ธรรมปัจจเวกขณ์ (62)
28 ตุลาคม 2519 ณ พุทธสถานสันติอโศก
เราเป็นผู้ที่จับจิตจับใจ เป็นนักเล่นจิต ก็จะต้องอ่านให้ลึกซึ้ง ไปถึงเศษที่เหลือ เรียกว่า รูปราคะ-อรูปราคะให้ชัดเจน นอกจากรูปราคะ-อรูปราคะแล้ว เสือร้ายตัวใหญ่นั่นคือ มานะ เราจะต้องพยายามพิจารณา อย่างซอกแซก อย่างรู้ลึกรู้ละเอียดจริงๆ ว่าเรายึด แม้แต่เศษจิตก็เป็นมานะ มันเศษจิตที่เหลือ เป็นอัตภาพหรือเป็นมานะ มันจะมีเชิงที่จะยึดเป็นอัตตาธิปไตย เอาตนเป็นใหญ่ ไม่ยอมปล่อยไม่ยอมวางลงไป ต้องพยายามมองให้ชัด อ่านให้เห็นจริงทีเดียวว่า เสือร้ายตัวนี้เป็นที่สุด สุดท้าย เราต้องเป็นจิตที่อยู่เหนือ จึงจะเรียกว่า อุทธัจจะ อย่างแท้จริง โดยถูกต้องด้วย
ถ้าอุทธัจจะโดยที่โมหะ หรืออุทธัจจะอย่างอวิชชา เราก็จะเป็นทาสอุทธัจจะ แต่ถ้าเราเป็นผู้ที่มีวิชชาแล้ว เราจะอยู่เหนืออุทธัจจะ จะเป็นตัวรู้ที่เหนืออุทธัจจะ มันแปลว่าตัวรู้ที่เหนือ แต่ถ้าเผื่อว่าเราเองเราไม่ฉลาด เราไม่มีวิชชา ก็ไอ้ตัวรู้นั่นแหละ มันจะอยู่เหนือเรา เราจะต้องอยู่ที่เหนือ เหนือจิตเหนือวิญญาณ เหนือธาตุรู้ โดยที่เราจะไม่ให้ธาตุรู้นั้นมันรู้ แม้มันจะรู้ดี ก็ไม่หลงยึดเอาเป็นเอาตาย เป็นอุปกิเลสตัวสุดท้าย ขั้นรูปานัง อตินิชฌายิตัตตะ ซึ่งเป็นตัวจิตที่แท้จริง ดีแล้วหละ แต่ก็ยังไม่ดี เพราะว่าเราเอง เราจะยังทำทุกข์ให้แก่ตน มันยังจะมีอาฆาตพยาบาทมาดร้าย นี่เรียกด้วยภาษาหยาบ แต่ภาษาที่ไม่หยาบนั้นคือ มันจะยังยุ่ง มันยังจะเกี่ยวข้อง มันยังจะมีปริคคโห มันยังจะฉวยเอาไว้ มันยังจะยึดเอาไว้ มันยังจะเอาเป็นเรื่องที่จะสืบต่อ เป็นสังขาริกัง เป็นเชื้อเค้าที่จะทำเรื่องราวอะไร เพราะฉะนั้น
ถ้าเผื่อว่าเราไม่วาง ไม่ปล่อยจิตจริงๆ ตัวใดที่แล้วให้รู้แล้ว ตัวใดที่เลิกให้รู้เลิก ตัวใดที่เป็นอย่างโน้นอย่างนี้ อย่าไปเอาอดีตเหล่านั้นมาถือสา โดยเราไม่รู้ได้ คนเราเลวมาทุกคน บางคนที่เราคบหากันมา แม้แต่หมู่เราเองนี่แหละ โดยเฉพาะที่เน้นเข้าไป บางคนเขาเคยเป็นอย่างนั้น แต่เราเอง ยังจำอยู่อย่างเก่าที่เขาเคยเป็น ที่จริงหนะ เขาพ้นไปตั้งนานแล้ว เขาเลิกเขาปรับปรุงตัวเองดีขึ้นแล้ว เราก็ยังจำได้อยู่ เพราะเราไม่รู้จิตรู้ใจ จิตมันเป็นของเขา เขาล้างเขาเปลี่ยนไปแล้ว เราก็ไม่รู้ แต่เรายังเอาไอ้ขี้กะโล้โท้ของเก่า ที่เขาเคยผ่านมา เขาเคยเป็นมา เอาตัวนั้นแหละ มาคิดอยู่อย่างเก่า พอจะมีเรื่องอะไร เราเอาอันนั้นมาเป็นเชื้อ แล้วก็ผสมไปเรื่อย เพราะฉะนั้น เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นมา เราจะต้องเอาอันนั้นหนะ มาปรุงเข้าไปด้วย ว่าเขาจะต้องเป็นไป เพื่อความอย่างโน้น เพื่อความอย่างนี้ ไม่ศรัทธาเลื่อมใส ไม่ยอมคิดไม่ยอมยกให้ อย่างนี้ก็เป็นอยู่ อย่าเผลอไผล
เราจะต้องพยายามดูโดยปัจจุบันธรรม โดยสัจจะต่างๆ ที่มันเป็นไปตามจริง อันใดก็แล้วแต่ เราจะต้องนึกดูให้ดี ไม่เช่นนั้น อย่างที่เราถือนั้น เราก็ถือว่าเป็นมานะด้วย เพราะว่าเราไม่ฉลาด ที่จะรู้อุปกิเลสต่างๆ เพราะฉะนั้น อุปกิเลสต่างๆ มันก็ทำให้เราถืออัตตาธิปไตย ตามความคิดของเรา โดยความคิดอันนั้น เป็นความคิดลมๆแล้งๆ ไม่ใช่สัจจะ เพราะว่าจิตของเขา ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด เราคิดถูกด้วย ถ้าจิตของเขาเป็นอย่างนั้นจริงอยู่อย่างเดิม เขาผิด ถูกแล้วตามสูตรที่เราได้พยายามวิเคราะห์ แต่โดยแท้จริง เขาไม่มีอย่างนั้น เราไม่รู้ความจริง เราไม่พยายามที่จะเอาปัจจุบันมาอ่าน เพราะเราไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง ไม่ยอมที่จะพยายามคิดค้น หรือว่ารู้เห็น หรือว่าเข้าใจให้ลึกละเอียดไป เพราะทุกอย่างเปลี่ยนไปๆ ถ้าผู้ใฝ่ดีก็จะดีขึ้นเรื่อย ถ้าผู้ใดไม่ใฝ่ดี จะเลวหนักลงยิ่งกว่าเก่า บางทีคำนวณผิดพลาด จนเขาเลวกว่าเก่าด้วยซ้ำไป ไปให้คะแนนเขาว่า เขาไม่ดีขนาดนั้นไม่พอด้วยซ้ำไป เขาเลวยิ่งกว่านั้น ด้วยซ้ำไปก็ได้ เพราะฉะนั้น มันไม่เที่ยง
จึงขอให้พยายามดูปัจจุบัน เป็นเหตุปัจจัย อย่าเอาอดีต เอาอนาคตอะไรก็ตามแต่ โดยเฉพาะอดีต เอามาเป็นหลักเที่ยง ว่ามันจะต้องยืนยงคงที่ เป็นไปอย่างเก่า ไม่มีอดีตไหนหรอกที่มันลงตัว หรือมันเป็นไปอย่างเดิมอย่างเก่าอยู่ มานะที่พวกเราล้างกันไม่ได้นี่ เพราะไม่ยอมอภัย เพราะไม่ยอมพิจารณาซ้ำซ้อนลงไปอีกว่า เขาพ้นมาจากเก่าแล้วหรือไม่ เขาทิ้งสิ่งนั้นสิ่งนี้หรือไม่ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ที่เราจะต้องไตร่ตรองกัน แล้วเราต้องพิจารณาให้ชัดเจนอีกบ้าง ไม่เช่นนั้นแล้ว เราก็จะไม่มีความสงบก็เป็นได้ เราดีขึ้น เราก็ไม่รู้ว่าดีขึ้น เราเองเป็นเรื่องกับพวกเราเอง เพราะฉะนั้น ถ้าข้างในเองมันไม่ดี มันก็เลยไม่รู้จบกันซะที ถ้าเราเองเราก็ไม่ดีขึ้นด้วย แม้เขาจะไม่ดีอยู่อย่างเก่าก็ตาม เราต้องดีขึ้น ตรงที่เราไม่ผูกไม่ยึดไม่ติด ไม่ให้เป็นอาฆาต เรียกเป็นภาษาศัพท์ที่หยาบแรงๆ ก็คือมันยังเกี่ยวยังข้อง เรายังไปเที่ยวได้ผูกพันจดจำเอา แล้วก็ยังเอาเป็นอย่างเก่าอยู่ เราต้องลด เราต้องรู้ว่าก็เขาเป็น เขาก็ต้องเป็นอย่างนี้ เขาแก้ได้ก็ดี ก็อนุโมทนา แล้วเราก็สบายไปด้วย แล้วเขาก็สบายขึ้น ถ้าเขาไม่แก้และเขาแก้ไม่ได้ มันยังเป็นอยู่อย่างเก่า มันก็เป็นที่สุดเท่านั้นเอง
เขาไม่แก้เขาไม่ไข เราต้องปล่อย ถ้าเป็นหน้าที่ของเราก็ต้องแก้ ถ้าไม่ใช่หน้าที่ของเรา เราก็ต้องวาง ไม่เช่นนั้น เราเองจะขาดทุน ไปเพ่งแต่โทษ เพ่งแต่โทษ เพ่งแต่โทษ เราเองจะเป็นผู้ขาดทุนแต่ถ่ายเดียว ต้องระวังจิตนี้ด้วย เมื่อเข้าใจมานะ หมดมานะหมดอัตภาพ ไม่มีอะไร ก็เข้าใจแต่จิตที่เกิดกับดับ เป็นอุทธัจจะจิตธรรมดา อุทธัจจะตัวนี้เป็นกลางๆ เป็นจิตที่เรารู้เท่าทัน พ้นโมหะพ้นอวิชชาอย่างแท้จริง เราก็จะอยู่เหนืออุทธัจจะจิต เป็น อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี พ้น เรียกว่าพ้น เป็นอุทธังโสโต เป็นปฏิปทาที่พ้น อกนิฏฐคามี ไปได้อย่างแท้จริง
*****