610729_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ การสวดสรภัญญะคือกล่าวโดยไม่ใส่ทำนอง
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1LjOee7z3vOADg8b1pPAQEERIlyVzeKs-3dO_5qs-pRk/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่..https://drive.google.com/open?id=1BFyyy7X1-BfpEp5VAYcz7gDsGZsJO8Fm
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก วันเข้าพรรษาคนก็ไปวัดเพื่อไปทำบุญ แต่คำว่าบุญของพ่อครูคือไปเพื่อลดละกิเลส บุญนี้ไม่ได้อะไร คือหมดตัวหมดตน ลดละกิเลสเราได้ ให้ไปแล้วก็ไม่ต้องหวังว่าจะได้
พ่อครูว่า…ที่ว่ามีแต่จะไม่ได้ๆ สุดท้ายจริงๆที่สุดของความต่างระหว่างจุดหมายของศาสนาพุทธคือทำให้เป็นศูนย์ ทำให้ไม่มี พยายามเข้าใจปลายสุดของความเห็น ปลายสุดจุดหมายของศาสนาพุทธ คือไม่ได้ สูญหายหมด จำไว้เท่านี้ เพราะฉะนั้นทำอะไรถ้ามีเศษที่จะต้องมีโค้งงอกลับมาหาตัวเอง ไม่ใช่เลย ของพระพุทธเจ้าศูนย์เลย ตรงนี้แหละสำคัญ
ต้องมีความชัดใจในใจตัวเองให้แม่นและทำให้สอดคล้อง แม้แต่ในระดับนามธรรม ก็ยังมีลักษณะที่ออกจากจิตเราเอง เรายังมีต้องการ ที่งอเข้ามา มันติดมานานไม่รู้กี่กัปป์กี่ล้านๆปี เอาเข้าหาตัวเป็นอัตตา เพราะฉะนั้นจะต้องให้ตรงที่สุดไม่เอาอะไรเลย เช่น Nuclear fission เป็น Isotope ไม่มีองศาโค้งกลับมาเหรอ ถ้ามีองศานิดนึงมันก็คงไกลเป็น Boomerang เข้ามาหาตัวเรา บางทีอ้อมรอบจักรวาลเลย นานไม่รู้กี่ปีแสง
สมณะฟ้าไทว่า…ศาสนาพุทธ ทำให้เราทำให้ตรงที่สุดไม่มีโค้งมาหาตัวเองเลย ต้องทำให้ไม่มีความหวังเลย
พ่อครูว่า…หากยังมีความหวังก็ยังเหลือตัวตนหวังอะไรหวังเอามาให้แก่อัตตาตัวเองหากเราสูญไปเลยไม่ต้องมีอะไร จึงจะตรงที่สุด
สมณะฟ้าไทว่า…ที่บอกให้ไปนี้เราก็ได้ให้ไปแล้ว สิ่งที่เราให้ไปเป็นสมบัติที่เราได้แล้ว
พ่อครูว่า…กรรมเป็นอันทำ เราคิดเราพูดเราทำก็เป็นกรรมทั้งหมด
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เราจะตั้งตบะธรรมต้องให้มีสมาธิ ด้วยการคบสัตบุรุษ ฟังสัทธรรมก่อนเป็นเบื้องต้น เย็นนี้ จะมีรายการตั้งตบะธรรมที่ศาลาในรายการพุทธศิลป์ ขอเชิญมาร่วมรายการกัน
พ่อครูว่า..คำว่าเคร่งคือทำได้ โดยที่เราไม่ต้องลำบากเลย แต่คนอื่นเห็นว่าทำอย่างนี้เกินไปเคร่งเครียด แต่เราไม่รู้สึกว่าเคร่งหรือตึงอะไรก็ธรรมดา smooth ลื่นไหล สะดวกเป็นปกติ
สมณะฟ้าไทว่า…เชิญมาร่วมตั้งตบะธรรมร่วมกัน ในโลกเขาไม่มีโสดาบัน สกิทาคามีอนาคามี อรหันต์แล้ว แต่เรายืนยันว่ามี ปฏิบัติธรรมของพุทธมีผลจริงเป็นจริงทำได้จริงยืนยันได้ แม้แต่ในหมู่ฆราวาสก็ตาม
พ่อครูว่า…ก่อนอื่นก็ทักทายกับ sms ก่อน
_SMS วันที่ 26 กค. 2561 (สำมะปี๋ซีวิต)
_7680กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพยิ่ง / คำโบราณที่ว่านิ้วไหนร้ายให้ตัดนิ้วนั้นทิ้ง ถ้าเอามาใช้กับคนที่สร้างปัญหาให้กับหมู่กลุ่ม จะเป็นการไม่ให้โอกาสคนๆ นั้น ในการพัฒนาปรับปรุงตัวหรือไม่ครับ หรือควรมีหลักการอย่างไรบ้างในการจัดการปัญหาแบบนี้ครับ
พ่อครูว่า…ถ้าสุดท้ายแล้วพระพุทธเจ้าก็มีหลัก ให้เจ้าหน้าที่เขาจัดการ ถ้าเขาไม่ไปก็ต้องให้บ้านเมืองสังคมจัดการ แต่ในศัพท์ของพระพุทธเจ้า ท่านสอนเหมือนกับพูดใน กาสี คนเลี้ยงม้า คนเลี้ยงม้าบอกว่าถ้าสอนม้าไม่ได้ก็ต้องฆ่าทิ้ง พระพุทธเจ้าก็บอกว่าเราก็ฆ่าทิ้งเหมือนกัน เขาก็ว่าเป็นพระฆ่าได้อย่างไร พระพุทธเจ้าบอกว่าการฆ่าในความหมายของเราคือไม่สอนไม่บอก พรหมทัณฑ์ จะไม่รับรู้คุณจะชั่วจะดีอย่างไรก็เป็นเรื่องของคุณนี่เป็นการลงโทษที่หนักที่สุด ส่วนสิ่งที่หนักกว่านี้ ต่ำกว่านี้ก็คือปาราชิก
ปาราชิกนี่ยิ่งกว่าพรหมทัณฑ์ ขาดจากศาสนาเลย ไม่ให้อยู่ในหมู่กลุ่มเลย ตายไปจากธรรมมาเป็นหนึ่งชาติไม่ต่อสายธรรมะอะไรให้เลย ส่วนพรหมทัณฑ์ เขาจะขวนขวายเอาก็ได้ ส่วนปาราชิกนี้ชาติหนึ่งอย่ามาต่อกันเลย หรือว่าตายไปจากศาสนาหนึ่งชาติ ถือว่าเป็นหลักสำคัญ แต่เดี๋ยวนี้มันได้เพี้ยนไป ซูเอี๋ยกันมากเลย อยู่ร่วมกันอยู่เละเทะ ปาราชิก ไม่ว่าจะข้อไหน ข้อ 3 ก็ยาก เรื่องผู้หญิงยังน้อยกว่าเรื่องเงิน เรื่องเงินนี้ปาราชิกกันมหาศาล อย่างทุกวันนี้ที่เกิดเรื่องกัน ปาราชิกกันนับไม่ถ้วน
เราก็ทำไปตามที่เห็นว่าสมควรตัดนิ้วไหนได้ก็ตัดออกพอสมควร ตัดจนเกินเหตุก็ไม่ไหว
_8866 อยู่หน้าจอค่ะ19:11น. 26กค.61 ให้นึกถึงในสุตตัน (จำเล่มไม่ได้ค่ะ) มีว่าพระสารีบุตรพูดว่าท่านไม่ได้เงยหน้าหากิน(เช่นทายดวงจากดาว) ไม่ได้ก้มหน้าหากิน ฯลฯ สวดทำลายธรรมแบบนี้ก็ด้วยค่ะตอนนี้อยู่ลำปาง พรุ่งนี้จะไปใส่บาตรที่ ชมร.ชม.ค่ะ
พ่อครูว่า…นี่คือพูดอย่างการสวด ไม่ได้ก้มหน้าเงยหน้าหากิน เกี่ยวกับเรื่องการสวด
คนที่ยังไม่มีผลก็ต้องสวดสายเทวนิยมก็สวดกันทั้งนั้น แต่สายอเทวนิยมพระพุทธเจ้าไม่ให้สวดเลย ถือว่าการสวดนี้ยังเป็นแค่วณิพกหรือคณิกา การสวดแบบที่ผิดต่อธรรมวินัย ที่ไม่ผิดธรรมวินัยเลยก็มี เอากันให้ชัด มันยากติดยิ่งกว่าเข้าเส้นเลือดมันอยู่ก้นของเส้นเลือดเลย สวดแบบที่เขาทำกัน
_6956 1.พระโพธิสัตว์เรียกองค์ หรือ รูปครับ
-
เวลาคนโดดตึกตายเอาพระไปเรียกวิญญาน
-
เป็นโรคทำงานไม่ได้บวชหาเงินเลี้ยงควบครัว ก ท ม
พ่อครูว่า…จะเรียกองค์หรือรูปก็ได้ เป็นหน่วยเรียกคนๆนั้น ไม่ผิดอะไร แม้แต่ฆราวาสก็เรียกองค์ได้ ถ้าเรียกรูปก็กลางๆ
กระโดดตึกตายหรือจมน้ำตาย ตีลังกาตาย ดูฟุตบอลแล้วช็อคตาย ตายอย่างไรก็ตาม แล้วจะเอาพระสวดเรียกวิญญาณ นั้นป่วยการสูญเปล่า คุณเรียกวิญญาณไม่ได้หรอก เพราะว่าต้องไปตามกรรมวิบากที่เขามี ไม่มีใครไปบันดาลเขาได้ จะทำพิธีอย่างไรก็เป็นการเล่นลิเกเท่านั้น มันอยู่คนละภพชาติ ไม่เกี่ยวกันเลยมันคนละภพ เหมือนกับคนละประเทศ แต่ละประเทศยังมีเส้นต่อเนื่องกัน แต่คนละภพนี้ไม่มีเส้นต่อเนื่องกันเลย จะรู้ได้อย่างไร ไม่มีอะไรเชื่อมต่อกันเลย คนละประเทศอย่างอเมริกากับไทยก็ยังไปถึงกันได้เลย โทรศัพท์หาวิญญาณก็ไม่ได้ ใครจะตายโดยที่ไหนก็แล้วแต่ จะเอาใครที่เก่งที่สุดก็แล้วแต่เรียกวิญญาณไม่ได้
ข้อที่ 3 การบวชเลี้ยงชีพเป็นอาชีพหาเงินเลี้ยงครอบครัวมีจริงๆในเมืองไทย มีโรค อย่างน้อยก็เป็นโรคขี้เกียจ ก็บวชเอารายได้มาเลี้ยงครอบครัว
การบวชที่จะได้เงินก็คือการสวดมนต์ เป็นประเพณีจารีตที่ติดยึดกันหนักในเมืองไทยก็ตาม นิมนต์ไปสวดมนต์ก็ได้แล้วได้ทุกอย่าง พระไปรับนิมนต์ไปงานบ้านงานวัดงานพิธีการ ถึงขั้นราชพิธี สวดมนต์ลูกเดียว มันน่าสังเวชใจ ศาสนาที่เผยแพร่สวดมนต์
_3867 นมัสการพ่อครูฯสมณะสิกขมาตุ!จรธ.ญตธ.บ้านราชฯ กับวงเสวนาธ.พุทธศ.โอภาปราศัยถ้อยธรรมคำพุทธ ด้วยความเป็นกันเองไร้แบ่งแยกหมดฐานันดรสิ้นชั้นวรรณะคงสิทธิเสรีภาพเสมอกันสาธุ
_2166แป้งเอ๊ย….โกนหนวดหน่อยเพื่อนจะเข้าพรรษาแล้ว!!!! ฮ้วย! อย่าบอกยากหลาย
พ่อครูว่า…สมัยอาตมาเล่นไสยศาสตร์นำมีดคมๆลับมาเลย มีดเล่มใหญ่มีน้ำหนักเอามาโกนขนร่วงเลยนะ เสร็จแล้วเอามากรีดผิวหนัง เลือดออกซิบๆ ถ้ามีดโกนไม่เจ็บหรอก มันกรีดไม่เข้าเลย สัมผัสผิวเราก็ลื่นไปเลย แต่มีดนี้เขากดมีน้ำหนักทั้งกรีดและคมด้วยนะเอาปลายมากรีดก็เข้าเหมือนกัน เลือดซิบๆเป็นยางบอนออกมาเป็นเส้น เจ็บนะ แต่เหนียวไง ภูมิใจในความเหนียว เดี๋ยวนี้อย่ามาลองนะ เขาฟันแต่ก่อนก็เจ็บด้วยแต่กรีดนี้ยิ่งกว่าฟันนะ
อย่ามาลองนะ มันเป็นเรื่องของใจจริงๆไม่มีอะไรสงสัยคลางแคลง แต่พอหมดพลังนั้น มันก็ไม่คงทนเที่ยงแท้ไม่แน่นอน มันเป็นพลังงานที่มีพลังงานที่ทำได้ อาตมาจึงไม่สงสัย ภาวะเล่นมาทดลองมาทางวิทยาศาสตร์กับไสยศาสตร์ แต่ตอนนี้ไม่เอาแล้วมาเอาคำสอนพระพุทธเจ้าเอาดีความชั่วเอาเป็นโลกุตระพอแล้ว
_สมเกียรติ พรหม · การบวชเล่นๆ เป็นการกระทำของ ปุถุชน คนหลงโลก
พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ แสดงธรรม พุทธแท้ๆ ตามฟัง ตั้งใจประพฤติ ปฏิบัติ ด้วยศรัทธาและเคารพ กรรมอันทำ ทำให้เกิด คนจนที่ สุขสำราญ เบิกบานใจ สาธุ ครับ
พ่อครูว่า…จริง ก็ขอเคาะกบาลนิดนึง
ปุถุชนทำแล้วแทนที่จะดีกลับเป็นโทษต่อตนเองและศาสนา เป็นโทษต่อมนุษยชาติ การบวชเล่นๆ คุณไม่ได้บวชอย่างเข้าใจโดยสัจธรรมด้วยความจริงเลย มันก็ทำลายศาสนาแล้วจะไม่บาปได้อย่างไร มันเป็นอกุศล การบวชเล่นบวชหัว นึกว่าจะได้อะไรนั้นไม่ได้ เอาคนหนุ่มแน่นมาบวชเป็นพันคน หมื่นคนแสนคน กำลังกลัดมัน ก็มาทำสังฆาทิเสสข้อต้นๆ คือ ข้อ สำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง ก็เป็นอาบัติสังฆาทิเสสกัน โครมๆ พวกนี้เขาไม่ได้จริงจังกับศาสนามันก็ไม่เปิดเผยหรอก หมักหมมเละกันอย่างนั้น ศาสนาชิปหายวายป่วง แม้แต่วินัยข้ออื่นเขาก็ไม่รู้เรื่อง พระที่บวชมา 50 ปีที่รู้พระวินัยก็ยังละเมิดเลย มันไม่ใช่ของเล่น ถึงซวยมาก กรรมเป็นอันทำ ทำผิดทำชั่วมันก็บันทึกเป็นวิบาก
1.คุณไม่เชื่อกรรมวิบากเป็นเรื่องซวย ศาสนาพุทธยืนยันว่ากรรมเป็นของๆตน ทำแล้วเป็นของเราไม่ใช่ของใครแบ่งให้ใครไม่ได้
-
ทำแล้วกรรมเป็นมรดกของตน ตนเองต้องรับมรดกตัวเอง มรดกชั่วคุณต้องใช้หนี้ ยิ่งมีการสะสมความชั่วให้มาก มันก็หนักหนาสาหัส
-
กรรมเป็นวิบาก เป็นผลสะสมได้
-
ความตรัสรู้ของพุทธเจ้ามีจริงเป็นจริง หากคุณไม่เชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า หากคุณไม่เชื่อ ก็จะมานับถือกันทำไม ถ้าหากเชื่อก็ยังพูดกันได้เราก็จะได้ชีวิตของเราให้ดีขึ้น
เป็น 4 ความเชื่อนี้แหละ หากไม่มี 4 ความเชื่อนี้ปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธก็สูญเปล่า
_มีเรื่องอยากถามหลวงพ่อ คือ หนูดูคำสอนของหลวงพ่อทางโทรศัพท์ ทาง youtube มีหลายเรื่อง คำสอนของพระพุทธเจ้าแถวบ้านหนู สอนแต่ทำบุญ คือ ถ้าเราอยากมีเสบียงอาหารไว้ใช้ในชาติหน้า เราต้องไปทำบุญที่วัด (พ่อครูว่าให้ไปทำบุญที่วัดอีกนะ แล้วบุญของเขาก็คือการทานมันไม่เข้าใจจริง การไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้เป็นการทำลายศาสนา แทบจะไม่เหลือแล้ว อาตมาก็ทัก จะว่าหลงตัวหลงตนก็ตาม หากว่าอาตมาไม่เกิดขึ้นมาก็งมไม่ขึ้น รับรองว่าให้ผู้ที่ช่วยกู้ภัยทั่วโลกมากู้ศาสนาก็ไม่ขึ้นต่อให้มาหมดโลก อาตมาเท่านั้นที่กู้ขึ้น)
คนบ้านหนู บอกว่าสวดแล้วคุ้มครองป้องกันภัย แล้วการสวดจะสวดเพื่ออะไรคะ สวดเพื่อหากิน บางคนสวดเพื่อคุ้มครองป้องกันอันตราย (พ่อครูว่า…หากว่าสวดแล้วคุ้มครองภัยอันตรายได้ไม่ต้องไปซื้อหาอะไรเป็นเครื่องกั้นเลย แม้แต่ฝนมาก็สวดเอา ฟ้าผ่า แดดร้อนก็สวดเอา)
สวดมนต์คุ้มครองอันตรายและต่ออายุได้อีก อย่างนี้มีหรือเปล่าหลวงพ่อ แล้วเครื่องบูชาที่ทำให้รวยขึ้นมีหรือเปล่าหลวงพ่อ
(พ่อครูว่า…มีแต่มันไม่ถูกต้องหลอกกันมาเท่านั้น มันมีนะแต่มันไม่ดี ทำขายหลอกกันแต่ไม่มีผลได้จริงอย่างที่เขาว่า ถ้าได้ก็ไม่ต้องทำอะไรหรอก ก็ซื้อแต่เครื่องรางของขลังให้มันเก่งเท่านั้น จะให้รวยแต่ฉันไหลจะให้แคล้วคลาด ให้มีฤทธิ์อำนาจอะไรก็ได้ หากพวกนี้เป็นเรื่องจริงก็ให้ทหารไม่ต้องใช้ปืนใช้อาวุธ เอาแต่เครื่องรางของขลังไปแล้วเดินไปทิ่มตาข้าศึกเลย สรุปว่าเป็นเรื่องหลอกทั้งนั้นอย่าไปเชื่อ)
แล้วเรื่องพระมีอิทธิฤทธิ์เกิดจากอะไรคะ
(พ่อครูว่า…อำนาจอิทธิฤทธิ์มีจริงแต่เป็นเรื่องไม่เที่ยงไม่คงทนทำได้ยาก พระพุทธเจ้าก็ทำได้ ฤาษีต่างๆก็ทำได้ ในยุคของพระพุทธเจ้ามีฤาษี 2 องค์ มีฤาษีคันธารีกับฤาษีมัลลิกา
ฤาษีคันธารีสอนเรื่องฤทธิ์เดช ฤาษีมัลลิกาสอนเรื่องอาเทสนาปาฏิหาริย์ มันเป็นฤทธิ์เดชทางรูปธรรม ส่วนอาเทศนาปาฏิหาริย์นั้นให้จิตมีฤทธิ์เดช ส่วนพวกรูปธรรมก็ให้อยู่ยงคงกระพันล่องหนหายตัวอะไรพวกนี้ ส่วนเทศนาปาฏิหาริย์ให้จิตมีฤทธิ์ทางจิต ส่งจิตไปบิดไส้เขา ไปทำให้เขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ยากมากๆและก็ไม่เที่ยง พลังงานที่จะต้องรวบรวมเอามาใช้ เสร็จแล้วมันก็สลายง่ายเสื่อมง่าย ลอดใต้ถุนบ้านก็เสื่อมแล้ว อะไรต่างๆนานาสารพัด ผู้หญิงเดินข้ามก็เสื่อมแล้ว ไปจับผ้าถุงก็เสื่อมแล้ว สารพัดสารเพ เป็นเรื่องที่ไม่ควรจะต้องไปยึดถือ สรุปแล้วเป็นเรื่องไม่จริงอย่าไปเชื่อ ให้มาเอาอนุสาสนีปาฏิหาริย์พระพุทธเจ้าสอนให้พ้นทุกข์ สอนให้เป็นคนดีมีประโยชน์คุณค่ามาเอาทางนี้)
หนูก็ตัดสินใจเรียนถามหลวงพ่อ หนูอยากให้แฟนหนูรู้ เพราะดูทางโทรศัพท์ ก็ไม่เท่ากับถามหลวงพ่อตรงๆ ถ้าหลวงพ่อตอบกับจดหมาย แฟนหนูก็จะเข้าใจ หนูอยู่ไกลเลยตัดสินใจเขียนถามหลวงพ่อ
พ่อครูว่า…ก็ตอบไปแล้วนะ
_อีกเรื่อง ทุกข์ใจ หนูเป็นโรคกลัว เรื่องศาลพระภูมิ หนูอยากจะรื้อทิ้งไม่อยากได้แต่กลัวเทวดาให้โทษ
พ่อครูว่า…สมัยอาตมาเล่นไสยศาสตร์ก็รื้อศาลพระภูมิมาเยอะ ตั้งเองล้มเอง เชิญเทพเจ้ามาสิงสู่ มีชื่อศาลด้วยนะ ก็เป็นวิบากอาตมาที่ไปหลอกเขา ก็เลยมีวิบากตามมาเล่นงานหลายอย่าง ตอนนั้นเป็นลิงลมอมข้าวพอง อาตมาเคยไปตั้งศาลพระภูมิใหญ่ พูดก็เรื่องความหลัง สรุปแล้วหนูรื้อไม่ได้ก็ให้ใครที่มีแรงมีความสามารถรื้อให้ รื้อได้ไม่มีปัญหาหรอกอย่าไปกลัว มันมีอะไรก็เขียนจดหมายมาถามอีก
_หนูขอเล่านะ ทำไมไม่อยากไหว้ เพราะถ้าเล่าให้ฟังอาจจะดูว่าหนูเป็นคนงมงาย แล้วถ้าหนูหรือศาลพระภูมิทิ้ง เทวดาให้โทษแล้วหนูจะทำอย่างไรคะ
พ่อครูว่า…ถ้าหากเทวดาให้โทษอาตมาจะปราบเทวดาเอง ให้มาหาอาตมา ทำใจดีๆ ถ้าเชื่ออาตมามากว่าพระภูมิ ว่าพระภูมิไม่มีฤทธิ์กว่าอาตมาหรอก เชื่อไหม ถ้าพระภูมิจะทำอะไรก็บอกว่าเดี๋ยว พระโพธิรักษ์มาหักคอนะ
_บ้านเล็กเมืองน้อย…กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูง
ขอแนะนำลุงกับป้า คู่หูเจ้าเก่า เจ้าประจำที่ทุกคนรู้จักแต่ไม่รู้ใจ
คุณลุงเป็นยอดนักขายฝัน ชอบสร้างเรื่องราวไม่สิ้นสุด กระตุ้นให้เกิดความกระตือรือร้น
ซึ่งดูผิวเผินเหมือนจะดี ถ้าไม่ถลำลึกไม่ยึดติดไปกับลุงมาก ก็อาจจะได้พึงพอใจอยู่บ้าง
แต่ถ้าเผลอตัวไปคลุกคลีกับแกมากๆเข้า ลุงแกจะแสดงธาตุแท้ อันบรรเจิดเกินเหตุ ออกมาเสมอ
กลายเป็นคนยึดกำหนดหมาย คิดเอาแต่ได้ มีอันต้องขัดแย้งกับผู้อื่นเป็นประจำ
ทุกคนที่สนิทสนมกับแกแล้ว จิตจะตกยาว จนกว่าแกจะยอมไป
ลุงแกก็เหลือเกินจริงๆ ไม่ไปง่ายๆ ยุยงต่อเนื่อง ให้คนทุ่มโถมอย่างลืมตัว
เอาจริงเอาจังดีๆอยู่ กลับเปลี่ยนเป็นเอาเป็นเอาตายขึ้นมา จนพากันเสียผู้เสียคนเพราะแกมานักต่อนัก (พ่อครูว่า…ตัวมานะ อติมานะ มันจะเป็นเหตุอย่างนี้)
ในเรื่องทำทานการกุศลขอให้บอก…. ลุงแกโผล่ทุกงาน จนได้นิกเนมทางบาลีว่า สาเปกโข……
แม่นแล่ว….ลุงหวัง เพื่อนซี้ของนักการกุศล นักติดสินบน และนักแย่งชิงที่ยังเสพโลกธรรมไม่รู้จบ นั่นเอง
อยากกำจัดลุงหวังให้พ้นไป ไม่ยาก
สมณะพราหมณาผู้มีสยังอภิญญา สอนไว้ว่า ให้ทำแต่กุศลที่เป็นบุญ… ทำแต่เหตุที่จะนำไปสู่เป้าหมาย… (พ่อครูว่า…ทำดีแล้วตัดกิเลสตัดสันตติ ไม่มีอะไรต่อ ทำกุศลแล้วจบตัด ไม่คิดไม่นึกจะมีอะไรต่อเลย ทำแต่เหตุให้แม่นให้ตรง ให้เต็มที่ จบในตัวเอง เจตนาแต่อย่าอยาก ทำแต่เหตุ แล้วมันจะเดินไปสู่เป้าหมาย)
ให้มีเพียงเจตนาแต่ไร้ซึ่งความอยาก… เป็นแค่กำหนดหมายที่ปราศจากแรงดูดยึด
ทำตามที่ท่านว่านี้ ลุงหวังแกก็จะไปสู่ที่ชอบที่ชอบของแกเอง ตัดหางปล่อยนรกไปเลย ไม่ใช่ตัดหางปล่อยวัดนะ
ส่วนคุณป้านั้น ซื่อตรงสุดๆ ใครทำเช่นไร แกก็ตอบกลับเช่นนั้น
แบบมีชั้นมีเชิงด้วย มีหนัก-เบา…. เร็ว-ช้า…. ก่อน-หลัง…. เป็นกรณีไป
ป้าแกจะมี ๒ บุคลิก เป็น Bipolar ทั้งดีทั้งร้าย
– แบบดี ใครๆก็ชอบและอยากอยู่ใกล้ จึงเรียกแกว่า ป้ามี
ป้าเป็นนักบริการ อำนวยความสะดวกชั้นยอด แต่ป้าไม่ค่อยยอมปรากฎตัวเพราะคนประกอบกรรมดีมีน้อย ผู้มีบารมีจึงหายาก
– ส่วนแบบร้ายก็คือป้าวิ ที่ชอบหอบความทุกข์มาฝากด้วยเสมอ จึงไม่มีใครชอบแก ไม่อยากให้แกอยู่ใกล้ๆ
แต่เมื่อได้รับประสบการณ์เลวร้ายหรือมีอุปสรรคทีไร ก็จะโทษป้าวิ ทุ้ก.ก.ก.ที
ช่างน่าเห็นใจผู้ที่ผัสสะแล้ว ยังทำใจยอมรับความจริงตามความเป็นจริงไม่ได้ จึงระบายใส่ป้าวิ
โทษวิบากจนเคยชิน ไม่ใช้ ตรรกะ วิตรรกะ สังกัปปะ ตามที่พ่อท่านสั่งสอน จึงไม่รู้ข้อบกพร่อง ผิดพลาดของตน
บางครั้งคนป่วยที่ไม่ยอมไปรักษาพยาบาล ไม่หาทางช่วยเหลือตัวเอง ได้แต่โทษวิบากกรรม
แล้วก็ปล่อยไปตามยถากรรม ง่ายดี เลียนแบบเทวนิยม ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า
ถึงขั้นป่วยหนักเข้า เกิดตายขึ้นมา ก็พากันโทษ ป้าวิ อีกนั่นแหละ
ยังมีคนยากจนข้นแค้นแบบงอมืองอเท้า ไม่ยอมลุกขึ้นสู้ ฝังตัวเองคู่กับป้าวิ จมอยู่กับความทุกข์ยาก
แล้วยังไปคบกับลุงหวัง ไม่ปฏิบัติตนตามวรรณะ ๙
แล้วจะเป็นคนจนที่สุดสำราญเบิกบานใจได้อย่างไร ถ้ายังแยกความเชื่อกับความงมงายไม่ออก
ท่านสอนไว้ว่าต้องมีสติรู้ตัวทั่วพร้อม เมื่อผัสสะให้ใช้ธรรมะวิจัย แยกเวทนาแท้กับเทียมให้ออก วิตกวิจารณ์ให้ได้
แล้วโยนิโสมนสิการให้ถึงตาน้ำ ถึงต้นเหตุของปัญหา แล้วแก้ไข ปรับปรุง พัฒนา ให้เหมาะสมดีขึ้น
จะได้ไม่สร้างวิบากกรรมเพิ่มเติม ด้วยการหลับหูหลับตา โทษแต่วิบากเพียงอย่างเดียว
กรรมคือผลของการกระทำ ถ้าไม่ลุกขึ้นประกอบกรรมดีบ้าง ก็จะได้พบเจอแต่ป้าวิ ไม่มีทางได้พบกับป้ามี
เพราะบารมีจะเกิดแก่ผู้ที่เสียสละตน กระทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น โดยไม่หวังผลใดๆตอบแทนเท่านั้น (พ่อครูว่าไม่มีสองคำ คือ ไม่ กับ ไหม้ ซึ่งอาจดูไม่ดีทั้งคู่ แต่คำว่าไหม้นี้ ดีก็ได้คือสลายกิเลส ละลายกิเลสให้หมดไปได้เลย)
เลิกคบลุงหวัง หยุดงมงายโทษแต่ป้าวิ หมั่นทำแต่กุศลกรรมที่เป็นบุญอย่างไม่หยุดยั้ง
สักวันหนึ่งป้าวิแกก็อาจจะวิ่งตามมาไม่ทัน แล้วป้ามีก็จะมาเป็นเพื่อนในที่สุด
พ่อครูว่า…สักวันหนึ่งป้าวิก็คงจะตามไม่ทัน เป็นหมาไล่เนื้อวิ่งอย่างไรก็ไม่ทัน นี่คือสัจจะที่อาตมาอธิบาย กุศลที่เราทำเป็นกำแพงที่กั้นวิบากบาปไว้ ไกลมากไม่ให้มาถึงได้
บาป ใช้กับสภาวะที่ไม่ดีเหมือนทุจริตอกุศล แต่ตัวดีคือบุญมีถ่ายเดียวไม่กลับไปกลับมา เพราะคุณยังจมกับความไม่ดีไม่หมด 0 ก็เลยต้องไปๆมาๆอยู่ ก็ยังต้องวนอยู่ ถ้าคนที่จบเป็นอรหัตตผลมันไม่มีกลับไปกลับมาเลย ก็มีอย่างเดียว กับ 0 ไม่มีสองแล้ว
มาเข้าเรื่องการสวด…ขออภัยก่อนอื่นขออภัยต่อสถาบันศาสนาพุทธ พระวินัยสอนเรื่องการสวด การสวดพระธรรมด้วยทำนอง ในพระวินัยเล่มที่ 7 ตั้งแต่ข้อ 20
เรื่องสวดพระธรรมด้วยทำนอง
[20] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์(พระหกรูปที่เป็นตัว nuisance ตัวรวนมาก ทำผิดๆหลายอย่าง) สวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ สวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ เหมือนพวกเราขับ ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียนโพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย …ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์จึงได้สวดพระธรรม ด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาค … ทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า … จริงหรือ
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียน … ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่ง กะภิกษุทั้งหลายว่า
พ่อครูว่า…พวกเราก็สวด ทั้งฆราวาส นักบวช ก็สวด สวดประณามคาถา ก็สวดพร้อมกันได้ แต่ถ้าสวดธรรมบท ก็ต้องสวดเพื่อจำได้ ก็สวดในหมู่ตัวเอง อย่าเอามาสวดนอกต่อหน้าอนุปสัมบัน เป็นนักร้องหมู่ นักร้อง choir มันพ้องเสียงกับคำว่า ควาย คือหมู่สัตว์ชนิดหนึ่งก็เลยหาว่าอาตมาว่าพระเขาเป็นควายแต่ไม่ใช่ นักร้องหมู่ที่เขาเป็น choir (ไคว-เออร์) เป็นการร้องหมู่กัน จะประสานเสียงหรือไม่ประสานเสียงก็อีกนัยหนึ่ง เขาเรียกว่านักร้องหมู่ ไม่ใช่ Solo singer คือนักร้องเดี่ยว เช่น เสก โซโล (โลโซ) ไปล้อพวกไฮโซอีก
พระพุทธเจ้าท่านตรัสพระวินัยข้อที่ 20 ทุกกฏข้อนี้ชัดเจนว่า ถ้าผู้ร้อง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุสวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลง ขับ มีโทษ 5 ประการนี้ คือ:
-
ตนยินดีในเสียงนั้น
-
คนอื่นก็ยินดีในเสียงนั้น
-
ชาวบ้านติเตียน
-
สมาธิของผู้พอใจการทำเสียงย่อมเสียไป(กิเลสเข้า จิตจะไม่ตั้งมั่นสมาธิเสีย ถ้ากิเลสไม่เข้า สมาธิจะตั้งมั่น ตกผนึกความแข็งแรง คุณสมบัติของจิตที่ได้ นี่จิตตั้งมั่นก็ตั้งมั่นไม่ได้เพราะมีกิเลสเข้าไปทำลาย)
-
ภิกษุชั้นหลังจะถือเป็นเยี่ยงอย่าง (มีอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองในตอนนี้ ภิกษุจะถือเป็นเยี่ยงอย่าง เพราะโง่แล้วไม่เข้าใจสวดกันเป็นหมู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย โทษ 5 ประการนี้แล ของภิกษุผู้สวดพระธรรมด้วย ทำนองยาวคล้ายเพลงขับ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ รูปใดสวดต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
สวดยาวเกิน ฑีฆสระ (สระเสียงยาว)แต่คุณเอื้อนเกินเสียงยาวไปอีก รัสสสระก็เป็นเสียงสั้น ถ้าเสียงหนักก็คุรุ ถ้าเบาก็ลหุ แต่ถ้าออกเสียงเกินกว่าที่ควรก็ผิด
ลากเสียงยาวก็ผิด ใส่ทำนองก็ผิด ยาวคือ ยาวะ ยามะคือขนาด ที่เขาเอามาเถียงกันในเรื่องอาบัติ สะสมยาว อาบัติยามะหรือยาวะ
ทีนี้ ข้อ 20 ท่านก็จบแค่อาบัติทุกกฏ ถ้าไปขับร้องก็ผิด ทุกวันนี้ใช้พยัญชนะ เรียกว่า สรภัญญะ จบอันที่1 อาบัติทุกกฏในข้อที่ผิด ไปสวดอย่างนี้ให้เกิด โทษ 5 ประการนี้
สวดเป็นภาษาไทย แปลว่ายื่นยาวออกไป เกินออกไปจากขอบเขต มันสวด ภาษาอีสานก็ชัด สวด มันเลยออกมา ปากสวดคือปากยืดยาวออกมา มันเลยมันโปนออกมา เลยเขตที่ควรของมัน
สรุปข้อ 20 เป็นอาบัติทุกกฏ
เรื่องการสวดสรภัญญะ
[21] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายรังเกียจในการสวดสรภัญญะ จึงกราบ ทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สวดเป็น ทำนองสรภัญญะได้ ฯ
พ่อครูว่า…ก็มีหมู่ภิกษุไปสวด แล้ว เรียกการสวดแบบนี้วาดสรภัญญะ ข้อที่ 20 เป็นคำห้ามไม่ให้ทำ ส่วนข้อที่ 21 อนุญาตให้ทำ อนุญาตด้วยพยัญชนะว่าเราอนุญาตให้สวด สรภัญญะ แต่คำว่าทำนองนี้เขาเอามาใส่เอง ที่จริงคำบาลีมีแค่สรภัญญะ แต่ผู้แปลใส่คำว่าทำนองสรภัญญะ คำว่าทำนอง คือ คีตะ เขาก็เติมไปอีก ทำนองคือเสียงเพลง ทำนองเพลง เพลงมีทำนอง ถ้าไม่มีทำนองเมโลดี้ ในพระบาลีไม่มีทำนองเลย มีแค่สรภัญญะ
คำว่า สระ กับ ภัญญะ
ถ้าเข้าใจสองคำนี้ก็จบ แต่ถ้าไม่เข้าใจหรือเจตนาไม่เข้าใจจะใช้ก็ตัวใครตัวมัน ก็เป็นกรรม
ที่จริงคำว่า สรภัญญะ ขอตีหัวไว้แต่ตอนต้นว่า สรภัญญะ ไม่ได้หมายความว่าสวดมีทำนองหรือสวดยาวเกินไป การสวดยาวเกินไปก็นอกความหมาย รสสระ ก็สั้น ฑีฆสระก็ยาวแต่ยาวเกินไปก็ผิด
สรภัญญะ แปลเป็นไทยว่าความเป็นแห่งการกล่าว คำที่กล่าวขึ้นมามันเป็นขึ้นมา เป็นคำกล่าว ด้วยเสียงคือ สระ
สรภัญญะ คำว่า ภัญญะแปลว่าคำกล่าวคำพูด มันเป็นขึ้นมาของคำกล่าวคำพูด
สระ เป็นตัวกำหนด สระ มี รัสสะ กับฑีฆะ รัสสะก็สั้น ฑีฆะก็ยาว จะกล่าวคำโดยสระเป็นตัวกำหนด สระสั้นก็กล่าวสั้น อะ อิ อุ เป็นต้น สระยาวก็กล่าวยาว อา อี อู โอ เป็นต้น
สรภัญญะ แปลว่าการกล่าวไม่ใช่การร้องเพลง มันคนละเรื่อง การกล่าวนี้ยาวหรือสั้นตามที่กำหนด แต่ถ้ากล่าวลากเสียงอันยาวก็อาบัติอีกข้อหนึ่งเหมือนกัน ลากเสียงอันยาวเกินกว่า ฑีฆะ ลากยาวเกินกว่าขอบเขตมากกกกกก….
เน้นก็เน้นแต่อันนี้มันมากกกก…หาขอบเขตไม่ได้ มันเว่อร์จริงๆ คนที่ไม่รู้จักขอบเขตไม่รู้จักที่จบที่หยุด มันพูดกันไม่รู้เรื่องมันดันทุรัง
ความเป็นแห่งการกล่าว หรือคำกล่าว มันทำให้ขึ้นมาเป็น ไม่ใช่มันไม่มี หมายความว่าอะไร หมายความว่าการกล่าว ไม่ใช่การร้อง หรือครวญเพลง การกล่าวนะ เพราะฉะนั้นคำใดที่ต้องการเปล่งเสียงออกมาหรือกำหนดให้เป็นคำภาษาคน ให้รู้เรื่อง ก็ต้องเปล่งกล่าวภาษาคนตามพยัญชนะและสระให้ตรง พยัญชนะก็บอก ก ข ค ฆ ง มีสระกำกับ รัสสะก็สั้น ฑีฆะก็ยาว ยาวแค่ที่เขากำหนดควร ให้หนักเบา ครุ ลหุ ก็ให้เป็นภาษาที่เหมาะพอดี ไม่ใช่การกล่าวโดยใช้ทำนอง
ทำนองคือ คีตะ การกล่าว การกล่าวใส่ทำนองไม่ใช่ หรือไม่มีเสียงที่ลากจนเกินไป สรภัญญะคือ การกล่าวโดยให้เป็นไปตามเสียงสระที่สั้นหรือยาวเท่านั้น คำว่า สรภัญญะคือการกล่าว ไม่มีทำนองเป็นเพลงแม้แต่นิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่ได้ แต่คนก็เอาอนุโลมไปใส่ทำนอง เติมไปเรื่อยๆ ท่านให้เอื้อนเป็นสรภัญญะนิดหน่อยก็ได้อีก เข้าข้างตัวเองอีก เพื่อจะอนุโลมาหาช่อง เช่นเดียวกับการหาช่องกินเนื้อสัตว์นี่แหละ อย่างในชีวกสูตร พระพุทธเจ้าตรัสเป็นเรื่องบาปเป็นอันมากไม่ใช่เรื่องบุญเลย
-
ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)
-
สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส
-
ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”
-
สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส
-
ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภติ โส อิเมหิ ปญฺจหิ ฐาเนหิ พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร ล.13 ข.60