610613_วิโมกข์ 8 อธิบาย 3 ข้อแรก
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1ZA7DaUP5TRX771VpV_Hn_UcnE-Yw96dkZLTN9Ab_Uz8/edit?usp=sharing
ยูทูป https://www.youtube.com/watch?v=3hQMby0XzSg
สื่อธรรมะพ่อครู(วิโมกข์ 8 สัตตาวาส 9) ตอน วิโมกข์ 8 อธิบาย 3 ข้อแรก
พ่อครูสนทนาธรรมยามเช้ากับปัจฉาฯ 13 มิ.ย. 2561
วันพระเทวดาเยอะ ยิ่งละเอียดมาก เยอะยิ่งเห็นชัด มันทวนกระแส มันตรงกันข้ามกับซับซ้อนมันตรงกันข้ามกันไม่รู้กี่ชั้น ศาสนาทุกวันนี้ ตรงกันข้ามทั้งวิธีปฏิบัติ ทั้งการสอนความรู้ ทั้งการหลงผิด ผิดซ้ำผิดซ้อนกาโวแล้วก็หลงผิด แล้วก็หลงว่ามันถูก ทั้งการพากันปฏิบัติ ประพฤติยกตัวอย่างเช่นการสวดมนต์ กลายเป็นการสวดมนต์เป็นงานใหญ่งานเละไปหมด
ศาสนากลายเป็นเรื่องที่จะต้อง ทำเป็นราชพิธี ต้องสวดเป็นล้านเที่ยวอย่างนี้ มันเป็นการวกวนไม่รู้จักเวลาปฏิบัติ ต้องบ่น ว่าอยู่นั่นแหละ แม่สวดลูกอยู่นั่นแหละ การทำพิธีนี้ ยิ่งเป็นเดรัจฉานวิชา ยิ่งมีพิธีบูชา
บูชาด้วยไฟ โอ๊ยไปกันใหญ่เลย บูชาด้วยเดรัจฉานวิธี เดรัจฉานกถา ต่างๆ เพราะไม่รู้ความเป็นสัตตาวาส ๙ ไม่รู้จักกาย ไม่รู้จักสัญญา ไม่รู้จักเวลาปฏิบัติ เวลาปฏิบัติก็ต้องมี วิญญาณเป็นฐิติ มีวิญญาณตั้งอยู่ ดับวิญญาณอีก ไม่รู้เรื่อง วิญญาณต้องมีครบรูปเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี่ดับรูป จะต้องมีรูปี จะต้องมีรูป แล้วเราจะเป็นรูปานิ เป็นผู้จะต้องรู้รูป ก็ไม่มีวิโมกข์แล้ว
วิโมกข์ 2 จะต้องรู้ภายนอกภายใน อัชฌัตตัง พหิธา ต้องรู้ต้องเห็น ต้องกำหนดรู้ทั้งภายนอกจนกระทั่งไปถึงภายในเป็นรูปจนกระทั่งถึงภายในเป็นอรูป ก็ไปเข้าใจผิด เป็นอสัญญี จะต้องไม่มีสัญญา ทั้งๆที่อรูปสัญญี อรูปไม่ควรจะเขียนต่อกับสัญญี อรูปก็คือจาก รูปมาเป็นอรูป สัญญีคือผู้มีสัญญา รูปีคือผู้มีรูปสัญญีคือผู้มีสัญญา
ผู้มีสัญญาต้องกำหนดรู้ตั้งแต่ภายนอก เห็นปัสสติ อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอกโก พหิทธา รูปาณิปัสสติ ไม่มีวิโมกข์ ผิดหมด สุภัณเตวะ อธิมุตโตโหติ สิ่งที่น่าได้น่ามี น่าทำเป็นที่สุด
สุภัณตะ เอวะ ที่น่าได้น่ามีน่าติดสุภ เป็นที่สุดอันตะคือภาวะอย่างนั้นทำอันนั้นให้มันถูกต้อง
ให้มันเป็นอธิโมกข์ จิตจะได้ไปถูกทาง จิตจะได้โน้มน้อมเข้าหาทิศทางนิพพาน อธิมุตโต หรืออธิโมกข์ไม่มีเลย วิโมกข์ 3 ล้มเหลวหมด เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปหวังวิโมกข์อีก ๔ อีก ๕ ๔ คืออรูป ๕ คือสัญญาเวทยิตนิโรธ ก็เลยกลายเป็นผิดตั้งแต่วิโมกข์ ๓ ก็ไม่มี ก็หลับหูหลับตาอะไรไป เสร็จแล้วก็ปั้นอากาศปั้นวิญญาณ อยู่ในภพ อรูปฌาน ไปกันใหญ่ ฌานของพระพุทธเจ้าเป็นฌานลืมตา ฌานของพระพุทธเจ้าเป็นพลังงานไฟเผาผลาญราคะ
กายจะต้องมีรูปนาม ทั้งภายนอกภายใน มีธรรมะ 2 ไม่เป็นสักอย่าง กลายเป็นรูปภายนอก ตัดนามธรรมทิ้งเลย ไม่เกี่ยวกันเอ้าจริงเลย ธรรมะหนึ่งคือไปตัดตอนเค้าทิ้ง ไปหันธาตุรู้ไปหันชีวะ มันเลยกลายเป็น กายก็ส่วนนึงเลย จิตก็ส่วนนึงเลย ทำงานร่วมกันไม่ได้
ปฏิบัติก็ส่วนนึงเลย ปฏิบัติข้างนอกก็ส่วนนึงเลย คนละพวกเลย คนละหน้าที่คนละเวลา
รูปีความเป็นรูป รูปานิผู้มีรูป ผู้ที่จะต้องเห็นรูป รูปานิ รูปีสภาพที่เห็นรูป มีรูปอันนั้นเป็นอันนั้น สัญญีมีสัญญาณอันนั้นมีการกำหนดรู้อย่างนั้น รูปคือสภาพนี้ สัญญีคือสภาพนี รูปานิคือผู้มีสัญญา ผู้ที่จะต้องรู้รูปนี้ เพราะฉะนั้นพอมา วิโมกข์ที่ 2 อัชฌัตตังคือภายใน อรูปอสัญญี
ต้องรู้อรูปภายใน สัญญีคือผู้มีสัญญา มีความเป็นรูป ผู้มีสัญญามากำหนดรู้ ตั้งแต่รูปภายนอก พหิทธา รูปานิ จะต้องรู้รูป กับรูปภายนอก ด้วยปัสสติ ด้วยการเห็น แล้วก็ค่อยๆเห็นลึกเข้าไปหารูป แล้วก็เข้าไปหาอรูป สัญญาต้องทำงานอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ไปดับสัญญา
ต้องรู้ทั้งรูป 24 เป็นรูป 28 ไม่ขาดจากกันจากรูปภายนอก 4 และรูปภายใน 24 ไม่ขาดจากกัน เป็น อิทัปปัจจยตา ปฏิสัมพัทธ์กันตลอดเวลา รูป 24 ภายนอกเขาไม่พูดกันเลย ถ้าไม่รู้จักรูป 24 แล้วจะปฏิบัติยังไง ไปหลับตาก็มีนามอยู่ในภพ รูปคุณทิ้งหมดเลย อย่างอภิธรรมก็ไปท่องกัน ไปเน้นเจตสิก จิต 89 กับ 121 อันนี้ไม่ศึกษาไม่เอาเป็นตัวอย่าง ไม่มีทางที่จะไปรู้นาม จิต 89 จิต 121 คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะไปรู้เลย เพราะคุณเองมันขาดตอนแล้ว
ฐิฏทิมันผิดมันเพี้ยนมันออกนอกทาง มันกับไปอธิบายธรรมะว่า วิธีจับปลา วิธีฆ่าปลา ทำอย่างนี้ แล้วหลังจากฆ่าปลาได้ เหมือนฆ่ากิเลสเป็นปลา ก็จะไปแย้งกับศีล ศีลข้อหนึ่งเลยไม่ฆ่าปลาไม่ฆ่าสัตว์ อธิบายทำไม เด็กๆฟังแล้วงง ถ้าผู้ใหญ่ฟังผู้ใหญ่อาจจะแยกออก หรือ
โง่เลย แค่เด็กๆเขาก็ไม่ติดใจไม่มีปฏิภาณมาก อธิบายก็ฟังไปตามบัญญัติ อธิบายเป็นวิธีเผาขยะก็ยังพอทำเนา อธิบายวิธีฆ่าปลา อย่างนี้เป็นต้น การสอนแบบนี้มันก็เลยยิ่งหยาบยิ่งทำให้สับสนย้อนแย้ง
[embedyt] https://www.youtube.com/watch?v=3hQMby0XzSg[/embedyt]