บันทึกผ่านเลนส์ ส่องโพธิกิจ….ลูกหลานพระโพธิสัตว์ ย่อมไม่ห่างไกลจากเส้นทางโลกุตระ
วันเสาร์ที่ 21 กรกฏาคม 2561
เช้านี้พ่อครูลงมาเดินเร็วออกกำลังกายที่ชั้นล่างเฮือนศูนย์สูญ ใช้เวลาประมาณ 20 นาที หลังจากนั้นพ่อครูและท่านปัจฉาสมณะได้ออกไปเดินคูลดาวน์ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ รอบๆภายในชุมชน กลับมาถึงลานสะโพหน้าน้ำตกผาแหงนขึ้นไปพักที่ชั้น 4 เอือนศูนย์สูญ
พ่อครูลงมาฉันภัตตาหารเวลา 11.23 น.พร้อมกับท่านปัจฉาดินไทและท่านปัจฉาหนักแน่น มีผู้มาเข้าค่ายสัมมาอริยมรรค คุณหงส์และครอบครัวจากจังหวัดร้อยเอ็ดเข้ามากราบนมัสการพ่อครู หลังจากฉันภัตตาหารเสร็จ แหม่ม ไอดิน พาเด็กชาย หินต้นโพธิ์ สิงห์คำ หรือน้องหิน จากบวรศีรษะอโศกมากราบนมัสการพ่อครู และท่านปัจฉา พ่อครูพูดคุยด้วยความเอ็นดู
หลังจากพ่อครูฉันภัตตาหารเสร็จ ออกมาเดินย่อยอาหาร น้องหินเดินตามต้อยๆไปตลอดพ่อครูไปที่หน้าน้ำตกผาแหงน วันนี้เป็นวันเสาร์เลยพบเห็นผู้คนมาเล่นน้ำกันอยู่หนาตา น้องหินเป็นเด็กร่าเริง ช่างพูด ช่างคุย ช่างผจญภัย จนผู้ใหญ่หยอกล้อด้วยความเอ็นดูเดินมาหน้าลานสะโพ มีญาติโยมมาจากกรุงเทพพาคุณแม่ที่อยู่ในตัวเมืองอุบลราชธานี มาเยี่ยมชมบ้านราชพบพ่อครูจึงเข้ามากราบนมัสการและขอถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก บอกกับทางคณะกันเองว่า วันนี้มีบุญโชคดีที่ได้พบพ่อครู
ลานสะโพวันนี้มีชีวิตชีวาจากรอยยิ้มของผู้คนที่มาเยี่ยมชมธรรมชาติ พ่อครูมายืนมองซุ้มหินทั้งสองด้านหน้าทางเข้าน้ำตกผาแหงน สังเกตหินที่วางด้านบนไว้เอียงๆแบบแปลกๆ พ่อครูเดินไปที่กองหินด้านขวา ดำริว่าน่าจะนำรูปหล่อทองเหลืองปางอภัย มาไว้อยู่ด้านหน้าก้อนหินแผ่นแบนกลมที่อยู่ด้านหลังแท่งหินแหลมน่าจะพอดี โดยนำถังขยะออกไปไว้ที่อื่นก่อน
พ่อครูเดินมาหน้าอาคารบวรซึ่งได้เทปูนมาถึงด้านหน้าอาคารเรียบร้อยแล้วพบเห็นรอยเท้าของสุนัข พ่อครูบอกให้คนงานนำเกรียงมาปาดปูนทำให้เรียบเหมือนเดิมเด็กชายหินต้นโพธิ์ ยังเดินตามพ่อครูแต่ด้วยความเป็นเด็กร่าเริง ชอบผจญภัยจึงไม่เดินทางดีๆเรียบๆ เดินลุยน้ำเท้าแฉะตลอดเส้นทาง เป็นที่น่าเอ็นดูของผู้ใหญ่… ยังมีผู้มาเที่ยวชมหมู่บ้านใกล้ๆใช้มอเตอร์ไซค์สัญจรทางเดิมเพราะคุ้นชินและสามารถหลบหลีกได้ พ่อครูเดินตามเด็กชายเห็นต้นโพธิ์ มาหน้าป้ายราชธานีอโศกที่อยากจะไปดูรถแบคโฮ ท่านปัจฉาหนักแน่นเย้าเด็กชายหินว่าอยากได้คันไหนให้ขึ้นไปขับเลย เด็กชายหินนต้นโพธิ์ก็ไปจริงๆ ไปเลือกแบคโฮ 400 ซะด้วย พอทางผู้ใหญ่บอกว่าไม่มีกุญแจจะไปขับได้อย่างไร เด็กชายหินยังบอกว่าเดี๋ยวจะไปขอหลวงลุง ซึ่งหมายถึงท่านสมณะหินกลั่นทำให้พวกเราได้หัวเราะด้วยความเอ็นดูกันอีกครั้งหนึ่ง..
พ่อครูเดินผ่านหน้าวิทยาลัยอาชีวะ ต้นคุณนายตื่นสายบานสดสวยไล่สีได้งดงามเหมือนพรม เป็นการปลูกดอกไม้ชนิดเดียวแต่มีโทนสี หลากหลายเป็นที่น่าสนใจมาก เด็กชายหินต้นโพธิ์ เดินนำพ่อครู ไปดูเรือหลายลำด้วยความสงสัย บอกว่าเป็นเรือปลอมไม่ใช่เรือจริง ในความหมายของเด็กชายหินคงคิดว่าเรือต้องอยู่บนน้ำไม่ได้วางอย่างนี้ ทำให้ผู้ใหญ่ได้หัวเราะกันอีกครั้งหนึ่ง พ่อครูเอ็นดูพาเดินไปเรื่อยๆและพาเข้าไปดูเรือที่สามารถอยู่อาศัยได้ ข้างเฮือนตลาด เด็กชายหินพูดด้วยความใสซื่อ ว่าเรือมีตาด้วย พ่อครูเข้ามาที่ฐานแปรรูปหม่องสมุนไพรสังเกตเห็นกระทะก้นรั่ว อันที่จริงไม่ใช่แค่รั่วแต่เป็นก้นทะลุเลยเพราะใช้สำหรับวางหม้อนึ่ง
พ่อครูเดินผ่านมาหน้าเฮือนตลาด ที่เป็นหม่องสมุนไพร ป้าเข่งมากราบนมัสการพ่อครู รายงานเรื่องได้เริ่มทำสมุนไพรกันแมลง 5 พลังนำส่งไปจำหน่ายที่ร้านค้าของชาวอโศกแล้ว รวมถึงลูกประคบสมุนไพรของบ้านราชที่ยายทูนกำลังนั่งมัดก็เป็นที่นิยมเช่นกัน ยายทูนลำกลอนเกี่ยวกับเทิดทูนพระอรหันต์ให้พ่อครูฟังเพราะตั้งใจจะเขียนเป็นจดหมายน้อยก็ไม่ถนัดนัก พ่อครูอนุโมทนา…เด็กชายหินผู้ช่างสงสัย ได้ไปยืนที่หน้าต้นดอกไม้หน้าเรือ(ดอกเอื้องหมายนา) ท่านปัจฉาถามว่านี่ต้นอะไร เด็กชายหินต้นโพธิ์ ตอบอย่างมั่นใจว่านี่คือต้นพริก ทำให้ทุกคนได้หัวเราะชอบใจกันอีกครั้ง พ่อครูแวะดูต้นเฟิร์นบนก้อนหิน เฟิร์นบางต้นเริ่มมีใบสีเขียวบ้างแล้ว เนื่องจากเป็นหน้าฝนได้รับความชุ่มฉ่ำจากน้ำฝนเกือบทุกวัน รวมถึงต้นเอ็นอ้าที่ออกดอกสีม่วงงดงามอยู่ข้างๆกัน ซึ่งเป็นต้นสมุนไพรรักษาได้หลายโรค… พ่อครูเดินมาด้านข้างเฮือนตลาด เห็นทั้งมะละกอและกล้วยที่พยายามสูงแข่งหาแดดกันทั้งสองชนิด เด็กชายหินโดนมดกัด คันๆๆแต่ก็สามารถเปิดน้ำล้างเท้าเองได้(เก่งมากๆ)
พ่อครูเดินมาด้านหลังเฮือนตลาด พบท่านสมณะด่วนดี ช่างแดกซ์และช่างหนุ่ยกำลังดูงานเรื่องการปรับทิศทางอากาศภายในเฮือนตลาด… ผู้ใหญ่เห็นกิ้งกือเดินข้ามทางเดินก็นึกหยอกล้อเด็กชายหินอีก บอกให้เด็กชายหินเมื่อเจอกิ้งกือบอกว่าเป็นรถไฟเดินได้ เด็กชายหินก็สนใจ พอบอกให้คุยกับกิ้งกือว่าจะไปไหน เด็กชายหินก็คุยกับกิ้งกืออย่างสุภาพว่า กิ้งกือจะไปไหนครับเป็นที่น่าเอ็นดูของผู้ใหญ่ทุกคน…
พ่อครูเดินลงมาที่รีสอร์ทเรือโลกุตระ พ่อครูดำริให้ทำสโตนเฮ้าส์ใต้ท้องเรือทั้ง 3 ลำ พวกเราบอกว่าบริเวณนี้ลมพัดเย็นสบายไม่น่าทำทึบๆ พ่อครูบอกว่าก็ให้ทำเป็นถ้ำที่มีช่องหน้าต่างหลายๆช่อง เพื่อให้ลมพัดผ่านสะดวก เดินไปตามทางสังเกตเห็นหลายพื้นที่ในบ้านราช พอฝนตกลงมาทำให้ถนนเดินลำบากเหมือนกัน
เด็กชายหินต้นโพธิ์ ยังสร้างรอยยิ้มให้กับพ่อครูและคณะท่านปัจฉาได้ตลอดเส้นทาง เพราะเป็นเด็กที่ช่างคิด ช่างพูด เจรจาได้ตลอดเวลา พ่อครูเดินมาด้านข้างอาคารวิทยาลัยอาชีวะเด็กชายหินต้นโพธิ์พูดเชิญชวนว่า ขออยากเดินข้ามสะพานไปที่เรือไฟฌาน ด้วยท่าทีอ้อนวอน (อยากเดินข้ามสะพานข้ามลำธารด้วยอาการน่าตื่นเต้น) พ่อครูจึงบอกว่า เอา..ไป ทุกคนก็เดินข้ามสะพานตามเด็กชายหิน ซึ่งก็เป็นความกรุณาของพ่อครูที่เอ็นดูเด็กน้อยเป็นอย่างมาก…
พ่อครูเดินผ่านแก้งตำอิด เด็กชายหินต้นโพธิ์ เห็นรถแม็คโคร 800 คันใหญ่ ด้วยความชอบรถขนาดใหญ่ยืนมองด้วยความตะลึง ถามหลวงปู่ว่าทำไมรถแบ็คโฮไม่ขุดดิน จนผู้ใหญ่บอกว่าตอนนี้กำลังซ่อมอยู่แล้วจึงเดินลุยโคลนไปกับหลวงปู่
ช่วงหลังนี้ เริ่มถามตลอดว่าจะเดินไปไหนๆๆ เดินมาตั้งนานแล้ว คงเริ่มเมื่อยและไม่รู้จุดหมายว่าจะไปที่ไหน แต่เด็กชายหินก็ยังเดินต่อไป ตื่นเต้นกับเส้นทางที่ได้เดินลุยน้ำ ลุยดินที่เละๆ พ่อครูกลับขึ้นมาทางเรือโคกใต้ดิน ออกมาข้าง สขจ.ผ่านเวทีธรรมชาติเดิม
ส่องผ่านเลนส์เห็นป้ายที่ทำให้สะกิดใจในเรื่องการศึกษาธรรมะที่ต้องเรียนรู้ผัสสะทำให้เกิดเวทนา เกิดรูปเกิดนาม ที่จะต้องให้เราได้พิจารณาโยนิโสมนสิการ เป็นการปฏิบัติธรรมที่ทำให้เกิดสมาธิพุทธแท้ ในป้ายต้นไม้พูดได้ เขียนไว้ว่า…
“อย่าเผลอใจ อย่าห่างใจ
เมื่อใดผัสสะเกิด จะต้องรู้ให้ทันความเกิดนั้นที่ใจ
ถ้าความไม่สบายใจ โทสะ มูลจิตทุกขนาดอุบัติ
จะต้องจัดการไม่ให้มันมีก่อนอื่น ไม่ว่ากรณีใดๆ
แม้ว่า ความสบายใจ โลภะ มูลจิตทุกขนาดอุบัติ
ก็อย่าหลงเมายึดติดเป็นอันขาด
รู้ใจว่ามีโลภะ มีโทสะหรือไม่ ขณะใด คือเมื่อนั้นพ้นโมหะ
ทำใจให้พ้นโทสะพ้นโลภะในขณะรู้ๆเสมอ
นั้นคือ ผู้เดินตรงลัดเข้าสู่นิพพานด้วยทางเอกเส้นเดียว
ที่สร้างไว้โดยบุคคลที่ชื่อว่า “พระสัมมาสัมพุทธเจ้า”
พ่อครูสมณะโพธิรักษ์
เป็นต้นไม้พูดได้ที่ทำให้นักปฏิบัติธรรมโดยเฉพาะลูกหลานชาวอโศกได้ระลึกถึงกรรมฐานในการปฏิบัติธรรมคือเวทนา ที่พ่อครูสอนนำพาปฏิบัติจนมีผลถึงขั้นเรียนรู้การเกิด การดับของจิตวิญญาน..
พ่อครูมายืนที่บันได เด็กชายหินต้นโพธิ์ กับ แม่แหม่ม ไอดินกราบนมัสการลาพ่อครู ท่านมองลงไปด้วยความเอ็นดู พ่อครูขึ้นมาที่ชั้น 2 ก็ได้พบสิบโทแผ่นด้าว อัมพุช (ตั๊บโต้ )เข้ามากราบนมัสการ ด้วยอาการยิ้มแย้ม ปิติยินดี พ่อครูจึงเอ่ยถามว่า เมื่อไหร่จะได้สิบเอก เขาก็บอกประมาณปี 63 ครับ จากนั้นพ่อครูก็เดินขึ้นบันไดต่อไปชั้น 4 เข้าห้องทำงานและ
ก่อนที่พ่อครูจะพัก ก็ได้โทรศัพท์พูดคุยกับท่านสมณะถักบุญ ถามไถ่ถึงการเดินทางขนย้ายเรือและรูปหล่อทองเหลือง ท่านสมณะถักบุญได้รายงานทางโทรศัพท์บอกว่าราบรื่น เรียบร้อยดีและอาจจะมาถึงคืนนี้ประมาณ 2-3 ทุ่ม