ธรรมปัจจเวกขณ์ (78)
3 ธันวาคม 2519 ณ พุทธสถานสันติอโศก
ต้องพยายามเป็นผู้เกื้อกูล เป็นผู้ที่จะรู้ประโยชน์ท่าน ด้วยประโยชน์ตนอันมีอยู่ ก็รู้ในประโยชน์ตนอันมีอยู่ ว่าเราเป็นผู้ได้ ถ้าพูดกันโดยธรรมแล้ว เราเป็นผู้กำไร เป็นผู้มีอายะยืน อายุอยู่ด้วยอายะ เป็นผู้รู้มหะ เป็นผู้รู้ความใหญ่ เป็นผู้รู้ความน้อย เป็นผู้รู้ปริมาณมากปริมาณน้อย เป็นผู้รู้สารัตถะ เพราะฉะนั้น เมื่อผู้ใดรู้ประโยชน์ตนอันมีประมาณมาก ก็ควรจะเป็นผู้ที่สำนึกรู้ด้วยว่า เราเองเราได้สบาย เราได้ความสุข เราได้สิ่งที่มันเป็นจริงโดยสัจธรรมแล้ว แล้วเราก็ควรจะให้คนอื่นได้บ้าง ถ้าแม้เราได้แล้ว เราไม่เกื้อกูลผู้อื่น ไม่ให้ผู้อื่นเห็น อย่างที่เราได้เห็น ไม่ให้ผู้อื่นได้อย่างที่เราได้ โดยธรรมะที่ให้สูงขึ้นๆ มาตามลำดับขั้นตอน เราได้แต่เฉยเมย เราได้แต่ปละปล่อย ไม่เอาธุระไม่ขวนขวาย สิ่งนั้นก็เป็นการขาดกตัญญูกตเวที เป็นสิ่งที่ไม่เกิดการสืบต่อ เกิดการขาดตอนลง ศาสนาก็ห้วนเข้า หรือธรรมะอันดี ก็นับวันจะเสื่อมสลาย มันยิ่งรู้ยาก มันยิ่งเข้าใจยาก เรายิ่งต้องขวนขวาย เรายิ่งต้องพยายามถ่ายทอด สิ่งยากนี้ไว้ให้แก่โลก ให้แก่ผู้อื่นที่จะสืบทอด ถ้าไม่เช่นนั้น มันเป็นไปไม่ได้ที่มันจะมีอยู่ มันรู้ได้มันยังเหลือเชื้อ มันยังสืบสานได้ ก็เพราะสิ่งที่เป็นจริง
มีพระอยู่จริง มีอริยะอยู่จริง มียอดปัญญาญาณอันแท้จริง สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้จนถึงขั้น แม้ในโลกนี้ยังหายาก ถ้าไม่มีเชื้อของปัจเจกพุทธเกิดขึ้นมาแล้ว มันจะไม่มีการสืบต่อ หรือจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาได้ ทุกอย่างก็วนเวียนอยู่แต่ฐานต้น เพราะฉะนั้น ปัจเจกพุทธจะเกิดขึ้นมาสืบต่อ ท่านจะมีได้ เป็นพลวปัจจัย เป็นสิ่งที่ได้สั่งสมเป็นบารมี มันจึงจะขึ้นมาสืบต่อ มาสืบต่อแล้วท่านก็จะเกิดเผยแพร่กัน พัฒนากันขึ้น มันจึงจะมีได้ เพราะฉะนั้น ปัจเจกพุทธ ที่ใหญ่ไปจนถึงปัจเจกเป็นสยัมภู เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง เป็นองค์เอก เป็นองค์ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง ยิ่งพร้อมไปด้วยพระอนุสาสนี พระอาณา พร้อมไปด้วยพระอาคม จึงจะมีเลข หรือมีการสืบสานกันอย่างแพร่หลาย มีการสืบสานกันอย่างกว้างขวางมากมาย นั่นก็เป็นสัจธรรม และแม้เราเอง เราก็จะเดินแนวเดียวกันกับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะเป็นไปโดยจริง สืบสานกัน เท่าที่เราเป็นไปได้ เมื่อมีเชื้อต่อมา เราก็สืบเชื้อนั้นตามๆกันไป ให้เป็น อปริหานิยธรรม ที่ยังมีเชื้อนั้นอยู่ สืบสานไป ศาสนาพุทธยังไม่หมด ยังมีเชื้อแม้แต่แค่รูปธรรม แม้แต่แค่ตำรา แม้แต่คำกล่าว แม้แต่หลักฐานที่ยังพอเทียบเคียง ยังไม่แปรสภาพ ยังไม่เลอะเทอะ ยังไม่พลิกกลับ จนกระทั่งกลับหัวกลับหาง กลับต้นเป็นปลาย จนกระทั่งจับไม่ติด และเราก็ไม่สามารถรู้ มันยังไม่ถึงขั้นนั้น เราสามารถรู้ได้ เราสามารถสืบสาน เราสามารถยืนยันกับหลักฐานได้ เรายังมีเชื้อของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แม้ที่สุดองค์สมณโคดม ก็ยังมีหลักฐานอ้างอิงยืนยัน เทียบเคียง เพื่อให้เราเกิดศรัทธาปสาทะ เกิดความเห็นแจ้งเห็นจริงเชื่อมั่นมีหลักฐาน เราเอง เรามีปฏิบัติลึกเข้า มีสภาวธรรมเข้ามาเทียบเคียง เราก็เห็นจริง เข้าใจชัด ยืนยันมั่นคงได้ว่า อันนี้เป็นของสัจธรรม ถ้าเราไม่สืบสานสัจธรรม ใครจะสืบสาน ถ้าเราไม่ช่วยเข็นกงล้อ พุทธจักร-ธรรมจักร-สังฆจักรนี้ไป ใครจะเข็น เพราะฉะนั้น เราจะต้องพยายาม สำนึกให้มาก เราได้ประโยชน์ตนนั้นก็ดีแล้ว และนึกให้มากว่า คนอื่นก็ควรจะได้เช่นเราได้บ้าง ถ้าเรายังมีเชื้อแห่งความเห็นแก่ตัว ไม่ทำให้ผู้อื่นได้รับด้วย ไม่พยายามขวนขวายบ้าง เราก็ได้ชื่อว่า เป็นผู้เห็นแก่ตัว เป็นผู้ตัดช่องน้อยลอดไปแต่พอตัว ซึ่งพ้นคำติติงติฉินนินทา ของสมมุติโลกเขาไม่ได้ พ้นไม่ได้ มันเป็นจริง และเป็นสัจธรรมด้วย เพราะเสพย์ติด เพราะเรายังถือตัวตน เราจะทำกรรมอะไร ก็สักแต่ว่ากรรม ออกมาไม่ได้ เราจะมีกิริยากาย ออกมาเป็นตัวอย่างเขา เราก็กลัวเมื่อย เราก็มีกิริยาวจี ออกมาให้แก่เขา เราก็กลัวเมื่อย เรากลัวเราจะได้รับการเสีย เราจะไม่กล้าเสีย เพราะเราจะกลัวเราจะได้รับการเสียไป เราจะกลัวจะได้รับการเสีย เราจะต้องเอา จะต้องเอา เอาอะไร เอาหยุด เอาเฉย เอาไม่ทำ เอาว่าง ทำตายอย่างนี้ มันก็เป็นการเห็นแก่ตัว อยู่ในตัวของมันเอง
โดยภาษา เราก็น่าจะเข้าใจได้ โดยสภาวธรรมจริง มันก็มีจริง โดยจิต จิตมันก็ติดจริง จิตมันจะติดความไม่เอา ไม่ทำ ไม่มีประโยชน์ ไม่มีค่าไม่มีราคา เราจึงเป็นผู้ไม่เข้าใจอายะ และไม่รู้แม้แต่ อายะอย่างหยาบ เอากำไรอย่างหยาบๆ มากแล้ว ก็ไม่รู้ว่า เราหลงอายะ เราหลงประโยชน์ตนมากเกินไป จนไม่รู้จักการพอดี การเป็นกลาง ให้มีประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน อันพอเหมาะพอสม เราไม่รู้ในอายะจริงๆ เพราะฉะนั้น ป่วยการกล่าวไปใยถึง ตนะ ถึงแม้แต่กำไร ที่เรากำไรเขาแม้น้อย ไม่ต้องกล่าวถึงได้ เพราะแม้แต่เรากำไรเขาตั้งใหญ่ ตั้งเห็นชัดเด่นขนาดนี้ เรายังอ่านไม่ออก รู้ไม่ได้ เรายังนึกว่า ตัวเองไม่ได้เอาเปรียบโลก ไม่ได้เอาเปรียบผู้อื่น ก็แสดงว่า เราเป็นผู้ที่ได้ ยังไม่รู้แม้แต่ อายมหะ ไม่ใช่อายตนะ เราไม่รู้แม้แต่ประโยชน์ตั้งมาก อายมหะ หรือ อายมหา แม้ประโยชน์ตั้งเป็นใหญ่ เป็นกอบเป็นกำเป็นก้อนโต แล้วเราก็ยังไม่เข้าใจ แสดงว่าเราเอง เรายังไม่มีจิตละเอียด เรายังไม่มีภูมิประณีต หรือภูมิอันสุขุม เราจะต้องรู้ในสุขุมรูปต่างๆ ที่แท้จริง แม้จะเป็นชั้นสุขุมรูป ชั้นสุขุมอรูปเลยทีเดียว เป็นอรูปที่สุขุมประณีต เราก็จะต้องเรียนรู้ และจะต้องกระทำประโยชน์ให้จริง ดังนี้ จะเป็นอนัตตาแท้ว่า ไม่มีตัวไม่มีตน ไม่มีการถือตัวถือตน ไม่มีการเหลือเศษแห่งวิญญาณ หรือจิตที่หลงเสพย์หลงติด รู้จักการงาน รู้จักกรรมเป็นที่สุด เป็นสัมมากัมมันโต ยังเป็นอาชีโว ยังมีอาชีพ หรือยังมีชีวิต ยังมีชีวะอยู่ ทั้งๆที่เราก็ไม่มีชีวะหรอก เราปรารถนาตาย หรือเราเองเป็นคนตาย แต่เราก็ยังรู้ในสมมุติว่า เรายังเป็นคนเป็น
เมื่อมันยังมีอาชีวะอยู่ อย่างเป็นกัมมันตะ เป็นผู้มีการงานที่ดีด้วยสุจริตกาย สุจริตวจี สุจริตมโน ไม่เอาเปรียบ รู้เมื่อย เมื่อยเราก็พัก ไม่รู้เมื่อยอันใดเราก็ทำได้ โดยไม่ลำบาก ทั้งๆที่บางอย่าง มันไม่ลำบากจริงๆ แต่เรายึด เราจึงไม่ทำ เคยทำด้วยซ้ำไป เป็นฆราวาสก็ง่าย ก็ดี ก็สะดวก ไม่ยาก ไม่ฝืน เพราะเราคล่องแคล่ว เราชำนาญ เราเป็นไปได้ อันนั้นเรามาประยุกต์ เรามาทำเป็นงาน ที่จะเป็นการเผยแพร่ เป็นการสืบสาน เป็นการต่อเลขของศาสนา เราก็พึงรู้ แล้วพึงกระทำให้เป็นไปด้วยดี นี่เราชื่อว่า เป็นศิษย์ตถาคต หรือเป็นพุทธบุตรที่แท้จริง ที่จะสืบสานพระพุทธศาสนา.
*****