610714 สงบสมถะ กับสงบปัสสัทธิ มีนัยยะต่างกันไฉน
พ่อครู : มัน มันมาจากคน คนน่ะ ชอบหาเรื่อง ถ้าไม่มีคนก็ไม่มีควัน
ส.หนักแน่น : ทำไมถึงมีคน เพราะโง่เหรอ
พ่อครู : เขาก็นักทำรายการ ไม่รู้เหรอ นี่รายการนะเนี่ย ไม่ใช่ของธรรมดาออกรายการหนึ่งนะ ทำรายการซึ่งเป็นรายการที่คนพวกนักทำรายการทำยาก เขาจะทำก็คนที่จะทำรายการแบบมีเชิงนี้ก็ต้องเป็นพวกที่ไปถ่ายภาพที่พวกพงไพร พวกอะไรนี้ พวกชีวิต
ส.แสนดิน : discovery
พ่อครู : discovery ต่างๆ นั่นมันแกะไม่ออกจากคนไทย แม้แต่นักปฏิบัติธรรม นักศึกษาทางธรรม ว่านั่งหลับตามันไม่ใช่ เขา เอ๊ เขาเข้าใจไม่ได้ ถ้าเผื่อว่าอ่านมหาจัตตารีสกสูตร แค่นั้นจริงๆนะ อ่านโดยทีเรียกว่า สมมตินะ สมมติว่าคนไม่รู้จักเลยนะ เรื่องสมาธิ เรื่องอะไร ใครก็แล้วแต่ มันอาจจะบอกว่าสมาธิจะเป็นยังไง ถ้าให้ไปอ่านมหาจัตตารีสกสูตร จบปั๊บ เขาจะรู้เลยว่า อ๋อ สมาธิ ปฏิบัติ 7 องค์นี่เนอะ แล้วมานั่งหลับตาสมาธิเขาจะรู้สึกงงเลยเนอะ
ส.ดินไท : นั่งหลับตา
พ่อครู : แล้วมานั่งหลับตาไปทำนาได้ไง
ส.ดินไท : เขาก็นั่งดูลมหายใจ
พ่อครู : อ้าว ไปทำนา แล้วหลับตาทำนาได้ไง หลับตาขับรถ สัมมาอาชีพอย่างเนี้ย หลับตาขับรถ อย่างเนี้ยพวกกัปตันๆ เครื่องบินอย่างเนี้ย อ้าว กัปตันเครื่องบินหลับตาขับยังไม่เท่าไหร่
ส.ดินไท : ลืมตาเขาก็มี เขาก็ลืมตา ดูลมหายใจไปด้วย ลืมตาทำงานไปด้วย ละก็ทำไรก็จดจ่อกับสิ่งนั้น ไม่ฟุ้งซ่าน
พ่อครู : เออ อันนี้ผิด ที่จริง สมาธิ ของพระพุทธเจ้า อย่างที่ว่านั้น ไม่ได้หลับตาหรอก ทำงานอะไร ทำอาชีพอะไร พูดอยู่ อะไรก็แล้วแต่ แล้วให้พิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ไม่ใช่ให้จดจ่อ เพ่ง มันเพ่งเหมือนกัน มันconcentrate เหมือนกัน หลับตาก็ concentrate ลืมตาก็ concentrate แต่ว่า concentrate ต่างกัน มีนัยยะต่างกัน concentrate ของไอ้นั่นเขามีเป้า ของพระพุทธเจ้า กายในกายคือ รูปกับนาม รูปกับนามคือ หนึ่ง คือ ปสาทรูปของเรากับโคจรรูป มันเริ่มทำงานสัมผัส สัมผัสแล้วก็เกิดเวทนา พออันแรกรูปกับนามสัมผัสเกิดเวทนา ตามปฏิจจสมุปบาท รูปกับนามหรือกาย กายกับจิต ที่จริง กายเนี่ย มันอยู่กับเนื้อตัวเรา แต่มันมีรูปอยู่ต่างหาก รูปี รูปานิ ปัสสติ เราต้องเห็นรูป ผู้มีรูปจะต้องเห็นรูป เพราะงั้นมีรูปต่างหาก มีสิ่งหนึ่ง เสียงก็เป็นรูป กลิ่นก็เป็นรูป ไอ้ที่จะมาแตะลิ้นเราก็เป็นรูป ไอ้ที่จะมาสัมผัสเสียดสีร่างกายเราก็เป็นรูป แล้วเราเมื่อสัมผัสเข้าก็จึงจะเกิดเวทนา ก็พิจารณาเวทนาในเวทนาให้ดี พิจารณาเวทนาในเวทนาก็แยกกิเลสให้ออก ทำกิเลสลดให้ได้ แยกกิเลสให้ออก ก็คือแยกจิต เวทนาก็คือแยกจิต เอาอกุศลจิตออกไปจากที่จิตเรา ที่มันเป็นตัวเหตุให้เกิดเวทนาเอง แล้วก็กำจัด ๆ ตัวเหตุนี้ จิตในจิต กำจัดตัวเหตุเสร็จก็ลงเป็นธรรม ธรรมในธรรม ถ้าเผื่อว่ามันไม่ได้เป็นอย่างนี้ อ่านอย่างนี้ไม่เป็น ทำอย่างนี้ไม่เป็น ธรรมในธรรมมันก็เป็นโลกียธรรม ไปนั่งสะกดจิต จิตมันก็ได้รวมได้อะไรก็เป็นธรรมเหมือนกัน เป็นผลของธรรมะที่ช่วย เป็นผลธรรมเหมือนกัน แม้นเรียกว่าวิมุติ ก็วิมุติแบบเขา วิมุตแบบสะกดจิต เป็นเคหะสิตะวิมุติ เป็นเคหะสิตะแบบอุเบกขา มันก็เฉยมันก็นิ่ง จะเฉยอย่างดำ หรือเฉยอย่างสว่าง อาภัสรา หรือ สุภกิณหา ก็เท่านั้นเอง ส่วนของพุทธนั้นวิจัยเลย สัมผัสอะไรก็วิจัยออกมา จับเอาตัว รวมก็คือเวทนาปลอม เวทนาเก๊ ไม่ให้มี แท้ก็คือ เหตุก็คือ จับตัวกิเลสให้ได้ แล้วกำจัดกิเลสให้ได้ เวทนาปลอมก็หายไป เวทนาเก๊ก็หาย เมื่อฆ่าตัวเหตุแล้ว มันก็มีแต่เวทนาแท้ รู้ความจริงตามความเป็นจริง ก็จบ
ส.แสนดิน : ผลของมันดูเหมือนจะ เหมือนกันแต่ไม่เหมือนนะครับ ผลของความสงบ ของจิต
พ่อครู : ใช่ สงบของจิตมันมีอุเบกขาเวทนา เป็นตัวสงบเหมือนกัน
ส.แสนดิน : สงบ สมถะก็ได้ เหมือนกัน
พ่อครู : ได้ แต่วิธีการ มันต่างกันที่ วิธีการทำสงบอย่าง สงบสะกดจิตเคหสิตะ มันก็สงบ สงบเนกขัมมะสิตะ ก็ไม่ได้สะกดจิต เพราะฉะนั้นจิตมันจึงยิ่งเป็นกายะปาคุญญะตา จิตมันยิ่งแคล่วคล่องว่องไวขึ้น เพราะไปล้างไอ้ตัววุ่น ตัวที่มัน nuisance ตัวที่มันทำร้าย ตัวที่มันมาทำให้พลังงานจิต ลดพลังลดประสิทธิภาพลง
ส.แสนดิน : ตั้งแต่ตอนที่มาปฏิบัติธรรมกับพ่อท่านใหม่ๆ ก็ยังรู้สึกว่า ผลของสมถะแบบนั้น ที่เคยทำกับแบบนี้ มันสภาวะจิตก็จะเหมือนกัน แต่จริงๆ มันไม่เหมือนฮะ
พ่อครู : ที่ๆ ปฏิบัติต่างกัน คุณสมบัติก็ต่างกัน
ส.แสนดิน : คุณสมบัติของจิตที่มันสงบ
พ่อครู : สงบก็ต่างกัน ตรงเคหะสิตะ สงบโดยสมถะ สะกดจิตลงไปนี่ มันสงบนะ มันสงบคือมันแข็ง มันทื่อ มันเฉื่อย แต่สงบอันนี้ มันเรียกโดยภาษาว่าสงบจากกิเลส กิเลสมันไม่มี มันหายไป มันก็เลยหมดตัวที่จะวุ่นวายเลยกำจัดตัวโจรไป
ส.แสนดิน : มันเลยรู้สึกโล่งว่าง
พ่อครู : มันจะสงบ สงบมัน คนละอย่าง ไอ้ตัวนั้นมันเกาะกุมแท่งก้อนไปเลย ไอ้นี่มันจึงมีกายะปาคุญญะตา มันจึงมีความแคล่วคล่องของ เวทนา สัญญา สังขาร ความแคล่วคล่องของสามเจตสิกนี้อย่างสมบูรณ์แบบ สงบแต่ยิ่งคล่อง ไอ้นี่สงบยิ่งเฉย ยิ่งแข็ง ยิ่งทื่อเลย มันต่างกัน สงบต่างกัน
ส.แสนดิน : แต่เขาก็รู้สึกอิ่ม มีความสุข
พ่อครู : จริงๆแล้วอันนี้เขาไม่เรียกสงบสมถะ เขาเรียกสงบปัสสัทธิ ของศาสนาพุทธ เรียกสงบปัสสัทธิ สงบอันนี้ สงบสมถะ
ส.แสนดิน :คนเลยแยกยาก ถ้าไม่เคยทำแบบ
พ่อครู : ไม่เรียนอย่างละเอียด
คุณเจมส์ : เขากดข่มตั้งแต่ตั้งกติกาว่าต้องใส่ชุดขาวเท่านั้นไปวัด เขาก็คือพยายามตัดรอบจากการทำงานชีวิตเขา แล้วก็กระโดดเข้าไปเป็นเครื่องแบบแล้วไปนั่ง ไม่คิดเรื่องงานเรื่องการ แค่สงบตรงนั้น สมถะ
ส.แสนดิน :คนมาเป็นนักบวชอโศกก็เหมือนกัน ถ้าๆเข้าใจแบบนั้น เข้าใจแบบสงบสมถะก็จะอยู่กับอโศกไม่ได้ เพราะว่าพ่อท่าน
พ่อครู : พาทำงาน
ส.แสนดิน : แม้แต่ใส่ชุดอย่างนี้พ่อท่านก็ไม่ได้พาให้เราอยู่เฉย ออกไปชุมนุมเอย วิจารณ์การเมืองเอย ถ้าความเห็นต่างกันมากๆอยู่ไปนานๆมันไม่ไหวเหมือนกัน
พ่อครู : อยู่ไม่ได้
ถอดความโดน…ในสวนดาว