610805_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ศีล 3 ข้อนี้ ที่ทำให้ถึงอรหันต์
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1EBzdGriQVrPS1SFPjYf9VjVld666d0kNORbDje_BeV8/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1h83l_mxLIyH1hssTjrUdPulek6SCm6xC
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ในห้วงเวลานี้ก็คงจะต้องพูดถึงเรื่องน้ำที่จะท่วม และน้ำที่ท่วมไปแล้วหลายพื้นที่ในประเทศไทย ปีนี้ระดับน้ำแม่โขงขึ้นสูงมากเพราะว่าทางเมืองจีนระบายน้ำออกมามาก พวกเราแม้จะน้ำท่วมเราก็อยู่ได้อย่างสบายบางปีจัดงานฉลองน้ำด้วย น้ำท่วมอย่างไรเราก็มีผักบุ้งกิน
เดี๋ยวนี้ที่โรงปุ๋ยมีกล้วยแขวนไว้ให้เด็กกิน แจกน้ำเขียวและกล้วยก่อนทำงาน เพื่อสุขภาพ เด็กไม่ต้องไปกินขนม กินอย่างนี้ก็สุขภาพดี มีให้กินทุกวัน ที่ไหนจะน่าอยู่เท่าที่นี่ แต่คนก็ไม่มาอยู่กันมาก วันนี้ก็มาฟังสิ่งที่ดีเช่นกัน เป็นสิ่งที่ดีที่หาฟังได้ยากในโลกนี้ มีที่นี่แห่งเดียวเพราะมีบุคคลคนเดียวที่จะพูดอย่างนี้ได้
พ่อครูว่า…SMS 3 – 4 ส.ค. 61
_3867 พ่อครูสอนนำสวดมนต์วัตรเช้าเย็นทุกงานบุญอโศก!ให้ญตธ.สวดบูชาพระรัตนตรัย ฯไตรสรณคมน์ฯพุทธา-ธัม มา-สังฆานุสสติฯพุทธชัยมงคลฯชัยปริตฯจบที่ภวตุสัพฯเรียกว่าสวดแบบใดถูกตรงธ.ตถาคต?
พ่อครูว่า…สวดแบบอโศกออกเสียงตามพยัญชนะ สระที่เป็นรัสสระ และทีฆสระ ไม่มีอายามะลากเสียงยาว หรือไม่ใส่ทำนอง เป็นคีตะ นี่คือ การสวดที่ถูกต้องถูกต้องที่สุด ตอบได้อย่างเดียว สวดอย่างชาวอโศกถูกต้อง นอกนั้นที่ได้ยินมา ผิดธรรมวินัยพระพุทธเจ้าอยู่ ขออภัยที่ต้องพูดสัจธรรมความจริงที่ถูกต้อง เพื่อให้แก้ไขปรับปรุงกัน แต่แก้ไขได้ยากเพราะว่าติดเข้าเส้นเลือดเข้าจิตวิญญาณแล้ว ถ้าจะให้สวดนะโมตัสสะภะคะวะโต เห็นที่เขาจะ ดิ้นพราดๆเลย ขาดใจทันที เขาต้อง นามัวตัสสะภะวะโตตตต… ลากเสียงยาวหรือใส่ทำนอง พระทางมหายานต้องมีฉิ่งฉาบด้วย มันยานโตงเตงไปแล้ว
อาตมาขยายความอยู่ลึกซึ้ง พระพุทธเจ้าตรัสในพระไตรปิฎก เล่ม 7 ชัดเจนเลย แล้วมันก็ยากมาก
พระไตรปิฎก เล่มที่ 7 พระวินัยปิฎก เล่มที่ 7 จุลวรรค ภาค 2
เรื่องสวดพระธรรมด้วยทำนอง
[20] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์สวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ สวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ เหมือนพวกเราขับ ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย …ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์จึงได้สวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาค … ทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายข่าวว่า … จริงหรือ
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียน … ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุสวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ มีโทษ 5 ประการนี้ คือ:-
-
ตนยินดีในเสียงนั้น
-
คนอื่นก็ยินดีในเสียงนั้น
-
ชาวบ้านติเตียน
-
สมาธิของผู้พอใจการทำเสียงย่อมเสียไป
-
ภิกษุชั้นหลังจะถือเป็นเยี่ยงอย่าง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย โทษ 5 ประการนี้แล ของภิกษุผู้สวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับรูปใดสวด ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
สมาธิของผู้พอใจการทำเสียงย่อมเสียไป สิ่งที่ไม่เสียไปคือเสียงที่ตรงกับ รัสสระ และทีฆสระ ส่วนผู้ที่สวดให้ผิดเพี้ยนไป รัสสระ และทีฆสระ คือทำสมาธิให้เสียไป ความนิ่งไม่ได้หมายถึงอยู่เฉยๆ สมาธิหมายถึงความพอดี คืออธิจิต แล้วอธิจิตของคนมีปัญญา ต้องมีข้อกำหนด ข้อกำหนดนั้นเรียกโดยตัวต้นว่า ศีล
เสียงที่กำหนดด้วยศีล ด้วยวินัย ต้องทำให้ถูกต้อง ตามวินัย เรียกอธิศีล จิตมีปัญญาก็มีเจโต ปัญญาเข้ามาร่วมรู้จักศีล ปัญญารู้จักจิต หรือถึงขั้นสมาธิ
สมาธิมี 2 นัยยะ นัยหนึ่งคือความพอดี อีกนัยหนึ่ง คือความตั้งมั่น
ความพอดีคืออาการของความเคลื่อน Dynamic ความตั้งมั่นคืออาการของ Static ของตัว บวกกับลบ บวกคือ Static ลบ คือ Dynamic
เป็นสองสภาพที่เป็นนิวเคลียสของทุกอย่าง อณู ปรมาณู มี 2 อย่างในนิวเคลียสมีอยู่อย่างสมดุล ถ้ามันสมดุลก็เป็นสมาธิ และมันไม่เปลี่ยนไปจากสมดุลนั้นก็คือสมาธิ ถ้าหากเคลื่อนไปจากสมดุลนี้ก็ทุกอย่างเคลื่อนไป ไม่เป็นสมาธิ
ภิกษุชั้นหลังจะถือเป็นเยี่ยงอย่าง ข้อนี้เลวที่สุดเลยเพราะว่าทำผิดๆมาคนข้างหลังก็เอาอย่าง จนกลายเป็นเอาอย่างถาวร ทุกวันนี้สวดมนต์ผิดธรรมวินัย เป็นอาบัติ สวดมนต์อย่างได้นรก เพราะสวดมนต์ผิดสัจจธรรมของพระพุทธเจ้า มันก็เป็นการทำลายศาสนา ก็เป็นการทำลายศาสนาอยู่ทุกคำสวด บาปเป็นของคนทำนรกทุกคำสวด คนที่ได้ฟังรู้สึกตัวก็แก้ไขเสีย ถ้าไม่แก้ไขก็นรกใครนรกมัน กรรมเป็นอันทำ มันห้ามไม่ได้ ไม่ต้องให้พระเจ้าไปตัดสินว่าคุณจะต้องลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ ไม่ต้องให้พระเจ้าเป็นผู้ตัดสิน มันเป็นไปโดยธรรม โดยสัจธรรมของมันเอง ทุกวันนี้จึงเสื่อมหมด พระภิกษุชั้นหลัง จะถือเป็นเยี่ยงอย่าง และถือเป็นเยี่ยงอย่าง อย่างที่ไม่เคลื่อนเลย อาตมาพูดเท่าไหร่เขาก็ไม่เปลี่ยน จะพูดอย่างไรก็ให้พูดไป อาตมาก็ยอม อาตมาตำหนิไม่ยาวนะ ยอมปากยาว แต่ไม่ยอมจมูกยาวคือโกหกแบบพินอคคิโอ
พูดแค่เรื่องการสวดมนต์ แค่นี้ก็แก้ไขกันยาก มันยากมากเลยจะไปแก้ไขเนื้อหาสาระอีกมาก แตะเข้าคำไหนสภาวะไหน มันผิดไปหมด อาตมานี่เหมือนคนเพ่งโทษ เหมือนคนมองอะไรในแง่ร้ายไปหมด มองอะไรผิดไปหมด มันเวรจริงๆมันไม่น่ามาเข้าเวรในยุคนี้จริงๆ เพราะเข้าเวรในยุคนี้มันไม่หมดเวลาจะจบสักที ไปเข้าเวรคนไข้ก็มีแต่คนเจ็บมา เตียงนี้ก็ชำระนานตรวจสอบนาน ผู้ป่วยคนนี้ก็อีกนาน ทั้งหนักทั้งนาน วันก็ไม่พอ งานก็ไม่ไหวมันเหนื่อย ทั้งหนักทั้งนานทั้งเหนื่อย มันเป็นงานที่ยากมากเลยทุกวันนี้
แต่ไม่มีงานอะไรที่ดีกว่านี้อีก อาตมาเป็นคนเป็นลูกพระพุทธเจ้า พยายามที่จะหาสัมมาชีพ หางานที่จะเอามาทำ เลือกงานนะอาตมา งานที่อาตมาเลือกทำนี้เป็นงานที่ดีที่สุดมหัศจรรย์ที่สุดประเสริฐที่สุดยากที่สุด แต่ดีที่สุดประเสริฐที่สุดวิเศษที่สุด งานที่อาตมาเลือก
ที่ดีที่สุดก็เพราะถูกต้องตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า การทำงานเลี้ยงชีพ อาตมานั้นพ้นมิจฉาชีพ 5 แล้ว แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่ได้พูดถึงกันมีอยู่เต็มศาสนาไปหมดแล้วที่ผิด
เอาข้อที่แย่ที่สุดก่อน
ข้อที่แย่ที่สุด ยอดที่สุด คือ ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา คนทำงานอาชีพที่แย่ที่สุดคือ ทำอยู่แล้วเอาสิ่งแลกเปลี่ยน ชาวอโศกอาตมาพามาเป็นคนพ้นมิจฉาชีพข้อนี้…… ไชโย! คือทำงานไม่เอาลาภแลกลาภไม่เอายศแลกยศ ทำงานเหนื่อยก็เหนื่อยไม่มีสุขไม่มีทุกข์ เหนื่อยมากก็พัก ควรเพียรก็เพียรอย่างแท้จริงเลย
ชีวิตคืออะไร ชีวิตคือการงาน อาชีพที่ยอดที่สุดแย่ที่สุดยากที่สุดคือ ทำงานไม่เอาลาภแลกลาภทำงานฟรี ผู้ใดทำได้ พ้นมิจฉาชีพข้อนี้ จึงเป็นคนยอด และไม่ยาก ทำได้แล้วเป็นปกติสามัญไม่เอาสิ่งแลกเปลี่ยนเลย สบม ทมด ปกก หห จจ เป็นเรื่องมหัศจรรย์นะ พากันมาทำงานไม่เอารายได้เลย วันๆอยู่ไปอย่างเบิกบานสำราญใจดีไม่ต้องมีรายได้ มีอยู่มีกินอุดมสมบูรณ์
ดูสินี่ สิ่งที่เอามาตกแต่งประดับฉากให้สวยงาม ถ้าเป็นทางอื่นจะเอาเพชรพลอยเงินทองเอาของสวยงามที่มีสีสัน ของเราก็มีสีสัน เอามาตกแต่ง ไม่มีการจัดคอมโพซิชั่น ของเราไม่ต้องใครๆก็จัดได้ นี่เรียกศิลปะเปรอะ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย โทษ 5 ประการนี้แล ของภิกษุผู้สวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับรูปใดสวด ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
ทุกวันนี้ไม่รู้จะทำอย่างไรแก้ไม่ได้เลย มีพระที่ไม่อาบัติมีบ้างคือพระป่า อาตมาบวชกับเขาเถรสมาคม ก็อยู่ไม่ได้เพราะว่าอยู่กับพระเน่า เป็นสัจจะอย่างนั้น ขออภัยที่ต้องพูด พูดไปมันก็ไปโดนความจริงที่เป็นอยู่เขาเป็นอยู่ เราพ้นออกมาแล้วจากกองขยะเน่านั้น
ตอนแรกอาตมาขอแยก ต่อมาไม่ยอมให้แยก สู้กันในศาลด้วยธรรมะธรรมชาติ ทุกวันนี้อาตมาก็หลุดพ้นออกมาโดยธรรม ด้วยสัจจะหลุดพ้นออกมาก็สบายแล้ว อาตมามีสิ่งที่ นิคคัณเห นิคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง ก็หาคนที่จะชมในมหาเถรสมาคมนั้นมีน้อย คนที่จะชมก็ชมชาวอโศกทำได้ถูกกว่าเถรสมาคมด้วย
อาบัติข้อถูกกฎนี้เขาก็แก้ไม่ได้
เรื่องการสวดสรภัญญะ
[21] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายรังเกียจในการสวดสรภัญญะ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สวดเป็นทำนองสรภัญญะได้
[21] เตน โข ปน สมเยน ภิกฺขู สรภฺเ กุกฺกุจฺจายนฺติ ฯ อถโข เต ภิกฺขู ภควโต เอตมตฺถ อาโรเจสุ ฯ อนุชานามิ ภิกฺขเว สรภฺนฺติ ฯ
แสดงว่า ภิกษุที่รังเกียจสรภัญญะ ต้องเข้าใจว่าสรภัญญะที่เขารังเกียจอย่างไร แล้วสรภัญญะที่ไม่น่ารังเกียจที่ถูกต้องคืออย่างไร
ทุกวันนี้มหาเถรสมาคมเขาบอกว่าเขาสวดสรภัญญะ แล้วเขาก็ไปแปลในพจนานุกรมบาลีว่าสวดสรภัญญะคือสวดอย่างมีทำนอง มันก็จะไปย้อนแย้งกับข้อที่ 20 มันมีได้อย่างไร เพราะข้อที่ 20 ก็เป็นทุกฏแล้ว คนไม่บ้าก็เมาไม่เมาก็โง่ หรือทั้ง 3 อย่างเลย ทั้งบ้าทั้งเมาทั้งโง่ จะแก้ไขได้อย่างไร
ภิกษุที่ท่านรู้ว่ารังเกียจสวดสรภัญญะ ก็ต้องหมายถึงสรภัญญะที่ผิด ผิดอย่างไรก็ผิดอย่างข้อ 20 ลากเสียงอันยาวหรือว่าใส่ทำนอง ท่านไม่ให้ทำ ถ้าใครทำก็เป็นอาบัติอยู่ตลอดเวลา
ทุกฏ คือ ทำ ข้อบัญญัติภาษิตของพระพุทธเจ้าให้เป็นทุภาษิต ให้มันเสื่อมเสียผิดไปให้มันทุกฏ เมื่อทำผิดก็ได้บาปและนรกมันเป็นสัจจะสภาวะ อาตมาก็ต้องอธิบายวนมาวนไปอย่างนี้
ข้อที่ 20 นี้พระพุทธเจ้าทรงห้ามไว้ ข้อ 21 นี้พระพุทธเจ้าทรงอนุญาต แล้วพระพุทธเจ้าก็ตอบว่า เราอนุญาตให้สวดเป็นทำนองสรภัญญะ เขาใส่คำว่าทำนองอยู่หน้าสรภัญญะ แต่ในบาลีไม่มีคำว่าทำนองอยู่ก่อนหน้าสรภัญญะ ไม่มีคำว่าอายามะ ที่แปลว่าลากยาว หรือคีตะเลย มีแต่ว่า อนุญาติสรภัญญะ
ก็ต้องตีความ สรภัญญะคืออะไร
สรภัญญะผิดและถูกคืออย่างไร ต้องตีความตรงนี้
สร คือสระ ส่วน อัญญะ คือ ความเป็นไปแห่งการกล่าว คำกล่าวนั้นกล่าวตรงตาม ทีฆสระ กล่าวตรงกับ รัสสระ
รัสสระ มี อะ อิ อุ โอะ เอะ เมืองไทยมี เอาะ เอียะ เป็นต้น
เราก็มีสระสั้นสระยาว
สระยาว ทีฆสระ อา อี เอ โอ ของไทยมี
ภัญญะคือภาษา คำกล่าว ภยัญชนะคืออักษร
หากจะทำให้เป็นความเป็นแห่งการกล่าว ความเป็นแห่งภาษาที่จะพูดออกไปเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างที่มันต้องตรงตามกำหนด เขากำหนดรัสสระ ทีฆสระอย่างไรก็ออกเสียงตรงตามนั้น พยัญชนะ สามสิบกว่าตัวก็ออกเสียงให้ตรง ก ข ค ฆ ง เป็นต้น ให้มันถูกต้อง
เมื่อไม่รู้จักสระคืออะไร พยัญชนะหรือภัญญะคืออะไร คำกล่าวต้องใช้อักษรและสระอย่างไร เมื่อไม่รู้ก็แก้ไขกันไม่ได้ แต่ผู้ที่รู้เรื่องเข้าใจ สื่อเป็นคำกล่าวเป็นอธิวจนะบอกทุกอย่างเป็นคำสอนด้วย ก็พูดกันรู้เรื่อง เพราะทุกวันนี้เป็นคนกำหนดหมายเอามาใช้งานได้ครบแล้ว คนที่ไม่มีความรู้ก็พูดกันไม่รู้เรื่องก็แล้วไป
พูดถึงเรื่องกล่าวคำเอาธรรมบท พระพุทธเจ้าเอามาอธิบายให้ฟังกันแล้วเอาไปปฏิบัติให้เกิดผล ประโยชน์ จากคำสอนพระศาสดาก็ต้องใช้กันอยู่ ไม่มีอย่างอื่นเลยไม่มีทางอื่นเลย เลี่ยงไม่พ้น ไม่มีทางเลือกอื่นจำเป็นที่สุด
ผู้ที่เข้าใจได้มีปฏิภาณปัญญารู้เรื่องดีก็พูดกันรู้เรื่องไป ถ้ายังขัดข้อง ยังแย้งและไม่ยอม ถ้าไม่ถูกตามที่ข้าเข้าใจข้ายึดถือไม่ฟังเอ็งก็จบ คนนั้นก็ถูกคัดออก คนไหนพยายามฟังตามเข้าใจเขาจำนนแล้วไม่มีทางเลือกมากกว่านี้ก็ต้องเอาอันนี้แหละ มันก็ต้องทำอย่างนั้นต่อไป เพราะจำนนแล้วไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้ อันนี้ดีที่สุด
เหมือนอย่างอาตมา จำนนอะไร จำนนที่จะต้องมีข้อด้อยอย่างน้อยถึง 10 ประการ ข้อด้อย
“ข้อด้อย”ของอาตมาที่ต้องขออภัยอย่างยิ่งจริงๆ
อาตมามี“ข้อด้อย”อยู่มากมายหลายข้อจริงๆ ลองตรวจตนเองแล้วประมวลมาดู มีมากพอสมควร …. เช่น
1.มีความจริงใจสูง กับการแสดงออก ไม่ค่อยปิดบังอะไร ..ซื่อๆ ตรงๆ ไม่ลดเลี้ยว สุดโต่งตรงเกิน
2.แสดงออกเต็มที่ ต้องการให้คนรู้ คนเห็นชัดๆ ไม่ออมมือ ไม่เหยาะๆแหยะๆ จึงแรง
3.ไม่สำรวมกิริยาให้สวย เท่ๆ งามๆ สุภาพๆอะไรทำนองนั้น
4.ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าจริงจัง ไม่อนุโลมเท่าที่คนยุคนี้ ที่อ่อนแอ ล้มเหลวอยากให้อนุโลมเอาใจบ้าง
5.เป็นคนไม่กลัวเสียหน้า ถ้าจะแสดงอะไรออกมา จะว่ามารยาทไม่ค่อยดีก็ได้ หรือมารยาทไม่มีเลยก็ใช่
6.เป็นคนไม่กลัวว่า จะไม่มีใครมาเป็นหมู่พวกบริวาร
7.จึงไม่สร้างภาพ รังเกียจการสร้างภาพเอาด้วย เพราะเห็นการสร้างภาพเป็นการหลอกลวง
8.ไม่กลัวคนจะไม่ยกย่อง ไม่กลัวคนจะไม่นับถือ
9.ยึดความจริง ซื่อตรงต่อความจริง ต่อสัจธรรมสูง จนถูกเข้าใจผิดว่า ยึดมั่นถือมั่น ดื้อดึงดัน
-
เคร่งครัดกับคำตรัสที่ว่า นิคคัณเห นิคคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง เกินไป โดยเฉพาะนิคคัณเห นิคคหารหัง จนถูกเข้าใจผิดว่าคนอะไรเอาแต่ติเอาแต่ด่า
และอาตมาก็ต้องขออภัยอย่างยิ่งที่อาตมาจะต้องมี“ข้อด้อย”เหล่านี้ ไม่แก้ไข และตั้งใจทำตาม“ข้อด้อย”นี้ต่อไปยังไม่เพลา จนกว่าจะถึงเวลาอันควรแก้ไขเปลี่ยนแปลง
อาตมาไม่ด่านะ ด่าคือคำที่คุณพูดคำนั้นออกไปแล้ว คุณมีอารมณ์โลภโกรธหลงผสมอยู่ในนั้นเรียกว่าคำด่า มันโลภจัดก็แรง โกรธจัดก็แรง โมหะหลงจัดคุณก็แรง ส่วนมากก็หลงตัวไม่รู้จัก เพราะในหลงมีโลภ มีโกรธ หลงไม่รู้ตัวว่าตัวเองโกรธหรือโลภ ก็เลยแรงเท่านั้นเอง
ตามธรรมดาคนเราจะสงวนท่าที ลหุ มากกว่า ครุ
ลหุแปลว่าเบา ครุแปลว่าแรง เพราะแรงมันกินแคลอรี่ คนเราก็สงวนแคลอรี่ แต่อยากได้ผลต้องใช้แรงเต็มที่ เพราะมันจะได้ชัดเต็มที่ มันจะได้กระแทกเต็มที่ สิ่งนี้จะต้องใช้แรงเท่านี้ มันถึงจะเป็นไปตามที่ต้องการจะให้แยกแตก หรือให้มันพอดีจะเอาอันนี้ไปใช้ร่วมด้วยได้ ก็ต้องประมาณ จะต้องแรง ไม่แรงก็ไปแยกไปแทรกไม่ได้ จะแทรกจะแยกได้ จะอยู่ร่วมด้วยได้ก็ต้องใช้แรง
ทุกอย่างในมหาจักรวาลนี้ ถ้าเผื่อว่าปรมาณูใดปรมาณูหนึ่ง อิสรเสรีภาพ เป็นธาตุเดียวเลย อันนั้นเป็นสุดยอดของผู้ที่กำลังสุดยอด ถ้ามี 2 ขึ้นมา คุณจะมีตัวพ่วงจะช้าลง จะแรงน้อย จะไม่คล่องตัวเท่าเดี่ยวเลย เล็กที่สุดของที่สุด สมบูรณ์ที่สุด ทุกคนต้องการจุดสุดยอด มีทั้งนั้นเลย เรียกว่าอิสระ เรียกว่าหนึ่งเดียว แต่ในสัจจะความเป็นจริงนี้ ไม่มีอะไรอยู่หนึ่งเดียวได้หรอก ไม่มี
หนึ่งเดียวนั้นคือ สูญ
สูญคือ ทั้งหมด
จบ
สูญคือทั้งหมดสูญคือไม่มีเลย และทั้งหมดคือสูญ คือหาที่สุดไม่ได้เลย
ทีนี้อาตมาทำไมจะต้องเอาแต่พูดตำหนิและด่า เพราะความจริงมันต้องว่าต้องตำหนิ สิ่งที่จะยกนั้น มันก็มีอยู่น้อย จนเข้ามายกพวกตัวเองคนก็อ้วกแตกกัน ยกทีไรทำไมต้องยกพวกตัวเอง ก็เพราะว่าพวกที่ถูกมีเท่านี้ สัจจะมันจบเท่านี้เลี่ยงไม่ออก
ยกตัวอย่างชาวอโศก ยืนหยัดว่า มีชาวอโศกมีอาชีพความจริงสุดยอดแล้ว พ้น ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา บางคนยังไม่ทำงานฟรีก็มียังมีที่พ่วง ก็เลยต้องไปทำงานที่ไม่อยู่กับหมู่กลุ่ม หมู่กลุ่มพรรคพวกเป็นคนบริสุทธิ์ หมู่บ้านราชฯเป็นหมู่คนที่ถูกและบริสุทธิ์ ที่จริงคุณก็อยู่ได้แต่คุณไปทำงานกับคนไม่บริสุทธิ์ก็ถือว่า นิปเปสิกตา คือความจำในทางที่ผิด กับหมู่ที่ผิด หมู่ที่ไม่มีความรู้สัจธรรม หมู่ที่ไม่มีกิเลสมี แต่คุณไปอยู่กับหมู่ที่มีกิเลสก็เรื่องของใครศีรษะใครศีรษะมัน
หมู่นี้สุดยอดที่ทำได้ ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา แม้ข้อนี้สูงสุดแล้วไม่เอาลาภแรกลาภแล้วพระพุทธเจ้าก็ยังบอกว่ายังเป็นมิจฉาชีพ ต้องออกจากกรอบ ทำดีแล้วยังมีความหวังสาเปกโข แต่ถ้าทำแล้วไม่มีความหวัง สาเปกโขเลย นี่คืออาชีพที่สูงสุดแล้ว แม้แต่ชาวอโศกทำงานฟรีแล้วยังมีตัวตน ฉันทำงานฟรีแล้วภูมิใจ อย่างน้อยที่สุดภูมิใจว่าตัวเองทำอย่างนี้อย่างนี้ได้ สูงกว่านั้น ตัดไปเลยไม่มีตัวตนเลย นั่นคือสูงสุดกว่ามิจฉาชีพ เห็นไหม
คนที่ทำได้คนนั้นคือไม่ถามว่าใครทำได้อันนี้เป็นเรื่องส่วนตัวจริงๆ เพราะมันยากแล้ว คนทำดีที่ทำงานอย่างไม่เอา ลาภแลกลาภแล้ว อยู่ในนี้ยังมีเรื่องของอัตตายังมีภพชาติ
ภพชาติ อรูปอัตตาอีก รูปอัตตาที่เล็กละเอียดอีก ที่หมดสูญกับเหลือน้อยมากก็แยกได้ยาก คนแยกไม่ออกได้ง่ายๆ มันจะสูญแล้วกับสูญติดกันนี่แยกไม่ออก แยกได้ยาก เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะ ต้องกำหนดรู้ เรารู้ เกือบหมดกับสูญนี่ ต่างกัน เกื๊อบบบบ ลากเสียงยาวนะ เป็นเรื่องเน้นคำ ที่สวดสรภัญญะ สวดตามรัสสระ เป็นการยืนยันสื่อบอกให้คนเข้าใจ ไม่ต้องการผล นอกจากให้คนเข้าใจรู้เรื่องอย่างสมบูรณ์ที่สุด เจตนามีเท่านั้น
ทีนี้ต้อง นิคคัณเห ต้องเอาแต่ตำหนิ เพราะมันมีแต่สิ่งที่ผิดหาที่ถูกไม่ได้ การตำหนิสิ่งที่ผิดยังหาเวลาไม่พอเลย ชาตินี้ 151 ปีมันน้อยไป ต้องห้าหมื่นปี เพราะมันยากเหลือเกิน แต่ก็ต้องทำ มีเวลาเท่าไหร่เอามาใช้ทำงานนี้ให้หมด
อาตมารู้ว่าชาตินี้ต้องมาทำงานนี้ ยังรู้สึกว่าตัวเองเผลอไป เผลอไปอยู่ในทางโลกเสีย 36 ปีไปทำงานแย่งลาภสรรเสริญโลกียสุข ไปสร้างวิบากให้แก่ตัวเองอีก ก็เลยเป็นพระโพธิสัตว์ที่ต้องทำต่อไปอีก แย่งได้อย่างสะดวกหรือสุจริตก็ตาม คุณให้เขาดีกว่า ไปแย่งเขาทำไม คุณอยู่เป็น 0 ก็อยู่ได้ ทุกวันนี้อาตมาไม่หาเลี้ยงตัวเองให้คนอื่นเขาเลี้ยงเอาไว้ หากเจ็บป่วยจะตายก็ตายถ้าคนไม่ช่วยรักษา ก็จบด้วยเหตุปัจจัยที่สมบูรณ์ คุณป่วยเขาไม่ดูแลก็ปล่อยให้ตายก็ต้องตาย ยิ่งป่วยช่วยตัวเองไม่ได้ก็ต้องตาย ตายนิ่งๆ ไม่ดิ้นรนด้วย เราสมน้ำหน้าแล้ว ป่วยจนไม่มีใครช่วยก็ตาย อาตมาอย่างนั้นเลยนะ
สมณะฟ้าไทว่า…พระโพธิสัตว์ ถูกลิงลมอมข้าวพอง 36 ปี แต่ว่ามาทำกุศลมากก็น่าจะคุ้มแล้วนะครับ
พ่อครูว่า…คุ้มแล้ว ได้ เกิน 36 ปีมา 1 รอบนักษัตรแล้ว จะเอาต่อไปอีกเพิ่มอีก จนกว่าจะถึง 144 ปีอยู่ชมผลงานอีก 7 ปี
คิดว่า ถ้าทำสำเร็จลากตัวเองไปถึง 151 ปีรับรองเลยว่าทั้งโลกจะต้องมานับถืออาตมา จริง เพราะอาตมาจะมีเวลากระจายความรู้ความจริงสัจธรรมออกไปอีกตั้ง 64 ปี อีก เดี๋ยวนี้สื่อสารมวลชนก็ globalization รู้กันหมดแหละ อีกหน่อยกดก็จะมีแต่หน้าโพธิรักษ์ไปหมด
ตักกะเริ่มดำริว่าจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นมาเลย ภาวะการเริ่มดำรินี้ ตัวที่สูงที่สุดคือ ดำริด้วย 0 แต่ คนที่มีอวิชชาดำริขึ้นมาก็จะเป็น กาม พยาบาท เป็นตัวร่วมแสดงไม่มี 1 หรือ 0 มีสองอยู่เสมอมีพระเอกกับผู้ร้ายอยู่เสมอ คนที่ยังอวิชชายังไม่สมบูรณ์ด้วยวิชชา ใช่ไหม จะต้องเป็นเช่นนั้น
เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงหรอก ใครจะดำริอะไรขึ้นมา ถ้าคุณไม่ทำตัวเองให้ 0 จนไม่มีตัวที่ 2 มีแต่ตัวที่ 1 คนที่ทำ 1 ได้ก็ไม่มีพิษภัยไม่มีโทษมีแต่ประโยชน์กับมนุษยชาติ เป็นจิตนิยามที่มีประโยชน์สูงสุดก็ทำงานไปกับสิ่งที่เป็นประโยชน์คุณค่า ไม่มีส่วนที่จะเป็นบาปอกุศล มีแต่กุศลท่าเดียวบุญก็ไม่มีแล้วปุญญปาปปริกขีโณ บุญก็ไม่มีบาปก็ไม่มี มีแต่กรรมที่เป็นกุศลอยู่ถ่ายเดียว จิตสะอาดบริสุทธิ์
เมื่อยังมีชีวชีวิตดำเนินอยู่จึงเป็นอย่างนี้ จะอยู่อย่างชาตินี้ชาติหน้าหรือชาติไหนอีก ถ้าคุณยังรักษาความเป็นหนึ่ง คุณก็อยู่อย่างความเป็นหนึ่ง โพธิสัตว์อยู่กับความเป็นหนึ่ง 0 เป็นเครื่องอาศัยส่วนตัว ถ้า 0 บริบูรณ์ก็คือแยกธาตุ H2O
เส้นตรง คือ H เส้นโค้งคือ O ธาตุไฮโดรเจนออกซิเจนก็คือเส้นตรงกับเส้นโค้ง รวมตัวกันก็เป็นธาตุน้ำ ไม่รวมตัวก็เป็นธาตุออกซิเจนกับไฮโดรเจน อันนี้ อันหนึ่งตรงอันหนึ่งโค้ง ตรงต้องอาศัยกัน โค้งต้องจับมือกัน ตรงนี้ไม่จับมือกันแต่จับตรงกลาง คือ H
ในโลกก็มีตรงกับโค้งเท่านั้นเอง ความมีคือโค้ง ความตรงคือ Nuclear Fission มันตรงแบบไม่มีโค้งเลย กลายเป็น Isotope ไม่มีเลย แม้ .000001 องศาเลย หายไปกับเอกภพทะลุเอกภพหายไปเลย หรือไม่ทะลุ มันวิ่งของมันไป ในขณะที่มีพลังงาน มันก็หมดพลังงานลงไปเรื่อยๆ สุดท้ายหมดพลังงานวิ่ง สุดท้ายก็เป็นศูนย์
อาตมามาพูดนี้พูดอย่างที่ตัวเองทำได้แล้วนะ ทำไม่ได้ไม่เอามาพูด
อาตมานักมายาระดับสิริ นักมายาทั้งใหญ่ทั้งดี ยอดเยี่ยมที่สุดให้เกิดสิ่งที่ดีที่สุดถ้าเป็นบุคคลเรียกว่าพระพุทธเจ้า จึงมีแม่เรียกว่าสิริมหามายา แม่ของพระพุทธเจ้าต้องชื่อสิริมหามายา ต้องใช้คำนี้
มุทุภูเตของอาตมาทำให้เกิดมหามายาได้ มุทุภูเต นั้นมีก็ได้ไม่มีก็ได้ ดูเหมือนตลบแตลง อยู่ด้วยมีกับไม่มีสองอย่าง
ตามพระไตรปิฎกเล่ม 6 ข้อ 43 มีกับไม่มี พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง คือ ความมี 1 ความไม่มี 1 ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลก(โลกสมุทัย)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี(โลเก นตฺถิตา สา น โหติฯ) เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลก(โลกนิโรธ)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ มีในโลก ย่อมไม่มี(โลเก อตฺถิตา สา น โหติฯ)
มีคือ โหติ อัตถิ ไม่มีคือ นโหติ กับ นัตถิ
แล้วคุณยังมีตัวตนอยู่ก็ต้องมาศึกษาความมีกับความไม่มี ก็ต้องทำความไม่มีให้ได้ สูญอะไรที่ควรทำ สูญจากกิเลส คือสิ่งที่ควรทำ ส่วนสูญอย่างอื่น มันก็ย่อมมีตามสภาวะที่มันมีมันก็ยังไม่มีตามสภาวะที่ไม่มี คุณอย่าไปยุ่งของมัน แต่จิตของคุณนี้เอาความไม่มีให้ได้ เน้นมาสู่จุดหมาย ต้องรู้จักว่าจิตที่มันมีกิเลสเป็นอย่างไรมันมีเศษเหลือน้อยเป็นอย่างไร ก็ทำให้จิตหมดกิเลสเศษธุลีละอองให้ไม่มีก็จบ คุณไม่มีจนสุดแล้ว เอาความไม่มีตรงนี้ ตรงนี้เท่านั้น
ผู้ที่ทำความไม่มีของกิเลสให้สุดแล้วแต่คุณยังไม่มี คุณยังไม่ตาย ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ยังมีอยู่ เพราะฉะนั้นคุณจะยังมีอยู่ยังรักษา คุณเป็นอมตะบุคคลแล้วเป็นพระอรหันต์ จะตายที่ความไม่มี จะตายด้วยการแยก H2O ก็ไม่ต้องใช้ขาที่มี Valence รวมกันแล้ว หากรวมกันก็เป็นตัวตนมี 2 ธาตุ คือธาตุมีแต่ไม่มี ความไม่มีนั้นสูญได้ไม่มีตัวตน คือ 0
ส่วนที่ยังมีที่จริงที่สุดคือ 1 และ 1 อย่างบริสุทธิ์ด้วย ไม่มี 2 หากจะอยู่ต่อก็อยู่ด้วย 1 อาตมามีจิตที่เป็นหนึ่งอยู่เสมอแต่ทางโลกเขาไม่ยอมว่าอาตมามี ทุกคนยอมหรือเปล่า คนโง่ เขาไม่ยอมให้อาตมาเป็นหนึ่งหรอกไม่ยอมง่ายๆ ข่มอาตมา แต่คนที่เขารู้ว่าอาตมาเป็นหนึ่งจริงๆ หนึ่งไม่มีสองด้วยนะ ต้องยกให้เป็นหนึ่ง คนรู้จริงๆก็จะยกให้
และเขาต้องมีภูมิปัญญาจริงๆจึงรู้ว่าจะมาเป็นหนึ่ง ถ้าคนไม่มีปัญญาไม่ต้องพูดเสียให้ยาก
_0750 ชมรชม.ทำได้เพราะเป็นร้านเล็กๆขายวันละนิดหน่อยหยุดเป็นอาชีพ
พ่อครูว่า..เขาทำอย่างพอเหมาะพอดี เขาเปิดตั้งแต่ตี 5 ก็ไปอยู่จนถึงบ่าย 2 โมง เขารู้จักเวลาพักเวลาเพียร คนโง่ก็ทำตะพึด ไม่รู้จักพัก เพียร ก็ช่าง แต่เขาก็ทำอย่างนี้มาตลอด เขาบอกว่าหยุดเป็นอาชีพ ทำวันละเล็กวันละน้อย เขาดูเหมาะควรของเขา เขาสบายแล้ว เรื่องกินอยู่ของเขาก็เล็กน้อย ทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น ทำตั้ง 5 วัน หยุดในวันเสาร์อาทิตย์ ก็เป็นคนฉลาดพออยู่พอกินทำอาทิตย์นึง 5 วัน แล้วทำแค่บ่ายสอง ก็เรื่องของเขา คุณยังไม่รู้จริงๆ คนหลังบ่าย 2 ที่ทำงานต่อ ทำงานที่นั่นพักที่นั่น ตื่นเช้าก็ทำงานตลอดเวลาทำงานอยู่ 24 ชั่วโมงก็มี เขาก็แบ่งงานกัน คุณว่าหยุดเป็นอาชีพ เขาก็ไม่ได้หยุดจนไม่ทำงาน ใส่ความเขา เขารู้จักรักรู้พักรู้จักเพียร ทำตามคำสอนพระพุทธเจ้า เราไม่พักอยู่ (อัปปติฏฐัง) เท่ากับยังเพียรต่อไป
เราไม่เพียรอยู่ (อนายูหัง) เท่ากับพักหรือไม่ต่ออายุอิทธิบาท เราเป็นผู้ข้ามโอฆสงสารได้แล้ว (โอฆมตรินติ) คุณทำตามไม่ได้ก็จบศีรษะใครศีรษะมัน
_แมนยู เลียม ฟังพ่อท่านบ่อยๆประจำถึงจะย้ำจะซ้ำฟังบ่อยๆพิจารณาธรรม สติปัญญาเกิด เห็นประโยชน์
พ่อครูว่า…ฟังธรรมแล้วเกิดอานิสงส์ 5 ประการของการฟังธรรม
-
ผู้ฟังย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง (อัสสุตัง สุณาติ)
-
ย่อมเข้าใจชัดในสิ่งที่ได้ฟังแล้ว (สุตัง ปริโยทเปติ)
-
ย่อมบรรเทาความสงสัยเสียได้ (กังขัง วิหนติ)
-
ย่อมทำความเห็นให้ถูกตรง (ทิฏฐิง อุชุง กโรติ) .
-
จิตของผู้ฟังย่อมเลื่อมใส (จิตตมัสสะ ปสีทติ)
(พตปฎ. เล่ม 22 ข้อ 202)
ไม่ทำอย่างนี้แล้วจะไปทำอะไร คนฉลาดได้อย่างนี้ ฟังธรรมแล้วก็ได้ 5 ข้อนี้ อยู่เสมอๆ แล้วจะไปฟังอะไร(วะ)
ได้รู้ว่าชีวิตมีคุณค่าประโยชน์ได้ฟังสิ่งที่ควรฟังมีแต่เจริญและเจริญไม่มีสูญเปล่า แล้วคุณก็เต็มใจมาฟัง
_นิคม วาณิชสกลพงษ์. พ่อท่านเทศน์ขัดใจ ฟังบ่อยๆ ปฏิบัติตาม ใจสะอาดขึ้น
พ่อครูว่า…ถูกต้องดีแล้ว Go ahead ทำต่อไป
_ศิริวัฒน์ โภคยานนท์ /สอนความจริง ชอบๆ
พ่อครูว่า…คนชอบด้วยความจริงคือคนที่มีปัญญาฉลาดจริง คนที่ไปชอบสิ่งที่ไม่จริงคือคนยังไม่ฉลาดจริง
_0893867 สิกขมาตุสอนไม่ว่าจะคนดีฤาคนเลวล้วนมีวิบากกรรมเก่า!ไม่มีใครหลีกเลี่ยงหนีพ้นได้!ให้ทำใจยอมรับกรรม โดยปลงมรณัสสติ!คือยึดความตายของเพื่อนมนุษย์เป็นครูเตือนใจ ยังความไม่ประมาททุกการกระทำทุกขณะจิตใช่ไหมหนอ?
พ่อครูว่า…ใช่ ก็มีส่วน ฟังธรรมตามควรก็จะได้รับประโยชน์ความจริงไป
_เชวง กิจจะบรรพ์ คนจะดีต้องมีศีลรับทราบครับท่านสิกขมาตุรินฟ้าครับ/
พ่อครูว่า…อันนี้เป๊ะเลย ศีลเป็นเครื่องชี้บ่งถึงความดี เป็นข้อชี้บ่งถึงความดี
ขออธิบายตัวอย่างว่า ศีลเป็นเครื่องชี้บ่งถึงความดี
พระพุทธเจ้าตรัสถึงศีล 3 ข้อนี้สุดยอด ในโลกนี้มีสัตว์ มีของ และมีทวาร 5
ศีลข้อที่ 1 คือสัตว์ ศีลข้อที่ 2 คือของ ศีลข้อที่ 3 คือทวารทั้ง 5 และมีจิตเป็นตัวรับรู้
ถ้ารู้จักจัดการ สามเส้านี้แล้ว จัดการ อยู่กับสัตว์อย่างมีประโยชน์ อย่างไม่มีโทษไม่มีภัยแก่กัน หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ได้
2 มีของ เมื่อไหร่จะเป็นอุตุนิยม หรือพีชนิยาม อย่าเพิ่งพูดถึงจิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม หากเป็นของที่ไม่ใช่ของของเราอย่าไปยึดเอามา ถ้าเป็นของของเรา เรามีสิทธิ์แล้วได้ ไม่มีปัญหา อย่างพวกเราของส่วนกลางทุกคนมีสิทธิ์ใช้ได้ แต่ขนาดนั้นก็ยังพยายามไม่ถือวิสาสะเกินไป ให้รู้เหมาะควร
คนเราเป็นคน มีภูมิปัญญา อยู่ในโลกนี้ต้องร่วมอยู่กับสัตว์ ตั้งแต่จุลินทรีย์สัตว์เซลล์เดียว จุลินทรีย์ก็หลายเซลล์จนนับไม่ถ้วน เต็มไปด้วยเซลล์ที่อวิชชา เซลล์โง่ๆ คนก็ต้องศึกษาแล้วทำให้ตัวเราอยู่กับสัตว์ อย่างมีประโยชน์
ขอสรุปเลย สัตว์ในโลกนี้เขาเกิดมามีวิบาก เขาก็ให้ชีวิตดำเนินไป อย่าไปแตะต้องชีวิตเขา อย่าไปเอาเขามาเป็นส่วนของเรา อย่าเอาสัตว์เนื้อสัตว์ กระดูกสัตว์ ขี้สัตว์มาเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดของเรา แม้แต่ขี้สัตว์ก็อย่าเอามา ดีที่สุดเอาไปทำปุ๋ยได้ เพราะขี้สัตว์เป็นบังสุกุลแล้ว สัตว์มันทิ้งไปแล้ว มันเป็นของที่ทิ้งไปแล้ว เป็นผ้าป่าแล้ว เจ้าของเขาทิ้งแล้ว เราก็ไม่รู้จักตัวเจ้าของด้วยสำหรับผ้าป่า แต่ว่าผ้าป่าทุกวันนี้ ทำกันอย่างผิดวินัยเพราะมีเจ้าของหมด เอาเป็นเงินกี่ล้านกี่แสน เลอะเทอะไปหมด
ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์เราก็อยู่กับสัตว์ตั้งแต่เล็กถึงใหญ่ มีประโยชน์แก่กันและกันสุดยอดจบ คุณอยู่กับสัตว์ในโลกนี้คุณก็มีประโยชน์แก่กันและกัน ไม่เกี่ยวข้องด้วยอะไรก็ไม่เป็น เป็นเรื่องที่เชื่อมกันมาที่จะเป็นภาระในอนาคต ไม่เป็นภาระแก่กัน มีแต่ประโยชน์แก่กัน
ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับของ เราไม่ต้องอาศัยสัตว์เอามาใช้ในชีวิต เราใช้แต่ พีชะกับอุตุ กับธาตุสสาร ที่เป็นพีชะเป็นพืช จะอาศัยกินใช้อยู่เป็นปัจจัย 4 อยู่ได้ ไม่ว่าจะเป็นอาหารเครื่องนุ่งห่มที่อยู่อาศัย หรือยารักษาโรค อยู่ในนี้หมดแล้ว ไม่ต้องไปรบกวนสัตว์ใดๆเลย
เพราะฉะนั้นผู้รู้ ที่รู้ก็รู้ว่า เรามีสิทธิ์ใช้สิ่งที่เป็นสิทธิ์ของเรา ไม่ว่าจะเป็นอุตุนิยม พีชนิยาม อะไรที่ไม่ใช่สิทธิ์ของเราอย่าไปละลาบละล้วง จะต้องเข้าใจถึงสาธารณะ ถ้าเป็นของสาธารณะจริงๆ ก็อย่าเอามาเป็นของเราทั้งหมด อย่าไปครอบครองสาธารณะ คุณจะใช้ก็แบ่งกันกินใช้ ให้พอเหมาะพอดีอย่าตะกละ อย่าไปขี้โลภ
สมัยโบราณ ข้าวสาลีมันเกิดมา โดยธรรมชาติของมัน ก็เป็นของสาธารณะ คนที่จะกินก็เอามากิน ไม่โลภมากเอามาเป็นของตัวทั้งหมด แบ่งไว้ให้เรากินคนอื่นก็แบ่งไว้ให้กิน ข้าวสาลีมันก็งอกออกมาทัน เหมือนที่คานธีพูดไว้ว่า สมบัติในโลกนี้มีพอกินใช้สำหรับทุกคนในโลก แต่ไม่พอสำหรับคนโลภเพียงคนเดียว
อาตมาได้ประสบความสำเร็จที่ทำสังคมสาธารณโภคีได้สำเร็จลงตัวแล้ว ลงตัวแม้กระทั่ง ทำวัฒนธรรม พฤติกรรม วินัยกฎระเบียบ คนเข้ามาในนี้ อย่างน้อยคนไม่รู้ ก็อาจจะผิดบ้าง คนที่พอจะรู้ก็มาสังเกตพฤติกรรมว่าเขาเป็นอย่างนี้หรือ เขามีกฎระเบียบอย่างนี้ เขาอยู่ร่วมกันทำอย่างนี้หรือ มีพฤติกรรมอย่างนี้หรือ คนเข้ามาอย่างมีภูมิปัญญาก็ไม่มีปัญหา ทำตามวัฒนธรรมของที่นี่ เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม
ในศีลข้อ 2 สรุปว่า ถ้ามันไม่ใช่ของเรา เราไม่มีสิทธิ์ก็อย่าไปถือเอามาเป็นของเรา ปล่อยให้เป็นของกลาง มันเป็นของสาธารณะแล้วก็แบ่งกันกินใช้ อย่าขี้โลภ มันจะเกิดตามธรรมชาติที่มันเกิด อย่างพอกินพอใช้ และยิ่งคนทุกวันนี้ ไม่ใช่แค่ธรรมชาติเกิดเองเท่านั้น คนช่วยให้มันเกิด อย่างชาวอโศก พืช เราก็ช่วยให้มันเจริญอุดมสมบูรณ์เป็นพืชที่ดีไร้สารพิษ มีเนื้อหาสาระของมันเก่งขึ้น เนื้อหาสาระดี มีวิตามิน ดีขึ้นก็ช่วยกัน ก็ยิ่งดี เราก็ยังมีเครื่องอาศัย
ศีลข้อที่ 3 มีอัตภาพตัวตน มีตาหูจมูกลิ้นกายยึดเป็นตัวกูของกู อันนี้แล้วไปติดยึดทางตาต้องเอามาให้กู หูก็ต้องยึดเอามาให้กู ทวารทั้ง5 ไม่มีแล้วก็ใจเป็นตัวตั้งตัวเดียวจะเอาเป็นภพชาติ สารพัดร้อยแปดอยู่ในนี้ ที่จะสมมุติขึ้นมาได้ทั้งนั้น อย่างเหนือความจริงเลย
มันก็พูดกันไม่รู้เรื่อง ต้องมาพูดกันให้รู้เรื่อง อย่าไปวุ่นวายหลงใหลกับอัตตา ไปยึดมันมาทำไมมาก เอามาแต่พอเหมาะ จึงเรียนรู้ที่คุณไม่ควรจะไปติด ในรสที่ควรพอใจหรืออยากพอใจ รสอย่างนี้ก็เป็นตามจริงของ รูปอย่างนี้ก็เป็นรูปตามจริงของมัน เป็นอย่างนี้ก็เป็นตามจริงของมัน เสียงก็เป็นตามจริงของมัน สัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งก็เป็นอย่างนี้แหละเท่าที่ได้ เราก็รู้ว่าตัวเราควรสร้างสิ่งที่ควร อย่างนี้ควรจะอ่อนหรือแข็งควรจะเย็นหรือร้อน ควรจะเป็นเสียงอย่างนี้เป็นกลิ่นอย่างนี้เป็นรสอย่างนี้ เราก็ทำขึ้นมาถ้าจะช่วยทำ ถ้าเราไม่ทำธรรมชาติก็ทำของมันขึ้นมา แล้วคุณก็เลือกเอา รสที่ชอบ กลิ่นที่ชอบ เย็นร้อนอ่อนแข็งตามที่ชอบ ถ้ามีให้เลือก ถ้าคนอื่นเขาเอาไปแล้วเราก็ไม่แย่งกับใคร
ทุกวันนี้เราสบายเราลอยตัวแล้วไม่ไปแย่งกับใคร เราสร้างเอง ธรรมชาติมันเกิดแต่เราช่วยให้มันเกิดมากขึ้น ให้มันเจริญดีเจริญได้เร็ว เจริญให้มาก เราก็เหลือเฟือ มีกล้วยลูกโตมีวิตามินดีมากด้วย
ก็อยู่ที่ว่าเราอย่าไปหลง รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส มันมีของมันตามเป็นจริง เอาที่พอเหมาะพอดีควรได้ ซึ่งมันก็ไม่ขาดแคลน มันก็ไม่ลำบากลำบนอะไร มันก็พอมีเลือกนิดเลือกหน่อยก็ได้แล้ว มันก็สบายแล้ว ยิ่งไม่เลือกเลยเอาตามมีตามได้ เราก็เลือกแต่สิ่งที่มีประโยชน์มากินใช้ของเรา สิ่งที่ไม่มีประโยชน์คุณค่าเราไม่เอามาให้เสียแคลอรี่ จบ
อาศัย ศีล 3 ข้อนี้อยู่อย่างสบาย ชาวอโศกอาศัยศีล 3 ข้อนี้ ได้รู้ความจริงถูกต้องแล้วอย่าเอาไปพูดผิดทางวาจาอย่าเอาไปคิดผิดทางศีลข้อที่ 5
3 ข้อนี้สมบูรณ์แบบแล้ว อยู่อย่างสบายสัปปายะ 4 อาหาร บุคคล สถานที่ ธรรมะ
_0893867 ขอบคุณบุญนิยมด้วยธ.ไลน์ดอกหญ้าฯวิจารณ์คนอื่นใจต่ำลง!วิจัยตัวเองใจสูงขึ้น!
พ่อครูว่า…ถ้าหากวิจารณ์คนอื่นด้วยใจไม่บริสุทธิ์ไม่ดี วิจารณ์คนอื่นได้แต่ต้องมีใจที่ปรารถนาดีมีใจบริสุทธิ์ ต้องวิจารณ์ตัวเองให้ใจบริสุทธิ์ก่อนค่อยไปวิจารณ์คนอื่นด้วยความเมตตาปรารถนาดี(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า…การวิจารณ์คนอื่นหากใจไม่บริสุทธิ์ก็จะเกิดเรื่องไม่ดี พระโพธิสัตว์ท่านวิจารณ์คนอื่นด้วยใจปรารถนาดีท่านใจบริสุทธิ์แล้ว แต่เราเองต้องประมาณต้องระวัง ไม่อย่างนั้นจะเกิดเรื่องขึ้น
พ่อครูว่า…พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าจงทำคุณอันสมควรก่อน แล้วค่อยสอนหรือวิจารณ์คนอื่นจะไม่มัวหมอง ที่มัวหมองคือ ตนเองยังไม่สูงพอจะไปว่าคนอื่น บางคนได้แต่พยัญชนะบัญญัติภาษาสภาวะยังไม่ได้ บางคนได้แต่สภาวะไม่มีภาษาก็พูดไม่ออกอธิบายไม่เป็น
ก็เลยไม่สมประกอบทั้งคู่ ขาหักคนละขา
_เรียม พิมพ์ประสาน ….น้อมกราบพ่อครูค่ะ ลูกเป็นคนนอกอโศกค่ะ..แต่ชอบฟังพ่อครูมากๆค่ะ จนทำให้ลูกไม่ได้เข้าวัดแถวๆบ้านนานแล้ว..ลูกยอมรับบาปอย่างจริงใจ .เพราะยังทำใจเข้าวัดไม่ได้ค่ะ.ปัจจุบันลูกได้ปฎิบัติศีล 5อยู่ค่ะ.แต่ลูกมีครอบครัวแล้ว.การที่ลูกไม่ไปวัดใส่บาตร.จะบาปมากไหมค่ะ..ก็พระท่านยังเดินทับเส้นทางกันไม่ได้เลย..จะให้ลูกทำอย่างไร.หรือลูกไปเพ่งโทษพระท่านจนเกินไป..ยอมรับบาป.แต่ก็ยังกลัวบาปค่ะ..ขอความเมตตาค่ะ..สาธุ
พ่อครูว่า…เอาให้ดี แม้ศีล 3นี้ก็เอาให้ดี การไม่ไปวัดใส่บาตร อาจได้บุญได้กุศลด้วยซ้ำ ทุกวันนี้ควรคว่ำบาตร เช่นกรณีเงินทอนวัด ก็ยังจบไม่ได้ ยังมีเรื่องอื่นอีกร้อยแปดพันประการ ยังชำระกันไม่ได้ง่ายๆ ถ้าจะใส่บาตก็ต้องเลือกพระอีก ใส่แล้วไม่ต้องหวังอะไร ทำทานด้วยใจไม่ต้องหวัง ไม่ต้องสร้างอะไรต่อเลย เห็นควรใส่ก็ใส่ พระจะได้อาหารไปเลี้ยงชีพ ท่านไม่มีหม้อข้าวหม้อแกงไม่มีไปหาอาหารกินเอง ท่านปฏิบัติธรรม
_จากคุณ ห้าจุด….มีบางพุทธสถานของอโศกห้ามมิให้นักเรียนสัมมาสิกขาทานไอศกรีม หากมีผู้ประสงค์จะนำไอศกรีมเข้ามาแจกเด็กๆ ก็ไม่อนุญาต โดนตำหนิ โดยผู้บริหารให้ความเห็นว่า เพื่อสุขภาพในระยะยาวของเด็กๆ
จึงอยากขอแสดงความเห็นว่า หน้าที่ของสมณะควรให้ปัญญา ไม่ใช่การปิดกั้นเช่นนี้ เพราะเด็กที่เรียนในสัมมาสิกขา โดยเฉพาะในตจว. ไม่ได้รับไอศกรีมแจกบ่อยๆหรอกค่ะ
เด็กไม่ได้อยู่ในฐานอยากจะเป็นอนาคามีหรืออรหันต์ ท่านก็ไม่ต้องเคร่งขนาดนั้นก็ได้ค่ะ 55 เพราะคนเราถ้าถูกปิดกั้นมากๆ แค่กินไอศกรีมก็ไม่ได้ เวลาระเบิดมันระเบิดแรงค่ะ
เอาแค่ให้เค้าทานมังสวิรัติบริสุทธิ์ก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับฐานของพวกเขา ไม่อยากให้สุดโต่งมาก เพราะมันจะเกิดผลเสียในระยะยาว และอโศกเราเป็นสายวิปัสสนานะคะ ไม่ใช่สายสมถะ อาหารอะไรมีมาถวายก็ขึ้นศาลาขึ้นโต๊ะไปเถอะค่ะ แล้วให้แต่ละคนใช้สติปัญญาของตัวเองพิจารณา ส่วนพระเถระผู้ใหญ่ก็ให้ปัญญาไป ส่วนใครจะเกิดปัญญาหรือไม่ เมื่อไหร่ ให้อยู่ที่แต่ละบุคคลเถอะค่ะ..พ่อท่านเห็นว่าเช่นไรคะ
คำถามจากคนที่ตอนเป็นเด็กก็ทานไอศกรีม เพราะมันชุ่มชื่นหัวใจ ป.ล. เด็กๆบอกว่า เด็กแค่เป็นโสดาบันได้ก็บุญแล้ว ไม่ได้มาเรียนเพื่อจะเอาอรหันต์ ณ บัดนาว ขอกินไอศกรีมไม่ได้เลยหรือ 555
พ่อครูว่า…เด็กเขาไม่เดียงสา เราต้องจัดให้ คุณก็พูดผิดฐานะของเด็ก เด็กไม่ใช่อยากจะเป็นอนาคามีอรหันต์ก็ใช่ แต่เด็กมันไม่เดียงสาต้องเลือกให้ ต้องให้ถูกประเด็น เอาประเด็นนี้มาอ้างอันนี้จะสลับสับสนกัน
เด็กนั้นเป็นเด็ก เขาไม่สามารถพิจารณาตามสติปัญญาของเด็กที่มีหรอก ผู้ใหญ่ที่ดูดีก็ห้ามปรามได้ จริงๆแล้ว
1.เด็กไม่กินไอศกรีมแล้วตายไหม.. ก็ไม่ตาย
-
มีไอศครีมมาให้กินอยู่บ้างไหม ..ก็มี