610722_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ พระพรหมแบบไหนที่เป็นอรหันต์
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://drive.google.com/open?id=1qtn6__-HpwB-dzUCvMC0krfuEDWAdYNXj4OX6TxZkEI
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1okF4O7Lo0L19EWvTLWCC-iHLY-9rwF0C
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ในช่วงสัปดาห์นี้รัฐบาลให้เป็นสัปดาห์แห่งการส่งเสริมพระพุทธศาสนา วันที่ 22-28 กรกฎาคม จะมีหรือขบวนแห่พระบรมสารีริกธาตุที่สนามหลวง
ส่วนพวกเราไม่มีแค่สัปดาห์ส่งเสริมพุทธศาสนา เราส่งเสริมกันทั้งชีวิต มาอยู่ประจำที่วัดราชธานีอโศก หรือที่อื่นก็แล้วแต่ ในช่วงเข้าพรรษาก็จะมีคนมาจำพรรษาอยู่ด้วย
การนำบุญไปใช้ผิดๆ คิดว่าบุญเป็นกุศลก็เป็นการใช้บุญที่ผิด บุญเป็นพลังงานที่ทำลายกิเลสเท่านั้น ส่วนกุศลเป็นพลังความดีที่สะสมได้ เป็นสมบัติ ส่วนบุญเป็นวิบัติ
ล.23 ข.49 ทานสูตร ทำทานแล้วมีจิตเป็น เทวดา 6 อย่าง พรหม 1 อย่าง
อันที่ 1 จาตุมหาราชิกา(ท้าวกุเวร ท้าววิรุฬหก ท้าวธตรฐ ท้าววิรูปักษ์) คือ ทำทานแล้ว จิตมี 1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ
2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ
3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ
4.อิมํ เปจฺจ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ
อันที่ 2 ดาวดึงส์ คือ ทำทานเพราะว่าเห็นว่าเป็นความดี
อันที่ 3 ยามา คือ ทำทานเพราะเพื่อเป็นประเพณี
อันที่ 4 ดุสิต คือทำทานเพราะเห็นว่า สมณะหุงหาอาหารเองไม่ได้
อันที่ 5 นิมมานรดี คือทำทานเพราะทำตามฤาษีใหญ่ๆ
อันที่ 6 ปรนิมมิตวสวัตตี ทำทานเพราะว่า อยากได้ปลื้มใจ(อตฺตมนตาโสมนสฺสํ)
อันที่ 7 สหายแห่งพรหม คือทำทานอย่างมี จิตฺตาลงฺการ จิตฺตปริกฺขารํ (ต้องทำปุญญาภิสังขาร ทำทานเพื่อลดกิเลส)
พ่อครูว่า…ตอบคำถามก่อน
_ภาษาอีสานคำว่า สะออน กับออนซอน สองคำนี้แปลเป็นภาษาภาคกลางว่าอย่างไร
พ่อครูว่า…สะออน แปลว่าน่าภูมิใจ ส่วนออนซอนแปลว่า
คือสะสมจิตที่จะผูกพันชอบเข้าไปอีก ชื่นใจประทับใจ ผนึกเข้าไปแน่นเข้าหนาเข้าทุกที
ถ้ามองไปประเด็นของความชูใจ เราไม่ทิ้งก็ควรได้ไว้ ก็มีสิ่งที่ควรได้ไว้ แต่จริงๆแล้วสิ่งที่ควรได้ไว้จริงๆ มันไม่เที่ยงสักอย่าง จนกว่าจะถึง สูญ สูญก็คือไม่มีบวกไม่มีลบไม่มีข้างที่จะเป็น ไม่มีข้างซ้ายข้างขวา อยู่ตรงกลาง เป๊ง 0 ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากตรงกลาง เรารู้ซ้ายขวาบนล่าง รู้เรียนมุมองศา มันไม่อยู่ตรงกลางเราก็รู้ แต่ตัวเราเองไม่มีปัญหา เราเองเรามั่นคงแน่นอน ตรงอยู่ตรงกลางได้ เพียงแต่ว่า เราจะร่วมเราจะประสานกับอื่นๆ โดยการใช้ศัพท์ว่าอนุโลม ปฏิโลมไปตามนี้ เราทำได้ อนุโลมไป เหมือนอย่างแม่เล่นขายหม้อข้าวหม้อแกงกับลูกๆ หรือแม่ครัวทำอาหารให้คนต้องกิน เขาชอบในรสชาติไหน อย่างไร แม่ครัวจำได้ก็ปรุงให้ ตนเองไม่ได้ชอบตามที่เขาติดยึดหรอก แต่รู้ว่าทำอย่างนี้ ปรุงอย่างนี้เราก็ทำ ตัวเราเองไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาเป็น ตัวเราเองก็เป็นอย่างที่เราเป็น ศูนย์ กลางๆ พอเข้าใจได้นะ
อาตมาก็ยกตัวอย่างที่ชัดกว่านี้ยังนึกไม่ออก
สรุปให้ชัดก็คือตัวเราเองในความเป็นจริง เราจะอนุโลมก็รู้ว่า ตัวเราไม่ต้องไปเป็นอย่างนั้นไม่ต้องไปติดในรสชาตินั้น ได้รสอย่างนั้นได้รูปอย่างนั้นได้เสียงได้กลิ่นอย่างนั้น ถึงจะสุขใจเหมาะใจชื่นชอบ มันก็ เฉยๆได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ได้ก็อยู่กลางๆไม่ได้ก็อยู่กลางๆอยู่อย่างนั้น อย่างนี้เป็นต้น
เราต้องอ่านอาการจิตเราได้ นั่นคือความเป็นพรหมความสะอาดบริสุทธิ์
พรหม เป็นภาษาเก่า ถ้าจะให้อาตมาขยายความไปถึง อักษร
พฺรหม ตัว พฺเป็นพยัญชนะของวรรค ป ผ ภ พ ม
พ. พานเป็นพฤติกรรมเต็มที่ มี ฺ ก็คืออาศัยครึ่งหนึ่งเท่านั้น ตัวเราเอง 0 ก็ให้คนอื่นไปอีกครึ่งหนึ่ง
ร ก็มาจากเศษวรรรค
ห ก็มาจากเศษวรรค คือตัวความจริง ห โห คือจริง มันมีตัวตบท้ายวรรคนี้คือ ฬ ใน ย ร ล ว ส ห ฬ อํ
ตัว ย ร ล คือสามเส้า ว ส ห คืออีกสามเส้า มันก็เป็น cyclic
ฬ คือตัวใหญ่สุดในเศษวรรค ยอดเยี่ยมแห่งพลังงานเริ่มต้นจากเศษ เริ่มต้นจากส่วนย่อยกว่าจะมาเป็นตัวจริง มาเป็นวรรค ก จ ต ฏ ป ย
ม คือจิตเป็นใหญ่ จิตวิญญาณ รวม 4 พยัญชนะนี้แล้วมาเป็นคำนี้ ก็ เป็นสิ่งที่อาศัยพลังงานรวมของ 4 ถ้าไปเป็น 5 6 ก็ก้าวหน้า แต่ถ้า 4 แล้วไม่มีต่อไป ลดลงก็ชรตาก็สูญ
พยัญชนะที่ใช้แทนพลังงาน แทนสภาวะ รูปธรรม จนรวมตัวเป็นรูปธรรม ผู้รู้เกิดมาเป็นจิตนิยามแล้วจะสามารถรู้ พัฒนาจากอุตุ ที่ไม่รู้ตัวเอง มาเป็นพีชะที่มีตัวเอง จนพัฒนามาเป็นสัตว์ จิตนิยาม จนสัตว์สามารถมีความรู้ในตัวเองมีพลังงานต่างๆ เป็นความรวมเป็นตัวตน เป็นโลก เป็นอัตตา ก็ขยายมวลซับซ้อนไปอีก ย่อลงมาก็เป็น ธรรมะ 2 ตัวหนึ่งที่เป็นอุตุ ตัวหนึ่งเป็นนามธรรม
และ มีการเป็นตัวถูกรู้เรียกว่า object อุตุก็ถูกรู้ได้ พีชะก็ถูกรู้ได้ แล้วมาเป็นจิตนิยาม สั่งสมกรรมลงเป็นธรรมะ เป็นตัวตั้งเป็นคลังของจิตนิยาม ของวิบากอยู่อย่างนี้ ก็ใช้ไปใช้มา คนที่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของก็มีสิทธิ์ใช้ หากมีสิทธิ์แต่ไม่สามารถเอามาใช้ได้ ก็เป็นความไม่สามารถของเขา ใครที่มีสิทธิ์สามารถเอามาใช้และเอามาใช้ได้ ใช้ได้มากได้น้อย ใช้ได้เต็ม ก็คือพระพุทธเจ้าใช้ได้เต็มครบหมด แล้วก็เอามาใช้กับผู้อื่น ไม่จำเป็นจะต้องใช้หมดเท่าที่ท่านมี พระพุทธเจ้าท่านมีมากเอามาใช้กับพวกนี้มันเกินจะตายเอา ใครที่ไม่มีภาวะรองรับได้ใช้ไปได้อย่างไร มันมีแรงพลังมากกว่าที่จะรองรับ ก็รับไม่ได้หรอก ระเบิดเลยหากรับเข้าไป ใช้สำนวนว่าศีรษะแตกออกเป็น 7 เสี่ยง ถูกยักษ์จักรบาล ตีศีรษะแตก มันเกินความเป็นจริงที่เหมาะสม มันเล็กกว่าสิ่งที่จะเอามาใส่เข้าไปได้ มันรับไม่ได้ใส่ไม่ได้ บรรจุไม่ได้ ตามสัจจะของมัน
เพราะฉะนั้นก็เอาตามพอเหมาะ พระพุทธเจ้าจึงประมาณได้เหมาะสมพอดี จึงมีสัปปุริสธรรม 7 ประการ รู้จักการประมาณกระทำกับสิ่งต่างๆที่เราร่วมด้วย ให้ได้ประโยชน์สูงประหยัดสุดให้ได้พอดี
ศัพท์คำว่าพอเหมาะพอสม จึงเป็นความสมดุลไม่ว่าจะทางด้านวัตถุ อุตุก็มีฤทธิ์ที่อยู่ได้นานและแรงมากก็ได้ สิ่งที่สมดุลคือยิ่งวิ่งเร็วเคลื่อนเร็วยิ่งนิ่ง
ต้องควบคุมความเร็วอย่าให้เกิดองศา ถ้าเร็วแล้วเกิดองศาจะแกว่ง แต่ถ้าเผื่อว่าเร็ว แล้วไม่เกิดองศาเลย หมุนหนักเข้าไม่มีอะไรเพิ่ม ไม่มีทศนิยมของอะไรอย่างอื่นเพิ่มเลยมีแต่เดียว หนักเข้าก็หมดแรงเอง สูญ จึงต้องอาศัยแรงอื่นเข้ามาเสริมเติมเข้าไปให้มีปฏิพากย์ทวี เป็น 2 เป็น 4 เป็น 8 เป็น 6 อะไรต่อไป สูงสุดก็คือยกกำลัง
ผู้ใดสามารถเป็นตัวเองเป็นประธาน และเป็นคนจัดการให้แก่ตนเองได้ นั่นแหละเป็นผู้ที่สามารถ ที่จะทำให้คงอยู่หรือลดหรือเพิ่มได้ จะเกิดหรือตาย จะตายจะเกิด ได้เก่งที่สุดชำนาญขึ้นได้มากต่อไป
อาตมากำลังพิสูจน์อันนี้อย่างยิ่ง ที่เรียกว่า พลังงานสัมประสิทธิ์ ถึงวันนี้อาตมาก็ยังระบุไม่ได้เต็มที่ พยายามใช้อักษรใช้พยัญชนะ ใช้สิ่งแทน เอาภาษาโครงสร้างทางวิทยาศาสตร์ ไอน์สไตน์ก็ทำไว้แล้ว ก็เอามาเพิ่มไม่ได้เป็นภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษเป็นตัวย่อ
c ตัวซีเล็ก เป็นอัตราเร่งเป็นความเร่งในตัว จนกระทั่งความเร็วเร่งในตัวเป็น C ซีใหญ่ ขยาย สัดส่วนขึ้นมา ที่ทำได้ทุกวันนี้ อาตมาก็พยายามทำเอง เก็บได้จากคนนั้นคนนี้มาใช้มาประกอบความเข้าใจของเรา ประกอบรูปร่างแล้วก็สื่อสาร เป็นสิ่งใช้แทนให้คนอื่นสามารถเข้าใจตามไปได้ด้วย ถ้าไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้จักบันทึกไว้ในอะไรก็ต้องอาศัยพวกนี้เป็นตัวบันทึก พยัญชนะหรืออักษร คนอื่นก็จะได้สมมติตามเรา หากเขาไม่สมมติตามเราก็รับไม่ได้ หากสมมติตามได้ก็รับสืบทอดต่อไปได้พัฒนาขึ้นต่อไปได้อีก
การก้าวหน้าที่จะให้เพิ่มขึ้นไปอีกเรื่อยๆ เรารู้คนที่รู้ว่า ถ้ามันเพิ่มไปอีกไม่ได้มันก็จะมีแต่เสื่อม ถ้าเรารู้ว่าจะให้มันเสื่อมเราก็เร่งความเสื่อมด้วยความเร็วทำให้มันสูญได้ คนๆนี้ก็สามารถควบคุมการเกิดการดับ ให้เกิดได้เร็วเกิดได้มาก ให้เกิดความเสื่อมได้เร็วเสื่อมได้มาก เราเรียนรู้แล้วก็ฝึกจิตให้ได้ จนกระทั่งเป็นภาษาที่พุทธเจ้าบอกว่าจะให้มีก็ได้จะให้ไม่มีก็ได้จะให้เกิดก็ได้ไม่ให้เกิดก็ได้ จะให้มากขึ้นอีกก็ได้จะให้น้อยลงอีกก็ได้ เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ จากหนึ่งทำให้มากขึ้นก็ได้ จากมากขึ้นทำให้เป็นหนึ่งก็ได้ ถ้าหากยังมีหนึ่งก็ยังมีตัวเรา แต่ถ้าเป็นศูนย์ก็คือเลิกจากตัวเราเลย ถ้ามีก็ใช้ 0 เป็นตัวแทน หากภาวะไม่มีก็เลิก 0 เลย ใช้ภาษาพยัญชนะว่า นปุงสกลิงค์ แสดงความแตกต่างของปุริสภาวะกับอิตถีภาวะ
นปุงคือสภาพสูญไม่มีเพศ เอก คือเพศเอก เพศหนึ่ง ถ้าเริ่มตั้งแต่สอง เป็นอิตถีภาวะมากไปตามลำดับ
ผู้ที่มีความรู้และสามารถทำได้ จนกระทั่งเก่งเป็นขั้นมายากล เปลี่ยนได้เร็วมากด้วย เหมือนพวกเล่นกลเปลี่ยนหน้า แต่นักมายากลมีตัวลวงแฝง tactic มีกลเม็ด ทำอย่างนี้ถึงจะได้อย่างนี้ ดูเหตุปัจจัย เราไม่รู้ก็ทำไม่ได้
ทางนามธรรมอาตมารู้ ทางวัตถุอาตมาไม่เก่ง อาตมากำลังอธิบายสิริมหามายา มายาคือเหมือนการเล่นกล ให้มันมีก็ได้ให้มันหายไปก็ได้เกิดได้เร็วปั๊บ ผู้ที่สามารถทำได้ด้วยความจริงใจต้องการให้มีอย่างมีประโยชน์คุณค่า ให้ไม่ให้มีก็มีประโยชน์คุณค่า แล้วเราก็ทำได้สามารถสร้างความมี บางทีเราก็อธิบายไม่ได้ บางทีเราก็อธิบายได้ แต่คนรับฟังไม่มีภูมิรับได้พอ อธิบายไปก็สูญเปล่า ก็ไม่อธิบายดีกว่า เขาจะหาว่าเราไม่รู้ก็ไม่เป็นไร
หรือว่าหากอธิบายไปก็ยังจะไม่ได้ผลพอก็จะเสีย ก็เอาไว้ก่อน ให้มีฐานที่รับได้มากพอก่อน เราถึงจะแสดงออกทำต่อ หลายอย่างอาตมาก็จำนนที่แสดงออกไม่ได้ เพราะตัวเองยังไม่เก่งที่จะอธิบายต่อ เหมือนกับมีอะไรแฝงฝังอยู่ บอกไม่หมด เหมือนข้อด้อยของตนเอง 10 ประการ ก็มันมีไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ก็ต้องทำต่อไป ในยุคนี้คนมันรับได้เท่านี้ หากในยุคต่อไปคนอาจจะมีภูมิที่จะรับได้มากขึ้น อาจจะโตกว่านี้อาตมาก็ต้องพัฒนาเหมือนกัน ไปเรื่อยๆ คุณว่าพวกคุณจะอายุถึงร้อยกันไหม
เรามีตัวที่เราจะให้มีต่อไปหรือจะให้เสื่อมก็ได้ หากคนอื่นจะได้ประโยชน์แล้วก็ทำ ในยุคนี้ยังมีสิ่งที่จะก้าวหน้าเจริญต่อเพราะว่าโลกนี้มันยังไม่แตกง่ายหรอก มันยังจะรับการเกิดของมวลมนุษย์ไปอีก ยังมีป่าดิบ ดินแดนที่คนยังไม่ไปอาศัยอยู่ก็ยังมี ยังไปบุกรุกไม่ถึง ก็ไปต่อก่อน โลกนี้ยังไม่แตกหรอก คนเป็นสัตว์โลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่จะทำลายหรือสร้างสรรค์ เราก็ควรจะสร้างสรรค์ต่อไปอีก ผู้ที่จะทำร้ายเราก็อย่าไปต่อมือต่อแขนของเขา เราไปต่อมือต่อแขนของผู้ที่สร้างสรร ทุกวันนี้คนเข้าใจหมดแล้ว ยังมีคนที่ยังไม่เข้าใจอยู่บ้าง อาตมาคิดว่ามีน้อยแล้วนะ ลึกๆรู้ทิศทางแล้ว มนุษย์ในโลกนี้ กระแสการแสดงออกทางด้านติดลบก็จะลดลง ทางด้านผลบวกก็จะเพิ่มขึ้นเป็นไปได้ ไม่ว่าจะในโลกมุมไหนซอกไหน ก็มีได้ ผลบวกก็จะได้ เล็กๆในน้อยหรือมาก ตามเหตุการณ์ที่จะยืนยันขึ้นเรื่อยๆ
ผู้ที่ทำแล้วค้านแย้งกับสิ่งที่ควรจะเป็นไปในยุคนี้คุณก็ยังเป็นผู้ตกยุค ควรจะสร้างสรรก็ไปทำลาย คุณยังตกยุคอยู่ พวกนี้ก็จะถูกขัดแย้ง ก็ถ่วงกันอยู่อย่างนั้น เมื่อเกิดสิ่งที่เป็นสองสิ่งก็ยังหมุนต่อไปได้อีก ไม่ได้ออกนอกทิศทางจนไม่มีจุดศูนย์ไม่มีองค์รวมเป็นอุกกาบาต
อุกกาบาต ไม่นานก็จะถูกแรงดึงดูดไปทำให้แตกสลายไป แตกจนแหลกไป หรือถูกดูดเข้าไปอยู่ในกาแล็กซี่ใดกาแล็กซี่หนึ่ง ดาวดวงใดดวงหนึ่ง อยู่ในวงโคจรของจักรวาลใดจักรวาลหนึ่งเป็นมวลของมันไป มันก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ
เมื่อย่อเข้ามาถึงตัวคน ที่มีองคาพยพที่มีรูปนามเป็นอุตุนิยาม พีชนิยาม แล้วมีจิตนิยาม เป็นประธานเป็นตัวควบคุมแล้วจัดการทำให้เกิดกิริยาหรือกรรม แล้วกลายเป็นตัว static หรือธรรมะ กรรมก็เป็นตัว dynamic ธรรมะก็เป็น static เป็นธรรมะ 2 ตัวสุดท้าย วนไปวนมาพวกเราก็จะได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น
พวกไม่รู้ก็จะปรุงแต่งกันไป มาลองฉีกหน้า ความแหลกเหลวของพระพรหมเก๊กันดีกว่า
ศัพท์คำว่า พรหม แปลว่าความบริสุทธิ์ ขยายความพยัญชนะ จากคำว่าเทพ เทวดา
เทพมี 3 เทพ สมมุติเทพ คือเทพที่วนกับโลก ออกจากโลกไม่ได้มีแต่ใหญ่ขึ้นเล็กลงมีต่ำมีสูงมีเล็กมีใหญ่อยู่อย่างนี้โลกียะ หมุนเวียน ที่อาตมาสรุปความว่า เป็นสมบัติผลัดกันชมมันก็หมุนไปหมุนมาแย่งกันไปแย่งกันมาใช้หนี้กันไปใช้หนี้กันมา หมุนอยู่อย่างนี้จนนับกาละไม่ได้ ไม่รู้กี่ล้านๆๆๆ ชาติ จมอยู่อย่างนั้นไม่รู้ทางออก เมื่อมารู้ทางออกแล้วโอ้โห ไม่เอาแล้วความวนเวียนอย่างนั้น เรามาลดลงแยกธาตุให้สูญได้ มันสูญ ไม่คงอยู่นิรันดรหรอก จะบอกว่า ข้าเป็นความยิ่งใหญ่เป็นผู้บงการเป็นพระเจ้าหรือเรียกว่าพระพรหม
พระพรหมมีจริง แต่พรหมของพระเจ้าเป็น God เป็นของเทวนิยม กับของอเทวนิยม
พระพรหมของอเทวนิยมของพุทธ สลายตัวได้ไปอย่างนิรันดรได้ แต่พระพรหมของศาสนาฮินดู ศาสนาพราหมณ์ ก็จะเป็นนิรันดร แยกสลายธาตุของพระพรหมนี้ไม่ได้ เพราะเขาไม่รู้ในเหตุที่ทำให้เขาอยู่เหนือได้สูงสุด จนเป็นอิสระเสรีภาพเขาจะมีก็ได้ไม่มีก็ได้ จะอยู่ก็ได้สลายก็ได้ เป็นนายตัวเอง เป็นนายของทุกสิ่งทุกอย่าง จึงเรียกว่าพระเจ้าที่เหนือกว่าพระเจ้า โดยไม่ต้องยึดถือว่าตัวเองเป็นพระเจ้าและตัวเองจะต้องได้ ตัวเองสุดท้ายก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ มันไม่เที่ยง
….
พรหม 16 ชั้นเป็นความเก๊ ของความไม่รู้ เมื่อเรารู้ก็อนุโลมได้
พรหม 20 ชั้น
พรหมชั้น 1
ชั้นที่ 1 พรหมปาริสัชชาภูมิ เป็นพรหมชั้นย่อยสุด
ชั้นที่ 2 พรหมปุโรหิตาภูมิ หิตะ แปลว่าประโยชน์หรือความเป็นจริงที่ใช้อยู่ มันก็มีเพิ่มขึ้น ผู้ที่จะสามารถ ทำสองได้ก็มีอันอื่นเพิ่ม ก็เหนือกว่า ปาริสัชชา ที่ไม่ได้ตัวเองเหมือนกับอุตุ พีชะ มาเป็นสัตว์ก็เป็นบริวาร มันไม่รู้เหมือนกับดินน้ำลมไฟเหมือนอุตุนิยาม แม้มาเป็นพีชะแล้วก็กำหนดตัวเองกับคนอื่นไม่ได้มากมายอะไร แม้เป็นสัตว์ชั้นต่ำ ก็ยังถูกสัตว์ชั้นสูงครอบงำเป็นผู้จัดการได้ เป็นชั้นๆอย่างนี้
ชั้นที่ 3 มหาพรหมาภูมิ เป็นผู้มาควบคุมพรหมชั้นที่ 1 และ 2 มีประธานเป็นมหาพรหม เกิดเป็น cyclic สามเส้า หากว่าประธานไม่แข็งแรง ไม่แตกตัวเป็นอย่างอื่นอีก หรือไม่เสื่อมลงทำให้หมุนเต็มที่ เป็นพลังที่ไม่ลดไม่เสื่อมมันก็จะอยู่อย่างนี้ นานเท่านาน ถ้าลดลงนิดหนึ่งก็เสื่อมไปส่วนหนึ่ง ถ้าเพิ่มส่วนหนึ่งก็เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่ง ขยายเป็น 4 5 6 7 8 ก็จะเป็นพลังงานที่มากขึ้นทับทวี เกิดเส้าที่เพิ่ม จะเป็นตามธรรมชาติก็ตาม แต่มันก็จะช้ากว่าผู้ที่มีธาตุรู้ รู้จักสภาวะแล้วจัดสรรให้มันเป็นระเบียบได้แล้วก็ใช้ไปให้มันหมุนซ้ำซากนานแล้ว ถ้าเผลอให้มันลดพลังงานก็ไม่สมดุลเสื่อมได้ ถ้าเพิ่มขึ้นมันก็จะเผื่อพอได้ ปฏิภาณของธาตุรู้ตัวนี้มันก็จะมี เราจะเผื่อไว้ให้มันเจริญขึ้นเหมือนอย่างอาตมา ทำพลังงาน Coefficient ทำพลังงานให้เพิ่มขึ้นได้อีก เพราะในยุคนี้คนเราอายุแค่ 100 ปี กว่าจะอายุถึง 8 หมื่นปีก็ยังเพิ่มได้อีกตั้งเยอะ ถ้าไม่เรียนรู้ป่านนี้อาจจะตายไปแล้วก็ได้ ตอนนี้เพื่อนๆอาตมาก็ตายไปเยอะแล้ว
ทำไมมาเรียนรู้สัจธรรมความจริงอย่างที่ว่าก็จะไม่รู้เรื่อง มันก็จะเพ้อไปตามอารมณ์ตามอาการ ปาริสัชชา ปุโรหิตา มหาพรหม มีประธานแล้วใช้ 2 บริวาร ปุโรหิตก็เหมือนครูเหมือนหัวหน้าอีกอันก็เป็นลูกน้อง แล้วปุโรหิตจะมีลูกน้องมากหรืออย่างไรก็ไม่ลงรายละเอียด มหาพรหมก็คุมได้ทั้งหัวหน้าและบริวารเพิ่มขึ้นมาเป็นเส้าที่ 3 เป็นพรหมปริตาภา
ต่อมาอีก 3 เป็นพวกพระพรหมมีแสง เป็นสายสว่าง
ชั้นที่ 4 ปริตตาภาภูมิ มีแสงรัศมี ปริตคือน้อย อาภาคือแสงคือพลังงาน มีแสงน้อยเหมือน กัมมันตภาพรังสีที่อ่อนบางเท่าที่เราจะเอามาใช้ได้ เป็น nuclear fusion ที่จะดึงดูด เอามาใช้ทำงานได้ ส่วนที่พ้นไปที่จะรวมเอามาได้ก็สุดวิสัย ก็ต้องปล่อยไปเป็น nuclear fission เรามีพลังงานน้อยองศาน้อยมากจนไม่มีองศาเป็น 0 ได้
เมื่อเติมพลังงานไปอีกเรียก อาภา
ชั้นที่ 5 อัปปมาณาภาภูมิ อาภา เป็นสิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นไปอีก นับเป็นพลังงานก็คือเป็นแสง มากขึ้น ปริตตามันน้อย อัปปมาณาคือมาก มากหาประมาณมิได้ คือ เอาสองขั้วมาผูกกัน แล้วจะขยายเป็น 4 กลางคือ 2 ก็เรื่องของคุณแล้วหรือจะขยายเป็น 8 เป็น 16 ก็แล้วแต่คุณ หรือจะกลายเป็น 9 ก็ว่ากันไป
จากมากที่สุดกับน้อยที่สุดแล้วก็มาอยู่ในสภาพความมี ความมีคือแสง แสงสว่างเอามาอธิบาย ถ้ามีมากที่สุดเรียกว่าอาภัสรา มีน้อยที่สุดเรียก กิณหา
กิณหามีน้อยจนดำมืด ไม่เป็นแสงเลย ใช้อักษร ก กัณหา กับกิณหา เป็นไวยพจน์กัน ดำเหมือนกัน แต่กัณหาว่าจริงแล้วก็น้อยกว่า เพราะ สระ อะ กับ สระ อิ กิณหานี้มากขึ้นจากสระ อะ อา อิ สามเส้า นี้ มันน้อยจนอธิบายความต่างกันให้ได้รู้ละเอียด กัณหานี้ยิ่งยากใหญ่เลย จะไปเป็น กัณ หรือ กัน บางทีใช้ ณ เณร บางที น.หนู
หาก ณ ก็มี น ก็ไม่มี ในโลกนี้มี 2 อย่างคู่กัน มีกับไม่มีเท่านั้น
วรรค ต ถ ท ธ น
ต คือตั้งไว้อยู่ ถ คือ มี ท คือสภาพเต็มที่ ธ ก็สมบูรณ์กว่าอีก
ชั้นที่ 6 อาภัสราภูมิ คือสว่างสูงสุดแล้วไม่มีตัวกำหนดแล้ว เพราะฉะนั้นต้องมีคู่กันก็คือความดำ สว่างสูงสุดคืออาภัสรา
หมวด 3
ขั้นที่ 7 ปริตตาสุภา คือ อาภาก็แสง สุภาอีก ยิ่งใหญ่กว่าอาภาอีก มีรัศมี แต่ปริตตะ บอกว่าเป็นลำรัศมี ทั้งแท่งลำรัศมี อันก่อนเป็นแสงแค่นั้น
ขั้นที่ 8 อัปปมาณาสุภา มามากที่สุดแบบประมาณมิได้
ขั้นที่ 9 สุภกิณหาภูมิ คือการดับความรับรู้ตัวเองมืดไม่รับรู้อะไร เพราะฉะนั้นการที่จะไม่มีกับการดับ ไม่มีหรือตาย มันตายโง่คือตายอย่างกดทับดับดำมืด ทำความรู้สึกของเราไม่ให้รู้สึก คุณก็ไม่รู้สึกไปเรื่อยๆ เป็นทิศทางของความซื่อบื้อ สวนทิศทางของปัญญาตัวรู้จริงๆมันจะแยกตัวย่อยออกไปหายไปตายไป จนหมด จนรู้จักศูนย์ รู้จักมากแล้วลดลงมา จาก 4 ก็ลดเหลือ 3 แล้วลดเหลือ 2 จนกระทั่งเหลือ 1 เกิด cyclic ก็ยังไม่ตาย เดินอยู่ในระนาบก็ยังเป็นสองไม่เป็น cyclic เท่าที่คุณจะมีแรงให้มันเป็น ให้มันเป็นอย่างไร แต่ของเราสามารถควบคุมอำนาจของเราที่มันมี
สรุปแล้วสว่างกับมืด ถ้าเป็นพวกที่ไม่มีความรู้จริงก็หลอกตัวเองระหว่างสว่างกับมืด ท่านจริงใจภาษาว่าสุภกิณหา
มืด ปัญหาความไม่รู้ แต่อาภัสราคือสว่าง แต่ถ้ามากเกินจัดจ้านเกินไปก็หลอกต่อกันไปอีก มันขยายไปเรื่อยๆ แต่การดับมาหาดำดับ จนกลายเป็น ไม่สามารถรู้ตัวเองได้เลย กลายเป็นสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า
ตัวเองดึงตัวเองออกมาก็ไม่ได้ ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในนั้น มีพลังเท่าไหร่คุณก็จมอยู่ในนั้นนานเท่านาน เหมือนอาฬารดาบส อุทกดาบส มันไม่เห็นไม่รู้อะไรจะไปอย่างไรก็ไม่ได้ และพลังงานที่จะให้มันขับเคลื่อนในมุมมืด ก็ไม่มี มันก็เลยแช่นิ่งๆ ถ้ามันแห้งก็ไม่ดับ หากมีธาตุน้ำก็เน่า ถ้ามันไม่มีธาตุน้ำมันก็จะไม่เน่า เน่าคือมีธาตุแบคทีเรียหากไม่มีก็แห้งอยู่อย่างนั้น fossil เกาะตัวนานเป็นล้านๆๆๆชาติ หากจะกลายเป็นโลหะก็คือทอง คาร์บอนก็คือเพชร
ถ้าเป็นน้ำเป็น fossil มีนิวเคลียสจับตัวกันจนกลายเป็นน้ำมันเอามาใช้แตกตัวได้ นั่นคือตัวนิวเคลียสของน้ำ
นิวเคลียสของเพชร ของทอง ทุกวันนี้คนยังทำไม่ได้ เขายังทำอณูของเพชรของทองให้เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่เขาทำอณูของน้ำให้เปลี่ยนแปลงได้
สุภะ มันน่าได้ แต่ที่จริงมันไม่รู้ พวกโง่หน้ามืด มันมืดก็ยังอยากได้หน้าได้อีกก็เลยใช้ภาษาว่า สุภกิณหะ ทั้งที่มันมืดไปไหนก็ไม่ได้ก็ยังอยากได้อีก โง่ไม่มีงอกเงยเลย พวกอาภัสรายังมีวันเห็นวันรู้ แต่มืดนี่ไม่มีวันรู้เลย เห็นใจหมูป่าไปอยู่ที่มืดนานพอสมควร
ชั้นที่ 10 เวหัปผลาภูมิ คือวิมานล่องลอย เวหา เวหน มีผล ลอยลิ่วในเวหา คือแดนไกลสูงไปหา fission
ชั้นที่ 11 อสัญญีสัตตาภูมิ หมดความรู้สึกเลย ไม่รู้สึกอะไรเลย คือธาตุรู้ไม่มี ธาตุรู้ตัวเองไม่ใช่ดับแต่ไม่กำหนดรู้เลย ใช้พยัญชนะ อัญญาคือธาตุรู้ สัญญาคือการประกอบธาตุรู้ อสัญญี ไม่ประกอบไม่ทำธาตุรู้ขึ้นมาเลยทั้งที่ตัวเองมีสัญญาณมีธาตุรู้จะรู้ได้ แต่ตัวเองไม่ทำเพราะสุดดื้อด้านดื้อดึง
บอกให้ทำตัวเองหน่อยให้ขยับออกมาก็ไม่ขยับ มันก็ดื้อไม่ออกมาไม่ขยับ ก็ต้องปล่อยพวกนี้ศีรษะใครศีรษะมัน จะให้พัฒนาขึ้นไม่กระดิกเลย อาตมาพูดแล้วมันหนักใจตัวเองตรงนี้ไปนั่งหลับตาอยู่ทำไม ไม่กระดิกเลย เห็นใจอาตมาไหม มันดื้ออะไรโง่อะไรมันไม่เจริญแล้วมีแต่ดึกดำบรรพ์ ไปอีก เขาไม่เชื่ออาตมาพูดปลุกกระทุ้งให้ตื่นเสียที ทำแรงกว่านี้เขาจะตาย ก็ได้แรงเท่านี้ อาตมาก็ไม่อยากเป็นคนร้ายทำคนตาย ก็ทำประมาณนี้ แรงสุดแล้ว อาตมาพูดแก้ตัว ก็เป็นข้อด้อยอาตมา มันแรงนี้ไม่ดี น่าเกลียด แต่แรงอย่างนี้ก็ไม่กระเทือน เห็นใจอาตมาบ้างไหม ทำไมต้องแรงอย่างนี้ อาตมาเหนื่อยนะ แต่มันจะต้องทำ ไม่ทำก็ช่วยเขาไม่ได้
พวกคุณมาแล้วไม่เป็นไร ไปด้วยกันมาด้วยกัน แต่ที่ยังไม่มาอยากได้เพิ่ม ใครจะหาว่าอาตมายังอยาก ก็อาตมายังทำงานหากไม่มีอยากเลยก็ เฉื่อยๆ ไม่มีพลังงานเพิ่มเลย จะไปรักษาความสมดุลได้นานเท่าไหร่ แรงดึงดูดของโลกแรงดึงดูดสิ่งแวดล้อม แรงกระทุ้งกระแทกให้แปรปรวนมันทำกับคนตลอดเวลา คุณไม่สามารถรักษาสภาพไม่ได้หรอก อื่นๆมันเยอะกว่าตัวคุณเอง ตัวคุณเองจะใหญ่เท่าไหร่ ข้างนอกมันมากกว่าคุณเท่าไหร่ ไม่ว่าหวังร้ายหรือหวังดี หวังดีก็อยากให้คุณเปลี่ยนนะ
สรุปแล้ว อสัญญีกับเวหัปผลา เป็นตัวหยุดกับตัวเกินเท่านั้นเอง เวหัปผลาคือตัวเกิน แต่ตัวหยุดก็ไม่รู้จุดสิ้นสุดในการหยุดไม่มีใครรู้กับมันเป็นอสัญญี ก็มีสองพยัชนะที่ใช้แทนได้เท่านี้
พยัญชนะ เอ เว ตัว วิ เขาก็ใช้ เว หรือ
ย ร ล ว ห ตัว ห คือความจริง
ป คือตัวปฏิกิริยา ตัวเคลื่อนกระทำให้มีให้เป็น
ผ คือตัวสรุป ตัวผล
ล คือตัวหมุน จะให้เสื่อมหรือคงที่ให้เสื่อมก็อยู่ตรงนี้
ผ คือต้องผัสสะ ผ ต้องมี 2 มากระทบ เสมอๆ เกิดปฏิกิริยาขึ้น เป็นผล
กิณหา มีตัวตั้งกับตัวจบ มันมีตัวเกิดกับศูนย์ ห คือหลงว่าจะเอาตัวสูญกับตัวมีมารวมกันทั้งที่มันไม่มี ก ก็ไม่มี น ก็ไม่มี เรามีความสามารถก็ทำให้มันไม่มีด้วย เราเป็นพระเจ้า เราทำเองมีเองหรือไม่มีเอง
นี่คือพรหม 11 ชั้น
ชั้นที่ 12 อวิหาสุทธาวาสภูมิ คือผู้ไม่เสื่อมจากสมบัติ อ คือความจริง ว คือพลังงานตัวที่ 4 ของวรรคนี้ ถ้ามี วิ คือตัวที่สามของ อะ อา อิ ก็เลยมีตัวที่มาต้านเอาไว้ คือ อ คือตัวฉลาดที่ 1 เลย อะ อา อิ อี พลังงานที่ 1 เลยคือเศษสระ สระตัวต้นสุดคือ อะ
อะ มาจาก 0 พยัญชนะที่เกิดจาก 0 มาใส่หัวเข้าไปหน่อยนึงพลิกกลับมาเป็น 1
อะ คือ วงกลมหรือวงรีก็ตาม ถ้าทางตะวันตกจะรี ถ้าตะวันออกจะกลม ใส่หัวมันหน่อย มันเท่ากับห้อง แล้วก็มีตัวเกิดแตะอยู่ที่ผนังห้อง ของ protoplasm ที่มี cytoplasm หนึ่งอันเกิดมาแล้วเป็นจุดหนึ่ง ในห้องที่เล็ก จนขยายห้องโตขึ้นมีพลังงานมากขึ้นแล้วขยายตัวและขยายห้องเพิ่มขึ้น จน protoplasm ที่มี cytoplasm โตขึ้น จนกระทั่งจนไม่ไหวแล้ว หากคนรู้ได้ก็เอาออกมาจัดการผ่าออกมาก่อนได้ ถ้าได้ static แล้วจะทำพลังงาน dynamic มาจับความหมุนของแกนได้ ถ้าสะสม static เป็น100 ก็เคลื่อนได้ง่าย แต่ถ้าคุณไม่รู้ล่ะ สะสมเข้าไปมาก
เช่น ถ้าคนไม่รู้สะสมไปถึงพันแต่ dynamic ของคุณมีนิดเดียวก็เข็นจำนวนพันนี่ไม่ขึ้น หากไม่สร้าง dymanic ให้มีพลังงานมากพอกับ static คุณก็ขึ้นมันไม่ได้ พวกเจโตถึงได้ช้า
เหมือนก้นห้อยที่วนไปขึ้นไปสูงขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ถ้าไม่รู้มันก็จะวนไปกลับมากลับไปไม่สูงขึ้นได้ ของพระพุทธเจ้าจึงเป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์ ทั้งบนล่างสูงต่ำซ้ายขวา มันครบครัน ครบมุมเหลี่ยม เป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์
ผู้ที่ประดิษฐ์อักษรไทยก็เอาความรู้จักภาษาบาลีมาปรับใช้ มาเป็นรูปไทยก็มีรากฐานมาจากเดิมอีก
เราไม่รู้ว่า คนเอารูปเดิมมาปรับปรุงคือใครบ้าง แต่อาตมาเป็นคนหนึ่งที่ร่วมกับปรุงแต่ไม่รู้ว่าคนต้นเดิมที่เอามาปรับนั้นคือใคร แล้วมีใครบ้าง
_มีคำถามว่าพรหมชั้นไหนที่จะมีลักษณะนิพพาน อิสลามเป็นพรหมได้หรือไม่?
ตอบ…ได้ ถ้าเข้าใจความหมายรายละเอียดของพรหมนี้ เช่นอาตมาพูดว่า การฆ่าสัตว์ไม่ว่าจะเป็นศาสนาไหนก็เป็นบาปแต่เขาไม่ถือเขาไม่รู้ก็ได้บาปได้กรรมวิบากเขา แต่เขาไม่รู้เท่านั้นเอง แม้ที่สุดเขากินเนื้อสัตว์เขาก็เป็นบาปตามสัจจะที่มันมี แต่เขาไม่รู้ เขาก็มีวิบากของเขาไป อาตมาไม่มีเวลาจะไปตามคุณคนเดียวมาฟัง คุณก็โง่ของคุณไปเถอะ นี่ไม่ใช่ใจดำนะ คุณเองก็พยายามทำความเข้าใจเสียบ้าง หากไม่เข้าใจก็จะต้องไปไกลหลงนาน เรารู้ว่าก็อย่างนี้ได้ก็ช่วยคนนี้ช่วยได้ก็ช่วย ศีรษะใครศีรษะมัน คุณก็ช่วยตัวเองในการมาหาเราบ้างสิ ก็อธิบายไปเฉลี่ย ให้แน่นกลางและรวม เท่าที่อาตมาจะมีพลังงานทำได้
ชั้นที่ 12 อวิหาสุทธาวาสภูมิ คือมันสูง สว่างกระจาย
ชั้นที่ 13 อตัปปาสุทธาวาสภูมิ ไม่ตรงกันข้ามกับอวิหา เข้ามาหาตัวตน ต คือตัวตน อ คือไม่ ป คือกริยา ต คือตัวตนตัวสภาวะ อ คือไม่ตัวปฏิเสธ ป คือมีปฏิกิริยา
อตัปป มันก็จะพยายามเป็น เราต้องพูดว่าตัวมีนะ ตัวไม่มีก็ต้อง อตอ แต่นี่มัน อตัปปะ
มันก็คือตัวมี ที่ไม่ใช่สว่าง มาหาก้อนแท่งดำมืดแน่นๆ อตัปปา ไม่เอาสว่างเกิน มืดก็ไม่รู้เรื่องต้องทำให้มันเห็นจึงเรียกว่า ทัสสะ ทัสสี ทัสสา
ชั้นที่ 14 สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ แปลว่าผู้งดงามน่าทัศนา
ชั้นที่ 15 สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ อันนี้ยิ่งใหญ่เลย
ชั้นที่ 16 อกนิฏฐสุทธาวาสภูมิ อันนี้ไม่เป็นน้องใครเลย ไม่ได้บอกใครเลยไม่มีความด้อยใหญ่สูงที่สุด นั่นคือพรหม ไม่ด้อยกว่าใคร
จะเรียกว่าดำมืด แสงสว่างกับมืด มีตัวตนกับไม่มี จะใช้พยัญชนะแทนสภาวะหรือจะใข้คำว่า ครุกับลหุ หนักกับเบา เร็วกับช้า
ช้า คือ อารามตา
เร็ว คือ ขิปปา
มันก็มีสภาพที่คู่กัน เร็วกับช้า นานกับเร็ว มันก็ขยายสภาวะมิติต่างๆของสิ่งที่มันจะเป็นไป สุดท้ายก็จบ
สุทธาวาสก็เป็นเรื่องของรูป รูปพรหม 16 รวมแล้วตั้งแต่ ปริสสะ บริวาร จนกระทั่งมาถึงนายหรือครูปุโรหิตา จนมีคนคุมนายอีก มหาพรหม
ต่อมาขยายมากยิ่งขึ้นไป ปริตตาภา อัปปมาณาภา อาภัสสรา
จนขยายมากขึ้นเป็น เส้าที่สาม ปริตตาสุภา อัปปมาณาสุภา แล้วเป็น สุภกิณหา
มาขยายเป็น เวหัปผลา อสัญญี
อตัปปาก็ทิศเดียวกับอสัญญี อวิหาทิศเดียวกับเวหัปผลา
แล้วพอรู้เพิ่มเป็น สุทัสสา สุทัสสี ก็เหลือ อกนิฏฐา ครบ 16
ใช้สภาวะไปสื่อภาษา ใครไปหลงมีก็หลงอยู่ใน 16 ชนิดนี้ ใครจะอธิบายได้ละเอียดกว่า 16 ชนิดนี้อีก ขณะนี้ก็พออยู่พอกินแล้ว สบายแล้ว สุขสมทุกๆอย่างนี้หมดสิ้นได้ ตามพยัญชนะเหล่านี้
อรูป อีก 4 เป็นอรูปพรหม
อรูปพรหม
1.ชั้นที่ 17 อากาสานัญจายตนภูมิ อากาศ ว่างเป็นรูป
2.ชั้นที่ 18 วิญญาณัญจายตนภูมิ
3.ชั้นที่ 19 อากิญจัญญายตนภูมิ
4.ชั้นที่ 20 เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ
วิญญาณเป็นนาม รวมขยายจากธาตุรู้เป็นเวทนา สัญญา สังขาร ขยายเป็นเวทนา 108 ได้อีก ก็ล้วนแล้วอยู่ในตัววิญญาณทั้งนั้น สัญญาจะเป็นสัญญา 10 จะเป็นสัญญาอะไรอื่นๆอีกเยอะแยะพิสดาร สังขารก็มาเป็นกายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร ส่วนเราจะทำอภิสังขารให้มันมีหรือไม่มีคุณก็แยกย่อยเอา เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านรับผิดชอบคือ ไม่ให้มันสุขหรือทุกข์ เพราะว่ามันถูกแล้วจะทำลาย แต่สุขมันก็ไม่สูญ ท่านจึงให้จัดการ สุขก็ไม่เที่ยงทำให้มันสูญ พยัญชนะสุขเองมันก็สูญ สุ คือดี ข คือว่าง พยัญชนะก็สื่อสภาวะอีก สุ คือดี แต่ ข คือว่าง ไม่มีนี้มันดีกว่า แต่ถ้าจะอนุโลมก็คือมันมี แล้วจะมีอะไร ก็มีสิ่งที่ว่างๆนั่นแหละดี ใช้พยัญชนะสื่อแทนสภาวะกัน
อากาศคือว่าง ยังมีธาตุรู้อยู่
อากิญคือนิดน้อย
เนวสัญญา นาสัญญา สัญญาคือธาตุรู้ตัวกำหนดรู้ เนวสัญญากับ นาสัญญา นาแปลว่าต่างๆ เนว แปลว่าจะรู้ก็ไม่ใช่ไม่รู้ก็ไม่ใช่ คือประเภทตัวรู้ที่เป็นกระเทย มันรู้ครึ่งหนึ่งไม่รู้ครึ่ง มันเป็นธาตุ 2 กำหนดรู้ยังไม่เด็ดขาด เนวสัญญา เพราะฉะนั้นต้องทำให้รู้ไม่รู้ไม่ได้ ต้องพ้นความไม่รู้ให้ได้ คุณต้องทำตนเองให้รู้รอบเลย นาสัญญาคือต้องรู้อะไรต่างๆตั้งแต่ หยาบ กลาง ละเอียด จนกระทั่งถึง 1
1 นี้รู้บ้างไม่รู้บ้างรู้มากกว่าครึ่ง หรือรู้น้อยกว่าครึ่ง รู้มากกว่าไม่รู้ หรือไม่รู้มากกว่ารู้คุณก็ต้องทำให้รู้ให้หมด ไม่รู้ไม่ได้ ทำให้ทะลุเลยไม่รู้ไม่มี ก็เป็นสัญญาเวทยิตตัง นิโรธังโหติ คุณก็จบโหติ แท้แน่ ด้วยการสัญญากำหนดรู้ เวทยิตตัง ความรู้สึกหรือธาตุรู้ทั้งหลาย เวทยิตตะ คุณเคล้าเคลียอารมณ์นี้เจาะไชสัมผัสให้หมด ไม่มีเอกเทศในไหนที่เราจะไม่รู้ เหมือนน้ำจุณสี เราไปแช่ ให้น้ำจุณสีไปซึมได้ทุกเอกเทศไม่มีรูขุมขนได้เลยที่อันนี้จะไปไม่ถึงมันถึงหมดรู้หมด พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเหมือนจุณสีที่แช่น้ำแล้วซึมซับไป ไม่มีที่ไหนที่จุนสีจะไปไม่ถึง รู้หมด เนวสัญญา นาสัญญา กำหนดรู้ตัวนี้ เนว
น คือไม่มี ว คือ มี
เนวะ น คือตัวปฏิเสธ เป็นอักษรตัวไม่มีปฏิเสธสูงสุด
ว คือพฤติกรรมตัวที่ 4 ของพยัญชนะเศษวรรค อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ ตัว เอ เป็นพลังงานตัวที่ 7 Coefficient แรงมาก ดื้อก็ดื้อมากจะให้ 0 ก็ยากดื้อก็ดื้อมาก เอาให้ลงได้ยาก สูงก็สูงได้มาก ไปได้เร็ว ไป 8 9 ก็หากไม่มีเส้าที่สามก็ 0 จบหรือจะไปต่อก็แล้วแต่คุณ 0 คือตัวลงตัว แต่ถ้าพลังงานสูงสุดก็คือ 9 ตัว 7 ก็คือพลังงานที่จะไปหา 9
แต่ตัว 7 นี้เอายากกว่าจะออกจาก 6 มาได้ จากอนิยตโพธิสัตว์จะมาหานิยตโพธิสัตว์ก็ยาวนานมาก เหมือนกับสกิทาคามีจะไปอนาคามีก็ยาวนานมาก
ภาษาพูด วิญญาณคือธาตุรู้ อากิญจัญคือมีนิดนึงน้อยหนึ่ง อากิญจัญญาคือไม่รู้ว่ามีก็ได้ ต้องทำความรู้ให้หมดความไม่รู้ อากิญมันไม่รู้ มาเป็นเนวสัญญานาสัญญา ใช้สัญญากำหนดรู้อัตตาต่างๆโลกต่างๆจนรู้หมด หมดนาสัญญาเหลือตัวที่ต้องจัดการคือ เนวสัญญา
เอ คือสระตัวที่ 7 ใน อะ อา อิ อี อุ อู ตัวที่ 7 คือ เอ
สรุปว่า เอ คือเอกคือ 1 เอา ก ไปเติมให้เป็นหนึ่งเท่านั้นเอง เป็น เอกะ เอสะ เอวะ ต่างๆ
เมื่อสภาวะของ เอ นี้ มากกว่านี้ก็เป็น โอ สระบาลีมีแค่นี้ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ ตัว เอ มาขยายความเป็น อำ ไอ ใอ เอา อีก เอือ ก็มีเพิ่มไปอีก
รู้มากก็อยากนาน แต่ถ้ารู้แล้วสามารถจบได้ก็รู้มากได้ มีแกนนิ่งได้แล้วก็รู้เพิ่มได้ อย่าไปโลภมากจนสัดส่วนไม่ดี หากสัดส่วน dymanic กับ static มันไม่พอก็จะหลุดวงโคจรไปเป็นอุกกาบาต ซวยตายเลย
อาตมาพยายามอธิบายพยัญชนะโดยสภาวะ พวกเราก็มีฐานรองรับก็เลยสนุกพูดกันได้ แต่ถ้าคนที่ไม่มีแล้วก็น่าสงสารก็น่าเห็นใจ เขารับไม่ติด ไม่รู้เรื่องด้วย
ถ้าอาตมามีคุณธรรม 12 ประการอย่างนี้คุณจะพอว่าอาตมาเป็นอรหันต์ได้ไหม ก็ลองฟังดูว่าจริงไหม ถ้าคนไม่มีอคติอะไรก็จะพิจารณาได้ว่าจริงไหม
คุณลักษณะ 12 ของ พระอรหันต์ผู้มีอิสระยิ่ง .
-
เป็นคนหมดทุกข์ (ดับทุกข์อริยสัจ)
-
เป็นคนไม่มีภัย
-
เป็นคนมีคุณค่า
-
เป็นคนทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นถ่ายเดียว (ไม่เพื่อตัวตนเลย)
-
เป็นคนไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง
-
เป็นคนมีเมตตาจริง
-
เป็นคนมีอุเบกขาจริงแท้
-
เป็นคนไม่ทำบาปแล้ว
-
เป็นคนทำแต่กุศล ไม่ต้องทำบุญแล้ว ไม่มีบาป(อกุศล)แล้ว
10.เป็นคนได้ประโยชน์ตนครบแล้ว ไม่มีประโยชน์ตนที่ต้องทำให้ตนอีกแล้ว ตน คือครบแล้ว ต คือตั้งอยู่ น คือไม่มี ตน คือไม่มีที่ตั้ง แต่ใช้พยัญชนะว่าตน พูดกันอย่างภาษาสมมุติมันมี แต่โดยจริงๆแล้วมันไม่มี ขณะนี้พูดกันด้วยพยัญชนะอาตมาก็มีคุณก็มี แต่ปรมัตถ์ของอาตมานั้นมันไม่มีนะ ตนะ นะ
-
เป็นคนรู้จักสวรรค์ นรก นิพพาน ถูกถ้วน
-
เป็นคนรู้จักและมีนิพพานสัมบูรณ์