฟุ้งซ่านไปเอง ต้องกำหนดจิตตน จะคิดก็ต้องให้รู้ มีสติสัมปชัญญะ ว่าเราจะตั้งใจทำงานวิเคราะห์วิจาร หรือวิตกวิจารในเรื่องใดๆ เราต้องเจตนาทำ เพื่อให้เกิดผลในการปฏิบัติธรรม ให้เกิดการรู้ เกิดการเห็นจริงเข้าใจจริง เราจะเกิดประโยชน์แท้ เป็นสภาพธรรมที่แท้ แล้วรู้จริงเห็นจริง ตามความเป็นจริง ที่เราได้ผ่านมา จะเกิดประโยชน์สูงสุด ต่อการปฏิบัติธรรม.
*****