610716_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาพาจนให้สำเร็จคุณวิเศษ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://drive.google.com/open?id=1Cvx0GOkrfAKNXWsZDweycupsy65f8SjB1B3v2aw-Wzw
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1uefTJNVkj8FAjYseHm2xUMVjf09NrucI
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก
ค่ายสัมมาอาริยมรรค เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเก่า
“เข้าพรรษาสู่โลกหน้าในโลกนี้”
ครั้งที่ 30 ณ หมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก
ศุกร์ที่ 20 – อาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม 2561
รับสมัครผู้สนใจเข้าค่าย ฟรี! (จะอยู่กี่นาทีได้)
สมัครได้ที่ อุทยานบุญนิยม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หรือ
โทรฯ คุณชญาดา 087-4437865
วันนี้มีข่าวครูขอพักชำระหนี้ ซึ่งดูจะไม่เป็นที่ยินดีของสังคม เพราะว่าครูควรเป็นตัวอย่างสำหรับเด็กในประเทศชาติ ไม่ควรทำเหมือนชักดาบ ซึ่งครูที่นี่เป็นครูที่ไม่เป็นหนี้ ที่ไม่เป็นหนี้สูงสุดคือไม่เป็นหนี้ชีวิตไม่เป็นหนี้บาป เป็นผู้ สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส) เป็นบุคคลประเสริฐเป็นบุคคลที่บริสุทธิ์ เราควรจะตั้งใจ เงี่ยโสตสดับฟังธรรมท่าน
พ่อครูว่า…อย่างที่ท่านฟ้าไทกล่าวเกริ่นแล้ว จริงๆแล้วพวกเรามีโอกาสดี ที่ได้มาฟังธรรม เด็กในประเทศไทยทั่วไป โรงเรียนทั้งหลายแหล่ มีอยู่มากมายในประเทศไทย เด็กที่อยู่กับโรงเรียนต่างๆเขาไม่มีโอกาสอย่างที่พวกเรา ที่ได้เรียนหนังสือตามหลักสูตรของกระทรวง ชั้นม. 1 ถึงม. 6 ก็มีหลักสูตรที่เราจะต้องเรียนให้ได้ตามกระทรวงกำหนด ให้สอบได้ แต่เราได้ยิ่งกว่านั้น ยิ่งกว่านักเรียนทั้งหลายในประเทศไทยที่โรงเรียนอื่นเขาไม่มี เหมือนอย่างโรงเรียนสัมมาสิกขามี คือเราได้เติมแถมเรื่องของธรรมะ พยายามมี ทั้งพี่ ป้า น้า อา ญาติธรรมต่างๆ มีทั้งสิกขมาตุ สมณะ ช่วยกันดูแลเรา อบรมคนละนิดคนละหน่อยพอสมควร กว่าจะจบม.6 เราก็ได้ไปไม่มากก็น้อย ที่เราจะได้ความรู้อย่างนี้ ยังมีการเป็นงานพาฝึกงานอีก จบออกไป 6 ปี พวกเราสามารถ จบไปแล้วไม่ต้องเรียนต่อชั้นอะไร ก็สามารถทำมาหากินจากความรู้ที่ได้จากที่นี่ มีการงานที่เป็นอาชีพได้ มีความรู้เอาไปประกอบอาชีพตัวเองได้ เลี้ยงตัวเองได้ รักษาตัวเองรอด เป็นประชากรของประเทศ ที่ไม่ต้องเป็นภาระอะไรกับสังคมเขา ไม่ต้องเป็นภาระกับรัฐบาลอะไรมากมายเลี้ยงตัวเองรอด มีส่วนเหลือส่วนเกิน เผื่อแผ่ให้แก่ผู้อื่นได้ ก่อเกิดมาเป็นคนในโลกในประเทศที่ดี ได้รับการฝึกฝนอบรมตนเองให้เป็นคนดี
ที่หลวงปู่พูดนี้ ฟังดีๆแล้วจะเข้าใจว่าพวกเรานี้ได้เปรียบ พูดชัดๆก็คือได้เปรียบกว่านักเรียนข้างนอกเขามากมาย ที่หลวงปู่เห็นชัดๆว่าพวกเรา ที่มาศึกษาฝึกฝนอยู่ที่นี่ ที่ได้เปรียบ ในจุดที่ดีมากที่สุดคือ มีความปลอดภัย คำว่าปลอดภัยมีความหมายละเอียดลึกซึ้ง
สังคมข้างนอกทุกวันนี้ไม่ปลอดภัย มีแต่ภัยสารพัด ภัยทั้งวัตถุ ภัยเป็นทั้งพฤติกรรมมนุษย์ ความประพฤติของมนุษย์ ภัยทั้งสิ่งที่มันครอบงำจิตใจ ชี้ชวนชักชวน อยู่ข้างนอกรับสัมผัสแล้วเราจะถูกมอมเมาเยอะ ทั้งสังคมสิ่งแวดล้อม
อยู่ที่นี่ ทั้งที่พากันประพฤติ มันปลอดภัยมันได้รับการหลุดพ้น ถูกจัดมาสู่ที่สะอาดบริสุทธิ์ ที่ๆไม่ต้องรับเชื้อโรคเชื้อภัยอะไรของสังคมมนุษยชาติเขา อาตมามองเห็นอย่างนี้เด็กๆที่ได้รับโอกาสมาเป็นนักเรียนที่นี่โชคดีมากๆ แต่คนไม่ค่อยเข้าใจ คนมองตื้นเขินว่า ถ้าจะเอาเด็กลูกหลานของตัวเองมาเรียนที่นี่ ก็เห็นว่าที่นี่ไม่ตรง ไม่เหมือนกับส่วนตัวข้างนอกเขากลัวว่าลูกหลานจะเข้ากับคนข้างนอกไม่ได้ จะมีชีวิตอยู่ร่วมกับคนข้างนอกเขาไม่ได้อะไรอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันไม่เป็นจริงเลย ในความระแวงอันนี้ เพราะว่าหลวงปู่ได้พยายามทำมา 20 กว่าปีแล้ว โรงเรียนเราตั้งมา เด็กเราก็จบออกไป 20 กว่ารุ่นแล้ว จนอายุ 30-40 เข้าไปแล้ว ก็ไม่เห็นว่าเขาจะอยู่กับโลกกับสังคมไม่ได้ เขาอยู่สบายด้วยซ้ำไป ถ้าไปตามตรวจสอบดูให้ดี ก็อยู่กันอย่างสบายอยู่กันอย่างเข้าใจสังคมเขา โลกเขา (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สังคมโลกเขาเป็นอย่างไร เรารู้เราเข้าใจแล้ว เราเองก็มีความเข้าใจที่เหนือกว่านั้นชัดเจนกว่านั้น อันนี้อาจจะเป็นรายละเอียดที่ไม่ค่อยรู้ตัว แต่มันได้จากที่นี่ไปจริงๆ เราจะรู้โลก อยู่ที่นี่ไม่ได้ขาดการรู้โลกหรอก เขามีเรื่องราวข่าวคราวเป็นอย่างไรพวกเราก็รู้หมด เหมือนกับคนข้างนอกเขารู้ พวกเราก็รู้ พวกเราจะถูกกันไว้บ้างในสิ่งที่ไม่ควรให้รู้ คือเรื่องเหลวแหลก เรื่องเลอะเทอะสกปรก เรื่องที่เราไม่ต้องไปแตะต้องรับรู้อะไรมัน ไม่มีประโยชน์มีแต่โทษภัย มีแต่ความเสื่อมต่ำ ป้องกันด้วยซ้ำไป อันนั้นไม่จำเป็นจะต้องรู้ ไม่ต้องไปสัมพันธ์อะไรสัมผัสอะไร ให้แปดเปื้อนเราจะโดนเชื้อโรคได้
ที่หลวงปู่ทำโรงเรียนนี้ขึ้นมา
-
ต้องการช่วยประเทศชาติ ด้วยการให้การศึกษาแก่เยาวชน เหมือนรัฐบาล ต้องมีโครงการให้การศึกษาแก่เยาวชน หลวงปู่ก็มีความคิดเช่นนั้น ให้การศึกษาแก่เยาวชน
-
จะต้องให้คุณธรรมแก่เยาวชน โตขึ้นไปจะได้เป็นคนที่มีคุณธรรม นอกจากจะให้การศึกษาตามรัฐบาลกำหนด เรื่องคุณธรรมนี้ หลวงปู่เน้นให้ได้คุณธรรม นอกจากคุณธรรมแล้วจะต้องทำงานเป็น ชีวิตทำงานไม่เป็น มันมีความรู้เก่งเยี่ยมยอด แล้วมันจะไปรู้ทำไม มีความรู้แต่ทำงานไม่เป็น ดีไม่ดีไม่มีคุณธรรมด้วย เป็นมนุษย์อยู่ในสังคมโลกที่แย่ แย่มาก
หลวงปู่จึงพยายามทำประโยชน์ อธิบายมามากมายแล้วว่า หลวงปู่เป็นลูกพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนจนกระทั่งเป็นเลือดเป็นเนื้อ อย่างที่พระพุทธเจ้าพาเป็นมา ติดตามมาไม่รู้กี่ชาติ ซึ่งก็คือชีวิตของคนซึ่งจะต้องเกิดอยู่ในจักรวาลนี้ ในกัปป์ ที่ตัวเองยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เพราะฉะนั้นเมื่อเราเป็นคนแล้ว เราก็จะต้องมีคุณสมบัติ ที่เรียกสูงขึ้นไปว่ามีคุณธรรม สูงขึ้นไปอีกเขาก็เรียกว่ามีคุณวิเศษ ศาสนาพุทธมีคุณสมบัติ มีคุณธรรม มีคุณวิเศษ ถึงขั้นคุณวิเศษ
เพราะฉะนั้นเกิดมาเป็นคนแล้ว เราได้คุณธรรม คุณสมบัติ คุณวิเศษ อันนี้สุดยอดแล้ว โดยเฉพาะสูงสุดถึงขั้นอรหันต์
เกิดมาเป็นชีวิตเป็นคนแล้ว สิ่งที่ควรจะได้ก็คือคุณสมบัติคุณธรรมคุณวิเศษ ไม่มีอย่างอื่นดีกว่านี้แล้ว คนในโลกไม่รู้ เกิดมาเป็นคนแล้วจะได้อะไรก็บอกว่าได้เงินเยอะๆ ได้ยศสูงสุด ได้มีอำนาจ ได้รับการสรรเสริญเยินยอยกย่องเชิดชู เด่นโด่ง หรือได้รับความสุขที่ตนเองหลงเสพติดในความสุข สุขเละเทะไปกับอบายมุข สุขเพราะได้เสพกาม ในเรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สัมผัสสิ่งที่ต้องตาต้องหู สุขถึงภพชาติ รูปภพ อรูปภพในจิต
สิ่งเหล่านี้พระพุทธเจ้าค้นพบแล้วเอามาให้เรียนรู้ ให้รู้เท่าทันสิ่งเหล่านี้อย่าไปหลงเป็นทาสสิ่งเหล่านี้เลยจริงๆ เป็นมนุษย์ก็เท่านี้แหละ มันงมงายแล้วตกอยู่เป็นทาสอบายมุข ทาสกามโลก รูปโลก อรูปโลก มีเท่านี้แหละ หลุดพ้นจากโลกทั้งหลายเหล่านี้ก็สบายแล้ว ซึ่งหลวงปู่ เอาอันนี้มาสอน 30-40 ปีจะ 50 ปีมาแล้ว มีคนมาเรียนรู้ตาม แล้วได้มรรคผลได้คุณธรรม ได้ฝึกฝนตนเองไป ก็หลุดพ้นจากโลกอบายมุข โลกกาม หลุดมาได้เยอะแยะ หลุดมาได้จริงๆ โลกโลกธรรม รูปโลก อรูปโลก
ผู้ที่บรรลุได้หมดจริงๆก็เป็นอรหันต์ ผู้ที่ยังไม่หมดทีเดียวเหลือภายในก็เป็นอนาคามี ผู้ที่เป็นสกิทาคามี โสดาบันก็รู้ง่ายกว่ามีเยอะ สิ่งที่ควรจะมีคนจะเป็นได้มันมีแค่นี้แหละ ซึ่งก็ขอยาวไปอีกหน่อยว่า
ที่พระพุทธเจ้าเกิดมาจนเป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็ต้องการจะช่วยคน ดีที่สุด ช่วยให้เขาพ้นความเป็นทาสทางอบายมุข ทาสโลกธรรม ทาสโลกกาม โลกรูปโลก อรูปโลก พูดคำศัพท์วิชาการ สั้นๆง่ายๆ ครบ ไม่มีอะไรดีกว่านี้เลย จะมีความรู้ทางโลกทางวิทยาศาสตร์อะไรต่างๆ มีไปเพื่อเป็นทาสโลก เพื่อรับใช้ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เสร็จแล้วก็วนเวียนในนรกสวรรค์ แย่งลาภยศสรรเสริญ ได้มาก็เป็นสุขขึ้นสวรรค์ ไม่ได้มาก็เป็นทุกข์ตกนรก อวิชชาอย่างนั้นวนเวียนแย่งกัน ใครได้มากก็สมมุติว่าตัวเองประสบความสำเร็จในชีวิต ใครไม่ได้ถูกแย่งไปก็ทุกข์ ก็แย่งสมบัติโลกธรรม ก็เป็นสมบัติผลัดกันชมแย่งกันอย่างนี้ งมงายอยู่อย่างนั้น เขาก็ไม่หลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้สิ่งเหล่านี้และเอามาประกาศว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องเล็กน้อย เรื่องลาภยศสรรเสริญ เป็นเรื่องทำความเดือดร้อนทำความทุกข์ให้แก่ตนเองและสังคม
ผู้ที่หลุดพ้นแล้วก็ไม่มีอะไรจะไปทำโทษภัยให้ใคร จะเห็นได้ว่าพวกเราไม่เป็นตัวที่จะไปทำโทษไปให้แก่สังคม ช่วยโลกไป เราไม่ไปก่อเรื่อง เราช่วยเขาลดเรื่องด้วยซ้ำไป ตามกาละอันควร นอกนั้นมีเวลาก็สอนสัจธรรมให้คนมาเป็นแบบนี้
โลกโลกียะใกล้กลียุค ใกล้โลกจะมีไฟบรรลัยกัลป์ ทางเทวนิยมก็บอกว่าน้ำจะท่วมโลก ก็คือโลกจะบรรลัยจักรกัน ไม่ใช่ว่าไฟจะไหม้โลก ไม่ใช่ว่าน้ำจะท่วมโลกอย่างนั้นหรอก
ศาสดาแต่ละองค์ก็พยายามช่วยคนให้พ้นทุกข์ แต่คำว่าทุกข์ตัวเดียวนี้ สุดยอดโลกุตระ ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปที่คนอวิชชาไม่รู้จัก จึงเรียกว่าสุดยอดหัวใจของศาสนาทุกข์คือทุกข์อริยสัจ ก็สอนให้รู้ว่าทุกข์คืออะไร ในจิตของคนที่ยึดถือว่าเป็นทุกข์ แล้วก็สอนให้หลุดพ้นจากทุกข์ให้ได้เลย ก็อยู่เป็นสุขที่สุด ดีที่สุดแล้วไม่เป็นโทษภัยอะไรกับใครอีกเลย แล้วเป็นประโยชน์ด้วย เป็นประโยชน์แก่โลก
อย่างหลวงปู่พาคนมาศึกษาประพฤติ หลวงปู่ก็ทำให้พวกเราชาวอโศกนี้เป็นอย่างนี้ มีชีวิตอยู่เป็นประชากรของโลก เป็นพลเมืองของประเทศไทย มีความประพฤติอยู่ จนกว่าจะตาย อยู่กันอย่างเป็นประโยชน์ให้แก่โลก ไม่ได้เดือดร้อนแก่ผู้บริหาร จนตาย ไม่ไปเดือดร้อนกับเขา มีแต่ช่วยเหลือเฟือฟาย ไม่ต้องการอะไรมากมาย
สังคมประเทศทุกประเทศต้องการจุดนี้ทั้งนั้นจะเรียกว่าเศรษฐศาสตร์ จะเรียกว่าการเมืองรัฐศาสตร์จะเรียกว่าสังคมศาสตร์ก็คือจุดนี้จุดหมายอย่างนี้ ให้คนอยู่อย่างอยู่เย็นเป็นสุขไม่เป็นโทษภัยแก่กันและกัน อยู่อย่างประนีประนอมสามัคคีอะลุ่มอล่วยกัน อย่างที่ในหลวงท่านทรงตรัสไว้
พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ เด็กๆก็ฟังได้ เริ่มต้นจะประกาศท่านจะบอกอย่างนี้ ฟังพระพุทธเจ้าท่านจะบอกอย่างนี้
ท่านจะบอกว่า พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลกเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรมพระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตามทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง คฤหบดี บุตรคฤหบดี หรือผู้เกิดเฉพาะในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ย่อมฟังธรรมนั้น ครั้นฟังแล้วได้ศรัทธาในพระตถาคต เมื่อได้ศรัทธาแล้ว ย่อมเห็นตระหนักว่า ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง การที่บุคคลผู้ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์ให้บริสุทธิ์ โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิต สมัยต่อมาเขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ ละเครือญาติน้อยใหญ่ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้วสำรวมระวังในพระปาติโมกข์อยู่ ถึงพร้อมด้วยมารยาทและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อยสมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ประกอบด้วยกายกรรมวจีกรรมที่เป็นกุศล มีอาชีพบริสุทธิ์ถึงพร้อมด้วยศีลคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นผู้สันโดษ.
พระพุทธเจ้าประกาศศีล สมาธิ ปัญญาในโลกมีเท่านี้ ผู้ที่ศรัทธาเลื่อมใสก็ออกมาปฏิบัติตามท่าน มาเป็นคนอย่างที่ท่านสอนมาเป็นมา อย่างนี้ดีก็มาปฏิบัติตาม มาเป็นคนไม่เป็นทาสโลก ทาสอัตตา มีความเป็นพลังงานที่พ้นจากความเป็นทาส เรียกว่าอธิปไตย รู้จักอำนาจของโลก อำนาจของอัตตา มีอำนาจธรรมะ เรียกว่าธรรมาธิปไตย อยู่เหนือโลก อยู่เหนืออัตตา
สรุป ธรรมะพุทธเจ้ามีเท่านี้ เด็กๆฟังให้ดี ไม่ได้ยากเย็นอะไรเกิน จะเข้าใจจะถึงเนื้อแท้แล้ว เข้าใจให้ได้ว่า ท่านสอนเป็นลำดับ
โลกชั้นต่างๆ โลกที่เราไปเกี่ยวข้องหมุนเวียนอยู่ ชั้นต่ำเรียกว่าอบายมุข เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมที่ต้องไปลงทุนลงแรงเสียเวลาทุนรอน คนที่มั่วการพนัน มหรสพการละเล่น หลงเรื่องอะไรต่างๆที่มันไปแย่งชิง อยู่ในโลกของการที่จะเข้าไปสู่สังคมที่แย่งชิงเงินทอง หนักๆจัดๆ ต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมหนักหัวสมองเป็นอบายมุขทั้งนั้น หรือผู้ที่คิดอ่านสร้างอำนาจครอบงำโลกและสังคมเพื่อเป็นใหญ่จะเป็นเจ้าโลก พวกนี้บ้าบออยากเป็นใหญ่ เขาไม่รู้ว่าเขาเองมีความคิดที่แย่ มันจึงหนักหนาสาหัสมาก
คำสอนพระพุทธเจ้ามีอยู่อย่างนี้ มาบอกมนุษย์ ประกาศให้มนุษย์รู้ ผู้ใดที่ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าแล้ว ก็นำมาบอกกัน
รู้อย่างดี ทำตามพระพุทธเจ้าให้ได้แล้วเอามาบอก เอามาประกาศให้คนได้รู้ คำสอนพระพุทธเจ้านี้คนเข้าใจในยุคนี้ผิดเพี้ยนว่า บรรลุธรรมพระพุทธเจ้าแล้วอย่าเอามาบอกคนอื่น บอกแล้วจะไร้ประโยชน์ เป็นการสร้างบาปเป็นต่อ ไปโน่นเลย ในโลหิจสูตร
โลหิจจพราหมณ์ มีทิฏฐิลามก ว่า “ผู้บรรลุแล้วไม่พึงบอกแก่ผู้อื่น เพราะคนอื่นจะทำอะไรแก่อีกคนหนึ่งได้ การบอกแก่คนอื่นจัดว่าเป็นความโลภที่เป็นบาป เปรียบเหมือนคนตัดเครื่องพันธนาการเก่าออกแล้ว กลับทำเครื่องพันธนาการใหม่… ฯลฯ ” .
พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ย่อมมีคติ 2 คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง
(พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 358)
พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลกเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรมพระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตามทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง
อ่านคำตรัสของพระพุทธเจ้าแล้วก็เลยเติมตัวเอง หลวงปู่เคยบอกแล้วว่าหลวงปู่คือพระอรหันต์ด้วยความซื่อสัตย์จริงใจด้วยความจริง ตอนนี้มันเลยขั้นที่ว่าบอกไม่ได้ หลวงปู่เลยข้ามขีดนั้นมาแล้วใครจะมาติดใจก็ช่างเขา คนไม่ติดใจก็ฟัง ถ้าเห็นว่าอย่างนี้ควรฟัง แต่คนที่เขาไม่ฟัง เขาตีทิ้งก็เลิกไปเลย เหมือนกับโลหิจสูตร ที่พูดถึง ว่า บรรลุธรรมแล้วมาบอกคนนี้มันผิด ไม่ควร แล้วก็แล้วจบแล้วเสียเวลาทำไม หาห่วงใส่คอทำไม พระพุทธเจ้าตรัสบริภาษภิกษุสาติว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ย่อมมีคติ 2 คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง
พูดตรงนี้ก็สังเวชใจสงสารผู้รู้ในประเทศไทย ที่ขึ้นมาแย้งอาตมาเปรี้ยงว่า รู้แล้วอย่ามาบอกใคร ใครบอกคนอื่นว่าบรรลุคือคนไม่บรรลุ พูดอย่างนี้เลย ก็เลยบอกว่าท่านองค์นี้คนนับถือกันทั่วประเทศทำไมพูดอย่างนี้ สงสารประเทศไทย เพราะเขานับถือคนผู้นี้จริงๆ ฟังแล้วก็รู้สึกสะดุดใจ เศร้าสร้อยใจ พูดด้วยโวหารนะ หลวงปู่ชาตินี้เกิดมายังไม่รู้จักว่าเศร้าโศกคืออย่างไร พูดจริงๆนะ ตั้งแต่เป็นฆราวาสจนมาบวช เขาเศร้าโศกกันเป็นยังไง
จะร้องไห้เพราะอะไรก็ยังนึกไม่ออก ร้องไห้เพราะอะไร ตอนเด็กถูกตีอาจร้องไห้ แต่ว่าโตมาแล้วไม่รู้ว่าจะร้องไห้เพราะอะไร ร้องสงสารปีติใจ ร้องไห้ อันนี้มี แต่ร้องไห้เพราะว่าเสียใจโศกเศร้าอันนี้ไม่มี ปริเทวทุกข์โทมนัสก็ไม่มีนึกไม่ออก พูดไปแล้วเหมือนคุยตัว ใหญ่โต มันเหมือนไม่ดี
หลวงปู่นี่ เกิดมาชาตินี้ เกิดมาพร้อมความจริง เอาสิ่งที่เป็นจริงเหล่านี้มาบอก บอกทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ หลวงปู่มา เป็นผู้ที่มีภูมิธรรมมาแต่ชาติก่อน แล้วจะเอาธรรมะอันนี้มาประกาศ สืบทอดธรรมะศาสนาพระพุทธเจ้า แล้วก็บอกถึงขั้นว่าเป็นหน้าที่ เป็นภาระที่รับภาระนี้มาด้วย ซึ่งถ้าผู้ใหญ่ฟังให้ดีจะเข้าใจว่า โอ้โห มันยิ่งใหญ่เหลือเกิน เหมือนผู้ที่นอนอยู่บ้านเดียวกับพุทธเจ้า ตื่นเช้ามาก็ไปทำงานตามกิจการของบ้านนี้ ซึ่งก็จริง แต่คนที่ฟังเพ่งโทษ ไม่เชื่อถือก็รับไม่ได้ แต่หากคนไม่มีอคติก็จะเข้าใจ…อ๋อ..อย่างนี้หรือ… ก็จะได้มาก ยิ่ง ไม่มีอะไรติดใจก็จะเปิดใจรับได้มาก จิตเปิดจะรับได้มาก หลวงปู่ทำงานมา 49 ปีมีแต่ตั้งใจทำหน้าที่ตั้งใจประกาศตั้งใจบอกความจริงพูด ทั้งเขียน ทั้งที่จะสื่อสารต่างๆ
สมณะฟ้าไทว่า…เขาฟังว่าพ่อครูทำงานมา 40 กว่าปีไม่มีเรื่องมัวหมองในโลกีย์ มีแต่เรื่องการทำงานให้แก่สังคมทั้งนั้น
พ่อครูว่า…การทำงานให้แก่สังคมก็เป็นแบบอย่างที่ดี เช่น ไปประท้วง ผู้บริหารที่ไม่ดีก็ไปพูดไปอธิบายให้เห็นความไม่ดี
สมณะฟ้าไทว่า…ของคนอื่นถ้าประกาศอย่างนี้ ถ้าไม่จริงจะมีเรื่องราวอะไรตามหลังมาที่ไม่ดีมากมายแต่พ่อครูไม่มี
พ่อครูว่า…หลวงปู่ไม่เหมือนกับพระองค์ไหนอื่นๆ แม้แต่จะไปเสียเวลาสวดมนต์อ้อนวอนก็ไม่มี จะสวดก็เป็นเรื่อง พาทำ ก่อนเทศน์ก็สวดมนต์นำนิดหน่อย หรือเวลารวมตัวกันก็เอาคำประนามคาถาสรรเสริญพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มาสวดบ้าง แต่จะเอาธรรมะธรรมบทของพระพุทธเจ้ามาสวดพร้อมกันนั้น มันเป็นอาบัติมันผิด พระพุทธเจ้าท่านห้ามไว้ พูดไปอย่างนี้เขาก็ฟังไม่รู้เรื่องแล้ว
เขาบอกว่าศาสนาพุทธต้องเอาหัวใจอภิธรรมมาสวดกัน เป็นล้านจบ อะไรอย่างนี้ ไม่รู้จะพูดอย่างไรเพราะว่าเข้าใจผิดกันไปไหนต่อไหน กู่ไม่กลับ
สวดจำได้แล้ว ก็เพื่อมาใช้งานใช้ประโยชน์ ไม่ใช่สวดเพื่อก่อสร้างให้หลงความขลัง หนักเข้าก็สวดเพื่อหาเงิน พูดถึงตรงนี้แล้วจุก มันก็เลย ชีวิตถ้าสวดมนต์เจ็ดตำนานสิบสองตำนานไม่ได้อยู่ไม่รอดนะ เป็นพระไม่รอด หากินไม่ได้ มันเลยกลายเป็นอย่างนั้นฟังแล้วน่าเศร้าจริงๆเลย ศาสนาพุทธนี้
ศาสนาพุทธมี ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นทั้งเบื้องต้นและที่สุด เรียกว่าไตรสิกขาอยู่ตรงนี้ ฟังดีๆ อธิบายให้เด็กๆฟัง ต่อไปจะตอบปัญหา
SMS วันที่ 13 กค. 2561 (พ่อครู : ราชธานีอโศก)
_8130ดิฉันติดตามฟังธรรมพ่อครูตั้งแต่สมัยชุมนุมจนถึงปัจจุบันนี้ฟังเป็นประจำและดูรีรันช้ำ จึงไม่เถียงไม่ถามฟังธรรมอย่างเดียว สมณะฟ้าไทบอกว่าถ้าใครฟังอยู่ทางบ้านควรแจ้งให้รู้บ้าง ดิฉันจึงส่งSMS มา เป็นกำลังใจ จากปิ่นทองอโศก จ.เพชรบุรี
_คนที่เคยได้ทำงานร่วมกัน แม้จะต่างศาสนากัน ในอดีตเคยมีภพชาติร่วมกันไหม
พ่อครูว่า…ตอบตายตัวคงไม่ได้ สังคมโลกคงไม่ได้ปิดกั้น นอกจากบางศาสนาที่เคร่งครัด บอกว่า นับถือศาสนานี้แล้วอย่าไปคบกับคนศาสนาอื่นเลย มันจะมีไหม ไม่ว่าศาสนาไหนก็ไม่เคยเห็นจะห้าม เป็นแต่เพียงลึกๆหน่อย อย่าไปคลุกคลีอย่าไปคบกับนักบวช ศาสนาที่ถือตัวหน่อยก็บอกว่าอย่านะ ไม่ให้มาใกล้นักบวช เพราะถือว่าเป็นตัวแทนศาสนา แต่ฆราวาสนี้คบกันไปได้ ไม่มีปัญหาอะไร
_บ้านเล็กเมืองน้อย…กราบนมัสการ พ่อท่าน ด้วยความเคารพอย่างสูง
ความเมตตาของพระโพธิสัตว์ที่ควรปฏิบัติตาม
“….Great Pretender ไม่ว่าจะเป็นยันตระ ทักษิณ แม้แต่ธัมมชโย หรือไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม
แม้จะเสแสร้ง ดราม่าอย่างไร แต่ถ้าเขาแสดงความจริงความรู้ที่สัมผัสได้ออกมา ณ ปัจจุบัน มันก็ต้องชื่นชม แม้จะเพียงแว่บเดียว….”
พ่อท่านได้เทศน์ไว้ เมื่อวันพุธที่ ๑๑ กค.
ฟังแล้วเกิดความประทับใจเป็นอย่างมาก จึงกราบขออนุญาตขยายความเพิ่มดังนี้
ในโลกโลกีย์สามานย์อย่างทุนนิยม ย่อมจะเต็มไปด้วยนักฉวยโอกาส หลอกลวง และฉ้อฉลเป็นธรรมดา
จึงเป็นเรื่องน่าทึ่งอย่างมาก เมื่อมีผู้ไม่แคร์ว่า จะถูกสังคมเข้าใจผิด
ขอเพียงแลกมาซึ่งโอกาสให้แก่คนไม่ดี ได้พัฒนาตนเป็นผู้ที่เจริญขึ้น
ไม่แคร์แม้กระทั่งถูกหาว่า เป็นคนโง่เง่า ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ที่เจ็บแล้วไม่จำก็ตาม
แต่แท้ที่จริงแล้วคือยอดคน ผู้ไม่กลัวถูกหลอก ไม่กลัวเสียหน้า ที่ความสูงส่งของเมตตา หาค่าวัดไม่ได้
แสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณอันสุดประเสริญ ของโพธิสัตว์ผู้เจริญยิ่งด้วยเมตตา
ที่มองแต่ปัจจุบัน ไม่สนอดีต ไม่ปรุงอนาคต จึงไร้อคติไม่เพ่งโทษ ให้โอกาสเสมอแก่ผู้กลับใจ
ไม่ว่าด้วยเหตุผลกลใด ที่ทำชั่ว ทำผิดพลาด ถ้ามีการปรับปรุงแก้ไขจนเห็นเป็นประจักษ์ชัด
ย่อมได้รับโอกาสจากท่านอีกครั้งเสมอ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่มีลำเอียง
มหาพลังเย็นแห่งเมตตา ที่โอบอุ้มโลกไว้นี้ เป็นทั้งแบบอย่างที่งดงาม และเป็นทั้งแรงบันดาลใจชั้นยอดให้แก่ผู้คน
เปรียบเหมือนแม่พิมพ์ที่ประทับลงสู่จิตวิญญาณ จนเกิดแรงดลใจ ที่ต้องการจะยกระดับจิตใจตน ให้เพิ่มอธิศีล เติมความเมตตาลงสู่จิต ให้มากขึ้นเป็นลำดับ
วิธีคิดที่อยู่กับความจริงในปัจจุบันของท่าน สมควรอย่างยิ่งที่จะนำมาปฏิบัติตาม
เพื่อพัฒนาตนให้มีจิตใจที่เมตตาต่อผู้อื่น ในทุกปัจจุบันขณะ โดยปราศจากการปรุงแต่งใดๆ
” ด้วยความไม่กลัวจะเสีย จึงมีแต่ได้ และได้ยิ่งขึ้น ”
คิดแบบท่าน ทำให้ไม่ข่มเหงกันด้วยสัญญาในอดีต…. ไม่คาดโทษเพราะปรุงอนาคต…. ไม่เพ่งโทษเพราะต่างจริต…. ไม่อคติที่ไม่ถูกชะตา….
เลิกยกตนข่มท่าน หันมาเคารพซึ่งกันและกัน ยอมลด ego แล้วสลายอัตตา อ่อนน้อมถ่อมตนเข้าไว้ อะลุ่มอล่วยเข้าว่า มีเมตตาต่อกันและกันเสมอ
พ่อครูว่า…อาตมาประกาศว่าไม่มีตัวตนแล้วเขาก็หาว่าอาตมายกตนข่มท่าน ฟังแล้วมันก็ขัดกันนะ 1.เขาไม่เชื่อว่าอาตมาหมดตัวตน เขาบอกว่าอาตมามีตัวตนเบ้ง ไปยกตนข่มไปทั่ว
เริ่มต้นด้วยมีเมตตาต่อผู้ที่ยังเข้าใจผิดอยู่ เมตตาต่อผู้ที่เห็นต่าง ต่อผู้มีเหตุผลที่ขัดแย้ง ต่อผู้ที่ติติงห้ามปรามแรงๆ
ต่อผู้อ่อนด้อยที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ต่อผู้ที่ช้ากว่าตามไม่ทัน ผู้ที่ยังคิดไม่ได้ ต่อผู้มีความยึดที่เหนียวแน่นกว่า
เมตตาแม้กระทั่ง ผู้ที่ยังต้องการเอาชนะคะคาน ที่เห็นแก่ตัวเองเป็นใหญ่ ต่อคนขี้อิจฉา มากริษยา ต่อวิญญาณที่ยังเสพโลกธรรมไม่รู้จบ…..
เมตตามากๆ จนทลายกำแพงแห่งความมิจฉา ทำให้เขาเหล่านั้นเกิดความละอายใจ ปัดเป่าเมฆดำแห่งอวิชาให้พ้นไป
ผลักดันความละอายใจ ให้เปลี่ยนเป็น ความตั้งใจอย่างแรงกล้า ที่จะไม่ทำผิดพลาด ทำเลว ทำชั่ว ซ้ำอีก
เพิ่มความสังวรในศีล จนมีภูมิรู้มากพอที่จะแสดงเมตตาจิตกลับคืนแก่ผู้อื่นได้บ้าง ไม่มากก็น้อย
สันติธรรมจึงจะเกิดแก่มวลมนุษยชาติได้อย่างแท้จริง
พ่อครูว่า…มีเรื่อง ครน. หรม. คนนี้เขียนมาลึกซึ้ง แต่ยังไม่พูดตอนนี้ มาพูดกันส่วนตัวดีกว่า อาตมาเอาภาษามาใช้แทนสภาวะทางธรรม ครน.หรม. ทางนี้ ก็เอาคณิตศาสตร์มายืนดู อาตมาก็หัวหมุน
ต่อไป ตอบปัญหาเด็กนักเรียน
_หลวงปู่คิดยังไงคะ ที่จะสร้างที่นี่ขึ้น หลวงปู่คิดว่าหลวงปู่จะอยู่อีกกี่ปี
พ่อครูว่า…ดีนะถามมาดี ที่หลวงปู่สร้างที่นี่ขึ้นก็คิดจะให้เป็นแผ่นดินพุทธ ขึ้นป้าย ตัวหนังสือบนหลังคา จะสร้างให้เป็นแผ่นดินพุทธ จะประกอบไปด้วยอะไร ประกอบไปด้วย เสนาสนะ บุคคล อาหาร ธรรมะ
จะสร้างให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ มีเสนาสนะหมายถึงมีสิ่งแวดล้อม ที่ดิน มีอาคาร มีสิ่งแวดล้อม มีต้นหมากรากไม้ ภูเขาลำธาร สิ่งประกอบเป็นนิเวศวิทยาทั้งหมดเรียกว่าสถานที่ สัปปายะ ให้น่าอยู่ อยู่ได้ดี ตั้งใจอย่างนี้
บุคคล จะให้บุคคลมาอยู่ที่นี่ เป็นบุคคลที่มาพัฒนาตัวเอง อยู่กันอย่างอยู่เย็นเป็นสุข มีความเจริญเป็นผู้ประเสริฐ จนกระทั่งเป็นอรหันต์ได้นั่นแหละ
เครื่องอาศัยคืออาหารตั้งแต่ กวฬิงการาหาร คืออาหารคำข้าว เลี้ยงตัวเองให้ดี ไม่มีพิษภัยมีประโยชน์คุณค่า กินแล้วสุขภาพดีมีชีวิตเจริญไม่เจ็บป่วย มีอายุยืนยาว เราก็สร้างขึ้นมาให้อาศัยกัน
ผัสสาหาร มีการอยู่ร่วมกันแล้วมีผัสสะ กระทบกันไปกันมาจะมีสิ่งที่ควรศึกษาให้รู้ ผัสสะ จะมีการรู้ ผัสสาหาร มีเวทนา 3 มี ทุกข์ สุข ไม่สุขไม่ทุกข์
คนมาอยู่ที่นี่มีอาการ เกิดสัมผัสแล้วเกิดสุขทุกข์ ก็มาสอนให้รู้สึกทุกข์ให้ชัดเจน จนกระทั่งอยู่เหนือสุขเหนือทุกข์ เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขา
มีมโนสัญเจตนาหาร เจตนา มีกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ให้รู้เท่าทันอาหารเหล่านี้แล้วเลิกการเป็นทาส กาม ทาสภพ จนเป็นวิภวภพ
มีวิญญาณาหารคือ ธรรมะ 2 มีรูปกับนาม
มีสถานที่ที่น่าอยู่ มีบุคคลที่อยู่กันอย่างอบอุ่นมีประโยชน์แก่กันและกันมีอาหารให้อาศัย มีผัสสาหาร แล้วมี เจตนา ไม่ทำเจตนาที่มีทุกข์ภัย ล้างเหตุที่ทำทุกข์ภัยให้หมด ด้วยวิญญาณาหาร คือธรรมะ 2
ธรรมะก็มีธรรมะ โลกียธรรม โลกุตรธรรม อย่างที่หลวงปู่พาทำ
สร้างที่นี่ขึ้นเพื่ออันนี้
_หลวงปู่คิดว่าหลวงปู่จะอยู่อีกกี่ปีคะ
พ่อครูว่า…ปีนี้ 84 หลวงปู่จะอยู่ 151 ปีลองลบตัวเลขดู หลวงปู่จะอยู่อีก 67 ปี ถึงไม่ถึงไม่รู้แต่จะอยู่ให้ตามเจตนา ตามผลที่คิดว่าควรจะได้ ก็ 151 ปี
_หลวงปู่รู้ไหมครับว่า…ใครเป็นคนเรียบเรียงพระไตรปิฎกครับ
พ่อครูว่า…ตอบ พระมหากัสสปะ เป็นผู้ทำสังคายนาเรียบเรียงไว้ โดยที่พระมหากัสสปะเป็นประธานมีพระอรหันต์ 500 รูปร่วมสังคายนา แล้วก็ท่องจำกันต่อมา
_แล้วทำอย่างไร จึงจะสลัด ความง่วงตอนพึ่งตื่นนอนครับ
พ่อครูว่า…หลวงปู่ปฏิบัติมาจนกระทั่งจับตัวที่มันพาให้ง่วงได้ ตัวที่ทำความง่วงนี้ มันชื่อว่าความงัวเงีย จับอาการงัวเงียให้ได้ แล้วฆ่ามันให้ได้
อาการความงัวเงีย พอตื่นนอนขึ้นมาจะมีอาการนี้ อย่าให้มันเกิดในจิต อาการตัวนี้ หลวงปู่จับอาการนี้ได้จริงๆแล้วทำให้ดี สลัดอาการนี้ที่อยู่ในใจ ออกไป สลัดทิ้งไปเลยมันจะใส สติจัดเต็มแล้วก็จะสว่าง ความงัวเงียนี้ให้ออกไป จับความงัวเงียให้ได้แล้ว ดีด ความงัวเงียเอาไปจากใจเรา ปึ๊งเลย สติสว่างแจ่มใสสบาย จริงๆนะอ่านอาการงัวเงียนี้ให้ออก
อาตมามีเพื่อนที่บอกว่า เสียดายความงัวเงีย ไม่อยากให้หาย พยายามรักษาอาการนี้ไม่ให้หาย ตอนเดินไปปัสสาวะ เราก็เห็นชัดว่า เจ้านี่เป็นทาสความงัวเงีย มันติดรสความงัวเงีย อันนี้มันหลอกเรา เด็กๆรู้ตัวไหม นั่นล่ะ ถ้าเรารู้สึกว่าตอนตื่นนอนมีอาการงัวเงีย เราก็บอกว่ามันเป็นผีร้ายอย่าให้มันมี ดีดออก จบเลย หาย ทำจริงๆ ฝึกจริงๆแล้วหายจริงๆ ประคองไว้ก็โง่ตาย ไปชอบมัน มันเป็นสวรรค์เก๊ เวทนาเก๊
หลับคือหลับ ตื่นคือตื่นสว่าง เปลี่ยนภพที่เราไม่ใช่ทวาร 5 ไปอยู่ในทวารใน ออกมาก็สู่ทวาร 5 รู้ครบทวาร 6 เท่านี้เอง ตื่นกับหลับมันก็มีสองภพ ไม่มีอะไรไม่มีงัวเงีย หากงัวเงียอยู่เป็นทุกข์ เป็นสวรรค์เก๊ ได้ก็มีสุขไม่ได้ก็มีทุกข์ ไปแก้ไขอาการที่ว่านี้ให้ได้
สลัดอันนี้ออกนะ
_ทำอย่างไรเราถึงจะไม่หวั่นไหวง่ายๆครับ
พ่อครูว่า…คนที่จิตไม่หวั่นไหว คือ คนที่มีจิตที่ได้สร้างจิตให้รู้เท่าทันโลก แล้วก็อยู่เหนือโลกแล้วก็สร้างความอยู่เหนือโลกให้เป็น อเนญชา เป็นความไม่หวั่นไหวต่อโลกแม้จะมากระแทกกระทุ้งอย่างไร นี่ตอบเป็นวิชาการ
-
ฝึกให้รู้จักกิเลสแล้วฆ่ากิเลสเรียกว่า ปุญญาภิสังขาร
-
ฆ่ากิเลสหมดก็เรียกว่า อุปญญาภิสังขาร ก็คือ คนปรุงแต่งจิต จะสังขารโดยไม่ต้องฆ่ากิเลส เพราะกิเลสไม่มีให้ฆ่า บาปไม่มีให้ฆ่า บุญก็ไม่ต้องใช้ก็เป็นคนที่สังขาร ว่างๆ เปล่าๆ เรียกว่าเนกขัมมสิตอุเบกขา คนนี้ทำเวทนาเป็นกลาง ปรุงแต่งก็เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขา
แล้วอุเบกขา เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อล้างกิเลสออกเรียกว่าเนกขัมมะได้หมดแล้วไปสู่ความเป็นอุเบกขา กิเลสไม่มีแล้ว ความรู้สึกที่เป็นเวทนา เนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา
จึงเอาอุเบกขามาสร้างที่จิตตน เมื่อมีผัสสะมากระทบ ก็ทำได้อุเบกขาให้ได้ต่อเนื่องเรียกว่า อเนญชาภิสังขาร ทำให้มันไม่หวั่นไหว
ไม่หวั่นไหวต่ออะไรทั้งนั้นในโลกที่มากระทบสัมผัส ทุกปัจจุบันที่เราทำให้ไม่หวั่นไหวได้ ไม่มีช่องว่างในทุกปัจจุบันคนนี้ก็ อเนญชา เป็นพระอรหันต์แน่นอน คนนี้เป็นคนที่เป็นอรหันต์เลย
ทำจนกว่าจะได้ที่อธิบายนั้นอาจยาก เป็นวิชาการของพระอรหันต์นะ
ไม่มีคำอื่นจะอธิบาย จะตอบแบบโลกธรรมดาไม่หวั่นไหวอย่างสะกดจิต สู้มัน มันจะเป็นอย่างไร ก็ทำกำแพงจิตเราให้เข้มแข็ง สู้กับมันอย่าอะไรกระทบอย่าให้หวั่นไหวก็เป็นวิธีอย่างโลกียะเขาสอนกันเท่านั้นเอง ซึ่งมันไม่หายหรอก มันทำได้สร้างกำแพงมาสู้ แล้วมันก็ไม่เที่ยงสักวันมันก็เมื่อยมันก็เสื่อม แต่ถ้าอย่างนี้ได้นิรันดร
_การอ่านใจตัวเอง ผมก็พออ่านออกครับ บางเหตุการณ์ว่ารู้สึกอย่างไรแต่ยังหาความคิดที่จะอยากจะแก้อาการจิตไม่ได้ครับ
พ่อครูว่า…มันต้องอ่านออกสิ เวลาใจเรารู้สึกว่าสนุกเราอ่านออกไหม ใจเรารู้สึกว่าไม่สนุกเศร้าหมองอ่านออกไหม ใจเรารู้สึกว่า ออกกำลังอร่อยอ่านออกไหม กำลังกินอะไร อันนี้มีลำไย มีส้มโอ บนโต๊ะนี้ การจะแก้อาการจิตนั้นไม่ง่าย มันยากพอสมควรก็ค่อยๆเป็นไป เรียนรู้กันไปแล้วจะค่อยๆเข้าใจ อยู่ที่นี่เรียนรู้อันนี้ไม่ต้องห่วง
_ถ้าเรามีจิตที่ไม่ดี รู้สึกโมโห หนูจะทำอย่างไรคะ จะแก้ข้อบกพร่องตรงนี้อย่างไร
พ่อครูว่า…หลวงปู่เคยบอกสอน โมโห แปลว่าเรามีความโลภ มาจากโมหะ แต่ภาษาไทยใช้แทนความโกรธ เปลี่ยนภาษาที่ผิดเพี้ยนไปแล้วก็เอาตามความหมายนี้ก็แล้วกัน เมื่อเราเกิดอาการโกรธเกิดขึ้นที่จิต ไม่ต้องคิดอะไรเลย อาการนั้น ยกยวงออกไปข้างเดียวเลยไม่ต้องมีค่าในใจเรา เหมือนความงัวเงีย มีแต่โทษ มันจะพาเราทำไม่ดีไม่งามทำความชั่วจึงไม่ต้องไปวิเคราะห์วิจารณ์อะไรเลย อาการนี้เกิดในจิตแล้วมันดีหรือไม่ เอาไว้ ไม่ควรเอาออก ให้คนเอาออกอย่างแรงเลย ใช้ภาษาอังกฤษว่า Kick it out ดีดมันออกไปได้เลย
จะออกไปอย่างไรก็ต้องฝึก ไม่ต้องมีเหตุผลอะไรที่จะต้องเลี้ยงมันไว้ในจิต
_เวลา ทำไมถึงรู้ว่าตอนนี้เวลาเท่าไหร่ ตั้งแต่สมัยไอน์สไตน์ตอนนั้นมีเวลาหรือเปล่าคะ และประเทศอังกฤษลอนดอนเอาเวลามาจากไหน เขารู้ได้อย่างไรว่า 1 นาทีต้องใช้ 60 วินาที
พ่อครูว่า…เวลามันไม่มีอะไรหรอกคนมาจับเวลาเอง เวลามันก็อยู่กับโลกหมุนไปเช้าสายบ่ายเย็นเท่านั้นเอง แด่คนพยายามมาตั้ง เกณฑ์ มันยาวเท่านี้ก็แบ่งเรียกชั่วโมง วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมงแบ่งประมาณนี้ แล้วก็ตั้งตัวเลข ทำไมถึงรู้ว่าตอนนี้เวลาเท่าใด ก็มาตั้งกันแบบนี้เป็นที่รับรู้กันทั่วโลก อยู่ตรงไหน จากพระอาทิตย์กับโลกมันส่องแสงมาหากัน เขาก็จับ ความเป็นปกติของการเวลาที่มันหมุนเวียนตลอด มันมีทศนิยมที่ต่างกันไปบ้าง เขาก็ทดไว้ แล้วประมาณเอาเป็นชั่วโมงนาทีวินาที ถึงเรียกอันนี้ว่านาฬิกา บอกเวลา
คนตั้งหลักเกณฑ์เวลาคือใครก็ไม่รู้ ก็ตั้งหลักเกณฑ์จากพระอาทิตย์กับโลก แต่จะรู้ไปทำไม เขาทำมาให้ก็ใช้ไปเถอะเป็นประโยชน์
_การด่าคนในใจ กับต่อหน้า ด่าแบบไหนบาปกว่ากันคะ
พ่อครูว่า..บาปทั้งคู่ มันมีแรงเบา โกรธแค้นเคืองหนักมิติหลายมิติ จะมากหรือน้อยก็บาปก็แล้วกัน อย่าไปทำ ไม่ดี รู้ดีๆนะ อย่าไปด่าใคร ตำหนินี้ไม่ใช่ด่า ด่าคือจิตโกรธ แต่ถ้าตำหนิแรง ดังตำหนิหนัก ตำหนิถูกหน้าเลย โดยจิตไม่มีความโกรธ โลภ มีแต่ความปรารถนาดี ให้เขารู้ว่าจะได้แก้ไข เพราะฉะนั้นคำว่าด่า อธิบายนิยามให้ฟังแล้ว อย่าโกรธแต่ตำหนิได้ จะไปตำหนิเขาทำไม แล้วตำหนิในใจด้วย ที่ว่าด่านี้ ก็ไม่มีอารมณ์โกรธ ถ้าเราไม่มีอารมณ์โกรธอารมณ์รักอะไรแล้วมีแต่ความจริงใจปรารถนาดี เราก็ตำหนิเขาในใจ ตำหนิเขาในใจเขาได้ยินไหมล่ะ ตำหนิให้เสียพลังงานไปทำไม เพราะเขาก็ไม่รู้เรื่องรู้ตัว เราก็ไปตำหนิเขาเฉยๆ เหมือนหลวงปู่นี่ตำหนิพูดออกมาแรงและดังเลย ตำหนิในใจเสียพลังงานทำไม
เราตำหนิคนในใจไหม เราก็รู้แล้วผ่านเท่านั้น เรารู้แล้วว่าคนนี้มีข้อด้อยอย่างไรก็ผ่านในใจ ก็จำไว้ ถึงเวลาเราจะได้พูดได้บอก คนนี้ นึกออกว่าคนนี้น่าตำหนิ แล้วก็จำไว้ ถึงเวลาก็จะพูด แต่ถ้าไปตำหนิในใจมันก็ไม่ได้ประโยชน์ไม่ได้อะไร ก็ไม่ได้ตำหนิ รู้ว่าคนนี้บกพร่องอย่างนี้ ในใจเรากำหนดไว้ เมื่อถึงเวลาควรจะบอกเขาก็บอก บอกตรงๆไม่ได้ก็ฝากผ่านไปให้
_ทำไมต้องมาจนหรือคะ
พ่อครูว่า…การมาจนเป็นการมาทำดี คนที่ทำตัวเองให้จนได้แล้วก็เป็นความสุข เป็นคนจนที่มีความสุข เป็นคนจนที่มีประโยชน์ เป็นคนจนที่มีคุณค่า มีสิ่งที่ดีสิ่งที่ประเสริฐ เป็นคนจนที่อุดมสมบูรณ์ เป็นคนจนที่ไม่บกพร่องอะไรเลย เป็นคนจนที่ขยันหมั่นเพียร รู้จักงานที่ควรทำก็ทำ รู้จักพักรู้จักเพียร เป็นคนจนที่ยอดเยี่ยม แล้วทำไมต้องมาเป็นคนจน เพราะในสังคมนี้คนแย่งกันรวย แล้วไปแย่งเขาทำไม มาจนนี่ไม่ต้องแย่งใช่ไหม เมื่อย ดีไม่ดีตีกันด้วย
หลวงปู่จึงพาคนให้มาจนไม่ต้องไปแย่งเขา ถึงได้สบาย เพราะเราเป็นคนจนที่ประเสริฐเป็นคนจนที่ดี เป็นคนจนมหัศจรรย์ เป็นคนจนขยันหมั่นเพียร รู้จักการงานที่ควรทำอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ อะไรไม่ควรทำอย่าไปเสียเวลา คนทำก็ทำก็เลยมีแต่คนดีมีแต่ผลประโยชน์ที่จะได้อาศัยเกิดขึ้นทั้งนั้น แล้วไม่เป็นพิษภัยต่อสังคม ไม่เป็นพิษภัยต่อประเทศ ไม่เป็นพิษภัยต่อโลกด้วย ถึงยิ่งใหญ่ มาเป็นคนจนนี้ยิ่งใหญ่ เป็นคนรวยนี้ชั่ว พอคนรวยนี้ไปแย่งเขา เก็บกักตุนเอาเปรียบเอารัดเขาจึงได้รวย ที่พูดความจริงพูดสัจธรรมไม่ได้ไปด่าใคร หลวงปู่เข้าใจเช่นนี้จึงไม่ไปร่ำรวย แต่ก่อนหลวงปู่ก็หลง เกิดมาโลกก็ครอบงำให้ไปหาความร่ำรวย สะสมอยู่พักหนึ่ง ก็พอทำมาหาได้อยู่ ไม่ได้ด้อยกว่าเขาเท่าไหร่ เราไม่ได้มีศักดิ์ศรีสูงอะไร ก็หาเงินได้มากพอ ขนาดตอนอายุ 20 30 หลวงปู่หาเงินได้ในยุคโน้น 50 กว่าปีที่แล้ว หลวงปู่อายุ 20 กว่า 30 หาเงินได้เดือนนึง 20000 นายกรัฐมนตรีเงินเดือน 8500 ก็ไม่ได้ด้อย ทำด้วยสุจริตเพราะหลวงปู่ขยันทำมาหากิน สอนหนังสือหลายโรงเรียน ทำงานเหน็ดเหนื่อย หาเงินซอกๆๆๆ หลวงปู่หาเงินมา ไม่ค่อยได้ใช้แต่เลี้ยงน้อง 6 คน หลวงปู่เลี้ยงน้องนี้ยากกว่าเลี้ยงลูกนะ ก็ตั้งแต่เรียนไม่จบก็หาเงินส่งตัวเองเลี้ยงน้องอยู่ ทำงานหนัก ไปอยู่ในโลกมีวิบากทำงานอยู่ 12 ปี เมื่อย ตั้งแต่วันนั้นมาถึงวันนี้ไม่เอาแบบนั้น มาเป็นคนจน แล้วมาฟื้นฟูภูมิเก่าพระพุทธเจ้าสอนเราอย่างนี้เอง พระพุทธเจ้าสอนให้เรามีวรรณะ 9 ให้เป็นคนจน
วรรณะก็คือ the classes ไม่ใช่ The masses ซึ่ง the classes คือคนชั้นสูง ไม่ใช่แบบไฮโซนะ แต่เป็นคนชั้นสูงที่มีหลัก 9 หลัก
วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
หลวงปู่ถ้าให้คนเป็นคนแบบนี้หลวงปู่ประสบความสำเร็จแล้ว แม้แต่ว่าหลวงปู่จะถูกพุทธกระแสหลักต่อต้านอย่างไรก็ทำได้สำเร็จ
ยืนยัน ตราบใดยังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบโลกไม่ว่างจากพระอรหันต์ หรือ ผู้ใดพบผู้ที่พาทำ พบ สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)
หลวงปู่สอนให้รู้โลกนี้ ที่หมุนเวียนอยู่กับสุขทุกข์ ไปสู่โลกหน้าที่ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ หรือมีลดลงเรื่อยๆ ผู้ใดที่บรรลุมากขึ้นวันหนึ่งๆก็ไม่เห็นจะทุกข์อะไร สบายๆทำงานทำการให้เป็นประโยชน์ไปเรื่อยๆ
สิ่งเหล่านี้หลวงปู่ทำงานกับมนุษย์ เกิดผล ให้คนบรรลุธรรมได้พอสมควร ทั้งๆที่ในยุคนี้เขาก็บอกกันว่าผู้บรรลุธรรมไม่มีแล้ว มนุษย์ทำไม่ได้ เขาพูดก็ถูกของเขาเพราะเขาไม่รู้เขาไม่มีทางเขาไม่เชื่อเลยว่าบรรลุได้ แต่หลวงปู่ว่ามันเป็นไปได้ถ้าพระพุทธเจ้ายังอยู่ แม้ว่าธรรมะพุทธเจ้าเขาเข้าใจผิดเพี้ยนไปแล้ว หลวงปู่ก็เอาธรรมะมาอธิบาย เอาพระไตรปิฎกมายืนยันสิ่งที่ถูกต้อง ก็มีคนเข้าใจแล้วมาทำตามจนประสบผล หลวงปู่จึงเป็นคนที่ประสบความสําเร็จในชีวิต ให้คนมีวรรณะ 9 ให้คนมาจน จนสำเร็จ เอาว่า คนที่ชื่อปรารถนา มาชื่อปรารถนาจน ได้สำเร็จ
คนที่สอนศาสนาทุกวันนี้ สอนแต่ให้คนมีภพสวรรค์มีภพชาติ เป็นวิมานไปหมด น่าสงสารศาสนาพุทธที่ได้ผิดเพี้ยนไป
_หนูอยากให้หลวงปู่เล่าชีวิตประจำวันค่ะ
พ่อครูว่า…จะรู้ไปทำไม 1. หลวงปู่ 6 โมงก็ตื่นนอน ตื่นนอนก็รู้ออกจากที่นอน ลุกจากที่นอนก็มานั่งเก้าอี้ตัวหนึ่ง นั่งเก้าอี้เขาก็เอาน้ำเยี่ยวมาให้ดื่ม จอกหนึ่ง นี่คือชีวิตประจำวัน นี่เรื่องจริงนะ แล้วก็นั่งพูดธรรมะกัน พวกเราหลายคนก็มานั่งรวมกัน หลวงปู่กว่าจะลุกก็คือปวดอึ ก็ลุกไป พอลุกไปจากเก้าอี้นี้ก็เข้าห้องทำงาน ก็มีกล้องบันทึกทั้งนั้น
หลวงปู่จะไปไหนมาไหนก็มีเครื่องบันทึกเสียงไว้หมด ไม่ได้มีความลับอะไร ขนาดเข้าไป ขี้เยี่ยวตดดังก็อัดไว้หมดตลอดเวลา แต่ยกเว้นไม่บันทึกภาพในห้องน้ำเท่านั้นเอง ส่วนเสียงนั้นบันทึกหมด ออกจากห้องน้ำก็บันทึกตลอด เพราะฉะนั้นไม่มีโอกาสทำชั่วเลย มันดีจริงๆ เกิดมาชาตินี้ มีคนระแวดระวังให้ทำชั่วไม่ได้เพราะเขาบันทึกไว้หมด ทำชั่วไม่ได้ทำชั่วโดนเลย ต่อจากนี้อีกยาว เอาแค่นี้ก่อน
พอจากเข้าส้วมแล้วก็เข้าห้องทำงาน แล้วก็มานั่งฉันข้างล่าง ไปเดิน แล้วเขาก็ให้นอน ตื่นมาก็นั่งทำงานจนกว่าจะนอนอีก
_สันติอโศกเคยโดนระเบิดใช่ไหมคะ เมื่อไหร่
พ่อครูว่า..ใช่ จำวันที่ไม่ได้ (คนบอกว่า 22 ก.พ. 2549)
_หลวงปู่เคยบวชให้นักบวชจริง แล้วโดนตำหนิว่าให้ผู้หญิงเดินตามหลังแล้วใส่จีวรสีเหมือนพระมันไม่สมควรแล้วหลวงปู่จัดการอย่างไรคะ
พ่อครูว่า…ไม่ได้ห่มจีวร ห่มเหมือนแม่ชีมีเสื้อแขนกระบอก แต่ย้อมสีกรัก ไม่อยากใช้สีขาวเหมือนแม่ชี ชุดเดียวกับแม่ชีเลย มีเสื้อแขนกระบอกมีเสื้อคอกลม มีผ้าสไบ เมื่อเขาท้วงก็เปลี่ยนเลย เอาสีเทามาคลุม ชุดเหมือนกันเท่านั้นเอง ตอนหลัง ออกแบบเป็นเสื้อคลุมหมดเลย เหมือนพระจีน ผ้าสีน้ำตาลห่มสไบสีเทา เขาจะว่าอย่างไร ก็ไม่เป็นไรหลวงปู่มีความจริงใจ จนกระทั่งขึ้นศาลเขาก็บอกว่าไม่ผิดกฏอะไร เขาก็เลยปล่อยออกมาหมด เพราะหลวงปู่ไม่ได้ทำผิดกฎหมายไม่ได้ทำผิดธรรมวินัย ไม่ได้ให้ทำแบบภิกษุณี สุดท้าย ไม่ผิดกฎหมายเขาก็ออกกฎหมายเอง ออกกฎหมายว่าเขามีสิทธิ์สั่งให้สึก ทั้งๆที่หลวงปู่ไม่มีความผิดจนสั่งให้สึกได้ คนจะสั่งให้สึกได้มี 11 อย่าง หลวงปู่ไม่ได้มีแบบนั้นแล้วก็ไม่ได้ปาราชิก สังฆาทิเสสก็ไม่มี จึงสั่งให้สึกไม่ได้ แต่เขาไปออกกฎหมายเองว่ามีอำนาจสั่งให้สึกได้เป็นกฎหมายนอกธรรมะพระพุทธเจ้า บัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ นี่พูดตรงๆ เขาก็ทำกันหน้าเฉย เขาก็ใช้อำนาจที่เรียกว่ากฎหมาย สั่งให้สึกได้ ที่นี้เขาสั่งให้สึกตามกฎหมายนั้นแล้ว หลวงปู่ไม่สึก เขาบอกว่าให้สึกภายใน 7 วัน ผิดกฎหมายข้อนี้ มาตราเท่าไหร่ จำไม่ได้แล้ว หลวงปู่ก็ไม่ได้สึก แต่เขาจะเอาอำนาจนั้นมาสึกก็ต้องผิดกฎหมายเขา ขึ้นศาลก็ผิดกฎหมายตามมาตรานั้น ศาลพิพากษาให้ผิดตามนั้นหลวงปู่ก็จำนน สู้ไปแค่ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ส่วนศาลฎีกานั้นไม่สู้แล้ว ยอมแพ้ ตามกฎหมายเขาว่าไว้แต่ไม่ได้ผิดพระธรรมวินัยเลย
ทีนี้ ผู้หญิงก็ไม่ได้ผิดอะไรเลย
_ถ้าชาวอโศกสามารถทำให้สังคมเปลี่ยนไปได้ หลวงปู่จะดีใจไหมคะ เพราะอะไร
พ่อครูว่า…ดีใจสิ เพราะทำให้คนเป็นคนประเสริฐเป็นคนอาริยะเป็นคนดีที่แท้จริง ตามแบบอย่างตามทฤษฎีตามทางเดินของพระพุทธะ สุคโต มันควรดีใจ
_หนูอยากเป็นผู้บรรลุเป็นโสดาบันพระอาริยะชั้นสูงควรทำอย่างไร
พ่อครูว่า…ศึกษาให้ดี โสดาบันไม่ได้ยากเท่าไหร่ แต่คนไม่ได้ศึกษาก็เลยนึกว่าหยาบมาก แต่ของเรามีพระโสดาบันเยอะ โสดาบันนี้ เป็นผู้รู้จักอบาย การประพฤติต่ำและหยาบของโลกเราไม่เป็นอย่างนั้น จนบรรลุที่จิตใจเรา โลกอบายโลกหยาบ ในโลกกามคุณก็มีอยู่แต่ไม่จัดจ้าน ไม่เหมือนทางโลกเขาที่ฆ่าแกงกัน พวกเราโสดาบันเยอะ เกือบหมดเลย หรือหมดเลย จริงๆ พวกเรา
โสดาบัน 1. มีศีล 5 เป็นศีล 5 ได้ศีล 5 ปฏิบัติศีล 5 ได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก มันไม่ได้ยากไม่ได้ลำบากอะไร
-
รู้ว่าตัวตนสักกายทิฐิ หรือว่าจิตใจของเราไปติดอบายหรือไม่ ไม่ฆ่าสัตว์ไม่ลักทรัพย์แถวอโศกมีเยอะแยะ ไม่ฆ่าสัตว์ไม่กินเนื้อสัตว์ด้วย ไม่ลักทรัพย์ไม่ผิดผัวเขาเมียใคร ไม่พูดปด ไม่เมาสุรา อย่าว่าแต่สุราเลยบุหรี่ก็ไม่มีที่นี่ นำ M100 M 500 ก็ไม่มี ของมอมเมาเราก็ไม่มี ไวน์เราก็ไม่มี ขวดเหล้า บุหรี่ ไม่มี เรื่องยาเสพติดไกลห่างเลยชาวอโศก เป็นสถานที่เป็นที่ที่พวกเราอยู่