610801_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สวดมนต์ที่ผิดวินัยเป็นการทำลายศาสนา
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/14sTLsl2jk-AQQ7u-1R-px7UEaKiWw4h0pWNsb1D7jws/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่..https://drive.google.com/open?id=1MStNtIQSXpoiiE6MT5NYOKdAVL9MgnJ0
สมณะฟ้าไทว่า… วันนี้เป็นวันพุธที่ 1 สิงหาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้กระแสสังคมที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เราจะเห็นความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นของสังคม ฆ่าฟันกันได้ง่ายๆ เพราะคนไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ เนื่องจากได้ทำตามอารมณ์ตามกิเลสตัวเองมาก ถึงไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ภัยต่างๆก็มามากขึ้น ไม่เฉพาะแค่น้ำท่วม
แต่เราอยู่ในสังคมบุญนิยม ภัยต่างๆก็มีน้อย การแสดงออกที่เกิดจากกิเลสของพวกเราก็มีน้อย เป็นสังคมที่พ่อครูสร้างให้พวกเราอยู่อย่างสัปปายะ พ่อครูยินดีอยู่กับพวกเรา พวกเราก็น่าจะยินดีที่จะอยู่กับพ่อครู ถ้าพ่อครูไม่ยินดีจะอยู่ก็ไปได้ ถ้าร่างกายไม่ไหวแล้ว ถ้าเรายังไม่ได้คุณธรรมเพึยงพอ ก็อาจจะต้องเสียใจเหมือนพระอานนท์ ตอนพระพุทธเจ้าปรินิพพาน เราก็น่าจะสำนึกในสิ่งที่พ่อครูได้สร้างได้ทำ
เราฟังพ่อครูเทศน์ต่อหน้า กับฟังทางทีวีนั้นก็ต่างกัน
พ่อครูว่า…อ่าน sms กันก่อน SMS 30 กรกฎาคม 2561 (พ่อครู : บวรสันติอโศก)
_7722ชื่นชมท่านที่โพกศีรษะนั่งฟังพ่อครู พอมี sms กล่าวถึงท่านสามารถปลดผ้าออกได้อย่างสบาย
พ่อครูว่า…อาตมาตอนเด็กไม่ได้ตัดที่ร้านตัดผม ยายจับโกนหัว เวลาโกนเสร็จ ก็จะถูกล้อว่าเด็กหัวโปก โกนหัวเสร็จก็โดดลงน้ำเย็นสบาย
__3867นมัสการพ่อครูฯสมณะสิกขมาตุ!จรธ.ญตธ.นร.สัมมาฯ ที่หลวงปู่โพธิรักษ์ฝึกจิตฝนใจลูกหลานอโศกอยู่กับทุกข์101เจ็ดย่านน้ำ(ท่วม)แปรเป็นสุขด้วยโลกุตระธ.ทุกฤดูมรสุมฯสาธุ!กบสิ้นโศก
_3867ตอนน้ำแห้งฟูมฟักดินเก็บผักบุ้งฟักแฟงแตงไทยดินดีงาม!ตอนน้ำท่วมฟื้นฟูน้ำเก็บ ผักตบชวาน้ำใสสะอาด!จะน้ำขึ้นน้ำลงทั้งคน,ดิน,น้ำล้วนพึ่งพากันและกันร่วมสัจธรรมผ่านทุกข์สุขผ่าน มาได้ทุกฤดูกาล!สู้ๆนะ
พ่อครูว่า…พ่อครูพูดถึงฟักทองที่บอกว่าเป็นพันธุ์ญี่ปุ่น แต่ขึ้นที่สวนอุทยานเราเอง และเกิดจากกองขยะ
อุปสรรคใดๆเราก็แก้ได้ แม้แต่อุปสรรคที่หนักที่สุดคือมหาเถรสมาคมเล่นงานเราก็ผ่านมาได้ เชิงกฏหมายก็พยายามเล่นอาตมาให้งอม พยายามเล่นทางวินัยแต่ไม่รู้ว่าใครงอมกันแน่
_วาส ทองจันทร์ · กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพยิ้งครับ พระที่ว่าท่านสอนผิดนั้น เขาเป็นอเวไนย์สัตว์ครับ เขาฟังพ่อครูแสดงธรรมไม่เข้าใจในธรรมที่ท่านสอนหรอกครับ ถ้าเขาฟังเข้าใจเขาจะไม่คิดอย่างที่เขาตำหนี่ท่านแน้ครับ
_จาก…บุญลาภ แก้วมณี กราบขอบพระคุณด้วยความเคารพสุดเศรียรสุดเกล้าครับ
สิ่งหนึ่งที่เป็นเครื่องยืนยันคือตั้งใจว่าจะขอเข้าเป็น1ใน1000 ของชุมชนราชธานีฯภายในเดือนพ.ย.นี้ครับ
_มนูญ ณ นคร ชมพ่อท่านอยู่ทางช่อง 240 ครับ
_เชวง กิจจะบรรณ์ ผมฟังเทศมากกว่าอ่านหนังสือครับ
_…น้อมกราบนมัสการรบกวน พ่อท่านฯ อธิบายคะ คำถาม: ว่ากันว่า ฆราวาส เป็นอุปกรณ์ให้นักบวชฝึก คืออะไร อย่างไร หมายความถึงอย่างไร คะ (มีหลายอา/ป้า เคยบอกแบบนี้น่ะค่ะ)
พ่อครูว่า…
สมณะฟ้าไทว่า…ก็ฝึกซึ่งกันและกัน เป็นอุปกรณ์กันและกัน ต่างคนเป็นอุปกรณ์ซึ่งกันและกัน
พ่อครูว่า…ฆราวาส อยู่ในฐานะที่เขาไม่มีกฎหลักเกณฑ์ธรรมวินัยบังคับ ก็ต้อง Free form สบายๆ เพราะฉะนั้นเขาจะปฏิบัติอะไรข้อจำกัดก็น้อย เขาทำอะไรต่ออะไรได้ ไปท้วงอะไรเขาก็ได้ยาก แต่เขาท้วงเราได้ นัยยะฆราวาสเป็นอุปกรณ์คือทำให้ดีนะ ฆราวาสเขาส่องกล้องอยู่นะ ฆราวาส จึงเป็นอุปกรณ์ให้นักบวชฝึกตัวเอง แต่ถ้าเกิดว่า เป็นภิกษุหรือนักบวชที่อลัชชี น่าไม่อาย พวกไม่รู้จักอะไรเป็นอะไรบวชแล้วก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองบวชเป็นพระแล้ว มีความต่างกันกับฆราวาสแล้ว พระพุทธเจ้าอธิบายในอภิณหปัจจเวกขณ์มันก็เหมือนกันเละเทะ ฆราวาสก็คอยดูเราตลอดเวลาต้องระวัง และต้องอยู่ร่วมกันไม่ใช่ไปหลีกหนีไม่พ้นไม่พบสัตว์อะไร หรือแม้แต่พืชก็ไม่พบ หลบเข้ารูเลี้ยว นั่งหลับตาปฏิบัติอีกต่างหากอย่างนั้นไม่ใช่ปฏิบัติธรรมเป็นพวกขี้กลัวขี้หนี ทิฏฐิวิบัติ เป็นพวกมิจฉาทิฏฐิ อาตมาว่าอาการมันแรงร้ายขนาดนั้น หลงติดไปไม่เข้าเรื่อง นี่ว่าหนักๆนะ
ในสมัยพระพุทธเจ้า คนทั้งหลายก็เข้าใจว่าการปฏิบัติธรรมคือการไปนั่งหลับตาสมาธิ ศาสนาพุทธ ไปตีนั่งหลับตาสมาธิทิ้ง อาตมาฟันขาดเลย แต่ศาสนาพุทธของพวกเราทุกวันนี้ 2500 กว่าปี มันได้ผิดเพี้ยนไปจนไม่เข้าใจ จนไปมีลัทธินั่งหลับตา
พระสูตรแรกเลย พรหมชาลสูตรไม่มีสูตรไหนสอนนั่งหลับตา หลับตามีแต่อดีตกับอนาคต ไม่มีปัจจุบัน ไม่มีผัสสะเป็นปัจจัยไม่มีฐานะที่จะปฏิบัติธรรมได้ สัจจะต้องมีทิฏฐะ ทิฏเฐ ต้องมีปัจจุบัน หากหลับตาแล้วย่อมไม่มีปัจจุบัน
ปัจจุบันต้องมีแสงสว่าง ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลกะ ต้องลืมตาอยู่กับโลกมีแสงสว่างของพระอาทิตย์ จึงจะเกิดญาณปัญญา ปัญญาหลับตาไม่มีปัญญาเกิดได้ในการหลับตาปัญญาเกิดไม่ได้ จะปฏิบัติธรรม ศีล สมาธิ ปัญญาก็ไม่มี มีแต่ศีล สมาธิ สัญญา ไม่หลับตาไม่มีปัญญาเกิด เกิดไม่ได้ ปัญญา ปัญญนิทรีย์ ปัญญาพละ เกิดได้ต้องปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ในการกระทำทุกอย่าง ในการพูดการคิดการกระทำ ปฏิบัติตามมรรคมีองค์ 8 มรรคมีองค์ 8 ไม่มีข้อไหนนั่งหลับตาเลย แต่ไปเข้าใจว่าสัมมาสมาธิคือการนั่งหลับตา คือหาทางโง่กันได้จัดจริงๆ แล้วเขาก็โง่จัดได้สมใจ จนอาตมาช่วยได้ยาก เหนื่อยก็เหนื่อย สงสารก็สงสาร เพราะว่าเขาดึกดำบรรพ์เขาก็โง่ นี่โง่กว่าดึกดำบรรพ์อีก
SMS วันที่ 31 กค. 2561 (สมณะ สิกขมาตุ : สันติอโศก)
_เรียม พิมประสาน · กราบนมัสการท่านสมณะ.และสิกมาตุทุกรูปค่ะ.ฟังธรรมะมาหลายที่.แต่ไม่เคยเจอที่อธิบายดี และฟังเข้าใจเหมือนที่นี่เลยค่ะ บุญที่ได้มาเจอ จะขอติดตามฟังตลอดไปค่ะ. สาธุๆ
พ่อครูว่า…ก่อนจะได้พูดถึงความผิดเพี้ยนของการสวดมนต์ ที่ได้เขียนในหนังสือคนจนที่มีแบบเขียนไปหลายสิบหน้า ทุกวันนี้อาตมาสงสารมากเลย ศาสนาทุกวันนี้มีแต่เรื่องการสวดมนต์ เป็นศาสนาสวดมนต์เท่านั้น เรื่องสวดมนต์เป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง sensitive [อ่อนไหว] sensible [มีเหตุผล] มาก
คนที่เขายกตัวอย่างว่าการสวดมนต์เป็นการสร้างสมาธิชนิดหนึ่ง ก็ใช่ แล้วการสร้างสมาธิชนิดนั้นไม่ใช่ของพุทธ เป็นสมาธิหลับตา
สมาธิของพระพุทธเจ้าเป็นสมาธิแบบวิปัสสนา วิปัสสนาไม่มีหลับตา การหลับตาไม่มีวิปัสสนา เพราะว่าวิปัสสนาแปลว่าเห็น ไอ้หลับตาแล้วมันจะไปเห็นได้อย่างไร หลับตามีแต่มืดในภพ แค่นี้ พยัญชนะ ปัสสะ ปัสสี วิปัสสี คือเห็นยิ่งเลย
ผู้ที่จะสร้างสมาธิโดยเอาภาษาอังกฤษใส่เรียกว่า concentrate ที่แปลว่า เพ่ง แต่ meditation ก็แปลว่าเพ่ง แต่พุทธเป็น supra Concentration
meditation เป็นการเพ่งใส่จุดให้จิตนิ่ง แต่การรวมของ concentration เป็นการรวมจิตให้เป็นหนึ่ง เพ่งในสิ่งที่ไม่เป็นสมาธิให้หมดไป
เขาอธิบายสมาธิกับฌานก็ไม่ถึง สมาธิต้องเกิดจากฌานก่อน ฌานเผากิเลส เผากิเลสได้จิตก็สะอาดจิตก็ตกผลึกเป็นสมาธิสมถะ ที่เกิดต่อเนื่องจากการลืมตาปฏิบัติ เขาไม่เรียกสมถะที่แปลว่าสงบ แต่ภาษาบาลีของการทำฌานลืมตาไม่เรียกสมถะ เพราะสมถะเป็นผลจาก Meditation จากการหลับตาปฏิบัติ ส่วนการลืมตาแล้วจิตสงบนั้นเรียกว่า ปัสสัทธิ แปลว่าสงบ ไม่ใช่สมถะ แต่เป็นปัสสัทธิ สงบแบบลืมตา เพราะว่าจิตเราไม่มีกิเลสทำให้วุ่นวาย แล้วจิตเป็นอย่างไร จิตยิ่งนิ่งยิ่งคล่อง เป็นกายปาคุญญตา และทำงานได้ดีขึ้น กัมมัญญตา
เวทนา สัญญา สังขารจึงจะทำงานได้คล่องแคล่วแววไว ทั้งเชิงปัญญาและเชิงเจโตปรับได้ง่ายด้วยมี มุทุภูตธาตุ อย่างนี้เป็นต้น
อาตมาอธิบายนี้ มีรากฐานแห่งความรู้ ก็ได้เอาพยัญชนะบาลีมาประกอบอธิบายตลอดเวลา ซึ่งไม่มีใครอธิบายได้อย่างอาตมา ขออภัยที่คุยตัว เพราะอาตมามีภูมิเดิมมาก่อน ไม่ได้อธิบายอย่างในตำรา ไม่มีตำราไหนเขียน เมื่ออาตมาพูดเขาก็บอกว่าไม่มีตำราไม่เคยได้เรียนมันก็ใช่ ไม่ผิดหรอก แต่ว่าอาตมาขอยืนยันว่าที่พูดนี้พูดความจริงและความถูกต้อง
ถ้าใครฟังธรรมะอาตมาโดยไม่เพียงพอ และเชื่อว่าอาตมานำธรรมะพระพุทธเจ้ามาอธิบายอย่างนำศาสนาพุทธกลับมา ถ้าคนเชื่อก็จะได้ประโยชน์มาก คนไม่เชื่อก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
อาตมาถึงเรียกสมาธิของพระพุทธเจ้านี้ว่า Supra Concentration เป็นสมาธิที่ไม่สามัญกับคนทั่วไปที่เขาใช้กัน ที่เป็นสมาธิสามัญแบบธรรมชาติ ทุกคนก็มีตามธรรมชาติ Concentrate ของคนเขาก็ทำได้ มีคติตามสามัญ แต่ของพุทธนี้เพ่งเพียรพินิจ แล้วรู้เหตุที่มันทำให้เกิดกายกรรมวจีกรรมที่ไม่ดี มีเหตุจากมโนกรรมที่เป็นตัวร้ายตัวเหตุต้องวิจัย ตรรกะวิตักกะ สังกัปปะ แล้วแยกกิเลสให้ได้ กำจัดกิเลสให้ได้ สั่งสม อัปปนา พยัปปนาเจตโสอภินิโรปนา แล้วออกมาเป็นวจีสังขาร ก่อนจะออกมาเป็นวจีกรรมกายกรรมข้างนอก ผ่านสังกัปปะ 7 ออกมา
ที่อาตมาอธิบายอย่างนี้ก็ไม่มีใครมาอธิบายกระบวนการ solution 7 ตัวนี้ พยัญชนะ 7 ตัวนี้ แล้วทำการปฏิสังขารกันอยู่ข้างใน
อธิบายขยายความ Concentration ไปแล้วก็แถมไปเรื่อยๆ
มีเด็กๆ มานั่งฟัง
_หนูอยากถามว่าหลวงปู่จำใจเปลี่ยนสีจีวรใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า…หลวงปู่เจตนาเปลี่ยนสีจีวร เริ่มตั้งแต่หลวงปู่บวชมา รู้ว่าการใส่จีวรสีเหลืองมันผิดวินัย ตั้งแต่บวชมาจนถึงวันนี้ แม้ว่าแต่ก่อนยังไม่ได้แยกออกมาก็ตามบวชอยู่ในเถระสมาคม อยู่นิกายธรรมยุต ต่อมาอยู่ในมหานิกาย หลวงปู่ก็เป็นพระทั้งธรรมยุตและมหานิกาย เพราะสวดญัติ 2 อย่าง ไม่ได้ลาสิกขา จึงเป็นพระครบ และก็เป็นพระที่เป็นแบบอโศกด้วย เขาก็พยายามจะแยกอโศกให้เป็นนิกาย ใครไปแยกก็เป็นบาปที่เป็นอนันตริยกรรม หลวงปู่ก็ว่าอโศกไม่ใช่นิกายแต่เป็นนานาสังวาสเขาก็ไม่ค่อยเข้าใจ เราไม่ได้แยก อยู่ในสังวาสเดียวกันกับพุทธ ทั้งธรรมยุตและมหานิกายก็เป็นพุทธด้วยกัน แต่มันเป็นอีกลักษณะหนึ่งต่างไป เรียกว่า นานา เป็นนานาสังวาส อาตมาไม่ได้เป็นอสังวาสไม่ได้ปาราชิก และไม่ใช่สมานสังวาสเท่านั้น
ถามว่าจำใจเปลี่ยนสีจีวรใช่ไหม ถูกเขาบังคับให้เปลี่ยนก็ต้องตามใจเขาไม่ได้จำใจหรอก รู้อยู่ว่า ถ้าไม่เปลี่ยนมันก็ไม่สงบ เขาไม่ให้ใช้ เราก็เปลี่ยนไปใส่จีวรสีขาวเป็นต้น ตอนเกิดเรื่อง มันก็จะทะเลาะกันถ้าไม่เปลี่ยน เราก็ถือว่าห่มจีวรสีขาวถือว่าเป็นจีวรที่โจรลักไปชั่วคราว วันหลังก็กลับมาใส่ใหม่ ใส่สีที่มันเป็นสีที่ถูกต้อง ก็อยู่ในโทนที่ถูกต้องทั้งนั้น
สีจีวรต้องห้าม (พระพุทธเจ้าไม่อนุญาตให้ภิกษุใช้)
1.สีครามล้วน 2.สีเหลืองล้วน 3. สีแดงล้วน 4.สีบานเย็นล้วน 5. สีดำล้วน 6. สีแสดล้วน 7. สีชมพูล้วน (พตปฎ. เล่ม 5 ข้อ 169)
เขาก็อาบัติกันมาตลอด คนที่ต้องอาบัติแล้วไม่ปลงอาบัติก็เป็นพระที่ไม่ปกติ อปกติ(อปกตัตตะ)อยู่ตลอดเวลา แต่มีพระที่ท่านเปลี่ยนสีไปให้ถูกต้องก็มี แต่มีพระที่อย่างไรก็หน้าแข็งไม่ยอมเปลี่ยนก็มี ไม่รู้จะพูดอย่างไรกับพวก อลัชชีหน้าแข็ง
_ใครเป็นนักบวชที่รองจากหลวงปู่คะ
พ่อครูว่า…ถ้ารองคืออายุน้อยกว่าหลวงปู่ก็มีเยอะ ที่ไม่รองแก่กว่าหลวงปู่ก็มี ก็มีท่านผองไท รูปเดียว
หลวงปู่ไม่เคยคิดว่ามีพระชั้นสูงชั้นใหญ่กว่า เพราะเราก็เอื้อเฟื้อกัน ผู้ที่รู้มากกว่าก็อธิบายให้แก่ผู้ที่รู้น้อยกว่า ไม่ได้ถือว่าใหญ่กว่าเหนือกว่า ส่วนที่คนจะยกให้ว่า เรามีคุณวุฒิ วัยวุฒิก็ได้ทั้งนั้น การคารวะกันด้วยวัยด้วยคุณธรรม สมมุติ ยศศักดิ์ก็มี ก็รู้คารโว ครุกรณะ
_หลวงปู่คิดว่านักเรียนสัมมาสิกขาสนใจการฟังธรรมไหมคะ
พ่อครูว่า…มีเด็กบางคนสนใจฟังธรรม คนที่มาเรียนที่นี่ตั้งใจมาฟังธรรมเลย ก็ต้องมีหลุดบ้าง ฟังธรรม จะให้ได้ตลอดเวลา 100% ก็คงไม่ได้ ก็หลุดบ้าง ยิ่งเด็กก็เล่นบ้าง แต่ถึงเวลาเขาก็เอาใจใส่
หลวงปู่อธิบายธรรมะนั้นเป็นเรื่องที่เขาจะเข้าใจได้ยาก แม้แต่เด็กก็ตาม ก็เลยไม่ค่อยอาจจะรู้เรื่อง ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง อะไรฟังได้ก็เก็บ
_วัดหายโศกเขาขอยืมเรือ ถ้าเป็นหนู หนูจะไม่ให้ แล้วหลวงปู่จะให้หรือไม่คะ
พ่อครูว่า…หลวงปู่ให้เราแบ่งปันกันได้ ไม่ได้หวงแหนอะไร ดีไม่ดีไม่ค่อยมาคืนเราก็ตามไปเอาคืนก็ได้ เพราะเขาไม่มีเครื่องมือที่ขนมา ที่จริงไม่หนักอะไร ใส่รถปิคอัพก็ขนมาได้
_การปล่อยนกปล่อยปลามันได้บุญ หรอคะ หนูคิดว่าคนขายได้บุญมากกว่าค่ะ
พ่อครูว่า…ใครจับสัตว์มาบาปตั้งแต่ต้นทาง ยิ่งเอามาค้ามาขาย บาปเพิ่มหนักเข้าไปใหญ่เลย เพราะฉะนั้นการค้าขายนกปลาหรือสัตว์อะไรก็แล้วแต่ มันไม่ได้เป็นการทำบุญอะไรหรอก ถามว่าคนซื้อไปปล่อยได้บุญหรือเปล่า ก็มีนัยยะลึก
ลึกคือ คนปล่อยนี้ เขาก็ว่า สัตว์มันจะได้พ้นจากความตายก็ยินดีกับสัตว์ ก็ได้กุศลมีเมตตา ได้ดี ใจดี ดีใจ แต่ถามว่าได้บุญไหม ถ้าคนนี้ปล่อยแล้วลดกิเลสได้ คือ ปล่อยไปแล้วจิตไม่ต้องมีความหวังอะไรเลย ไม่ได้หวังวิมานอะไรเลย เพราะว่าวิมานสวรรค์ 6 ชั้นก็คือนรก 6 ชั้น
ผู้ใดทำทาน ปล่อยสัตว์ไม่ให้ถูกฆ่าทุกครั้งถูกจับ พระพุทธเจ้าตรัสในชีวกสูตร ผู้เข้าใจทำให้ดีอ่านพระสูตรนี้ ท่านตรัสไว้ 5 ข้อ
-
ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)
-
สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส
-
ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”
-
สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส
-
ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภติ โส อิเมหิ ปญฺจหิ ฐาเนหิ พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร ล.13 ข.60
ความอิสระเสรีภาพตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวมันก็รักอิสระเสรีภาพ ไม่มีสัตว์ตัวไหนอยากจะให้คนไปจับเอามันมา ผูกคอมันมา
ใน 5 ข้อนี้เห็นอิริยาบถที่อยากขึ้นใช่ไหมในแต่ละข้อ หากอ่านชีวกสูตร 5 ข้อนี้ จะรู้เลยว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับสัตว์ใดเลยตั้งแต่ข้อที่ 1
สัตว์ก็อยู่ตามวิบากของเขา แล้วจะไปจับเขามาทำไม ไปผูกพยาบาทเกี่ยวข้องทำไมอย่าไปสร้างวิบาก วิบากของเราที่เกี่ยวกับสัตว์ทั้งหลายก็เยอะแล้ว แล้วจะไปเพิ่มมาอีกทำไม สัตว์ก็เป็นสัตว์ เขาก็อยู่ของเขา ต่างคนต่างอยู่ เราก็อยู่ของเรา เราเกี่ยวข้องกับพืชเท่านั้นแหละดีแล้ว ก็กินแหละไม่เป็นไร กับพืชนี้ไม่มีรักไม่มีชังไม่มีพยาบาท กับสัตว์นั้นไม่ต้องเอามากินมาใช้ไม่ต้องเลี้ยงดู เขาก็อยู่ตามวิบากของเขา นี่คือศีลข้อที่ 1 อย่าฆ่าสัตว์ อย่ามีอาวุธ มีความละอายมีความเอ็นดูมีความกรุณาหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ นี่คือศีลข้อที่ 1
สัตว์มันก็อยู่ของมัน เราก็หวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งหลาย แม้มันเป็นสัตว์เซลล์เดียว มันก็หวังประโยชน์จะพัฒนาตัวเอง สัตว์เซลล์เดียวตัวนี้อาจจะกลายเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้คุณรู้หรือ เราก็ส่งเสริมให้สัตว์พัฒนาตัวเองต่อไป จะไปตัดตอนเซล์ลนี้ได้หรือ เพราะอาจจะกลายเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอนาคต คุณรู้หรือเปล่า เพราะฉะนั้นหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงสัตว์ทุกตัวอยู่
คนนี้ไม่ต้องจำเป็นจะไปเกี่ยวกับสัตว์เลย ถ้าเข้าใจที่พระพุทธเจ้าตรัส เราอยู่กับพืชก็พอแล้ว ไม่ต้องไปเกี่ยวอะไรกับพวกสัตว์ทั้งหลาย เราอยู่กับพืช กับอุตุนิยามเท่านั้นรอด ทั้งอาหารและเครื่องใช้ก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องยุ่งกับสัตว์เลย แต่คนจะไปเอาเปรียบสัตว์ทั้งหลาย
อธิบาย 5 ข้อนี้ถล่มทลายแล้ว สัตว์เมื่อถูกฆ่ามันก็ย่อมมีทุกข์โทมนัส ตั้งแต่ถูกจับมาเลยแล้วถูกฆ่าอีก บาปก็ต้องสูงขึ้นตามลำดับ ตามรายละเอียดของกรรมที่คุณกระทำ หยาบคายอำมหิตเพิ่มขึ้น
ข้อสุดท้ายนี้ ยังตถาคตและสาวกให้ยินดีกับอาหารเนื้อสัตว์ ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก เนื้อสัตว์เป็นอกัปปิยะ คือเป็นของไม่ควร ใครเอาเนื้อสัตว์มาถวายพระพุทธเจ้าและสาวกนั้นเป็นบาปข้อที่ 5 บาปสูงที่สุดเลย
เมื่อเขาไม่ชัดเจนในธรรมะพุทธเจ้าที่มีความ คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ผยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
พูดไปนี้ก็เหนื่อยเห็นใจตัวเองเหมือนกันนะเนี่ย
_คะใช้เติมต่อท้ายคำถาม ค่ะ เป็นคำรับเมื่อเอ่ยข้อความ นะคะ พูดเสริมยามบอกกล่าว นะค่ะ ผิดเต็มร้อยอย่าใช้ให้อาย …จาก fb ของสุเทพ
พ่อครูว่า…ทีนี้มาเข้าสู่เรื่องที่เราจะบรรยายอยู่เรื่องของการสวด ก็ต้องขออภัยจะต้องพูดความจริงตามความเป็น และก็ต้องพูดเพราะมันมีอยู่มากในศาสนา พูดไปแล้วก็ต้องกระทบกับใครก็ต้องขออภัย หากพูดแล้วไม่กระทบใคร มันได้ที่ไหน เข้าหูใครก็กระทบแล้ว ถ้าจะพูดแล้วไม่กระทบใครนั้นจะพูดไปทำไมเสียเวลาพูดทำไม บอกว่าพูดแล้วอย่าไปกระทบกับใคร พูดคำที่ดีก็ต้องกระทบกับคน พูดคำไม่ดีก็ต้องกระทบกับคนทั้งนั้น
ความหมายของการอย่าพูดร้าย อย่าทำร้าย อนูปฆาโต อนูปวาโท
อย่าพูดร้ายไม่ได้หมายความว่าไม่ให้กระทบใคร แต่หมายถึงอย่าพูดคำพูดที่ผิดที่เป็นโทษเป็นภัย แต่ที่อาตมาพูดนี้ไม่ได้มีคำพูดที่เป็นโทษภัย แต่พูดถึงว่าคุณนั้นสวดมนต์อย่างเป็นโทษภัยก็ต้องพูดให้แก้ไข ขอยืนยันว่าต้องอาบัติกัน พ้นจากอาบัติได้ยากมาก
ศาสนาพุทธสวดมนต์คือการกล่าวคำ สรภัญญะ คือความเป็นแห่งการกล่าว
สระ ก็คือ คำว่า สระ มันมี รัสสระกับทีฆะสระ คือสระเสียงสั้นกับสระเสียงยาว
อะ เสียงสั้น อาเสียงยาว อิ อี อุ อู ก็มีเสียงสั้นเสียงยาว ออกเสียงตามสระที่กำหนดพยัญชนะนั้น เท่านั้นเองและไม่ควรลากเสียงยาวเกิน เช่น อา ก็ไม่ใช่อาาาาาา นี่ผิด เรียกว่าลากด้วยเสียงอันยาว เป็น อายามะ ถ้าคีตะคือเสียงเพลง
สวดลากเสียงยาวไม่ได้ ใส่ทำนองไม่ได้ แต่เขาก็โมเมว่า การสวดสรภัญญะคือการสวดใส่ทำนอง นี่คือความเข้าใจผิด ขอยืนยันว่าไม่มีเลย
สรภัญญะ ไม่มีคำบอกเลยว่าให้เป็นทำนอง แม้แต่กล่าวยาวเกินกว่า ทีฆะสระก็ผิดเลย นี่คือ ความไม่เข้าใจที่ไม่คมแม่นชัดพอ
สรภัญญะคือคำกล่าวไม่ได้มีทำนองเลย
ประณามคาถาคือคำกล่าวที่แต่งขึ้นใหม่สำหรับสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า
สรภัญญะคือ “คำกล่าว”คือ“คำสอน”ไม่ใช่“เพลง”เด็ดขาดแน่ๆ
ส่วน“การกล่าว”คำสอนนั้น บาลีว่า “สรภัญญะ”คำพูด
ไม่ใช่“คีตะ”แน่ๆ “คีตะ”กับ“สังคีติ”ก็มีนัยะแตกต่างกัน
ยิ่งคำว่า “สรภัญญะ”ไม่ใช่“เพลง”เลย ใส่ทำนองไม่ได้ แม้เอื้อนด้วยเสียงอันยาว เกิน“ทีฆะสระ” ก็ผิด“วินัย”แล้ว ถ้าเป็นทำนองมันก็ยิ่งผิดกันไปใหญ่แน่นอน ฟังดีๆ กำลังอธิบายชัดๆ
“คีตะ”นั้นคือ เพลง ที่เป็นเพลงที่มีทำนองหลากหลาย
หากสวด นะโมตัสสะ เป็น นามัวตัสสะ นี้ผิดไปเลย เพราะลากยาว แต่ประณามคาถาก็จะมีคำบาลีแต่งผสมไปด้วย แต่ถ้าเผื่อว่า นะโมตัสสะ แบบคำพระพุทธเจ้านะโมแปลว่าความนอบน้อม นอบน้อมต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ภควโต เป็นต้น
แต่“สังคีติ”นั้น อนุโลมมีทำนองได้นิดหน่อย พอช่วยให้“ท่องจำ”เรียกว่า“ท่องสังคีติ(ท่องจำไว้)”ทำเป็นหมู่พร้อมกันนั้นได้ แต่ในที่ลับตาฆราวาสนะ ไม่ใช่การ“ท่องโชว์”ฆราวาส
ยิ่งนำมาสวดโชว์ฆราวาส ไม่แค่“ท่อง”แต่“ร้องเป็นเพลงหากิน”นั้นผิดแน่นอน เป็น“วณิพกหรือคณิกา”เลย “การกล่าวคำสอน”ของพระพุทธเจ้าเรียกว่า“กล่าวธรรมบท” จึงนำมา“กล่าวพร้อมกัน 2 คนขึ้นไป”ต่อหน้าสาธารณะ หรือต่อหน้าฆราวาส ก็มี“วินัย”ห้าม”แล้ว ขืนทำ“อาบัติ”ทุกคำกล่าว กล่าวหนึ่งคำ อาบัติหนึ่งตัว กล่าวมากขึ้นไปกี่คำ ก็อาบัติไปตามจริง กล่าวเท่าใด ก็อาบัติเท่านั้น ยิ่งกล่าวมากก็ยิ่งอาบัติมาก
พ่อครูว่า คนทำผิดอาบัติแล้วไม่รู้ เหมือนม้าตดเสียงดัง แต่ทำหน้าเฉย
ดังนั้น“การกล่าว” จึงไม่ใช่เพลงเด็ดขาด แม้แต่การกล่าวลากเสียงยาวเกิน‘ทีฆะสระ(สระเสียงยาว)’เป็น‘อายตเกน(เจตนาลากเสียงให้ยาวเกินความเป็น“สระเสียงยาว”นั้น)’ก็ผิดแล้ว “การกล่าว”คือ “สรภัญญะ”นี้เป็นเรื่องที่เป็นทั้ง“กุศล(สิ่งที่เป็นธรรม = สมบัติที่นับว่าเจริญ)” ที่สุดเป็นทั้งอุปกรณ์ที่พาไปสู่“บุญ(พลังงานที่เป็นอธรรม = วิบัติที่ทำให้เจริญสู่นิพพาน)” ยิ่งเป็น“คีตัสสเรนะ”ก็เป็นเพลงแล้ว
“การกล่าว”ที่เป็น“ศิลปะ”ก็อย่างหนึ่ง คือ “การกล่าว” ที่บาลีว่า “สรภัญญะ” ต่างกันนะกับ“การลากเสียงยาว”บาลีว่า “อายตเกนะ” ส่วน“เพลง”ที่เป็น“ศิลปะ”ก็อีกอย่างหนึ่ง คือ“ภาษาที่มีทำนอง”บาลีว่า “คีตะ”(ซึ่งยังมีนัยะที่แตกต่างจาก“สังคีติ”อีกนะ)
(81) ต้องขออภัยจริงๆที่ต้อง“พูดความจริง”ตามที่จริง
ส่วนศาสนาพุทธกระแสหลักนั้นทุกวันนี้ อาตมาขออภัยจริงๆที่“พูดตรงตามสัจจะที่มีที่เป็นอยู่จริง” มันน่าสังเวชจริงๆ
เห็นมีแต่“ประณามคาถา”นั่นแหละที่แต่งขึ้นมามาก มายปรุงแต่งรูปแบบประเพณีสวดทำมาหากินกันอยู่ทุกวันนี้
และปรุงแต่งสร้างประดิษฐ์“รูปแบบพิธีการ”ให้วิตถารยิ่งๆขึ้น จนเต็มไปด้วยสารพัดหลากหลาย“วิตถารพิสดารประเพณี” ซึ่งฟูเฟื่องด้วยเดรัจฉานวิชาไสยศาสตร์ กระทั่งกลบพฤติการณ์ศาสนาพุทธ กระทั่งเต็มไปด้วยยัญญพิธีเดียรถีย์
ทุกวันนี้ศาสนาพุทธจึงไม่ใช่กลองหรือตะโพนที่ชื่อ “อานกะ”ใบเดิมที่เป็น“พุทธ”กันแล้ว ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์ไว้ใน“อาณิสูตร” พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 672
มิหนำซ้ำ นำ“ธรรมบท”ของพระพุทธเจ้ามา“สวด” พร้อมกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปในที่นอกหมู่สงฆ์ เอาไปสวดต่อหน้าประชาชนฆราวาสที่เป็น“อนุปสัมปัน” มันก็เป็นอาบัติอยู่แท้ ซึ่งเป็น“วินัย”ห้ามไว้ในปาติโมกข์“มุสาวาทวรรค”ข้อ 4 ชนิดที่ไม่รู้สีรู้สากันเลยว่า นั่นมันคือ “ภิกษุต้องอาบัติ” อยู่ทุกคำสวด แต่ไม่เดียงสาจริงๆ ทำอาบัติกันอยู่ได้!
กลับตาละปัตรไปหลงว่า นี่คือ การกระทำเช่นนี้เป็น การรักษาพระศาสนาไว้ไม่ให้เสื่อม ..ว่าไปโน่นเสียอีก พัฒนาความโง่ให้สิ่งซับซ้อนไปอีก
การสวดพร้อมกันในหมู่สงฆ์มีการสวดสังคีติ คือสวดในหมู่สงฆ์เพื่อให้จดจำคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ แต่เขาก็ทำอาบัติกันแล้วก็ไม่รู้เรื่อง
ขอให้รู้ไว้เถิดว่า นี่แหละคือ การกระทำที่กระหน่ำย่ำยีวินัย ผิดวินัยแท้ๆ ที่ยิ่งกระทำยิ่งทำลายพุทธศาสนาให้เสื่อมหนักหนาสาหัสอย่างไม่ประสีประสาไร้เดียงสาแท้ๆ
พระไตรปิฎก เล่มที่ 7 พระวินัยปิฎก เล่มที่ 7 จุลวรรค ภาค 2
เรื่องสวดพระธรรมด้วยทำนอง
[20] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์สวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ สวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ เหมือนพวกเราขับ ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย …ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์จึงได้สวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาค … ทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายข่าวว่า … จริงหรือ
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียน … ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุสวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ มีโทษ ๕ ประการนี้ คือ:-
-
ตนยินดีในเสียงนั้น
-
คนอื่นก็ยินดีในเสียงนั้น
-
ชาวบ้านติเตียน
-
สมาธิของผู้พอใจการทำเสียงย่อมเสียไป เขาก็บอกว่า การสวดมนต์เป็นการสร้างสมาธิ สิ่งที่คุณจะต้องเพ่งการสวดมนต์ให้มีสติต่อเนื่อง กับการสวดมนต์ ก็ได้สมาธิแบบนั้นแต่ไม่ใช่สมาธิของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ Concentration ไม่ใช่การสงบแบบปัสสัทธิ
เช่น การสวดกันเป็นหมู่ ภาษาอังกฤษเรียกว่า choir (ควาอี้) แปลว่าการสวดเป็นหมู่ ประสานเสียงบ้างไม่ประสานเสียงบ้าง ก็เป็นคณะ ยิ่งมากเท่าไหร่ก็เป็น choir ที่ใหญ่เท่านั้น พูดไปก็หาว่าอาตมาไปว่า แต่อาตมาไม่ได้มีอกุศลจิตพวกนี้ แต่พูดแล้วไปเฉียดๆ มันมีหลายเรื่องเป็นสิ่งที่เป็นจารีตประเพณีเยอะ
คนที่ไปพอใจเสียงสวด ก็สมาธิเสียไป ลึกซึ้งนะ คือการที่จะได้ความจริงจากสมาธิของพุทธศาสนาคือ เพ่งแยกกิเลสออกจากสิ่งที่เกิดจากกายกรรมวจีกรรมในการทำ อาชีวะ กัมมันตะ การพูดการคิด คุณเริ่มมีตักกะ ก็มีแต่มีอะไรขึ้นมา เริ่มพูดเริ่มทำงานเริ่มมีกัมมันตรังสีทำอาชีพอะไรก็แล้วแต่ เริ่มมีคำกริยา มันมีกิเลสร่วมเข้าไปเป็น สสังขาริกัง ร่วมเข้าไปในจิตตัวนั้นไหม ขณะทำกายกรรมวจีกรรมจนกระทั่งทำอาชีพ ถ้ามี คุณก็ตัดไฟแต่ต้นลม ไม่ว่าจะเป็น กามหรือพยาบาท ที่เป็นมิจฉาสังกัปปะ 3 อวิหิงสาเป็นตัวที่ 3
คุณก็ต้องกำจัดกิเลสตัวนี้ออก กำจัดได้ออกจิตใจก็เป็นสมาธิมากขึ้น มีความเร็วไวคล่องแคล่วมีประสิทธิภาพสูงขึ้น นั่นคือสมาธิของพระพุทธเจ้า
มันไม่ง่ายนะ ที่จะขยายความพวกนี้ จริงๆ คนที่จะมีภูมิธรรมขยายความให้ละเอียดดังนี้ พูดไปก็เหมือนชมตัวเองไม่รู้จะทำอย่างไร พูดเป็นสัจจะให้ชัด คนรู้จริงจะทำไม่ได้ขนาดนี้ ก็เลยเหมือนอวดตัวอวดตนตลอดเวลา มันเลี่ยงไม่ออก ทำอย่างไรก็เหมือนยกตัวยกตน เพราะตัวตนอาตมามันสูง มันมีความรู้มาก ยิ่งพูดยิ่งน่าหมั่นไส้ เอ้า พอ
-
ภิกษุชั้นหลังจะถือเป็นเยี่ยงอย่าง คนนี้มีอยู่เต็มศาสนาพุทธมีแต่ชาวอโศกที่ไม่ไปหลง ที่ในหมู่ผู้มีความรู้ที่ว่า คือ กลุ่มท่านพุทธทาส แต่ท่านก็ไม่ชัดเท่าที่อาตมาพาทำ ท่านก็ยังสวดมีทำนอง ซึ่งสารภัญญะท่านก็บอกว่ามีทำนองนิดหน่อยได้ ซึ่งไม่ให้มีทำนองเลยจึงจะถูก แม้แต่รากเสียงอันยาวก็ผิด ท่านห้ามนะ ไม่ใช่อนุญาต