610726_รายการสำมะปี๋ซีวิต บ้านราชฯ ตอน 1
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://drive.google.com/open?id=1hysUjWH_MMjRDXEbRi6lKSoHfCq5YzugAXV-ISXnyUU
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=128cPr-G64B8QYXtmt6N–Z_lRZshiNZj
พ่อครูว่า…วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม 2561 ที่บวร ราชธานีอโศก แต่ก่อนไมค์มันยาวๆ มันมีไมค์กับตุ้มยาวๆ นักร้องก็ร้องที่ตุ้มไม่ได้ร้องที่ไมค์ สมยศ ทัศนพันธุ์ อาตมาเป็นนักรัองไม่ได้ตามตุ้ม อาตมาเป็นโฆษก
(ถามว่าจะเริ่มรายการตอนไหน)…พ่อครูว่า…อยากจะถ่ายเมื่อไหร่ก็ถ่าย คุณไม่ถ่ายก็มีนิพัทธทุกข์เอง ทุกข์มี 6 ชนิด ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้เช่นปวดขี้ปวดขี้ พระพุทธเจ้าก็ต้องมีประจำชีวิตเอาทิ้งออกไปไม่ได้มันเลี่ยงไม่ได้ ทุกทีเลี่ยงได้มี 4 ส่วนทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ก็มี 6 วันนี้วันที่ 26 กรกฎาคม 2561 july เข้ารายการตั้งนานแล้ว พรุ่งนี้ก็อาสาฬหบูชาและ แรม 1 ค่ำเข้าพรรษา ปีจอ ปีเดียวกับที่อาตมาเกิด อาตมานี้เป็นหมากลางตลาด ต้องหากินเองไม่มีเจ้าของ ไม่มีใครเลี้ยง ต้องหากินเอง ต้องหลบบังตอเขาจะฟันเอา ก็ไปหากินต้องหลบน้ำร้อนเขาจะสาดเอา หมอดูเขาบอกไว้ อาตมาต้องทำงานช่วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นไม่มีใครเลี้ยงไว้
แต่ที่สุดแล้วนะทำงานมาตั้ง 47 ปี ย่าง 48 ปี ทุกวันนี้ อาตมาเห็นว่าเขามีคนเลี้ยงไว้ให้ ปรปฏิพัทธา เมชีวิกา ชีวิตนี้อาศัยผู้อื่นเลี้ยงเอาไว้ตามหลักของพระพุทธเจ้า ชีวิตนี้ให้คนอื่นเขาเลี้ยงไว้ไม่ต้องกังวล ถ้าเราไม่ดีจริง เราไม่ทำงาน เราทำงานไม่เป็นประโยชน์คุณค่าไม่มีอานิสงส์เพราะที่เขาจะเลี้ยงดูแลเอาไว้ เขาไม่เลี้ยงก็ตาย พระพุทธเจ้าให้พึ่งพาตนเองให้มีประโยชน์ ปฏิบัติธรรมตามธรรมวินัยจนคนเห็นประโยชน์ยินดีที่จะอนุเคราะห์เลี้ยงดูไว้ เป็นผู้ที่มีประโยชน์ต่อศาสนา อบรมตนอยู่ในธรรมวินัย มาบวชแล้วไม่สูญเปล่า
แต่ทุกวันนี้เขาไม่เป็นไร เป็นจารีตประเพณี เสร็จแล้วก็สร้างความหลอกลวง สร้างของไม่เป็นจริงครอบงำตามจารีตประเพณี พระปฏิบัติแย่ มีคนบอกว่าเสียงเบาไป พ่อครูว่าอยู่ที่เครื่องสิ อย่าให้ตะโกนมากกว่านี้ไปพลังงานมันจะหมด ฝ่ายเสียงให้ดังหน่อยไม่ต้องหวงหรอก
สมณะดินไทว่า…คนที่อยู่ทางบ้าน คนที่อยู่บวรอื่นๆ โทรศัพท์มาร่วมรายการจะได้ไหม
พ่อครูว่า…ได้
สมณะดินไทว่า..คงยาก เพราะว่าสัญญาณดีเลย์ ใครอยากมีส่วนร่วมก็ส่งคำถามมา
สมณะฟ้าไทว่า…สงสัยว่า ทำไมปีจอเขาต้องกำหนดเป็นปีหมาด้วย
พ่อครูว่า..ตอบไม่รู้ มันไม่ยาก เขากำหนดมาแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เขากำหนดเป็นปีนักษัตร ทำไมเขากำหนดก็ไม่รู้ เรื่องแบบนี้ยอมโง่ และไม่อยากค้นคว้าด้วย เขาจะให้ปีจอเป็นหมู่ ตีอะไรเป็นอะไรก็ไม่ว่าเราไม่เกี่ยงอยู่แล้ว ไม่มีปัญหา ที่จริงผู้ที่สร้างผู้ที่กำหนดเค้าไม่ทำอย่างชุ่ย เขาจะมีหลักเกณฑ์กันอยู่ เดือนมกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม เมษายนมันเป็นภาษาที่เก่าแกออกมาตามธรรมชาติ
สมณะเดินดินว่า…อยากจะถามต่อจากปีจอ เรื่องความหมายไม่ติดใจ พ่อครูว่า ชีวิตเกิดมาเหมือนหมากลางตลาด แต่เราดูศาสนาทุกวันนี้เราต้องพึ่งตัวเองเป็นหลัก
พ่อครูว่า..หมายความว่าต้องพึ่งพาตนเองเป็นหลัก
สมณะเดินว่า…ในเรื่องทานบารมี พ่อครูสู้แม้แต่ลุงจำลองไม่ได้ ที่จะมีคนมาช่วยเหลือมากกว่า แต่ความรู้สึกของผมรู้สึกว่า สปอนเซอร์มีน้อย เรามีแต่สปอนฉลาด คนที่มาช่วยก็ช่วยโดยไม่ได้หวังอะไรตอบแทน มาช่วยเพราะเห็นสัจจะ แต่ว่ามันก็มีความไม่สมดุลว่า ถ้ามีพวกสปอนเซอร์มาเยอะ
พ่อครูว่า…คนที่มาช่วยนี้ของผมมีแต่สปอนฉลาด
สมณะเดินดินว่า..การขยายการเติบโตก็ค่อนข้างจะช้า แต่ถ้าสปอนเซอร์มากการขยายการเติบโตจะรวดเร็ว
พ่อครูว่า…จริงๆแล้วการทำงานของศาสนา มันก็ไม่ได้อาศัย เงิน สปอนเซอร์ที่พูดนี้มันจะหมายถึงเงิน เอาเงินมาเป็นตัวทำงาน เป็นตัวบทบาท มันไม่ต้องอาศัยมากหรอก เรื่องนี้ก็ขอสาธยาย ในชีวิตของตัวเองดูบ้าง
อาตมาเกิดมา ปางนี้เป็นปางที่ต้องทำงานหนัก ต้องทำงานหลายอย่างหลายมิติ จะต้องสร้างแม้แต่ที่อยู่อาศัยเอง ขวนขวายสร้างไป จะเห็นได้ว่าอาตมาตั้งแต่บวชมา ไม่เคยไปจองที่สาธารณะที่ไหนตามที่พระท่านเคยจอง อาตมานี้เป็นพระปฏิบัติ พระปฏิบัติเขาไม่ใช่พระบ้านที่จะมีคนสร้างวัดวาให้ เขาจะไปแล้วค่อยสร้างที่อยู่อาศัยด้วยตัวเอง เรียกว่าวัดป่า จะสร้างเองไปใช้ที่สาธารณะ อาตมาไม่ได้ทำเลย ไม่ได้ไปใช้ที่สาธารณะ มีแต่จะไปใช้ที่ต้องขวนขวาย มีแต่ญาติโยมที่จะช่วยแล้วก็ต้องหาสตางค์ซื้อเพิ่มขึ้น ตั้งแต่ปฐมอโศก ก็ต้องไปซื้อต่อทั้งนั้น สันติอโศกก็ตาม ราชธานีอโศกก็ตาม ศีรษะอโศกก็ตามทุกแห่งเลย เขาให้เป็นเค้าหน่อยนึง เมื่อลงหลักปักแรงไม่พอใช้หรอก มันมีไม่ถึงร้อยไร่ มันจะต้องกว้างกว่านัน้
เพราะที่ๆจะสร้างนี้จะไม่เหมือนที่อื่นเขา ที่อื่นเขาสร้างพระปฏิบัติที่จะก่อเกิด เขาจะสร้างแต่วัด แต่อาตมานี้สร้างชุมชน อาตมาจะสร้างบวร บ้านวัดโรงเรียน ตั้งแต่เริ่มจนถึงบัดนี้ จะมีความเข้าใจมีจุดมุ่งหมาย มีกรอบมีวง มีสิ่งแวดล้อมที่จะทำงานของอาตมาจะต่างกับพระทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นพระบ้านหรือพระป่า เป็นลักษณะที่ลึกซึ้ง
ถ้าวัดป่านี้เจ้าอาวาสใหญ่ที่สุด แม้แต่วัดบ้านเจ้าอาวาสใหญ่ที่สุด อาตมานี้ไม่ได้ใหญ่ที่สุด ฆราวาสใหญ่สุดเลย
สมณะฟ้าไทว่า..มันเป็นเรื่องอจินไตยไหม เวลาเราซื้อที่ก็ซื้อแพงเวลาจะขายก็ขายไม่ได้
พ่อครูว่า…เราจะต้องเกิดมาเป็นผู้เสียผู้สละเป็นผู้ให้เขา เราไม่ใช่เป็นผู้ที่จะได้เปรียบเป็นผู้จะเอาจากใคร มีแต่จะเป็นผู้ให้ อันนี้เป็นเรื่องดี เป็นเรื่องจริง เราจะต้องเป็นเช่นนั้น เพราะฉะนั้นคนที่เกิดมาแล้วได้เปรียบเอาเปรียบได้ ได้เปรียบดี มีอะไรมาเลยมันไม่ใช่อาตมาว่า ไม่ใช่ตัวอย่างที่ควรเป็น นี่ถูกต้องแล้ว ถ้าจะซื้อต้องซื้อแพง จำเป็นเราก็ต้องซื้อ
คุณใจแก้วว่า…ฟังท่านเดินดินพูด ดิฉันคิดว่า พ่อท่านเป็นหมากลางตลาด พ่อท่านไม่มีสปอนเซอร์เยอะ แต่ว่าพวกเรานี้เป็นลูกของหมากลางตลาด มันให้ทั้งแรงงานและชีวิต มันเลยยิ่งกว่าเงินทองและวัตถุ เพราะแต่ละคนมาไม่มีเงินก็จริง แต่ว่าเป็นบริวารที่เป็นพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่มากเลยค่ะ
พ่อครูว่า…ดีมากที่เข้าใจ
คุณใจแก้ว…ไม่ต้องเอาเงินมา แต่ทุ่มเททั้งชีวิตเงินกี่ร้อยล้านก็ซื้อไม่ได้
สมณะฟ้าไทว่า..ลูกหมากลางตลาดต้องเอาตัวรอดเก่ง
คุณใจแก้ว…หนีน้ำร้อนมาเยอะ หนีปังตอ
สมณะเดินดินว่า…ต่อจากประเด็นคุณเข่ง..พวกเรามาจึงยิ่งใหญ่มาก ความยิ่งใหญ่มากรู้สึกจะเป็นปัญหากับศาสนาเหมือนกัน มีคนบอกว่าพวกเรา ถ้าทำสินค้าทำงานทำอะไร ถ้าเป็นระบบวัดนี้จะไม่ได้ เพราะว่าระบบวัดแล้วแต่แรงบันดาลใจของใครของ แต่ถ้าได้มาตรฐาน แบบทางโลกเขาจะยากมากเลย เพราะความยิ่งใหญ่ของแต่ละคนจะผลิตอะไรตามความยิ่งใหญ่ของแต่ละคน
พ่อครูว่า..ของเราไม่เหมือนมาตรฐานโลก เพราะเรามีการกำหนดหมาย มี Concept มีกรอบที่เรารู้ว่าเราจะต้องทำอย่างนี้ไม่ตามใจโลก
สมณะเดินดินว่า…แต่ละคนก็จะทำตามอัตตาตัวเอง
พ่อครูว่า..เราไม่ตามใจโลก แต่เรามาตามใจกู กูก็เลยคิดว่าตามคอนเซ็ปตัวเอง อย่างนี้ดีของตัวเองดี ใช่ อันนี้ก็ดีไง ถูกต้อง เป็นแต่เพียงว่าเราจะสร้างอัตตาตัวเรา ให้เป็นคนที่มีความหลุดพ้น ที่จริงจะต้องอาศัยอัตตาตัวเอง พระอรหันต์คือผู้ที่มีอรหัตตา เต็มไม่ลึกลับ อรหะ คือไม่ลึกลับแล้ว อรโห อรหะ แปลว่าไม่ลึกลับแล้ว อรหันต์ไม่ลึกลับในอัตตาท่านพ้นอัตตา 3(โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา) แต่ท่านยังมีตัวตนยังไม่ตายก็ต้องอาศัยอัตตาที่ท่านไม่ลึกลับในความเป็นอัตตา ท่านอยู่เหนืออัตตา การกินใช้ตัวตนที่มีปกติไม่มีกิเลสไม่มีความลำเอียง และไม่เข้าข้างใคร ท่านจะมีสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 ที่จะทำอย่างเหมาะควร เป็นกัมมัญญตา
พ.ต.ท.ดุลเพชร …อยากเล่าอจินไตยตัวเอง อาเทสนาปาฏิหาริย์ เราสามารถรู้บางสิ่งบางอย่างที่เรากำหนดได้ มันเป็นเฉพาะของตน บางทีเราสั่ง ส่งจิตให้บังคับเขาลงมา อย่างคนนี่ หรือกิ้งก่า เราดูคน คนไหนเป็นคนร้ายที่เราต้องตามจับตัว เป็นต้น
พ่อครูว่า…อธิบายให้เข้าใจตามหลักฐานเหตุผลแวดล้อม จริงๆให้เข้าใจเลยว่า ถ้าคนเราสามารถใช้พลังงานจิต เป็นพลังอำนาจเลย สั่งให้คนไหนมาหาเราได้ เราเก่งแล้วก็จะใช้อย่างนี้เลย
-
ถ้ามันได้จริงพระพุทธเจ้าก็ใช้ไม่น้อยแล้ว แต่ไม่เห็นว่าพระพุทธเจ้าจะใช้เลย ถ้ามันใช่จริง
-
ถ้ามันจะได้จริง มันก็ไม่ง่ายมันต้องใช้พลังงานมากและพลังงานสูง ถึงจะมีอำนาจมีพลังที่จะใช้ได้ เพราะฉะนั้นมันไม่คุ้มเลย เปลืองเสียเวลา เดี๋ยวนี้ไม่ต้องใช้หรอก กดเอาก็ได้แล้ว
พ.ต.ท.ดุลเพชรว่า..ช่วงที่ผมเป็นสารวัตรสืบสวน ก็เคยชัด
พ่อครูว่า…ตอบตามหลักวิชาก็ได้แต่มันไม่เที่ยงพลังงานพวกนี้
พ.ต.ท.ดุลเพชรว่า..ใครมารังแกดูถูกเหยียดหยามผมหรือทำร้ายส่วนมากจะอายุสั้นหรือตาย ขึ้นอยู่กับวันเดือนปีเกิดหรือไม่ผมเกิดวันอังคาร
พ่อครูว่า…เป็นเรื่องนอกที่ศาสนาพุทธเป็นอำนาจพิเศษอะไรพระพุทธเจ้าไม่ได้สอน เราอยาก เราเบ้ง เราได้เปรียบเรามีฤทธิ์ ให้มามองหาอนุสาสนีปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้า
พ.ต.ท.ดุลเพชรว่า.. มันเป็นบารมีของแต่ละคนใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า…พระพุทธเจ้าให้ทิ้งให้วาง ใครยังงมงายกับมันก็เป็นคนโง่ไม่อยากโง่ก็เชิญเถอะ แม้เราจะมีจริงก็อย่าไปทำอย่าไปยินดีมันไม่เป็นคุณค่าประโยชน์อะไร บางครั้งมันก็ได้อย่างพระพุทธเจ้า คนจะมาคิดร้ายกับท่านก็แค่ได้รับโทษภัยไปมันเป็นมันมี แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ให้ยินดียินร้ายอะไร มันเป็นอจินไตย อย่าไปจัดการกรรมวิบากอจินไตย ให้จัดการของตัวเอง เราจัดการตามคำสอนพระพุทธเจ้าเท่านั้นพอแล้ว ถ้าเรามีบารมีจริง ใครมาปองร้ายท่านก็จะแพ้ภัยตัว มันเป็นสัจจะ
ดุลเพชรว่า…ผมตั้งใจจะมาหาพ่อท่านก็รู้สึกจะสะดวกไม่มีอุปสรรคเลย ก็เลยโชคดี
พ่อครูว่า..เรามองแต่แง่ที่เราว่าเราได้แค่นั้น เก่ง เรามีความพิเศษ ความพิเศษมันจะหลง พวกนี้หลงติด มันจะเกิดจะมีเป็นบารมีไปเถอะ เราจะมุ่งเอาแต่แบบนี้มันไม่ดี เราอย่าไปเสียแคลอรี่กันแบบนี้เลย เอาพลังงานมาใช้ตามอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ตามคำสั่งพระเจ้า ท่านสอนว่าอย่าฆ่าสัตว์ อย่าลักทรัพย์ อย่าผิดผัวเขาเมียใคร อย่าพูดปด อย่ามอมเมาตัวเอง ในจุลศีล 26 มัชฌิมศีล 10 มหาศีล 7
พูดถึงศีลก็ขอฉวยโอกาสอธิบายหลักวิชา ทุกวันนี้ศาสนาพุทธไม่เหลือแล้วศีล มีแต่วินัย 227 แล้วเขาก็หลงวินัยว่าเป็นศีล ซึ่งมันผิด
วินัยเป็นกฎหมายอาญามีข้อลงโทษ แต่ศีลไม่มีข้อลงโทษ เป็นธรรมนูญเป็นสิ่งที่บัญญัติขึ้นมาให้คนระมัดระวัง ปฏิบัติตามให้ดี ทำไม่ดีก็ไม่เจริญ ถ้าดีก็เจริญเป็นอรหันต์ได้ พระพุทธเจ้าตั้งแต่สร้างศาสนาก็บัญญัติธรรมนูญมาเป็นหลักของศาสนา แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีความเข้าใจไม่เห็นความสำคัญทิ้งเลย จึงพูดได้เลยว่าศาสนาพุทธไม่เหลือ มันยังดีอยู่ตรงที่มีจารีตประเพณีที่มีศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 มันก็คือจุลศีล 26
ส่วนมหาศีลคือเดรัจฉานวิชาทั้งหมดเลย ศาสนาพุทธทุกวันนี้ มหาศีลมีเต็มไปหมดเลย แล้วถ้าไม่มี เขาถือว่าไม่ใช่ศาสนาด้วย พวกรดน้ำมนต์จุดธูปจุดเทียน สมัยพระพุทธเจ้าไม่มีการสวดมนต์ให้พร
ทุกวันนี้นักบวชอาศัยการสวดมนต์เป็นเครื่องหากินให้แก่ชีวิต
สมณะเดินดินว่า..พ่อครูคุยกับปัจฉาว่า จะพยายามไม่ให้รายการนี้เป็นทางการ พ่อครูเลยห่มจีวรแบบไม่เป็นทางการ
พ่อครูว่า..อาตมาก็ทำเอง จะถามอะไรก็ถามมาได้
สมณะหินจริง…พ่อครูวิดพื้นได้กี่ทีแล้วครับ
พ่อครูว่า…ตอนนี้ก็มาออกกำลังกายใช้วิธี ยึดพื้นบ้าง เพราะรู้สึกว่ากล้ามเนื้อตรงหน้าอกตรงแขนจะฟีบเหี่ยว หย่อนยาน ก็เลยคิดว่าจะช่วยมันหน่อย ก็เลยต้องวิดพื้น วันนี้วิดได้ 31 ครั้ง เพิ่มวันละครั้ง แต่ยังไม่ถึง 31 วัน ไม่ได้เริ่มต้นที่ 1 เริ่มที่ 10
สมณะหินจริงว่า…จะได้ถึง 50 ไหมครับ
พ่อครูว่า…ก็จะดูกำลังตัวเอง คิดว่า 50 ก็คงจะเป็นลิมิต ไม่น่าจะเกิน 50
สมณะหินจริง ผมลองเรียนแบบพระครูได้ประมาณ 20 ครับตอนนี้
พ่อครูว่า..คิดว่าคงจะประมาณ 50
มีคลิป….ให้ดู คลิปพระเทศน์แบบร้องเพลง …
คำถามแห้ง
_ทีม 13 หมูป่าบวชตามความเชื่อชาวพุทธเมืองไทยว่าจะได้บุญกุศล แต่ความเชื่อของชาวพุทธแบบอโศกบวชตลอดชีวิต ทำอย่างไรจะให้ทีมหมูป่าเขาทำได้บุญตามความเห็นของพ่อครู
พ่อครูว่า…การบวชคือการออกมาปฏิบัติธรรมตามธรรมวินัยของพุทธเจ้า บวชแล้วก็จะได้จีวร จีวรเขาเรียกว่าธงชัยพระอรหันต์ เป็นชุดที่เหมือนกับการมูรธาภิเษกของพระภิกษุ บวชแล้วก็มีฤทธิ์ พ่อแม่ก็ต้องกราบคนที่มียศศักดิ์ก็ต้องกราบ ได้อภิสิทธิ์หลายอย่าง เพราะฉะนั้นถ้าเอามาทำเล่น คนที่ได้จีวรคลุมตัวได้อภิสิทธิ์ได้เกียรติยศ ที่ประชาชนให้ ถ้าตัวเองยังเป็นคนไม่มีคุณธรรมคุณค่าพอที่เขาจะกราบ คนนั้นได้บาปตลอดกาล คนนั้นไม่มีคุณธรรมพอที่จะให้เขากราบ คนที่มียศศักดิ์ตำแหน่งหน้าที่ หรือพ่อแม่จะกราบก็ต้องมีคุณธรรม เพราะฉะนั้นบวชตามจารีตประเพณีมันก็เพี้ยนสลับซับซ้อน มันก็ไม่มีสัจจะความจริงอะไรเลย สรุปแล้วการบวชนี้ไม่ใช่เรื่องการทำเล่น ศาสนาเสื่อมเพราะทำการบวชและเข้าใจผิดโง่ๆ การเอาคนมาบวชเล่นนี้โง่ทุกคน
หนึ่งเราต้องรู้ว่าสมัครใจจะบวชและตั้งใจบวชจริง ส่วนมากจะไม่สึกหรอก บวชจนตาย คำขอบวช แต่เดี๋ยวนี้ตัดออกไปหมดแล้ว การบวชเลยกลายเป็นที่ทำมาหากิน คนมีอายุมากไม่มีทางหากินก็มาบวช เดี๋ยวนี้มีเยอะเลย 200,000-300,000 รูปคือพระที่ไม่มีที่ไป ก็เลยมาบวช ถึงมีความซ่อนเชิง บวช ตอนบิณฑบาตก็ใส่ชุด เมื่อเสร็จจากบิณฑบาตก็ใส่ชุดแบบฆราวาส ไม่ได้กลัวบาปกรรมเลย เป็นคนที่ได้บาปยังนรกกินหัวเต็มที่เลย การเอาเด็กมาบวชเณรนี้ก็ดี เอาผู้ใหญ่มาบวชพระก็ดี ยิ่งเอามาบวชเล่นบวชประเทืองบัลลังก์ตัวเอง เช่นธรรมกายจะเอาคนมาบวชเป็นล้านคน เป็นความทำลายศาสนาให้ฉิบหายวายป่วงด้วยความคิดที่โง่ บวชมาปุ๊บ พระที่ไม่รู้เรื่อง พระหนุ่มแน่นพระกลัดมัน เดี๋ยวมันก็อาบัติสังฆาทิเสสข้อที่ 1 ข้อที่ 2 ข้อที่ 3 ง่ายจะตายชัก เรื่องของกาม บาป และบาป สังฆาทิเสสนี้ไม่ใช่เรื่องยาก และเผลอๆ กิเลสมีมากก็สังฆาทิเสสง่ายมาก แล้วก็อยู่ปนเปกับพระปกติ ไม่อยู่กรรม ปิดบังหมกหมักหมมเน่าใจ อยู่กันอย่างนั้น เอาพระหนุ่มหนุ่มมาบวชกันเป็นร้อยคนพันคน รับรองเลย พระพวกนี้อาบัติสังฆาทิเสสไม่ใช่น้อย หรืออาบัติข้ออื่นก็ง่ายเลยสำหรับคนมีกิเลสตัณหา
ทำเล่นแบบนี้ทำให้ศาสนาเสื่อมโดยไม่เดียงสา นึกว่าเป็นประโยชน์คุณค่า ว่าเป็นการรักษาศาสนาไว้ เป็นความเข้าใจผิดหมดเลย อาตมาเกิดมาในชาตินี้ เลยต้องมาทำทุกอย่างให้เข้าร่องรอยตามเจตนารมณ์ของพระพุทธเจ้า พยายามฝืนทนที่ต้องทำทวนกระแสเขา เป็นไอ้เข้ขวางคลองอยู่อย่างนี้ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเป็นหน้าที่ของอาตมาที่ต้องทำ
ทีมหมูป่า บวชตามพิธีของไทยนี้ได้บาป แล้วก็จะเสื่อมต่อไปอีก แต่อาตมาพูดนี้ไม่ได้ผลเท่าไหร่หรอกเขาไม่ฟัง เขาไม่สะดุดหรอก มันดื้อด้าน หน้ามืดตาบอดไปไกล
ชาวอโศกถ้าหากจะบวชก็บวชจริงๆ ตอนนี้เรายังไม่มีสามเณรเลยสักองค์ คือผู้เตรียมตัวบวชเป็นสมณะ มาบวชจริง ฝึกฝนหลายปี กว่าจะได้บวชเป็นภิกษุชาวอโศกไม่ใช่เล่นๆ บวช ไม่ใช่ 9 วัน 10 วัน อย่างที่เขาทำ
แล้วจะให้เขาทำอย่างไรกับทีมหมูป่า … เด็กนักเรียนที่นี่คือผู้ที่ปฏิบัติธรรม รักษาศีลสมาธิปัญญา มีไตรสิกขาจริง นี่แหละคือการบวชด้วยการประพฤติ ไม่ต้องไปทำลายรูปแบบจารีตประเพณีธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า สมัยพระพุทธเจ้าก็มีเด็กมาปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมโดยไม่ต้องมาเป็นชุด คนสมัครใจก็มาบวช หรือมาเป็นฆราวาส สมัครใจปฏิบัติธรรม ตามธรรมวินัยอยู่ที่บ้านก็ได้ ก็ปฏิบัติได้ ไม่ต้องจำเป็นจะต้องให้ชุดมุรธาภิเษกธงชัยพระอรหันต์ของพระพุทธเจ้านี้เสื่อมเสีย มันเสื่อมด้วยความไม่ประสีประสา ในความไม่ใช่เรื่องสำคัญแต่เป็นเรื่องสำคัญมาก ทุกวันนี้อาตมาเมื่อยจริงๆ ที่ต้องมาแก้ไขความผิดพลาด
คลิปพร้อมแล้ว พระแรพ…สวดแบบกระแทกกระทั้น เป็นความเชื่อโบราณ สวดทำนองกระแทกเสียงจะช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายออก ยิ่งแรงยิ่งปัดได้ดี ต้องกระแทกเสียง ใช้ในการสวดอวมงคล สวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เป็นธรรมเทศนาสูตรแรก ของพระพุทธเจ้าด้วย
พ่อครูว่า..นี่แหละคือความเสื่อมที่มันปรากฏจริงในวงการศาสนาพระพุทธเจ้า เสื่อมอย่างฉิบหาย พระพุทธเจ้าสอนเรื่องการสวดธรรมบท ไม่มีความลึกซึ้งมีสิ่งที่ทำลายศาสนาอย่างยิ่งใหญ่ ในมุสาวาทวรรค ข้อที่ 4 ปาจิตตีย์ บทนี้เริ่มต้นที่อาตมาบวชมาก็พูดเรื่องนี้ ก่อนบวช อาตมาก็เห็นแล้ว มาบวชก็พยายามแก้ไขโดยอ้างอิงหลักฐานของพระพุทธเจ้า เพื่อจะอธิบายและชี้ให้เห็นความผิด จะได้ปรับปรุงแก้ไข แต่มันคงแก่เกินแกงแก้ไม่ได้ จะไม่สำนึก แต่อย่างน้อยคนที่ตั้งใจศึกษาหาความจริงก็คงจะลดลงบ้าง แต่มันคงลดไม่ได้ เพราะศาสนามันเสื่อมสุดได้ที่แล้ว มันไม่เหลือความเป็นศาสนาพุทธแล้วพูดได้อย่างนั้นเลย
แม้แต่การสวดมนต์ก็ไม่เหลือของศาสนาพุทธแล้ว เอาคำสวดมนต์อย่างเดียวนี้มาเป็นเครื่องวัด กว่าศาสนาพุทธยังมีอยู่ไหม ตอบได้เลยว่าแม้แต่เรื่องการสวดอย่างเดียวนี้ก็ ทำลายศาสนาพุทธไม่เหลือซาก แม้แต่ความเน่า มันก็เน่าจนแบคทีเรียกินเกลี้ยงหมดแล้ว มันสุดที่จะแก้ไขแล้ว
ขออธิบายเรื่องนี้ เรื่องยิ่งใหญ่มากเลย เราทำได้ อโศกเรา เพราะอาตมาควบคุมอยู่ไม่ให้อาบัติ เป็นภัยทำลายศาสนา การสวด อธิบาย เป็นหลักวิชาให้ฟัง
การสวดนั้นมีอยู่ 2 อย่างใหญ่ๆ เรียกว่าสวดสังคีติ กับสวดสังคายนา
สวดสังคีติ คือสวดเพื่อรักษาบท ธรรมบท คำสอนของพระพุทธเจ้าเอาไว้ แต่ก่อนไม่มีสิ่งที่บันทึกต้องใช้คนท่องจำรักษาสืบทอดกันมา สวดเพื่อรักษาคำสอนไว้ เหมือนกันสวดอาขยาน สูตรคูณ ที่จะต้องมานั่งสวดพร้อมกัน การสวดพร้อมกัน ต้องสวดในเฉพาะที่ ไม่ใช่ไปสวดต่อหน้าธารกำนัล สวดในที่ของตน เหมือนนักเรียนท่องสูตรคูณเอาไว้ อย่างนั้นก็ใช้ได้ จำเป็นต้องทำ สมัยพระพุทธเจ้าจำเป็นเพราะไม่มีสิ่งบันทึก สมัยนี้มีการบันทึกด้วยเครื่องและตัวหนังสือเยอะแยะแล้ว อยากจะดูก็เปิดเลย อย่างเช่นอาตมา อันไหนจำได้ก็พูดขึ้นมา อันไหนจำไม่ได้ก็ดู
สวดเป็นหมู่ จะเอาล้านคนมาสวดก็ปาจิตตีย์ล้านบาป สวดคำหนึ่งก็ได้บาปล้านคำ สวดสองคำก็ได้บาปสองล้านคำ ผิดหลักเกณฑ์พระพุทธเจ้า แล้วเขาก็ทำแบบไม่เรียงสา กรรมเป็นอันทำ เขานึกว่าตัวเองได้บุญได้กุศลทั้งที่ได้นรก เป็นความโง่เง่าอวิชชา ที่ไม่ได้ศึกษา เป็นการทำลายศาสนาจริง จากคนที่ทำผิดเพี้ยนออกนอกรีดธรรมวินัยของพุทธเจ้า มันเป็นอย่างนั้น น่าสงสารศาสนามาก ไม่รู้จะไปแก้ตรงไหน มันเป็นเรื่องของ หมู่ใหญ่ยึดมั่นถือมั่นกลายเป็นรัฐพิธีพิธีราษฎรพิธีสอดคล้องกัน ยึดถือกันอย่างหนาแน่นไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร
อาตมาพาทำใหม่ ทำสิ่งที่ถูกต้องใครเห็นดีเห็นด้วยก็มาทำด้วย ใครเห็นว่าแบบนั้นออกนอกด้วยศาสนาก็อย่าไปส่งเสริมอย่าไปร่วมมือ ที่นี่ก็สวด แต่ไม่ได้ผิดกฎหลักธรรมวินัยของพุทธเจ้าเลย
-
สวดด้วยเสียงอันยาว 2. ใส่ทำนองร้อง rap อย่างสมัยใหม่ที่เห็นมีการสวดกระทุ้งกระแทก เป็น Hard Rock ซึ่งมันเป็นความบ้าบอ ไปหมดแล้ว สวดด้วยการใส่ทำนองใส่เสียง
สวดสังคีติ สวดพร้อมกัน 2 องค์ขึ้นไปต่อหน้าธารกำนัล การสวดสังคีตินั่งสวดเป็นหมู่ สวดสังคายนาสวดคนเดียว สวดสังคายนาคือ สวดธรรมบท ธรรมวินัยพระพุทธเจ้าขึ้นมา แล้วพระสงฆ์คนอื่นก็ฟัง อย่างเช่นการสวดปาฏิโมกข์ ภิกษุอื่นก็ฟัง เราก็จำของเรา ถ้าผิดเราก็ตรวจสอบ เพื่อรักษาพระธรรมวินัยไม่ให้ผิดเพี้ยน พระสงฆ์ก็ช่วยกันฟัง ถ้าเราท้วงผิด หมู่ที่อยู่ก็ช่วยตรวจสอบ ความรู้ของคนหลายคนเป็นหลักเกณฑ์ ว่าหมู่ใหญ่หรือคนท่องถูกกว่า เพื่อรักษาสิ่งที่ถูกต้องเอาไว้เป็นการสวดสังคายนา ส่วนสวดสังคีติ เป็นการรักษาธรรมบทของพระพุทธเจ้าเอาไว้อย่าให้สูญหายไป สมัยโบราณไม่ได้บันทึกเป็นตัวหนังสือ เขาจำเป็นต้องท่องกัน ก็ท่องไป ทุกวันนี้ก็ยังอาศัยอยู่บ้างไม่เป็นไร แต่อย่าให้ผิดหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้า
เมื่อผิดหลักเกณฑ์แม้แต่ท่องด้วยสำเนียงเสียงยาวใส่ทำนอง ก็บรรลัยจักรหมด ผิดหมด ตั้งแต่พุทธเจ้าท่านตรัสห้ามไว้ ไปสวด 2 องค์ขึ้นไปต่อหน้าญาติโยมฆราวาส ทำไมท่านกันเอาไว้ตรงนี้ จบด็อกเตอร์จบปริญทางศาสนาก็ไม่เข้าใจตรงนี้
เพราะมันเป็นธรรมเนียมของศาสนาอื่น เขาสวดกันเป็นหมู่ชอบกัน สวดกันมากมาย จนกระทั่งเป็นลัทธิมนตรญาน แต่ละที่แห่งการสวด แต่ว่าพระพุทธเจ้าเห็นว่าการสวดอย่างนี้ มันผิด ทุกวันนี้พระก็ไปสวดหากิน ไปงานต่างๆก็ได้ค่าสวด จนเป็นพระรับจ้างสวด จึงเรียกว่าพระหากินเลี้ยงชีพด้วยการสวด มันเป็นอาบัติน่าขายหน้าน่าอายอย่างยิ่งเลย ท่านมีธรรมบทหรือมนตรา เพื่อให้เอาไปปฏิบัติจะได้บรรลุตามคำสอนนั้น แต่เขาออกนอกทางหมดเลย แล้วมาทำปู้ยี่ปู้ยำ เอามาเป็นเครื่องมือหากินอีกจนกลายเป็นจารีตประเพณี ศาสนาฉิบหายหมดแล้ว เขาไม่เข้าใจที่อาตมาพูดนี้หรอก ให้ฟังให้ดีแล้วเอาไปไตร่ตรอง
อาตมาเกิดมายุคนี้ เอาความจริงมายืนยัน มันจากผิดไปถูกเป็น 180 องศาแล้ว แล้วเขาจะยึดมั่นถือมั่นด้วย คิดว่าที่ตัวเองเดินไปนี้ถูกทางผิดไปจากนี้ไม่ใช่ อาตมาพูดขึ้นมาเขาก็ตีทิ้งไม่ฟัง แต่อาตมาไม่ยอมแพ้หรอก แก้ไขคนไหนที่มีภูมิปัญญาพอจะเข้าใจเชื่อได้ก็มาเอา ตนเองอยู่ในวงการที่จะต้องสวดก็แก้ไขได้ก็เชิญ แต่มันก็คงยาก ยากเก่งๆ อาตมาว่ายากยิ่งกว่าเข็นเขาขึ้นครก แต่ถ้าเข็นครกขึ้นเขาพอถูไถนะ แต่เข็นเขาขึ้นครกยากกว่า
คุณเทียนดิน…ดิฉันไปเห็นมาแล้วตอนงานศพ เห็นแล้วญาติโยมยังอาย ทำไมพระไม่อาย
พ่อครูว่า…พระหน้าด้าน พระอลัชชี กลายเป็นลงนรกเป็นอบายมุข เสื่อมไปหมดเลย
คุณเทียนดินว่า…พระร้องเพลงแหล่เสียงดีมาก ญาติโยมก็หลง พอญาติโยมหลง พระยังอยู่ในโลกีย์อยู่ใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า..ใช่ ผู้รู้ก็มีอยู่บ้างแต่รู้ไม่ลึกไม่หมด เขาก็พอรู้อยู่ แต่เขาแก้ไม่ไหว
เทียนดินว่า…งานศพของพี่สะใภ้ พระที่ไปเป็นพระมหาที่ดังมาก แล้วพระที่มีอันดับนี้ ติดกัณฑ์เทศน์จะต้อง 5,000 ขึ้น องค์ละนะ แล้วยังมาแหล่อีก เรื่องแม่เลี้ยงลูกมากว่าจะโต ลูกเขาทุกข์อยู่แล้วยังกระหน่ำให้ทุกข์อีก เขาจัดงานศพก็ไม่ได้มีเงินมาก แต่พระก็ยังเบียดเบียนให้เขาต้องเป็นหนี้สินอีก เมื่อแหล่มา จะมีญาติโยมคนหนึ่ง เอาเงินไปใส่ย่ามเลย พระก็จะบอกว่า ดูนี่ทำไมตัดหน้าเจ้าภาพเอากันมาใส่ซอง เจ้าภาพอยู่ไหนทำไมมาหลังคนนี้ เจ้าภาพก็อยู่ไม่ได้จะต้องเอาเงินมาใส่ไม่เอาใบแดงด้วยจะเอาไปม่วง
ขี้เมาทนไม่ได้ ก็มาด่า ให้แต่ญาติโยมทำบุญแต่ตนเองขี้โลภ
พ่อครูว่า..ขนาดคนเมายังรู้เรื่องฉลาดรู้ดีกว่า
คุณเทียนดินว่า…เกิดมาชาตินี้ภูมิใจที่ได้เป็นลูกหมากลางตลาด ก็มันจะต้องฉลาดด้านมีปัญญาหรือว่าตรงไหนจะได้กิน แล้วจะต้องปลอดภัย แต่หมาที่มีเจ้าของถึงเวลาก็นอนเขาเอามาให้กิน ถึงเวลาก็ได้กิน แต่ลูกหมากลางตลาดโยมว่าฉลาดและมีปัญญาด้วย ถึงจะอยู่รอด
พ่อครูว่า…หมาคนรวยนั้นขนฟูมีเพชรพลอยด้วย มีที่นอนอย่างดี
คุณเทียนดินว่า..ลูกหมากลางตลาดต้องเปลี่ยนที่นอนไปเรื่อยๆไม่ติดยึด
พ่อครูว่า…พูดถึงเรื่องการสวดนี้เป็นการทำลายศาสนาให้บรรลัยจากด้วยการสวดอย่างมหาศาล พระพุทธเจ้าเกิดมาเป็นพระพุทธเจ้า ลัทธิศาสนาต่างๆก็มีการสวดมนต์ทั้งนั้นเยอะแยะมากมาย ขอยืนยันว่าในยุคพระพุทธเจ้าไม่มีการสวดหรอก หนึ่งสวดการเป็นหมู่ ตั้งแต่ 2 คนพร้อมกันตอนหน้าฆราวาส เขาไม่ทำกัน แล้วเขาก็มีก่อนมีพระวินัย พระพุทธเจ้าไม่ได้พาทำเลย แต่ในยุคนี้ได้ผิดเพี้ยนไปไกล ที่อาตมาพูดนี้เขาจะงง ครูบาอาจารย์ก็ไม่เคยสอนบอกเรื่องนี้เลยอาตมาเข้าใจ แม้แต่ครูบาอาจารย์เขาก็ไม่ประสีประสาเรื่องนี้
เรารู้ข้อเสียข้อด้อย ที่ทำให้ศาสนาพุทธเสื่อม เหตุใดแค่สวด 2 คนต่อหน้าฆราวาสทั้งหลายนี่แหละที่เป็นอาบัติ และฉุดให้ศาสนาเสื่อม
เพราะ 1 คนจะหลงความขลัง คนสวดแล้วจะได้อายุ วรรณะ สุขะ พละ เป็นสิริมงคล ถ้าพระมาสวดที่ว่าอย่างนี้ ยิ่งมาเป็นคณะให้มากเยอะแยะ เต็มบ้านช่องเลย ยิ่งดียิ่งเป็นสิริมงคล ซึ่งมันกลับตาลปัตรไปหมดเลย มันก็ยิ่งบาปมาก คนมากเท่าไหร่ก็บาปมากขึ้นเท่านั้น ล้านคนก็บาปล้าน สวดคนละหนึ่งคำก็บาปล้าน สวดคำที่สองก็บาปอีกเป็นสองล้าน สวดคำที่สามก็บาปสามล้าน แต่เขาก็สวดกันอีกเยอะแยะเขาจะบาปกันเท่าไหร่ คูณไหวไหม..ไม่ไหวหรอก เอาเครื่องคิดเลขมาเครื่องก็พัง เขาไม่รู้เลยว่าเขาทำอะไร แล้วศาสนาจะเหลืออะไร
1 ติดจารีตประเพณีเห็นว่าเป็นความถูกต้อง
สอบ สวดแล้วก็มีทำนอง มีจังหวะ เดี๋ยวนี้มีเครื่องมือเคาะชิงช้าตีกลอง ที่สำคัญก็คือหลงความขลัง สวดแล้วจะได้สวรรค์วิมานได้ประโยชน์คุณค่า
การสวดนั้น มีประโยชน์ในตัวเองคือรักษาคำสอนพระพุทธเจ้า 1. การสวดธรรมบท 2. การสวดปณามคาถา คือการสวดพระสรรเสริญพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ไม่ใช่คำสอนพระพุทธเจ้า แต่เป็นคำแต่งของพระอรรถกถาจารย์รุ่นหลัง เป็นพระหรือเป็นฆราวาส แต่งขึ้นมาก็เยอะ อย่างพาหุง 8 มหากาฯ เราไม่ได้เอาธรรมบทมาสวด เราดูตามตำราเรียนธรรมบทเยอะ เอามาบรรยาย แต่ปณามคาถาเราก็สวดกันไม่กี่บท
หากไม่เข้าใจในเรื่องการสวด การสวดปณามคาถากับธรรมบท ต่างกันอย่างไรเขาก็ไม่รู้เรื่องแล้ว การสวดปณามคาถา จัดสวนร่วมกันเป็นหมู่เท่าไหร่ก็ไม่ผิดอะไรเป็นการสรรเสริญพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ แต่ถ้าหากเอาธรรมบทของพระพุทธเจ้ามาสวด ท่านกันไว้ เพื่อที่จะ
-
จะได้ไม่เอาธรรมบทของพระพุทธเจ้ามาสวดหากิน อันนี้เป็นเรื่องร้ายที่สุด ถ้าคุณเอาประณามคาถามาสวดหากินก็พอทำเนา แต่ถ้าคุณเอาธรรมบทของพุทธเจ้ามาขายมาเป็นเครื่องมือหากินด้วย คนก็ต้องเห็นว่าธรรมบทเป็นเรื่องสำคัญ คนก็อยากฟังธรรมบทมากกว่าปณามคาถา เขาก็จะท้วงว่า เอาธรรมบทของพระพุทธเจ้ามาสวดเป็นเรื่องผิดธรรมวินัยนะ แต่เขาไม่รู้หรอกแบบนี้ พระมีอิทธิพลเยอะด้วย มีอภิสิทธิ์มาก อาตมาพูดสัจจะตามคนตรงอย่างอาตมาพูดไม่มีเล่ห์กล ไม่มีท่าที เป็นข้อด้อยของอาตมานะ เรื่องสวดนี้พูดจริงๆแล้วอาตมาก็จำต้องพูด เพราะเป็นเรื่องเสื่อมของศาสนา แต่ว่าภิกษุของเราไม่ได้อาบัติสิ่งเหล่านี้เลย แต่ทางโน้นทำอย่างเป็นเรื่องประจำของศาสนา เหมือนกับทุกวัดจะต้องจุดธูปจุดเทียน ไม่มีไม่ได้
พระพุทธเจ้าตรัสไว้เลยว่าอย่ามี สมัยพุทธเจ้าไม่ให้มีการจุดธูปเทียน น้ำมันเปรียงน้ำมันเนย เอาข้าวสารใส่ไฟทำให้เกิดควัน มีอยู่ 2 อย่างทำให้เกิดเปลวกับเกิดควัน เป็นอัคคียัญ คือการติดต่อกับวิญญาณด้วยไฟเป็นสื่อ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมหาศีล ห้าม แต่มันผิดไปไกล เราพูดว่าผิดเขาก็ว่าเราบ้า เป็นสัจจะที่เลี่ยงไม่ได้ เป็นธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า
สมณะแก่นเกล้า…ทุกวันนี้ผมไปบิณฑบาตก็เห็นว่าพระจะให้พรกันหนักมาก สมัยก่อน ก็ยังจะมีสายหลวงปู่ชาหลวงปู่มั่น จะเดินแบบสงบ นอกนั้นรู้สึกว่าจะให้พรแข่งกัน ถ้าองค์ไหนให้เสียงดังก็ได้
พ่อครูว่า..ให้พรแล้วเขาจะได้ลาภมาก คนก้าวตามกันไปก็เลยเสื่อม ฉุดลงไปให้ผิดเพี้ยนไปไกล มันเติมความหลงความโง่
สมณะแก่นเกล้าว่า…สมณะจะไปบิณฑบาตแล้วไม่ให้พร เขาก็บอกว่าพระปลอมสวดมนต์ไม่เป็น ให้พรไม่เป็นเป็นพระหากินอีก
พ่อครูว่า…บิณฑบาตทางนั้นไม่ได้ ก็ให้ญาติโยมทางนี้เลี้ยง
สมณะแก่นเกล้า …พระแต่ละองค์ต่างให้พรแข่งกันเสียงดังกว่าเดิมอีก
พ่อครูว่า…พูดไปก็เอาล่ะ ตัดเรื่องสวดมนต์ พูดไปแล้วมันชี้ช้ำกะหล่ำปลี จบไปตรงนี้ก็แล้วกัน
คำถามแห้งมา
_อยากให้ท่านกลับไปดูเทศน์ที่เคยทำมาขอแนะนำท่านนิดนึง…ท่านคะฝากท่านหนึ่งเรื่อง เวลาท่านสวดมนต์ตามหลวงปู่ ท่านสวดมนต์แบบยานๆลากเสียงเป็นทำนอง อยากให้กระชับสั้นแบบหลวงปู่พาสวด
พ่อครูว่า…จริงนะพวกเราชักจะยานแล้ว พา..หุง..สะ…หัด สะมะพินิมฯ….แม้แต่นะโม ..นา…..มัว….ตัส…..สะ…. พุทธเจ้าตรัสไว้ชัด การลากเสียงอันยาวทำให้คนหลง ท่านก็ห้ามไว้หมด มันก็ไปกันใหญ่ ไปหลงเสียงสำเนียง เหมือนกับเราได้ฟังนักร้องเขาร้องเพลงจะไปหลงเสียงหลงทำนอง การร้องเพลงนั้นเหมือนกับเด็กร้องไห้ การฟังพระสวดก็เหมือนกับการฟังพระร้องไห้
2.สวดหลงขลัง สวดแล้วจะได้อะไรกลับคืนมาเป็นแก้วแหวนเงินทองเป็นสวรรค์วิมานเป็นนิรมาณกายสัมโภคกายอาทิสมานกาย
สามกายนี้ เป็นความสำคัญมากที่คน อุปาทาน
หลงเป็นนิรมาณกายหมายความว่า หลงอะไรก็คือสร้างขึ้นมาเองสร้างภพชาติ มันจะมีอย่างนี้อย่างนี้ แล้วร่วมกันบริโภคของเปล่าๆนี้ สัมโภคกาย ต่างก็ได้วิมาน ได้สิริมงคล ซึ่งมันเปล่าดายมันไม่มีความจริงเลย แต่เขาหลงว่ามีเขาร่วมบริโภคกันทั้งคนสวดคนฟัง นึกว่าปลื้มใจได้แล้ว ซึ่งมันเป็นของไม่มี มันอาทิสมานกาย มันมองไม่เห็นมันไม่มีอะไรเลย แต่คนก็บริโภคของเปล่า ของไม่มีอะไร นึกร่วมกันว่ามี นิมาณ สร้างขึ้นมาเอง คุณปั้นลมปั้นแล้งขึ้นมาเอง อาตมาเอาวิชาการขอบคุณพระเจ้ามาพูดนี้ เดี๋ยวนี้เขาไม่พูดถึงกันแล้ว เพราะเขาไม่เข้าใจเขาไม่รู้เรื่อง เขามีสิ่งเหล่านี้เต็มไปหมดแล้ว
ขออภัยเรื่องการสวดมนต์
_คำว่ากูมึง ถือว่าผิดศีลข้อ 4 ไหมคะ
พ่อครูว่า…ในยุคสมัย ก็ถือว่าเป็นคำไม่หยาบแต่ว่า สมัยนี้มีคำใหม่มา ที่สุภาพถือกันว่าสุภาพ เปลี่ยนไปตามยุคสมัย
_ดิฉันอยากทราบวิธีกำหนดเวทนา จากความเจ็บปวดทางกาย และสามารถวางเฉยโดยไม่ทุรนทุราย ไม่ทราบว่าต้องใช้ความอดทนอย่างขันติด้วยหรือเปล่า
พ่อครูว่า..ต้องดูเหตุที่ร่างกายมันทนนั่งนานก็เปลี่ยนท่าเสียก็หาย แต่ถ้าขันติอย่างที่ว่าไม่ใช่ขันติ แต่ขันแตก เวทนาจากความเจ็บปวดทางกาย
ฟังให้ดี วิธีกำหนดเวทนาจากความเจ็บปวด หากคุณนั่ง แล้วก็หลงนั่งสมาธิ ทับขาทับกล้ามเนื้อนานเข้าก็ปวด มันปวดคุณก็นวดมันอย่าให้มันทรมานต่อไปก็หายแล้ว ไม่ใช่ทนปวดจนสรีระเสียพิการ ทำให้กายวิภาคเราเสียหายนั่นก็ผิด
ทีนี้คำว่าเจ็บปวดทางกาย คำว่าเจ็บปวดทางกาย ถ้ามีเจตนามุ่งหมายกายมีทั้งภายนอกภายใน กายมีสองอย่าง แยกกันไม่ได้เหมือนเหรียญสองหน้า คุณแยกไม่ได้ในธรรมะสอง คนทุกวันนี้เข้าใจกายไม่ได้เข้าใจว่า คืออุตุนิยามเท่านั้นไม่มีจิตนิยามร่วมก็ผิดหมด
หากเข้าใจว่ากายคือภายนอกก็แก้ภายนอก แต่ถ้าจิตมันไม่ปกติก็แก้ที่จิต
กายก็พอรู้ ไม่สมดุลทางกายก็เจ็บปวดก็แก้ได้ แก้เจ็บปวดกายภายนอกก็ไม่ยาก แก้ตามอาการ ตามที่มันเจ็บ ก็พอมีปฏิภาณสามัญสำนึกรู้ เคลื่อนไหว นวด กินยาก็หาย ก็แก้ไขกันได้ จะกดข่มไว้แล้วเรียกว่าขันติ ปวดก็อดทนไว้ สรีระเสีย พิการได้ จะให้ถึงจุดที่ว่ามันอดได้ไม่ทุรนทุราย มันก็พาซื่อ ผิดหมด ไม่เป็นอย่างที่พระพุทธเจ้าสอน
คำว่า นั่งสมาธิ ของพระพุทธเจ้าก็ไม่เห็นว่ามี สมาธิของพระพุทธเจ้าอยู่ในทุกอิริยาบท การทำงานเลี้ยงชีพก็เป็นสมาธิ สมาธิของพระพุทธเจ้าอยู่ในความเคลื่อนไหว ไม่ใช่นั่งนิ่ง
สมาธิพระพุทธเจ้ามีกายปาคุญญตา มีเวทนา สัญญา สังขาร แคล่วคล่องหมดเลย มีอิริยาบท ทำงานได้ดี กายกัมมัญญตา ทำงานอาชีพ กัมมันตะ การงานต่างๆ การกระทำต่างๆ พูดอยู่ก็ดี พูดดี คิดก็ดี สังกัปปะ มีสมาธิอยู่ ไมใช่สมาธิคือหยุดคิด หยุดพูด หยุดทำงานอาชีพ เลยไม่ต้องมีอาหารกินก็ตายพอดี คือ นอกความจริงของพระพุทธเจ้าหมดเลย ดูตรงไหนก็ผิดหมด เขาก็ว่าโพธิรักษ์นี้อวดรู้คนเดียวเลย พวกที่มานั่งตรงนี้ทำไมยอมรับนับถืออาตมา
สรุปแล้วเวทนาเป็นตัวที่ต้องศึกษาเป็นความรู้สึกไม่ใช่ที่ร่างกายอย่างเดียว แต่ถ้าที่ร่างกายเป็นก็แก้ที่ร่างกาย แต่ถ้าสุขทุกข์ทางใจอันนั้นแก้ยาก
ในพระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 230 พระพุทธเจ้าว่าแก้ทางรูปธรรมภายนอกแก้ไม่ยาก พิจารณาแม้เบื่อหน่ายภายนอกได้ง่าย แต่แก้ไขทางใจ หน่ายทางใจได้ยากกว่า พระพุทธเจ้าตรัส กายคือจิต มโน วิญญาณ
คำว่ากาย ให้ปรับแก้ที่นามมากกว่า ที่ร่างนอกไม่ยากหรอก ไม่ลึกลับอะไร เมื่อเข้าใจผิดไปแยกกายแยกจิต กายคือเหลือแต่ร่าง แล้วเวทนาก็อยู่ที่จิต มันเกี่ยวตรงไหนก็แก้ตรงนั้น
คุณสู่แดนธรรม… ขอเปลี่ยนบรรยายกาศสู่เรื่องง่ายๆ ผมจะขอเล่านิทานก้อม สั้นๆ…สมัยหนึ่งพ่อท่านบิณฑบาตอยู่ใกล้กับศีรษะอโศก ชาวบ้านเอาข้าวมาใส่บาตร ข้าวร่วง ไก่มาแย่งจิกกินข้าว ผมก็ถามว่าพ่อท่านก็สอนว่าจิตวิญญาณเป็นประธานสิ่งทั้งปวง คนเราเกิดมาแต่ก่อนอาจเคยเป็นเดรัจฉาน ชาตินี้ถ้าไก่มันจิกตีกัน แล้วชาติก่อนมันเคยเป็นคน แล้วความรู้สึกของคนทำไมหายไป ทำไมสมองไก่ทำให้ลืมความเป็นคนหมดเลย
พ่อท่านก็ตอบว่าเหมือนน้ำในคลอง หากคลองคดก็ทำให้น้ำไหลคด พ่อท่านก็พูดถึงสมมุติสัจจะที่สำคัญ พ่อท่านจะเน้นเรื่องสมมุติสัจจะมากกว่าปรมัตถสัจจะครับ
พ่อครูว่า..สมมุติสัจจะอย่างหนึ่ง หมายถึง ความจริงที่รู้ร่วมกันสมมุติกันภายนอก คนอื่น แต่ปรมัตถสัจจะคือเรารู้ของเราคนเดียว สูงสุดหรือนอกรีตก็ได้ เป็นเรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องจิตในจิตเท่านั้น แต่สมมุติต้องร่วมกับสังคม เมื่อเราต้องมีชีวิตร่วมกันคนอื่น ก็ต้องสมานกันให้ดี อาตมาประสบความสำเร็จ ที่พาทำตามธรรมะพุทธเจ้า
ทำให้เกิดสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7
สาราณียะคือระลึกถึงกัน คนไหนเจ็บป่วยหายไปก็ระลึกถึงกัน เป็นปิยกรณะ เป็นมิตรที่ fraternity มีความรักยังปรารถนาดีต่อกันและกัน เคารพกัน คุรุกรณะ ในวัยในคุณวุฒิ สมมุติ เราอยู่ได้ด้วยสังคหะ การแบ่งกินแบ่งใช้ช่วยเหลือการอนุเคราะห์กัน ไม่มีวิวาทกัน อาตมาทำงานมา 30 40 ปีพวกเราไม่วิวาทกันถึงขั้นบาดเจ็บ จะ 50 ปีแล้วไม่มีการวิวาทกันถึงขนาดนั้น มีนิดๆหน่อยๆปากหอกกันบ้างแต่มีน้อย error ถือว่าสมบูรณ์แล้ว มีความสามัคคีกันดี อยู่กันอย่างเป็นปึกแผ่น มีเอกีภาวะ พวกชาวอโศกอยู่ร่วมกันนี้ คนอื่นเขาเห็นแล้วกลัวเพราะเป็นปึกแผ่นกันดี ที่อื่นหาไม่ได้ ตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอน แม้แต่วรรณะ 9 เป็นคนเลี้ยงง่าย มาถึงตอนกินข้าวก็เอาอาหารใส่รางเลื่อนไปเหมือนให้หมูกิน แล้วก็ตักอย่างระวังอย่าตักมากเกินคนอื่นเขาจะไม่ได้ กินง่ายไปง่ายมาง่ายนะง่ายนอนง่ายอยู่ง่ายไม่ได้เรื่องมาก สุภระ
สุโปสะ อาตมาสอนทุกวัน พาทำให้เจริญ วันแล้ววันเล่า จะ 50 ปีแล้วคุณก็มาฟังกัน ขยัน เป็นไปอย่างอัตโนมัติ ไม่รู้สึกว่าลำบาก ยังมากันหลายสิบคนเป็นร้อย บางทีก็ไม่ถึงร้อย
สรุปแล้วอาตมาทำงานศาสนาพุทธ ที่ทำได้เพราะพาทำแบบไม่สะสม อปจยะ เป็นคนจน อัปปิจฉะ กล้าจน มักน้อย เป็นคนมีแต่น้อยมีความสันโดษ สันตุฏฐิ มีใจพอ พวกเราถ้าไม่มีใจพอจะแย่งกันตายเลย
เป็นคนสัลเลขะ เป็นคนขัดเกลากายวาจาใจของตนเอง ธูตะ มีศีลเคร่งขึ้นได้ มีอธิศีล อธิจิตอธิปัญญา อธิมุติไปตามลำดับ
มีอาการที่น่าเลื่อมใส ปาสาทิกะ แม้แต่เด็กต้องพวกเราก็มีอาการน่าเลื่อมใส
อปจยะ ไม่สะสม เป็นเรื่องจริงหลายอัฐมาทำได้สำเร็จเป็นเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ เป็นคนมักน้อยเป็นคนไม่สะสม ยิ่งข้อสุดท้าย ขยันเสมอ วิริยารัมภะ ไม่มีความขี้เกียจไม่มีอบายมุข
วรรณะ 9 คือ the classes เป็นคนชั้นสูง ทำสำเร็จแล้วพวกเราสำเร็จมีสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 อาตมาสรุปธรรมะ พระพุทธเจ้า อาตมาทำมาในชาตินี้จึงบอกว่าประสบผลสำเร็จ มันคงจะได้มากกว่านี้ไม่เท่าไหร่ จะได้เพิ่มกว่านี้ก็มีอัตราการก้าวหน้าบ้าง แต่ก็คงจะมี แก่นแกนเท่านี้ นอกนั้นก็ขยายไป
จะขยายอัตราการก้าวหน้าก็ยังดูไม่ออก ก็คิดว่า คงจะไม่ก้าวหน้ามากกว่านี้ แม้แต่คนศาสนาอื่นคนต่างประเทศ ก็คงจะมีการมาเห็นดีเห็นด้วยไม่มากเพราะเป็นโลกุตรธรรมเป็นธรรมะที่เข้าใจยาก เป็นเรื่อง คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ผยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
ที่พูดนี้เป็นธรรมบททั้งนั้น อาตมานั่งอิงตามพระไตรปิฎกมหาเถรสมาคมก็เลยไม่กล้ามาแย้ง เดี๋ยวหมอจะไม่รับเย็บ แล้วปากจัดด้วยนะ
ด.ญ.น้ำมนต์ว่า…ทำไมพ่อครูถึงแข็งแรงคะ…
พ่อครูว่า…อยากแข็งแรงเหมือนหลวงปู่คะ เด็กมองออกนะว่าแข็งแรง อาตมาอายุย่างเข้า 85 ก็ยังแข็งแรง ก็ดูกันที่ 90 ปีอีก 5 ปีเอง ถ้า 90 อาตมาก็ยังเป็นอย่างนี้นะ ยัง Active อยู่ อาตมาว่ายังใช้ได้ นี่แหละคือคำตอบที่จะตอบหนูน้ำมนต์
อาตมามีหลักเกณฑ์ 8 อ.
-
อิทธิบาท ดูแลตัวเองด้วยหลัก 7
-
รักษาอารมณ์ อาตมาสบายแล้วเพราะไม่ต้องรักษาอารมณ์มาก อารมณ์ของอาตมาไม่มีตัวกิเลส ไม่มีตัวที่ทำให้อารมณ์เสีย อาตมาไม่มีอารมณ์เสีย มีแต่อารมณ์ดีตลอดเวลา อาตมาเข้าใจเวทนาในเวทนา มันเสียมันดีอย่างไร อารมณ์ผิดปกติไปอย่างไรซึ่งไม่ควร อาตมาได้ฝึกมาหมดแล้วก็ทำได้แล้ว
-
อาหาร คือ กวฬิงการาหาร คำข้าว ในอาหารยังมีต่อ เป็นผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร หากไม่เท่าทันผัสสะ จะเผลอกับรูป รส กลิ่น เสียงสัมผัส จะคุมเจตนาไม่ได้มันใคร่อยากในกาม ต้องอนาคามีก็พ้นกามตัณหา หรือรูปนามก็เรียนในวิญญาณาหาร ขยายความจากอาหาร 4 ผู้ที่สามารถดูแลควบคุมอาหาร คนที่ยังมีความติดอาหาร มีกิเลสในอาหารก็จะยาก คุณก็ต้องเรียนรู้ฝึกฝน การกินอาหารคือการเอาธาตุเข้าไปเลี้ยงร่างกาย ไม่ได้ติดในรสชาติ ไม่ได้ถูกหลอก ต้องไปกินพิซซ่า ไปกินอะไรที่เขาหลอกว่าดี เราก็เข้าใจ มีความรู้ในทางโภชนาการ อาหาร ระวังให้ดี
-
อากาศ ก็ต้องอยู่ในที่ที่มีอากาศที่ดี ที่นี่พยายามสร้างสิ่งแวดล้อมสร้างอากาศให้ดีไม่เป็นพิษภัย ค่าของอากาศในกทม.สูดอากาศที่เป็นพิษเข้าไปทั้งนั้น คนที่กรุงเทพต้องทนจริงๆเลย การเป็นโรคภัยก็เลยไม่น่าประหลาด แค่อากาศก็ไม่ดีแล้ว แต่ที่นี่อากาศหวาน ตื่นมาชื่นใจ เป็นเสนาสนะที่น่าอยู่
-
ออกกำลังกาย สำคัญ อย่านึกว่าเราเป็นเด็กเป็นเล็กยังหนุ่มยังแน่น กำลังยังดีกล้ามเนื้อยังแข็งแรง อย่าประมาท พยายามทำพอสมควร เราเป็นหนุ่มนั่นยังทำงานทำการ ออกกำลังกายตามธรรมชาติก็ดีอยู่แล้ว คนอายุมาก คนที่นั่งทำงานอยู่กับที่ ก็ควรออกกำลังกาย คนที่ทำงานกสิกรรมเป็นกรรมกรเขาไม่ต้องคำนึงถึงการออกกำลังกายเท่าไหร่ มีแต่ถึงเวลาปิดงานก็เมื่อยอ่อนเพลียก็นอน ออกกำลังกายก็ทำให้อย่างพอเหมาะ เกินไปก็ไม่ดี จะทรุดเสื่อม
-
เอนกาย …คือ รู้จักการพักผ่อน ให้หยุด แทนที่จะออกกำลังกายจ่ายแคลอรี่มากไปก็พักบ้าง เอนกาย
-
เอาพิษออก ก็ต้องเรียนรู้ การออกกำลังกายทำให้เหงื่อไหลก็เป็นการเอาพิษออก วิธีการเอาพิษออกมีเยอะแยะ ไปเรียนรู้จากหมอเขียวหรือทางสุขภาพ การกัวซา การเอาแก้วมาดูด
-
อาชีพ อ.ที่สำคัญ ต้องรู้จักมีอาชีพที่ดีไม่เป็นพิษภัย เป็นอาชีพที่ไม่ตายง่าย อาชีพที่ไปค้าสินค้าสิ่งเสพติด มันต้องพกปืนประจำตัวเลยนะ อาชีพนักเลงชอบพกปืน ก็ต้องรู้ว่าเราอยู่ในอาชีพอะไร เราอยู่ในอาชีพที่ไม่เสี่ยงต่อการตาย อาชีพที่ไม่มอมเมา ทุกวันนี้มีสิ่งแวดล้อมที่มอมเมาเยอะ
นี่คือทั้งหมด 8 อ. ดูแลรักษาให้ดีก็จะแข็งแรง น้ำมนต์ฟังไหวไหม
หนึ่งฟ้า…ดิฉันมีธรรมชาติชอบถามเรื่องอจินไตย แล้วก็เดาว่า ถ้าพ่อท่านให้คำตอบ หลายคนก็จะน่ายินดีที่จะมา
พ่อครูว่า…ย้อนประวัติไป 2,000 ปีที่แล้ว พระเจ้าอโศกมหาราชกำเนิดในปี 200 กว่า ตอนนั้นแผ่นดินอินเดียก็อาจจะหมดความเป็นชมพูทวีปจะต้องหาชมพูทวีปแห่งใหม่ ก็เลยส่งพระภิกษุออกเป็น 9 สาย หนึ่งในนั้นคือดินแดนสุวรรณภูมิประเทศไทยเป็นเป้าหมายหนึ่ง
นานหลายเดือนที่ผ่านมา ปกติดิฉันไม่ชอบดูหนังอินเดีย ก็ได้รับการชักชวนชี้นำจากพี่เกร็ดดินเจ้าแห่งอินเดีย รายเดือนที่ผ่านมาก็ใช้เวลาดูหนังมหาภารตะ 200 กว่าตอน ดูหนังหนุมาน และอีกสารพัดเรื่อง ก็เลยทำให้รู้เรื่องตรีมูรติ จนได้รู้ความสำคัญว่า วิธีการอธิบายของใช้ พราหมณ์ สายเจโตก็อธิบายกันอย่างแตกต่างจากสายพุทธ
สรุปคำถามว่า..หลังจากที่ พระเจ้าอโศกส่งตัวแทนมาเผยแพร่ในสุวรรณภูมิ เมืองไทยก็มาที่อาณาจักรทราวดี เริ่มต้นจากเชียงแสนพระเจ้าตะวันทับฟ้า มาที่สุโขทัย จากนั้นเข้าสู่อยุธยา เป็นช่วงกลาง หลังจากนั้นก็ไปปรากฏตัวในฐานะทายาททองเจ้าเมืองเชียงรุ้ง อพยพผู้คนมาถึงเมืองอุบลฯแล้ว รวมเป็นจุดศูนย์รวมของชาวอโศกที่ชื่อว่าราชธานีอโศก
คำถาม…
1 การเลือกพื้นที่สุวรรณภูมิใครเป็นผู้เลือกที่จะให้พระโพธิสัตว์มาทำงานต่อหรือเป็นการดำริของพระสมณโคดม
-
แล้วการอุบัติขึ้นแต่ละรอบ เป็นการอุบัติขึ้นโดยการกำหนดที่ชัดเจนในสถานที่เคลื่อนไขระยะเวลาและภารกิจที่ต้องมาทำในแต่ละครั้งหรือไม่
-
ผลการทำตรงนั้นส่งผลจนเกิด มหกรรม bomb of love ในงานสวรรคตของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และก็มีกรณีของหมูป่า และอนาคตคงมีเรื่องราวที่ดีอย่างนี้เกิดขึ้นอีก พ่อครูใช้คำว่าโลกุตระในอนุสัยของชาวไทยหรือแม้แต่ การปักหลักในลุ่มน้ำมูลถือว่าเป็นการปักหลักอารยธรรมใหม่ของโลก ที่นี่จะเป็นศูนย์กลางอารยธรรมใหม่ของโลก ถ้าพูดถึงพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ อาจารย์ประจักษ์ ก็พูดไว้ อุบลราชธานีเป็นศูนย์กลางของแผ่นดินสุวรรณภูมิอย่างไร มันสามารถเดินทางไปทั่วโลกในลักษณะที่ใกล้ยิ่งกว่าและเริ่มต้นจากกรุงเทพฯอย่างไร เรื่องราวที่ดำเนินไปกำลังส่งสัญญาณอีกเยอะแยะมากมาย