610803_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ความสมานฉันท์ 7 แบบ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1bt7YHGamLOAusZVAXP8-wCkRbHLHyNugaZ2PDfmxWX8/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1bjUYTzhnxl5zYZhFgT1REu2Ylprbyvvd
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 7 ค่ำ เดือน 8 เป็นปีที่มีเดือน 8 สองหน เขาว่าจะมีน้ำมามากหน่อย ปีนี้คาดการณ์ว่าอย่างนั้น ช่วงเข้าพรรษาชาวอโศกจะมีการตั้งตบะ ซึ่งจะเป็นตบะนรกหรือตบะหรรษาก็ได้ หากตรงกับสักกายะของเราก็จะได้ประโยชน์สูงสุด
ตบะที่ไม่ค่อยมีคนคิดทำคือ การมาฟังธรรมตอนเย็น ซึ่งที่บ้านราชฯรวมตัวกันได้เพราะมีพ่อครูอยู่ แต่เห็นว่าถ้าหากพ่อครูไม่อยู่ก็จะไปตามที่ชอบๆกัน ไม่มารวมกันฟังธรรม แต่ถ้าพ่อครูอยู่ก็ดูประชากรที่ศาลาก็คับคั่ง บางที่เขาทำวัตรกันเต็มศาลา แต่ก็ทำตามที่ตัวเองกำหนด ไม่ได้คิดว่าพ่อครูมาหรือไม่มา สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ถ้าต่างคนในชุมชนอยู่ด้วยกันแต่ไม่ค่อยได้ฟังธรรมหรือฟังก็ตามภพภูมิ รวมทิฏฐิเป็นอันเดียวกันได้ยาก ไม่ได้ฟังวิธีละหน่ายคลายปล่อยวางความยึดอย่างไร
การฟังธรรมทุกวันก็คือการเพิ่มสัมมาทิฏฐิให้ตนเอง พ่อครูเคยมีโศลก ว่าแม้จะมีศรัทธามากสักปานใด มีวิริยะมากเพียรจัดปานใด แต่ถ้าขาดสัมมาทิฏฐิเสียแล้ว ความมีมากอย่างนั้นก็ไม่พาไปสู่ความพ้นทุกข์ได้
สิ่งที่น่าจะขาดและบกพร่องของพวกเราคือรวมตัวกันไม่ติดที่จะมาฟังธรรมกัน ถ้าฟังไปกวาดบ้านไปหรือทำงานไป คนก็จะบอกว่าที่ไม่สามารถฟังธรรมได้เพราะติดงาน ต้องทำงาน ฟังดูเหมือนว่าเราทุ่มเทให้กับธรรมะน้อยไป พ่อครูอยู่กับธรรมะตลอดเวลา แต่พวกเราไม่ได้อยู่กับธรรมะเลย
เล่มที่ 4 บรรทัดที่ ๓๕๕ – ๔๔๕. หน้าที่ ๑๕ – ๑๙
การจะได้อานิสงส์จากการฟังธรรมต้องมี วิธีฟังธรรมที่เป็นเหตุวิมุตติ
๑.ขณะรับการแสดงธรรมจากพระศาสดาเพื่อนสพรหมจารีก็บรรลุธรรม
๒.ขณะภิกษุนั้นเองแสดงธรรมก็บรรลุธรรม
๓.ขณะภิกษุย่อมทำการสาธยายธรรมเท่าที่ได้สดับก็ได้บรรลุธรรม
๔.ขณะภิกษุย่อมตรึกตรองใคร่ครวญธรรมเท่าที่ได้สดับก็บรรลุธรรม
๕.สมาธินิมิตอย่างใดอย่างหนึ่งเธอเล่าเรียนมาด้วยดีทำไว้ในใจด้วยดีทรงไว้ด้วยดีแทงตลอดด้วยดีด้วยปัญญา ก็บรรลุธรรม
พ่อครูว่า…ก่อนอื่นต้องขอแจ้งข่าวด่วน…คือเขาถอนหญ้าจังเลย โดยเฉพาะที่ลานสะโพ ขอได้ไหม อาตมาขอ ปล่อยให้มันรกตามธรรมชาติ อะไรมันเกินอาตมาก็จะให้สัญญาณไปเอง สำหรับตรงไหน หญ้ากอไหน ตรงไหน ที่ลานสะโพ ที่อื่นก็ไม่ได้อะไรมาก แต่ตรงนี้เรากำลังพยายามจะทำ อาตมาก็ว่าพอมีความรู้เรียนทางด้านศิลปะมา มีความรู้ว่าศิลปะสวยหรือไม่อย่างไรแค่ไหน อาตมาตั้งชื่อตรงนี้ว่าลานสะโพ ล้อเลียนกับชื่ออาตมา และกับแก้งสะพือด้วย แต่คนร่วมกันในนี้เยอะก็ปรารถนาดีกันทั้งนั้น อาตมาก็ขอไว้ก่อน
sms
_คำถามคนที่ 1 …..5 มิถุนายน นอกจากเป็นวันเกิดของพ่อท่านแล้ว ยังถือเป็นวันสิ่งแวดล้อมโลกด้วย แต่งานเจที่ผ่านมา สร้างความเจ็บปวดให้กับผู้พบเห็นบางคน ที่ชาวบ้านราชเลือกใช้ถุงพลาสติกจำนวนมหาศาล บรรจุอาหารขายให้ลูกค้า อย่างสิ้นเปลืองเกินจำเป็น ไม่นับสารพิษที่ออกมาจากถุงพลาสติกเวลาใส่ของร้อนจัด จนถุงเหี่ยวบางลงคามืออย่างเห็นได้ชัด หากสังเกตดีๆ การใช้ถุงพลาสติกไม่อั้น ทำให้แม่ครัวพ่อครัวบางฐาน เกิดความมักง่ายขึ้น คือเลือกที่จะกรอกอาหารและเครื่องดื่มทุกอย่างที่ตนทำเสร็จลงในถุง แล้วไปตั้งขายด้านหน้า เป็นอันหมดภาระของตนที่จะต้องมาเฝ้าและตักเสริฟ คือให้ลูกค้าหยิบไปจ่ายเงินเองได้ จนแม้ลูกค้าที่ต้องการกินอาหารและดื่มน้ำในร้าน ก็ไม่มีทางเลือกแต่ต้องซื้ออาหารและน้ำเป็นถุงไปแกะใส่จานของเรานั่งกินในร้านนี้แหละ ผลคือขยะพลาสติกล้นถังขยะ ถุงพลาสติกและหนังยางเกลื่อนกลาดอุทยาน
แม้จะเข้าใจความจำเป็นของการใช้ถุงพลาสติก ว่าลูกค้าส่วนใหญ่จะซื้ออาหารไปกินที่บ้านด้วย และทางเลือกอื่น เช่น ขายภาชนะชานอ้อย (แบบชมร.สันติ ขายใบละ 5 บาท และชมร.เชียงใหม่ ขายใบละ 2 บาท) หรือขายกระป๋องใส่อาหารพลาสติก เพื่อสนับสนุนให้ลูกค้าเอาภาชนะมาเองจากบ้าน ซึ่งแม้จะสะดวกน้อยกว่า และจะทำให้รายได้ตกจากการซื้อที่ลดลงของลูกค้าในช่วงปรับตัว แต่ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ชาวอโศกเน้นยอดขายแม้จะทำลายสิ่งแวดล้อม
ที่ชมร.สันติและเชียงใหม่ก็ใช้นโยบายนี้ จนสำเร็จไม่มีการใช้ถึงพลาสติกเลยมาแล้ว ลูกค้าก็รู้ที่จะพกปิ่นโตและภาชนะมาซื้อ หากลืมจริงๆก็ซื้อกล่องชานอ้อยใส่แทน หากชาวบ้านราชจะเริ่มต้นเพียง ลดการใช้ถุงพลาสติก โดยมีแรงจูงใจให้ใช้ทางเลือกอื่นในช่วงปรับตัว อาทิ กินที่ร้านหรือใส่ปิ่นโตตัวเองราคานึง ใส่ถุงเพิ่ม 1บาท กล่องชานอ้อยเพิ่ม 2-3บาท มีกล่องใส่อาหารขายด้วย น่าจะช่วยลดการใช้ถุงพลาสติก และลดความง่ายเกินไปของพ่อครัวแม่ครัวบางคนลงได้
ตอนนี้ทั่วโลกรณรงค์ลดการใช้ถุงพลาสติก ปีนี้ ไม่อยากให้ชาวราชธานีอโศกต้องเป็นอีกหนึ่งองค์กร ที่สร้างขยะถุงพลาสติกจนล้นโลกนี้
พ่อครูว่า…ก็เห็นใจ อาตมาไม่เห็นว่าต้องไปสั่ง เพราะจะเป็นการบังคับใจเปล่าๆ ก็ให้ใช้ปฏิภาณของแต่ละคน ถ้าไม่มีเลยก็ปลอดภัยทุกอย่าง ไม่เกิดโทษภัยกับสิ่งแวดล้อม แต่จะให้มันไม่มี อาตมามั่นใจว่าไม่มีทางทำได้ ที่จะไปให้โลกนี้มีพลาสติกอีกต่อไป ในองค์กรส่วนของเราที่กว้างพอสมควร ถ้าหากชอบจริงๆไม่ใช้ก็ได้ แต่ถ้ากว้างพอสมควร อาตมาว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ใช้พลาสติก ให้ตัวของคุณลองไล่ดูสิ มันไม่มีวันจะขาดหายไป สำหรับพลาสติก มันมีทั้งเล็กน้อยและใหญ่ มันเป็นวัตถุที่เอามาใช้อย่างสะดวกสบายง่ายที่สุด เบาที่สุด เร็วที่สุด แต่มันร้ายตรงที่มันสลายได้ยากที่สุด แต่มันง่ายในการที่จะเอามาใช้ ภัยของมันคือสลายยาก แม้มันจะไม่สลายก็อุดตันเท่านั้น ไม่ได้ออกฤทธิ์มาก สลายช้านานเท่านั้นเอง อันอื่นๆอาตมาก็ว่ามันจะเป็นพิษภัย จะออกฤทธิ์ฆ่าแกง ถ้าหากไปเผาก็เกิดมลพิษเพิ่ม เพราะฉะนั้นก็เลยยาก มาถึงจุดนี้แล้วทั้งโลกเลยต้องใช้พลาสติก ก็ให้ใช้ดุลพินิจของแต่ละคนเท่าที่เราจะทำได้ คนไหนมีจิตอย่างไรก็เอาตามที่ตนเองคิดว่าควรจะเป็น อันนี้ไปบังคับกดข่มไม่ดี ก็รู้ แนวโน้มว่ามีพิษบ้าง แต่มันก็มีประโยชน์ ประโยชน์มันมีไม่ใช่น้อยนะ แต่แน่นอนว่ามีพิษแน่นอน แต่พิษร้ายจริงๆ ก็อย่าไปเผาให้เกิดแก๊สก็แล้วกัน ถ้าหากทิ้งถุงพลาสติกไปตามที่ต่างๆ ก็มีการอุดตันสลายได้ยาก ลองคิดพิจารณาให้ละเอียดดูสิ ซึ่งจริงๆแล้วมันก็ยังไม่ถึงขั้น ทำขึ้นมาแล้วโลกจะแตกไปไม่รอดเราก็จะตาย มันก็ยังไม่ถึงขนาดนั้น มันยากและเป็นเรื่องละเอียดละออ
_คำถามคนที่ 2 …ขอเรียนถามพ่อครูว่า กรณีที่เราได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบงานอย่างหนึ่ง และเรารับปากจะทำแล้ว แต่เมื่อถึงเวลา มีงานด้านอื่นเข้ามา ซึ่งเป็นงานที่สำคัญน้อยกว่า แต่บังเอิญเป็นงานที่ชอบทำมากกว่า เลยเลือกที่จะไปทำงานอีกชิ้นแทนงานที่ได้รับมอบหมายและรับปากไว้แล้ว ยกตัวอย่างเช่น บางครั้งพยาบาลบ้านราชไม่เข้าเวรดูแลคนไข้ตามที่กำหนด แต่ไปรับหน้าที่ทำครัวหรือทำยาหม่อง ซึ่งแม้จะสำคัญเช่นกัน แต่ย่อมสำคัญน้อยกว่างานดูแลคนป่วย เพราะเกี่ยวข้องชีวิตและจิตวิญญาณของคนทั้งบ้านราช ที่มีความคาดหวังที่จะพึ่งเจ็บพึ่งตาย (ไม่นับเวลามีเหตุฉุกเฉินที่ต้องออกไปดูคนไข้ที่โรงพยาบาลเลยไม่ได้เข้าเวร) ทำให้บางครั้งคนไข้ต้องมารอพยาบาลนานๆ หรืออาจไม่ได้รับการรักษาเลย แบบนี้จะสมควรหรือไม่ ผิดศีลหรือไม่ และการที่ผู้ทำงาน แม้ไปทำกุศลเหมือนกัน แต่จะมีวิบากหรือไม่ที่ทิ้งงานชิ้นแรกที่ต้องรับผิดชอบไป เพราะขโมยเวลาคนไข้ไปทำสิ่งที่ตนเองชอบมากกว่า
พ่อครูว่า…ละเอียดจนถึงละเลียด ก็เป็นเชิงให้คิดพิจารณา ข้อมูลก็คงจะมีมากกว่านั้น เอาล่ะ ในจิตใจ จะไปเหมาเลยว่าใจเขาชอบ อย่างนั้นหรือไม่ อาตมาก็ไม่รู้ข้อมูลละเอียดพอ ก็บกพร่องบ้าง ก็ไม่มีเจตนาที่จะให้ร้ายแรงอะไร คิดว่าอย่างนั้นนะ ก็ฟังไว้ ผู้ที่เป็นจำเลยถูกติงก็พิจารณากัน ทุกคนปรารถนาที่จะทำให้ดีที่สุดสมควรที่สุดเหมาะสมที่สุด จุดหมายก็ตรงกันทั้งนั้นก็ตั้งใจ อาจจะดูว่าอย่างนั้นผิดอย่างนั้นถูก แต่จริงๆอย่างนั้นถูกอย่างนั้นผิด ก็เป็นสองคนยลตามช่องคนหนึ่งมองเห็นโคลนตม อีกคนตาแหลมคมเห็นดวงดาวอยู่พราวพราย ก็เป็นได้ อยู่ร่วมกันอาศัยกันก็มีบกพร่องกันบ้าง ก็แก้ไขไปตามลำดับ
การแก้ไขนี้เราจริงใจ เราผิดเราก็ควรพิจารณา ที่จริง ควร แต่เราอยากเอาชนะคะคานแล้วดันทุรังทำ อันนี้ซวย เราก็พิจารณาให้ดีก็แล้วกัน หากเราไม่ลำเอียงเข้าข้างใคร ก็แล้วแต่ควร พระพุทธเจ้าให้จบที่ความควรหรือไม่ควร ในมหาปเทส 4 ใช้กาละนี้ พระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามหรืออนุญาต เราก็ใช้ความรู้ความสามารถเราตัดสิน และเราก็จะต้องทำให้ดี อย่าให้ลำเอียงและให้มีปัญญาแหลมคมที่สุด ทำให้ถูกต้องที่สุด แต่อาจจะมีผิดพลาดไปก็เราทำได้เท่านี้ฉลาดเท่านี้ เราโง่มากกว่าฉลาด หากเราฉลาดมากกว่านี้ก็จะทำได้ ใครจะฉลาดสูงสุดที่ไม่โง่เลยเท่านั้นแหละ ก็ค่อยๆเป็นไป
_ทีนี้ บ้านเล็กเมืองน้อย…บ้านเล็กเมืองน้อย…กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูง
ตลอดเวลาที่ผ่านมา พ่อท่านได้เทศน์อย่างเป็นห่วงเป็นใยต่อการนั่งหลับตาสมาธิ
จึงขออนุญาตขยายความบางแง่มุมเพื่อจะได้ทำความเข้าใจต่อความต้องการแท้จริงของปุถุชนภายใต้กรอบวิถีแห่งทุนนิยม
ผิดถูกอย่างไรกราบรบกวนชี้แนะด้วยครับ
ตอนที่ ๑
โลกของทุนที่มีอิทธิพลครอบงำต่อหลักวิธีคิดของปุถุชน ได้ส่งผลต่อรูปแบบการปฏิบัติธรรมของชาวพุทธหมู่ใหญ่ด้วยการนั่งหลับตาสมาธิ
โลกของทุนเป็นโลกแห่งการแย่งชิงที่ถูกออกแบบมาให้เป็นแหล่งบ่มเพาะกิเลสสร้างอัตตาตัวตน เป็นสังเวียนแห่งการชิงแชมป์โลกธรรมที่จัดให้แข่งขันแย่งชิงกันตลอดเวลา
องค์ประกอบทั้งหมดในสังคมทุนได้ถูกจัดวางเงื่อนไขให้มีบรรยากาศเสมือนกับหลุมดำ
มีสนามแม่เหล็กฉุดรั้ง คอยบงการกิเลสไปขับเคลื่อนจิตวิญญาณให้ดำรงสภาพความเป็นทาส เพื่อการันตีความเป็นปุถุชนให้คงอยู่กับมนุษย์ตลอดไป
ทุนนิยมได้สร้างความเข้าใจผิดอย่างร้ายกาจ ให้เห็นดีเห็นงามกับการแย่งชิง ให้เห็นกงจักรเป็นดอกบัว แล้วทุ่มโถมอย่างสุดกำลังเพื่อเจริญในทุน ได้ร่ำรวยอยู่บนความล่มสลายของมนุษยชาติ
ตราบใดที่ยังขจัดโมหะในอวิชาไม่ได้ ความมิจฉาที่ทำให้ทรัพยากรโลกกลายเป็นสมบัติที่ผลัดกันชม ก็จะไม่มีวันหมดไป
ท่ามกลางการดำเนินชีวิตที่ต้องแย่งชิงกันอย่างบ้าเลือด ทำให้เกิดความทุกข์และความเครียดได้ไม่น้อย
จึงต้องมีวิธีการบำบัดจิตที่สอดคล้องกับวิถีทุน โดยเจตนาให้….เป็นเพียงการคลายทุกข์ไปได้ชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ได้ต้องการ….พ้นทุกข์อย่างถาวร
เพราะการจะพ้นทุกข์อย่างถาวรตามหลักพุทธศาสนาได้นั้น ต้องล้างกิเลสเผาอนุสัย
ซึ่งจะกระทบกระเทือนต่อวิถีชีวิตที่เสพติดความสะดวกสบายจนแทบจะพิการ ทำให้เขี้ยวเล็บในการแย่งชิงโลกธรรมสึกกร่อนไป และส่งผลลบต่อสมรรถภาพในการแย่งชิงของตนในภายภาคหน้า
ด้วยเหตุนี้การนั่งหลับตาสมาธิจึงถูก promote ขึ้น เพื่อตอบโจทย์ในการเยียวยา เปิดเป็น course บำบัดทางจิตแก่ปุถุชนโดยเฉพาะ
และมันก็เป็นวิธีที่เห็นผลรวดเร็วทันตา เพราะสามารถผ่อนคลายในบรรยากาศอันสงบ ปราศจากสิ่งรบกวนจากภายนอก
ซึ่งเท่ากับตัดขาดผัสสะจากทวาร ๕ จึงมนสิการไม่ได้ สมาธิที่ได้จึงเป็นพวกโลกันตะ
เป็นเพียงแค่การสะกดจิตอดกลั้นใจให้อยู่กับความว่าง ด้วยการพุ่งเพ่งสมาธิจดจ่ออยู่กับการถ่ายเทลมเข้าลมออก
พยายามขืนใจไม่ให้ฟุ้งซ่านง่วงซึม ข่มจิตไม่ให้ย้อนอดีต ปรุงอนาคต แต่งอุปทาน
นั่งหายใจทิ้งไปเรื่อยๆ จนเป็นฤๅษีที่สงบนิ่งเฉย ไม่รับรู้ไม่ช่วยอะไรใคร ไม่ได้ลดความเห็นแก่ตัวลงแต่อย่างใด
ถ้าผู้ปฏิบัติหลับตาสมาธิเพียงหวังผลเท่านี้ แล้วเรียกความสงบนิ่งเฉยเช่นนี้เป็นสมาธิ
มันก็ไม่ใช่สมาธิเดียวกันกับ “ศีล สมาธิ ปัญญา” ที่เป็นไตรสิกขาของพุทธ
ซึ่ง”จิตวิญญาณที่มีศีล” เป็นองค์ประธานของสิ่งทั่งปวง มีผัสสะภายนอกเป็นปัจจัย
ฝึกจิตกระทั่งเกิดสมาธิตั้งมั่นเป็นปกติ จนเกิดปัญญาแยกแยะเอาชนะกิเลสได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
การพ้นทุกข์ก็คือการหมดสุข ต้องมีการขัดใจ ไม่ให้สมใจ ต้องขจัดกิเลสที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ออกไปจากจิต
ผู้ปฏิบัติจึงต้องลืมตามีสติรู้ตัวทั่วพร้อมในขณะปฏิบัติ จึงจะเกิดผลลดกิเลสได้จริงเป็นลำดับจากหยาบไปหาละเอียด ไม่ใช่ฝึกวิ่งก่อน ทั้งที่ยังไม่ได้หัดเดิน
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าทางนี้ทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้พ้นทุกข์ได้ จะนั่งหลับตาปฏิบัติได้สงบนิ่งจนกระดูกกลายเป็นหินก็ไม่วิมุติได้นิพพานแต่อย่างไร
พ่อครูว่า…ผู้ที่ตายแล้ว กระดูกเป็นพระธาตุก็ไม่ได้หมายถึงว่าเขาเป็นพระอรหันต์อย่างเช่นพวกที่ปฏิบัติสายฤาษีมีพลังงานเย็นมาก ส่วนพระอรหันต์นั้นสามารถที่จะทำให้กระดูกเป็นพระธาตุได้เวลาถูกเผา มันซ้อนกันอย่างนี้ด้วย
สมาธิวิมุติ ของผู้ที่มีจิตที่สงบ สายเจโตจะสามารถทำให้กระดูกจับตัวกันได้มาก เวลาถูกเผา ก็จะเป็นพระธาตุได้มาก แต่ถ้าเป็นสายปัญญา จะไม่สามารถจับตัวกันได้มากจะเป็นพลังงานNuclear Fissionเสียมาก ก็จะเหมือนกับกระดูกคนธรรมดาเวลาถูกเผา จะไม่เหลืองไม่สวยเลย อย่างเช่นของพระสารีบุตร ก็สีน้ำตาลอ่อนไม่สวย จะไม่เหมือนอย่างของพระโมคคัลลานะที่จะเป็นเม็ดเงางามสวย
เนื่องจากปุถุชนยังจมลึกอยู่ในโลกอบาย จิตยังตกเป็นทาสอยู่ภายใต้อิทธิพลในโลกของทุน ที่เป็นกรอบทมิฬคอยบงการวิธีคิดของผู้คนทั้งสังคม
เมื่อยังต้องดำเนินชีวิตต่อไปในโลกทุน จึงหลีกเลี่ยงการแย่งชิงไม่ได้
การจะให้ปลดอาวุธที่เป็น กิเลส ตัณหา อุปทาน ทิ้งไป แล้วจะใช้อะไรเป็นตัวขับเคลื่อนให้อยู่ได้รอดอย่างสุขสบายในโลกแห่งการแย่งชิง
ดังนั้นต่อให้เครียดอย่างไร ทุกข์เพียงไหน ก็ไม่อาจตัดใจหมดสุขไปได้
ปุถุชนจึงขอเพียงแค่ได้หลับตาผ่อนคลายทำจิตว่างได้ชั่วคราวก็พอ จะได้มีเรี่ยวแรงอาวุธครบมือไปลุยแย่งชิงความร่ำรวยกันได้ต่อไป
พ่อครูว่า…ฤาษีริชชี จากอินเดียไปสอนธรรมะสมาธิที่อเมริกา คนก็นิยมกันมากเพราะคนอเมริกันวุ่นวายฟุ้งซ่าน จนคนนิยมนับถือ ทำให้เขาร่ำรวย ฤาษีริชชี่ ก็เลยร่ำรวยมากมีรถโรลซ์รอยไม่รู้กี่คัน สุดท้ายเขาจับได้ว่าหลอกก็เลยต้องหนีไปตายที่อินเดีย
จะให้พ้นทุกข์ไปเลยคงไม่ไหว เพราะยังอยากมีสุขอยู่ จึงไม่น่าแปลกที่การนั่งหลับตาสมาธิจะเป็นคำตอบที่ถูกจริตของปุถุชน
แต่ที่น่าตำหนิอย่างยิ่งคือการสร้างความเข้าใจผิด ทำให้คิดว่านั่งหลับตาเช่นนี้คือการปฏิบัติธรรมให้เกิดสมาธิของพระพุทธเจ้า
การเปิด course บำบัดจิตทำสมาธิด้วยการนั่งหลับตาของพุทธศาสนสถานต่างๆ จึงสร้างความมัวหมองแก่คำสอนของพระพุทธเจ้าและทำให้ศาสนาพุทธแท้ๆต้องเสื่อมเสียไปด้วย
เพราะนี่ไม่ใช่แก่นแท้ของการปฏิบัติธรรมที่จะนำไปสู่การพ้นทุกข์ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน
พ่อครูว่า…จริงๆแล้วการนั่งสมาธิหลับตาทำให้ความเห็นแก่ตัว เข้ม แน่นแข็งสร้างความเห็นแก่ตัวเองให้มากขึ้นต่างหาก ให้เป็นแท่งก้อนไม่กระดุกกระดิก อยู่ให้นานแข็งตีไม่แตก อยู่อย่างยาวนานด้วย ไม่ได้เป็นธรรมชาติธรรมดา ที่ต้องรับรู้ Dynamic Static ที่เป็นสาระ มันไปหลงเล่น Static หลงการสะกดจิต แข็งแน่น หลงไม่รู้ไม่ชี้
จริง ดูไม่วุ่นวายดูสงบแน่นอน แต่ก็จม เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าท่านบริภาษ อาฬารดาบส อุทกดาบสว่า ฉิบหายแล้วหนอ แต่เป็นนักสะกดจิตเป็นฌาน อรูปฌาน ก็ไปไม่ออก
อาจจะสงบเพียงชั่วคราวไปเป็นล้านปีก็ได้ แล้วก็ต้องเปลี่ยนกลับมาใหม่ คุณไม่ได้ระงับ สูญอย่างไม่เกิดอีก เป็น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)
ลองพิจารณากันดีๆ ดูให้ถ้วนถี่ว่า การนั่งหลับตาสมาธิที่ปฏิบัติกันอยู่นั้น
ได้ลดความเห็นแก่ตัวลงบ้างไหม? …คลายความยึดติดในการแย่งชิงบ้างหรือเปล่า?…
เกิดความเมตตาต่อผู้อื่นขึ้นบ้างหรือไม่? …แล้วได้เสียสละทำประโยชน์ให้แก่ผู้ใดบ้าง?…
แม้จะไปหลับตาสมาธิใน จานบินลำไหน หรือหมู่บ้านผลไม้ชนิดใดก็ตาม ก็เพียงทำให้จิตว่าง ใจสงบได้เพียงชั่วคราว
ไม่ช่วยทำให้พ้นทุกข์ได้จริงแท้ถาวร ได้อย่างหมู่บ้านที่เป็นเมืองหลวงแห่งการพ้นทุกข์ ที่เรียกว่าราชธานีอโศก
พ่อครูว่า…ระวังจะไปหลงใหลคลั่งใคล้ราชธานีอโศกนะ เตือนสติไว้ เราก็ต้องให้มีหลักฐานมีปัญญาจริงอย่างถูกต้อง ไม่อยากให้หลง
_ร้านค้าดินอุ้มดาว(ในเมือง) สินค้าแพงกว่าตลาดนัดอยากซื้ออุดหนุนเอาเงินเข้าวัดแต่ราคาแพง
พ่อครูว่า…ก็ลดลงเอาใจลูกค้าหน่อยที่จริง คนไปช่วยมีน้อยนะ เป็นสินค้าจากขยะวิทยาของเรา ส่วนสินค้าแปรรูปจะไปอยู่ที่เฮือน บ่ฮ่อนมีแตเย็น
เรือนที่นั่นมีชื่อ เซามีแฮง แพ่งบ่หล่า ท่าหมู่แน (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
ก็ช่วยกันคิด คนเดียวตัดสินก็ไม่ดี หลายๆคนช่วยกันตัดสินจะดี
อาตมาตอนนี้ก็ขอเข้าสู่เรื่องของสมานฉันท์ ที่ขยายความจากเมื่อวานนี้
สมานฉันท์นี้ คือการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน
ส่วนคนไม่ยินดี แต่ต้องถูกจับตัวให้สมานฉันท์ เขาพยายามให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่คิดเห็นไม่สอดคล้องกันกับคนอื่น มันก็ยาก แต่มันก็ต้องพยายาม ไม่อย่างนั้นต้องขจัดออกไปเลย มันสมานไม่ได้ก็ต้องออกไป อย่างเช่น เราให้เขาออกไปเพราะว่าเขาทำผิด แต่จะให้เขากลับมาเพื่อตัดสินความผิด มาจับเข้าคุกอีก ก็เรื่องยุ่งอีก ดูแล้วมันน่างงจริงๆ แล้วจะให้เขาไปหรือจะเอาเขามากันแน่ อย่างนี้มันยึกยักอยู่ แค่นี้ก็ปวดหมองแล้ว ก็ค่อยๆเป็นไป
ขณะนี้ในเรื่องปรองดองในเมืองไทย เรื่องสมานฉันท์ในเมืองไทย ดีที่สุดในโลกแล้ว ที่ร้องเรียกขณะนี้คือพวกเหลือเศษฤทธิ์ ออกเสียงเป็นปากหอยปากปูทั้งนั้นแหละ พวกนี้ไม่มีวันจะสมานฉันท์ได้เป็นอันเด็ดขาด อย่างที่เห็นกันตอนนี้ออกมาเรียกร้อง ยกตัวอย่างพวกเสื้อแดง เศษเหลือพวกนี้ พวกที่อยู่ข้างในประเทศก็ออกมารวนตลอดเวลาไม่เคยหยุดเลยในประเทศไทยขณะนี้ ก็คือพวกทักษิณ
มันมี 2 พวกใหญ่เลยในประเทศไทย นักการเมืองพยายามตั้งหลัก แต่ก็ช้าไปหน่อย ขอบอกเลย นักการเมืองทุกคน อย่าแอ๊คเลย พยายามตั้งพรรค ตั้งคณะขึ้นมา ให้เหนือชั้นกว่า พลเอกประยุทธ์ผู้บริหารอยู่ อย่างทักษิณเขาก็ไม่เอา อย่างพลเอกประยุทธ์เขาก็ไม่เอา บอกว่าไม่ยอมสยบ ก็ช้าไปต๋อย เพราะว่าการที่จะสั่งสมบารมีได้ถึงขนาดนี้ สิ่งแวดล้อมเหมาะสมกับ กาละเป็นอจินไตย อาตมามีอจินไตยหลายอย่างที่อาตมารู้ ก็ความคิดของใครก็ฉลาดของใคร ใครไม่เท่าทันก็จะเป็นเหยื่อแร้งกาให้พวกเราเห็น
เพราะฉะนั้นพวกที่ต้องการจะขึ้นมาเป็นใหญ่ในการเมือง อาตมาก็ขอปรามว่าไม่ง่าย ทั้งๆที่ขณะนี้ จริงๆแล้ว โพลทุกโพล ก็ออกมาหมดแล้ว เห็นสอดคล้องกันหมดแล้ว ประเทศไทยตอนนี้พลเอกประยุทธ์ได้คะแนนนำ พวกคนไม่มีปัญญา ทั้งหลายแหล่ ยังไม่หยุดรวน เพราะว่าเขาไม่มีความยินดีที่จะมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเด็ดขาด ไม่มีความยินดีที่มาสมานฉันท์ปรองดอง ซึ่งความจริงก็เพราะว่า คนฝ่ายหนึ่งนั้นโง่ อีกฝ่ายหนึ่งฉลาดจริงๆ
พวกฉลาดจริงๆ มีเป็นส่วนใหญ่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พวกที่โง่นั้นก็โง่จริงๆ พวกฉลาดก็อยู่ร่วมกันเป็นหมู่ใหญ่ พวกที่โง่จริงๆนี้มันจะโง่ไปอีกนานกว่านาน อีกนานเท่านาน
อย่าหวังเลยว่าคนที่มีความต้องการจะมาเป็นใหญ่จะมาแย่งอำนาจในตอนนี้ พวกที่หลงไหลว่ากูต้องได้ ทั้งๆที่เขาหมดสิทธิ์แล้ว เห็นทางจะแย่งได้ปานใด เขาก็ไม่หยุดรวนไม่หยุดเห่า เขาไม่รู้ตัวว่าเขาเป็นคนโง่สนิทบอดถาวร คนที่ไม่รู้จักสมานฉันท์จะเป็นอย่างนี้
ความสมานฉันท์ 7 แบบ
แบบที่ 1 สมานฉันท์โดยใช้อำนาจบาตรใหญ่ของผู้ที่มีอำนาจ เป็นเผด็จการฟาสซิสต์เต็มที่มีมาแต่โบราณ คนที่ทำได้ก็มาอยู่รวมกันไป อยู่ไหนรักประเทศนั้นเขาไม่มีที่ไป หากไปได้เขาก็จะไป
แบบที่ 2 สมานฉันท์แบบที่บังคับด้วยกฎหมายหรือข้อวินัยบังคับกัน ให้อยู่ร่วมกันไป อันนี้ก็ใช้กันทั่วโลก แบบที่ใช้กฎหมายใช้หลักเกณฑ์ของสังคม มันเป็นสากลด้วย ก็จะใช้ได้ดีพอสมควร ก็อยู่ด้วยกัน กดข่มด้วยหลักเกณฑ์ แม้จะมีซ้อน ตัดสินพิจารณาความด้วยตุลาการ
แบบที่ 3 สมานฉันท์ด้วยใจนิยมชมชอบ มีค่านิยมเดียวกัน มีรสนิยมเดียวกัน จึงอยู่ร่วมกันอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ เช่นพวกที่อยู่ในอบายมุขเขากอดคอกันสนิทสนมเลย ชื่นชมมีรสนิยมเดียวกันค่านิยมเดียวกัน ก็ว่ากันไป อยู่ในโลกของอบายมุขเลย เขาก็หลงใหลของเขา
แบบที่ 4 สมานฉันท์ด้วยอิสระเสรีที่ตนเองสมัครใจ อย่างนี้เริ่มจะเป็นประชาธิปไตย มีอิสระเสรีเป็นเครื่องชี้บ่ง แต่ยังไม่เป็นโลกุตระ ยังเป็นส่วนตัวโลกีย์อยู่ มันก็ตัดสินแบบโลกมีสวรรค์มีนรก มีพวกกูไม่มีพวกกูอยู่อย่างนั้น
แบบที่ 5 สมานฉันท์ที่เริ่มต้นนับว่าเป็นประชาธิปไตย อันเมื่อกี้นี้เริ่มเข้าสู่ประชาธิปไตย อันนี้เริ่มนับเป็นประชาธิปไตยที่แบบที่ใช้ทั้งกฎหมายและอำนาจโลกธรรม ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข หรืออำนาจของกลยุทธ์ในการหาหมู่พวก ยิ่งใหญ่นะ สร้างกลเม็ดเด็ดพราย ค่ายกล หนังจีนนี้ใช้กันเต็มเลย วิธีหาพวก จึงเป็นประชาธิปไตยแบบสมบัติผลัดกันชม มันจะมีอยู่มากเลยข้อที่ 5 นี้ เป็นสมบัติผลัดกันชม สลับกันของอำนาจอย่างที่มีกันเป็นสามัญแม้ในโลกทุกวันนี้
แบบที่ 6 สมานฉันท์กันจนกว่าจะมีปัญญา ปัญญาคือความฉลาด ฉลาดแบบโลกุตระนะไม่ใช่มีความฉลาดแบบโลกียะ เพราะว่าโลกียะตกอยู่ใต้อำนาจกิเลส เป็นความฉลาดแบบ เฉโกหรือเฉกตา อยู่เท่านั้น จะต้องหลุดพ้น จากความฉลาดที่สามารถลดกิเลสได้ก่อน มันซ้อนสลับไปมา เป็นความหมุนรอบเชิงซ้อน ฉลาดที่ลดกิเลสได้จึงเป็นความฉลาดโลกุตระเหนือชั้นกว่าความฉลาดแบบโลกียะ เพราะเป็นอาริยบุคคล ตามพุทธศาสตร์ จึงจะเรียกว่ามีปัญญา แบบที่ลดกิเลสได้ และตัวตนก็หมดไปด้วย อย่างนี้จึงเรียกว่าปัญญา
ฉะนั้นจะมีสมานฉันท์ที่ดีได้ ต้องมีปัญญา ความมีปัญญานี้จิตวิญญาณต้องเข้าข่ายโลกุตระ ซึ่งจะนำพาคนไปสู่ความเป็นอิสระ อย่างแท้จริง และสามารถกำจัดอัตตา
อิสระกับหมดอัตตา สองคำนี้ ผู้ที่มีอิสระเสรีภาพและกำจัดอัตตาของตัวเองได้เป็นลำดับ จึงเป็นผู้ไม่เห็นแก่ตัวได้อย่างจริงแท้ ถึงจะเป็นประชาธิปไตยบริบูรณ์ขึ้นตามลำดับอย่างแท้จริง ตรงสัจธรรม ถึงจะเป็นการสมานฉันท์ เพราะลดกิเลสได้จริง
สมานฉันท์ด้วยเศรษฐกิจการเมืองสังคมสาธารณโภคี
ภาวะจิตใจจิตวิญญาณมีความอิสระเสรีภาพหมดอัตตาตัวตนแท้ ไม่ใช่อิสระแบบHippy หมดอัตตาตัวตนแท้ที่เป็นความฉลาดขั้นปัญญาที่ไม่ใช่แค่เฉโก วนเวียนสุขทุกข์อยู่แบบปุถุชน
จึงจะเป็นสังคมประเทศที่ศิวิไลซ์แท้จริง ต้องสร้างปัญญา มันเป็นความรู้ของศาสตร์ที่เป็นโลกุตระ สังคมต่างประเทศหรือในหมู่คนไทยก็ตาม ถ้ายังไม่สามารถเข้าใจว่าความฉลาดปัญญาคืออย่างไร แล้วให้คนสร้างปัญญาในสังคมประเทศนั้น ถ้าทำไม่สำเร็จอันนี้ ไม่มีทาง ประเทศนั้นสังคมนั้น ไม่มีทางที่จะเกิดความสมานฉันท์ที่หมดความเดือดร้อน หรือไม่มีความเดือดร้อนได้ยาวนาน จนนานอย่างนิรันดร นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)
สภาวะนิรันดรของพุทธคือ หมดตัวตนอย่างนิรันดร แต่ไม่นิรันดรยังมีตัวตน
ไม่มีนิรันดร แต่มีนิรันดร มีนิรันดรเพราะว่าไม่มีตัวตนอย่างนิรันดร แต่ไม่มีตัวตนอย่างนิรันดรด้วย
อิสระเสรีภาพเต็มที่ แต่ก็ย้อนไปอีก แล้วรู้จักกรอบรู้จักถ่อมตน รู้จักเป็นผู้แพ้รู้จักเป็นผู้ให้รู้จักเป็นผู้เสีย ไม่จำเป็นต้องชนะ เป็นผู้แพ้ได้ นี่สุดยอดเลย อาตมาก็ไม่รู้จะใช้พยัญชนะอะไรมาอธิบายอีกแล้ว
การสมานฉันท์จะต้องมีปัญญา หากเฉโก จะไม่สามารถสมานฉันท์ได้อย่างแท้จริงยั่งยืนถาวร นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) จะยังสลับ วนเวียนอยู่กับการแย่งสมบัติผลัดกันชม วนอยู่ตรงนั้นจะนานช้าก็แล้วแต่ อาจสลัดเร็ว สลับเร็วก็ตาม
ผู้ที่แย่งอำนาจได้ ก็ได้ไปครอบครองสมบัติผลัดกันชม จะไม่มีการครอบครองนิรันดรเป็นอันเด็ดขาด คุณก็จะเสียและคุณก็จะแย่งอยู่อย่างนั้น อย่างที่เป็นอยู่ในสังคมมนุษย์ปุถุชนที่หลงกันว่าเป็นประชาธิปไตยอยู่ในโลกทุกวันนี้ เขาไม่รู้ความจริงอันนี้
คุณจะแย่งอำนาจความเป็นใหญ่อัตตาตัวตน ก็เชิญ ของเรามีสิ่งพอเพียงแค่นี้ก็พอแล้ว สบม.ทมด ปกต. หห จจ มชยลร
แบบที่ 7 ความสมานฉันท์ที่สูงสุด อยู่ที่การสร้างคน ให้การศึกษาวิชาการ ที่สามารถพากันฝึกฝนจนเกิดปัญญาแท้จริงเป็นโลกุตระ พ้นจากเฉโกที่เป็นโลกียะ เดินทางเข้าสู่ความเป็นอิสระจริงเต็มสมบูรณ์ และเป็นคนหมดสิ้น อัตตาตัวตน แน่ๆแท้ๆ เนื่องจากมีความรู้ทางด้านจิตวิญญาณ จิตวิญญาณนี่แหละคือตัวตน มีความรู้จักจิตวิญญาณเป็นอาริยบุคคลทุกระดับ และเป็นพระอรหันต์
ทุกระดับเริ่มต้นตั้งแต่โสดาปัตติมรรค จนเป็นอรหันต์ จึงมีประชาธิปไตยในประเทศอย่างสมบูรณ์แบบ
การจะสามารถสมานฉันท์ไปได้ก็ต้องศึกษา ให้รู้ถึงความเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณ เปลี่ยนแปลงได้สำเร็จแท้ๆ นั่นคือการสมานฉันท์ที่สูงสุดด้วยภูมิปัญญาของอาริยบุคคล ก็จะทำให้เป็น ประชาธิปไตยที่สุดยอด หากการสมานฉันท์นี้ ถึงขั้นสาธารณโภคี นี่คือสุดยอดเลย อย่างชาวฝ_อโศกมีการสมานฉันท์อย่างสาธารณโภคี
มีจิตวิญญาณเป็นตัวตั้ง วัตถุเป็นเรื่องย่อย พวกเรานี้ เพราะฉะนั้นก็จะถึงสุดยอด สาธารณโภคีจึงจะจริง ซึ่งจริงแล้ว สาธารณโภคีเป็นสุดยอดของคอมมิวนิสต์สุดยอดของประชาธิปไตยสุดยอดของเผด็จการ ที่ อันติมะ ที่สมบูรณ์ ultimate สัมบูรณ์คือ Absolute สุดๆเลยสาธารณโภคี
คนที่ฟังอาตมาอาจหมั่นไส้ที่หลงสาธารณโภคีเอาสาธารณโภคีมายกย่อง
ก็ขอขยายความสาธารณโภคี
สาธารณโภคีหมายความว่ามีแก่นแกนที่เป็นคนทำงานฟรีพึ่งพาส่วนกลาง กินใช้ร่วมกัน เราก็เสพน้อยกินน้อยพึ่งน้อย กินใช้แค่นี้แต่สร้างได้มาก สร้างสิ่งที่เป็นสาระ เป็นเหตุปัจจัยที่มนุษย์ต้องอาศัยอย่างดีไม่มีพิษภัย ไม่มีโทษ สร้างสิ่งที่มีประโยชน์ให้แก่สังคมไปเรื่อยๆ
คนส่วนใหญ่ของกลุ่มใดที่เป็นแบบนี้ที่เป็นสาธารณโภคี จึงสร้างสรรค์เป็นประโยชน์คุณค่ามากกว่าที่ตัวเองกินและใช้ ในแต่ละคน มีประโยชน์สูงประหยัดสุด มีปัญญาหรือ หรม.ครน. ประโยชน์สูงประหยัดสุดอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นจึงเป็นสังคมที่รวบรวมความประเสริฐสุดของมนุษย์และสังคม ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจง่าย อาตมาเองไม่รีบเร่ง ที่จะบังคับคนให้มาเข้าใจเพราะมันบังคับกันไม่ได้ คุณจะต้องมีภูมิปัญญามีปฏิภาณมีความรู้ เข้าใจเอง
คุณเข้าใจเองแล้วมันเป็นตัวคุณ อาตมาไม่ได้ล่อหรอกหว่านล้อมไม่ได้เอาใจ แต่คนทำความเข้าใจเอง พวกคุณมาเองนี่อาตมาสบายใจ อาตมาไม่ได้ถูกข้อหาเลยว่าไปหลอกล่อ และเล็มเลียบเคียง ใช้กลเม็ดกลยุทธ์อะไร มีแต่ความจริงเพราะความจริงของอาตมาแข็งมาก ไม่ค่อยยืดหยุ่นเลย มีข้อด้อย 10 ประการ แล้วยังจะต้องทำอยู่ เพราะในยุคนี้เป็นอย่างนี้
อาตมาใช้ข้อด้อย 10 ประการนี้เป็นตัวคัดเลือก คนที่ข้ามพ้นข้อด้อยของอาตมา 10 ข้อนี้คนนั้นจะเข้ามา แม้จะข้ามไม่พ้นทั้ง 10 ข้อ ก็บางข้อได้ก็มา ได้มากข้อ ก็จะมาอย่างเต็มใจมากขึ้น ถ้าได้น้อยข้อก็ไม่เต็มใจเท่าที่จะเป็น ก็ต้องมีส่วนที่พอใจจึงจะมา แม้จะมีส่วนที่ไม่พอใจอยู่บ้าง และก็จะได้พอใจขึ้นเรื่อยๆ
อาตมายังยืนยันในข้อใดนี้ยังไม่เลิก ใครจะเห็นว่าข้อด้อยของอาตมานี้ ใช้ไม่ได้ คุณก็ไม่มา อาตมาก็ไม่มีปัญหา ผู้ที่ข้ามพ้นข้อด้อย 10 ข้อของอาตมา คุณจะรู้ว่าอาตมาทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ
“ข้อด้อย”ของอาตมาที่ต้องขออภัยอย่างยิ่งจริงๆ
อาตมามี“ข้อด้อย”อยู่มากมายหลายข้อจริงๆ ลองตรวจตนเองแล้วประมวลมาดู มีมากพอสมควร …. เช่น
1.มีความจริงใจสูง กับการแสดงออก ไม่ค่อยปิดบังอะไร ..ซื่อๆ ตรงๆ ไม่ลดเลี้ยว สุดโต่งตรงเกิน
2.แสดงออกเต็มที่ ต้องการให้คนรู้ คนเห็นชัดๆ ไม่ออมมือ ไม่เหยาะๆแหยะๆ จึงแรง
3.ไม่สำรวมกิริยาให้สวย เท่ๆ งามๆ สุภาพๆอะไรทำนองนั้น
4.ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าจริงจัง ไม่อนุโลมเท่าที่คนยุคนี้ ที่อ่อนแอ ล้มเหลวอยากให้อนุโลมเอาใจบ้าง
5.เป็นคนไม่กลัวเสียหน้า ถ้าจะแสดงอะไรออกมา จะว่ามารยาทไม่ค่อยดีก็ได้ หรือมารยาทไม่มีเลยก็ใช่
6.เป็นคนไม่กลัวว่า จะไม่มีใครมาเป็นหมู่พวกบริวาร
7.จึงไม่สร้างภาพ รังเกียจการสร้างภาพเอาด้วย เพราะเห็นการสร้างภาพเป็นการหลอกลวง
8.ไม่กลัวคนจะไม่ยกย่อง ไม่กลัวคนจะไม่นับถือ
9.ยึดความจริง ซื่อตรงต่อความจริง ต่อสัจธรรมสูง จนถูกเข้าใจผิดว่า ยึดมั่นถือมั่น ดื้อดึงดัน
-
เคร่งครัดกับคำตรัสที่ว่า นิคคัณเห นิคคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง เกินไป โดยเฉพาะนิคคัณเห นิคคหารหัง จนถูกเข้าใจผิดว่าคนอะไรเอาแต่ติเอาแต่ด่า
และอาตมาก็ต้องขออภัยอย่างยิ่งที่อาตมาจะต้องมี“ข้อด้อย”เหล่านี้ ไม่แก้ไข และตั้งใจทำตาม“ข้อด้อย”นี้ต่อไปยังไม่เพลา จนกว่าจะถึงเวลาอันควรแก้ไขเปลี่ยนแปลง
อาตมาจะชมใคร ก็ไม่ทราบใจเขาว่า ต้องการให้อาตมาชมออกอากาศหรือไม่ก็เลยไม่ชม บางคนชมได้เต็มที่บางคนชมไม่ได้เต็มที่ ยกตัวอย่างในหลวงรัชกาลที่ 9 อาตมาชมได้เต็มที่ก็ชม พลเอกประยุทธ์ในขณะนี้อาตมาชมได้เต็มที่ แต่ถ้าเปลี่ยนแปลงแบบทักษิณ อาตมาก็ถล่มเหมือนกันนะ จริงไม่ได้พูดเล่น แต่ถ้าดีขึ้นๆตามภูมิอาตมาก็ชมส่งไปเลย ตอนนี้ก็ชมไปบ้างแล้ว ทำให้ดียิ่งๆขึ้นไปเถอะ ถ้ามีความเห็นตรงกันก็สอดคล้องกันไปได้เรื่อยๆไปด้วยกันมาด้วยกันเลือดสุพรรณ
อาตมาจึงหนักไปทางติ ไม่ค่อนไปทางชม ก็ขอพูดให้ชัด
คนที่ชื่อประยุทธ์สองคนในเมืองไทย มีประยุทธ์ทางธรรม และประยุทธ์ทางโลก
ประยุทธ์ทางโลกนี้อาตมาชมได้เต็มที่ ส่วนประยุทธ์ทางธรรมนี้ยังชมไม่ได้เต็มที่ เพราะมันลึกซึ้งกว่าทางโลก ทางโลกมันหยาบกว่าคนเห็นได้ง่ายกว่า อาตมาก็ไม่ต้องเสี่ยง
เพราะว่าคนไม่รู้ทางธรรมะ คนยังเข้าใจไม่ได้ว่าทำไมต้องไปชมท่านประยุทธ์ คนนับถือท่านประยุทธ์มากกว่าอาตมาในประเทศไทยนะ พูดความจริงนะ แต่อาตมามั่นใจว่าอาตมาไม่ผิด แต่ว่าอาตมาแพ้ได้ คุณจะยกย่องท่านประยุทธ์มากกว่า อาตมามีคนมายกย่องน้อยกว่าก็ไม่มีปัญหา ก็รู้ว่าได้แค่นี้กุศลหัวของอาตมามากแล้วที่ได้ขนาดนี้ จริงนะ อาตมาพูดความจริง
ในการประมาณการตัดสินอะไรต่างๆ อาตมามีดุลพินิจ มีตัวตัดสินมีการใช้การพิจารณา ตามภูมิอาตมามั่นใจว่า ได้ใช้สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 อย่างเต็มที่ ในการที่จะตัดสินว่าควรจะพูดหรือไม่ควรพูด ยกตัวอย่างท่านประยุทธ์ ที่เป็นพลเอกประยุทธ์ อาตมาชมได้หนักกว่าท่านประยุทธ์ ท่านสมเด็จพุทธโฆษาจารย์ เพราะว่าคนจะเข้าใจธรรมะที่ลึกได้ยากกว่า คนเข้าใจทางโลกียะ หรือทางวัตถุ ส่วนนั้น มันอย่างนั้นจริงๆ
อาตมาก็ใช้ดุลพินิจของอาตมา อาตมาจะมีความฉลาดเท่าไหร่ก็ใช้ ใช้อย่างซื่อสัตย์ไม่มีอัตตาตัวตน ที่ควรจะเป็น อาตมาจะไม่เก็บเอาไว้หรอก ใช้แล้วเป็นประโยชน์ไม่เป็นโทษภัย
อาตมาพูดถึงความซับซ้อน ที่อาตมาใช้ความด้อยเอามาใช้ ซึ่งอาตมาก็ต้องใช้ หลายคนฟังชัดเจนมีภูมิปัญญาพอ ก็คงไม่มีปัญหา ส่วนคนที่ยังมีปัญหาอยู่ว่า อาตมาไปทำข้อด้อยทำไม ทำไมไม่ทำให้หมดข้อด้อยไป ไม่มีปัญหา คุณจะฉลาดทำให้หมดไปก็อยู่ที่คุณ ดีอย่างตรงตามสัจธรรมไม่มีข้อด้อยเลยก็อนุโมทนา อาตมาก็เห็นอยู่
เพราะฉะนั้นอาตมายอมรับสำหรับสิ่งที่อาตมาดูข้อมูลองค์ประกอบ ว่ามันสมเหมาะสมควร ตามสัปปุริสธรรม 7 ประการที่อาตมาใช้
1.ธัมมัญญูตา (รู้จักทุกองค์ประกอบ)
2.อัตถัญญูตา (รู้จักเนื้อหาเป้าหมาย) คือเนื้อแท้
3.อัตตัญญูตา (รู้จักตนเอง)
4.มัตตัญญูตา (รู้จักประมาณจัดสรรสัดส่วน)
5.กาลัญญูตา (รู้จักกาลสมัย)
6.ปริสัญญูตา (รู้จักหมู่กลุ่มบริษัทอื่น)
7.ปุคคลปโรปรัญญูตา (รู้จักบุคคลอื่น)
(พตปฎ. เล่ม 23 ข้อ 65)
สัจจะอยู่คนเดียวไม่ถือเป็นสัจจะ สัจจะต้องเอาออกมาให้คนที่ 2 พิสูจน์ได้เป็นต้นไป ยิ่งมีเป็นล้านคนพิสูจน์ได้ยิ่งเป็นสัจจะที่จริง อาตมาก็ต้องใช้สิ่งเหล่านี้ นอกจากอัตถัญญุตา ธัมมัญญุตาก็ต้องใช้ มัตตัญญุตา ตัวเราก็เท่านี้ ทำขนาดนี้ได้ผล ทำมากกว่านี้ไม่ได้ผล ให้ถ่อมตนเอาไว้ อย่าไปอวดใหญ่อวดโต เรามีภูมิ100 ก็ใช้แค่ 70 ก็พอ ใช้แค่ 60 ก็พอ ถ้ามันน้อยเกินไปก็ไม่ดีก็ต้องใช้ให้พอเหมาะ อย่างนี้เป็นต้น
กาลัญญุตา ในยุคนี้ขณะนี้ แม้แต่ในวินาทีนี้ ก็ต้องใช้กาลเวลายุคสมัย ขณะที่เป็นกาละกับกรรมจะทำในสองกาละนี้ อาตมาย่นย่อทุกอย่างเป็นกรรมกับกาละ
ไอน์สไตน์ค้นพบทางด้านวัตถุ Space and time of continuum
อาตมาสรุปของอาตมาคือ กาละ กับกรรม time and karma of continuum กาละกับกรรม of continuum
space and time คือการเคลื่อนของเอกภพของจักรวาลทุกอย่าง ส่วนของศาสนาทางจิตวิญญาณเอากิริยาหรือกรรมของสัตว์โลก ซึ่งพูดได้กับเวไนยสัตว์กับอาริยบุคคล นอกนั้นพูดไม่รู้เรื่อง นอกกรรมไม่มีกาละไม่มีอะไร
สุดท้าย พระพุทธเจ้าใช้คำว่าผู้ทำกาละ ผู้ใดทำกาละได้ก็จบเลย กรรมก็หาย นิรันดรก็หาย ความมีก็หายความไม่มีก็หาย ทำกาละนี่แหละ ความหมายคำว่าทำกาละนี้ยิ่งใหญ่มากสูงสุด
อาตมาจึงสรุปลงได้ ที่เราจะใช้ทั้งหมดก็คือกรรมกับกาละ ละเอียดที่สุด ความละเอียดของจุด continuum เป็นปัจจุบันที่ละเอียดที่สุดและยังมีความเชื่อมต่อ continuing หรือ continuum เป็นปัจจุบันที่มีความเชื่อมต่อที่สั้นเล็กและละเอียดมาก อาตมาก็ได้พยายามอธิบายขยายความโดยใช้พยัญชนะเทียบเคียงของไอน์สไตน์ space and time ก็คงเคยได้ยินศึกษามา ใช้เป็น continuum เป็นปัจจุบันธรรม ที่ละเอียดเล็กที่สุดเร็วที่สุดสั้นที่สุด
ของอาตมามีกรรมกับกาละ ถ้าขยายความไปอีก ของเรามีกรรมกับกาละ
ทางด้านวิญญาณของเขามี God กับ กาละ แต่ God ของชาวเทวนิยมนั้นมีนิรันดรเขา เราไม่มีนิรันดรเพราะมีกรรม ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยไม่มีกรรม กรรมต้องมีธรรมะ 2 ต้องมี 1 ประธาน 2 Object ถ้าไม่มีประธานทำอะไรไม่ได้
นิวเคลียสอันหนึ่ง ตัว I เป็นประธาน
S กับ H คือ บวกกับลบ หากไม่เป็นชีวเป็นพลังงานระดับอุตุนิยาม มันก็จะ I S H
เป็นจิตนิยามก็ย่อมมี I ที่สามารถควบคุม S กับ H ได้ดียิ่งขึ้น
พีชนิยามมี ISH แน่ ส่วนอุตุไม่รู้ตัวมัน จะมีพลังงานอื่นอันอื่นผลักดันหรือดึงดูดมันไปสู่แรงดึงดูดของ galaxy ของจักรวาล มันก็จะต้องไปเป็นส่วนที่เป็นมวลของสิ่งอื่นๆ ก็ซ้อนๆๆอย่างนี้มากมาย ตั้งแต่อุตุนิยามมาเป็น พีชนิยาม แล้วจะต้องศึกษากรรมเป็นกรรมนิยาม
เราจะต้องศึกษากรรม กรรมเป็นของของเรา กรรมเป็นทายาทของเรา กรรมสั่งสมเผ่าพันธุ์ สั่งสมเป็นตระกูลสั่งสมเป็น DNA แล้วคุณก็ได้พึ่งพาอาศัยกัน กัมมปฏิสรโณ
-
กัมมัสสโกมหิ (มีกรรมเป็นสมบัติแท้ของตน)
-
กัมมทายาโท (มีกรรมเป็นทายาทรับมรดกของตน)
-
กัมมโยนิ (มีกรรมเป็นแดนเกิด-หรือพากำเนิด)
-
กัมมพันธุ (มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์, พันธุ์เทพ,พันธุ์มาร)
-
กัมมปฏิสรโณ (มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยแท้ๆ)