บันทึกผ่านเลนส์ ส่องโพธิกิจ…ความกรุณาของพระโพธิสัตว์อันหาที่สุดมิได้
วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม 2561
ราชธานีอโศกอากาศครึ้มฝนตกเป็นช่วงๆตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 11.13 นาที พ่อครูพร้อมท่านปัจฉาดินไทลงมาฉันภัตตาหารที่ชั้นล่างเฮือนศูนย์สูญ ระหว่างพ่อครูปัจเวกขณ์ พิจารณาอาหาร เด็กน้อยรุ่นเล็กหิ่งห้อยริมมูนคนใหม่น้องเอื้อ น้องเพลง อะคิน น้ำมนต์ที่มากับครูติ้วได้เข้ามากราบนมัสการหลวงปู่ซึ่งเป็นปกติที่เด็กเล็กๆเห็นหลวงปู่จะรีบวิ่งมากราบทันที…
หลังพ่อครูฉันภัตตาหารเสร็จเป็นปกติที่พ่อครูจะเดินย่อยอาหาร วันนี้ออกมาด้านนอกอาคาร ฝนเริ่มตกพรำๆมา ท่านปัจฉาหนักแน่น จึงนิมนต์พ่อครูสวมเสื้อกันฝน
วันนี้เป็นวันจันทร์เป็นวันทำงานของบุคคลทั่วไปและเป็นวันบวรโฮมแฮงของชาวบ้านราช อากาศก็ครึ้ม ฝนก็ตกเป็นช่วงๆทั้งวัน ทำให้คนไม่ค่อยมาเล่นน้ำกันนัก น้ำที่บริเวณพระพุทธโตก็ยังไม่ได้เปิดพ่อครูสังเกตต้นไทรในซอกหินของชุดม้านั่งหินเจริญเติบโตขึ้นหลายต้นต่อไปก็อาจจะเป็นต้นไทรที่เติบโตคลุมชุดม้านั่งหินนี้…
พ่อครูเดินมาที่อาคารบวร พบคนงานกำลังรอประชุมประจำสัปดาห์กับท่านสมณะด่วนดี พ่อครูลงมาด้านหน้าอาคารบวร สังเกตบริเวณริมทางต้นทองอโศกออกดอกสีเหลืองอร่ามงดงาม
พ่อครูเดินมาด้านถนนตรงมูลหลังวิทยาลัยอาชีวะ มองเห็นถนนเป็นหลุมเป็นบ่อด้วยน้ำฝนที่ตกลงมาตลอดทั้งวันทั้งคืน พ่อครูจะเดินไปดูความคืบหน้างานก่อสร้างถนนที่ตั้งต้นหน้าโรงปุ๋ยพลังชีวิต
หลังวิทยาลัยอาชีวพ่อครูเห็นปีกหินสองก้อนรูปร่างคล้ายม้านั่ง ท่านมีดำริให้นำไปไว้กลางเดิ่นเข่ามวน ซึ่งเดิมจะมี 3 ก้อนเพิ่มอีก 2 ก้อนเป็น 5 ก้อนเพื่อให้ผู้มาเยี่ยมเยือนได้นั่งพักผ่อน กินข้าวล้อมวงกันสมกับชื่อลาน
ส่องผ่านเลนส์มองเห็นถนนที่เดินค่อนข้างจะลำบากเพราะทั้งแฉะทั้งลื่น ฝนก็ตกพรำๆ ถ้าเป็นคนอื่นก็คงหลบฝนหรือว่าเลี่ยงไปทางอื่น แต่พ่อครูก็เดินนำพาท่านปัจฉาลุยไปทุกที่ ทำให้นึกถึงเส้นทางนิพพานที่พ่อครูสอนพวกเราอยู่ทุกวัน ย่อมมีอุปสรรคไม่ได้ราบรื่นเหมือนเส้นทางเส้นนี้ แต่พ่อครูก็มีความเพียร กรุณานำพาลูกๆให้พ้นวัฏฏะ ความวนของอวิชชาที่เป็นอุปสรรคสำคัญของเส้นทางสู่นิพพาน..
พ่อครูเดินมาถึงป้ายหน้าหมู่บ้านราชธานีอโศก ท่านก็ยังเดินดู การเตรียมงานทำถนน พร้อมกับรับโทรศัพท์ที่ท่านปัจฉาดินไทนิมนต์พ่อครูสนทนากับลูกๆที่โทรศัพท์มาปรึกษาเรื่องต่างๆผ่านมาทางท่านปัจฉาดินไท..
หน้าโรงปุ๋ยพลังชีวิต หินคลุกกองเป็นภูเขา เพื่อเตรียมทำถนนที่จะเริ่มตั้งแต่หน้าโรงปุ๋ยพลังชีวิตเข้าไปภายในหมู่บ้าน พ่อครูเดินดูงานพร้อมกับคุยสนทนาให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์ไปด้วย ต้นทองอโศกบริเวณข้างทางออกดอกงดงามมากคงเป็นเพราะได้รับน้ำและฝุ่นปุ๋ยที่ปลิวและไหลลงมาโคนต้นตลอดเวลา ด้านหน้าโรงปุ๋ยยังมีการทำกสิกรรมไร้สารพิษเพื่อเป็นนิทรรศการมีชีวิตของผู้ที่ใฝ่เรียนรู้และต้องการทำเรื่องเกษตรอินทรีย์..
พ่อครูเดินลัดมาตรงถนนทางลัดจากโรงปุ๋ยมาด้านหลังอาคารบวร ก่อนหน้านี้ประมาณไม่เกิน 2 ปีพื้นดินบริเวณทั้งสองฝั่งเป็นดินที่ปลูกพืชผักได้ยากมาก แต่ด้วยความพากเพียรของชาวบ้านราช จึงได้อดทน ร่วมใจกันปรับปรุงดินนำพืชผักที่สามารถทนได้ทุกสภาพและดูแลรักษาง่ายมาปลูกเพื่อฟื้นผืนดิน ตอนนี้มองไปก็จะเห็นเป็นป่ากล้วยและมะละกอที่มีความอุดมสมบูรณ์มากทั้งสองฝั่ง บริเวณริมถนนก็จะมีพืชผักสวนครัว ทั้งพริก มะเขือและอื่นๆอีกมากมาย ..
พ่อครูเดินมาด้านหลังอาคารบวร แวะผ่านมาลูกโลกที่มีรูปปั้นพ่อครูหน้านิทรรศการพระโพธิสัตว์ เย้าผู้ปั้นลูกโลกว่า แกะนูนประเทศไทยออกมาใหญ่กว่าทวีปอื่นๆเลย มีผู้มาขอถ่ายรูปกับพ่อครูด้านหน้ารูปปั้นด้วย..
ป้าดาวนามาพบพ่อครูเรียนปรึกษาเรื่องการปรับภูมิทัศน์ที่เดิ่นเข่ามวน พ่อครูเลยบอกเรื่องการนำปีกหินและการนำต้นไม้ใหญ่มาปลูกตรงกลางม้านั่งปีกหินทั้ง 5 ก้อนซึ่งต้องเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่และมีอายุยืนยาว เช่นต้นแหนหรือต้นสะตือรวมถึงให้นำต้นรวงผึ้ง ซึ่งเป็นต้นไม้ประจำรัชกาลที่ 10 มาปลูกบริเวณรอบๆม้านั่งปีกหินด้วย
จากนั้นพ่อครูเดินมา ด้านหน้าเฮือนบวร เพื่อมาดูบริเวณที่จะปรับภูมิทัศน์ ชื่อว่า“เดิ่นเข่ามวน”เมื่อวานหลังจากที่ป้าดาวนารับดำริจากพ่อครู ได้พาศิษย์เก่านำต้นโพธิ์อินเดียมาปลูกครบทั้ง 7 ต้นแล้ว..พ่อครูมาดูที่บริเวณนี้แล้วบอกตำแหน่งของการนำปีกหินมาเพิ่มอีก 2 ก้อนและในอนาคตถ้าเจอปีกหินลักษณะนี้ก็จะนำมาเพิ่มอีก ..ภูมิทัศน์บริเวณเดิ่นเข่ามวนนี้ ถ้าแล้วเสร็จตามดำริพ่อครู เราก็จะเห็นต้นแหนหรือต้นสะตืออยู่ตรงกลางของม้านั่งปีกหิน ที่มีต้นโพธิ์ทั้ง 7 ต้นสานร้อยกันเป็นซุ้มล้อมรอบบริเวณปีกหิน ด้านล่างพื้นดินจะมีต้นรวงผึ้งซึ่งเป็นต้นไม้ประจำรัชกาลที่ 10ขึ้นรายรอบปีกหิน …พ่อครูยังดำริถึงความสะดวก สบายน่ารื่นรมย์ของผู้ที่จะมานั่งพักผ่อนหย่อนใจ กินเข่ามวน(นั่งล้อมวงกินข้าวกัน) ป้าดาวนานาเรียนพ่อครูว่าปีกหินนี้สามารถดูดซับพิษในร่างกายได้เพราะตนเองเคยทดสอบมาแล้ว ทำให้การมาพักผ่อนหย่อนใจคลายเครียด ที่ราชธานีอโศกของผู้มาเยือน เมื่อปรับภูมิทัศน์บซึ่งใกล้กับน้ำโตนก็จะเป็นไปเพื่อสุขภาพด้วย โดยที่บริเวณน้ำโตนเวลาไปเล่นน้ำก็จะเหมือนการเข้าไปนวดสปา นวดสปาน้ำโตนเสร็จมานั่งพักผ่อนหย่อนใจกินเข่ามวน พักผ่อนเอนกายเอาพิษออกที่ลานปีกหินหินใต้ต้นโพธิ์ ….ตามจินตนาการของส่องผ่านเลนส์ที่ได้ฟังดำริ เจตนารมย์จากพ่อครูพระโพธิสัตว์ บวรราชธานีอโศกแห่งนี้จะเป็นสถานที่ที่น่ารื่นรมย์เป็นธรรมชาติย้อนยุคเข้าไปในป่าหิมพานต์ สำหรับผู้ที่มาเยี่ยมเยือนทุกเพศทุกวัย ทุกฐานะ ..พ่อครูแวะมาดูต้นโพธิ์อินเดียที่เพิ่งมาลงปลูกเมื่อวานนี้(15 ก.ค. 2561)
พ่อครูเดินผ่านมาทางแก้งสะโพ มองเห็นถุงปุ๋ยใส่ดินปลูกตั้งเรียงรายขาวโพลนในกระสอบเป็นกระถางจากวัสดุรีไซเคิลที่ประโยชน์สูงประหยัดสุด เวลานี้ต้นพริกยืนต้นแข็งแรงสมบูรณ์แล้วหลายแถว พ่อครูเดินกลับมาหน้าน้ําโตน พวกเราก็ยังเห็นพ่อครูพาเดินลุยน้ำ(อีกแล้ว) ท่านไม่เคยสอนให้เราสบายเลยให้ตั้งตนอยู่ความลำบากอย่างสุขสำราญเบิกบานใจตลอดเวลา และอีกอย่างได้ประโยชน์จากการล้างเท้าและล้างรองเท้าด้วย..
พ่อครูเห็นยอดต้นตะคร้อตอนนี้เติบโตสวยงามมากได้สนทนากันอย่างสนุกสนานว่าถ้ามีลูกตะคร้อเกิดขึ้นเมื่อไหร่ วางซีอิ๊ว พริกไว้ข้างๆต้น ผู้มาเล่นน้ำตกก็นำลูกค้อใส่ซีอิ๊วพริกกินอย่างอร่อยกันได้อย่างสุขสำราญ สบายใจไปเลย..
พ่อครูเดินกลับมาที่บริเวณเวทีธรรมชาติเดิม เวลานี้คล้ายป่าทึบมีต้นไม้เหมือนเขตป่าชื้น พ่อครูมองแล้วบอกว่าบริเวณนี้น่าจะปรับปรุงภูมิทัศน์ นำปลูกกระชายมาปลูกทำให้พื้นที่จะน่าอยู่ขึ้นเยอะ เหมาะเป็นที่พักผ่อนได้อีกบริเวณหนึ่ง เพราะใกล้น้ำโตนซึ่งมีความร่มเย็นอยู่ตลอดเวลา..
ก่อนขึ้นบันไดชั้น 2 ห้องครูสังเกตเห็นเหมือนเห็ดชนิดหนึ่งซึ่งน่าจะรับประทานได้ส่องผ่านเลนส์ถามไปทางอาปู้ผู้คักแน๊ ทางด้านเห็ด ได้ความว่ามองจากภาพน่าจะคล้ายเห็ดปะการังหรือเห็ดเขากวาง แต่มันแก่แล้วกินไม่ได้ ถ้าอ่อนๆก็กินได้แต่ไม่อร่อย แต่ว่าต้องดูไม้ที่เกิดเห็ดด้วยว่าเกิดจากไม้หรือบริเวณอะไร ถ้าจะให้แน่นอนให้เก็บตัวอย่างไปถามผู้คักแน๊ในชุมชนอีกทีจะดีที่สุด..พ่อครูยังไปยืนดูต้นไม้นานาพันธุ์ที่ขึ้นอุดมสมบูรณ์บริเวณนี้ มองเห็นลูกต้นนาวน้ำ ทางขึ้นบันไดชั้น 2 มีรากต้นไม้แทงรากออกตามซอกบันได รวมถึงต้นมอสขึ้นเขียวสดใสบริเวณราวจับบันไดดูเป็นธรรมชาติมากแม้แต่หอยทากก็ยังอาศัยอยู่บริเวณนี้ได้..
พ่อครูกลับขึ้นมาชั้น 4 เช็ดหน้าเช็ดตัวเล็กน้อยก่อนที่จะปฏิบัติโพธิกิจหลักประจำคืองานเขียนธรรมะโลกุตระในทันทีที่เสร็จภารกิจต่างๆ เป็นความกรุณาของพระโพธิสัตว์อันหาที่สุดมิได้