610806_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ตอนที่ 3
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1JDIWtr1MoRbYjHNbitKFfAKvHD-v7AEvRxual8yEsrs/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่..https://drive.google.com/open?id=1rLVDiSYn6NwasFYUTckbCwoEctaDZjeS
พ่อครูว่า…วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้ สำมะปี๋ซี่วิต หมายความว่า ปนกันเละเลย ก่อนอื่นขอโอภาปราศรัยกับ sms
_MAS Jan มีคนหนึ่งบอกพ่อท่านว่า ตั้งแต่ฟังพ่อท่านแล้ว ไม่ไปวัดแถวบ้านเลย จริงคะ เป็นอย่างนั้นจริงๆๆๆ บ้านอยู่แถวอุดมสุขคะ
พ่อครูว่า…วัดที่แถวอุดมสุขนี้ดังนะ ตอนนั้น ก็ เรื่องที่ไม่ไปวัดนั้นวัดนี้อาตมาพูดตรงๆ ถ้าเราไม่ไปส่งเสริมผู้ที่ทำผิด มันดีหรือมันชั่ว …ดี เราไม่ไปส่งเสริมอุดหนุนผู้ที่ทำผิดมันเป็นสิ่งดี ถ้าวัดที่เราเห็นว่ามันไม่ถูกต้องตามธรรมวินัย วัดนี้ไม่ได้เรื่องได้ราว เราก็ไม่น่าจะไป เราก็ไปหาวัดที่เข้าท่า วัดที่ทำถูกต้องตามธรรมวินัย เท่าที่หาได้ ที่เรายังมีจารีตประเพณีที่จะได้อาศัย ถ้าจะเอาจริงๆแล้วมาวัดอโศกต่างๆนี่ ชาวอโศกเราไม่ได้เรียกวัดทีเดียว อาตมาก็ที่นี่ ไม่ได้ทำจารีตประเพณีเท่าไหร่
การประกอบจารีตประเพณีเป็นเรื่องบานปลาย คนคิดสร้างขึ้นมาเพื่อหากิน เป็นจารีตประเพณีก็คือพระ พระนั้นตกแต่งปรับปรุงให้เป็นอย่างนั้น ว่าจะได้อะไรต่างๆ ถ้าได้เงินทำบุญวัด เป็นเรื่องของเดียรถีนอกรีตนอกราว ทุกวันนี้ศาสนาพุทธคือศาสนาอาศัยจารีตประเพณีเพื่อหากินเท่านั้น ขอพูดอย่างนี้เลย ไม่ใช่เป็นวัดอาวาสถานที่เผยแพร่ธรรมะ
คนไปวัดทำจารีตประเพณีก็ผิดแล้ว ไปวัดเพื่อทำจารีตประเพณีเสร็จแล้วก็เสร็จ ก็นึกว่าได้ธรรมะได้เรื่องได้ราวได้ศาสนา ได้สิ่งที่ควรได้แล้ว แต่แท้จริงได้เดรัจฉานวิชา ได้สิ่งที่สังคมเบาๆ ติดตัวไป และสำคัญก็คือ ตกเป็นเหยื่อของพระที่อาศัยหากินได้ เป็นเรื่องน่าสังเวชใจ
พูดตรงๆเพื่อจะฉีกหน้า ให้รู้ว่ามันไม่ไหวนะ มันจะต้องรู้และมันจะต้องแก้ไขปรับปรุงกัน ไม่เช่นนั้นไม่กระเตื้องเสียเลยก็ไม่ดี แต่สังคมเป็นแบบนี้ สังคมตาหลิ่วตาเข ไปหมดแล้ว ที่จริงสังคมตามืดตาบอด ก็ไปตามเรื่อง
_3867 ตอนพ่อครูสอนธ.ตถาคตทรงอนุญาตให้ภิกษุสวดสรภัญญะ!น่าจะยกตัวอย่างการสวดเชิงปฏิบัติให้ฟังสักท่อน1! ฟังแต่เชิงทฤษฎีไม่เข้าใจ ?
พ่อครูว่า…ก็สวดให้ดูแล้ว คุณฟังไม่ทัน บรรยายด้วยการยกตัวอย่างแต่คุณฟังไม่ทันเอง
พระพุทธเจ้าอนุญาตให้สวดสรภัญญะ แต่ไม่อนุญาตให้สวดอย่างเป็นทำนองหรือว่าลากเสียงยาว(อายามะ) หรือใส่ทำนองเป็นคีตะ
ลากยาว คือนาาาาโมมมมมตัสสสสสสะะะะะ
ถ้าให้ตรงสารภัญญะคือนะโมตัสสะภะคะวะโต ตรงตามสระ ทีฆสระ รัสสระ ถ้าไปลากก็ผิด แต่ยังไม่ใส่ทำนองนะอันนี้ ลากยาวเฉยๆ
แล้วก็ยังมีลากเสียงยาวและใส่ทำนองด้วย นามัวตัสสสสะ ภะคะวะตัววววววว อร่อยไหม พร้อมเลยมะนาวพริกเหยาะน้ำตาลเสร็จ ดีไม่ดีมีแบบแหล่ แบบแรพด้วย จะเอาจังหวะแบบไหน จังหวะแบบบอลรูม จังหวะบีกินหรือ Tango แย่จริงๆเลย
ที่ปฏิบัติสรภัญญะจริงๆคืออย่างไร อย่างอโศกนี้สวดมาตั้งแต่ต้นคืออย่างไร นะโมตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ หรือแม้แต่สวดพาหุง สหัส สมะภินิมมิตสาวุทันตัง เป็นต้น สำเนียงบาลีเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ เพราะตอนนี้มาเป็นไทยแล้ว สำเนียงลาวจะเป็นอย่างไร? อย่างภาษาอังกฤษสำเนียงลาว Where are you going? (แว่ อ่าร์ ยู้ โก….)
สวดให้ตรงตามรัสสระ ทีฆสระเท่านั้น ไม่ใส่ทำนอง เป็นความรู้ที่ควรรู้ ขยายความไปเยอะแล้ว วิจารณ์วิจัยว่ามันผิดเป็นอย่างไร ยกอ้างตามหลักฐานพระพุทธเจ้าตรัสไว้มีในพระวินัยในพระสูตรก็ว่ากัน เพื่อที่จะให้ชัดเจน จะได้เป็นข้อความรู้ที่ดีบันทึกไว้ ส่วนใครจะปฏิบัติตามแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นและปฏิบัติตามให้ได้ก็ดีอนุโมทนาสาธุ ใครที่สุดวิสัย ทำไม่ได้ ก็เห็นใจ ก็มันผิดอย่างที่ แก้ไม่ได้แล้ว มีผู้ที่เห็นดีจริงๆแต่ก็สุดวิสัยก็เอา พอถึงวาระนี้แล้ว
_สุนงค์ อิทธิไพบูลย์ · กราบนมัสการพ่อครู เป็นบุญยิ่งวันนี้ได้ฟังธรรม จากพ่อครู ได้ความกระจ่างในบางเรื่องที่สงสัยในใจมา.ก็จะบอกในใจตัวเองตลอดว่า ศีลเราคงไม่เสมอเขา เขาจึงไม่เข้าใจในความคิดของเรา เขาคบเรา เราก็เจียมตัวเองตลอด ก็ขอบใจเขามาตลอด ที่เขาลดตัวลงมาคบกับเราดู กราบศรัทธายิ่งพ่อครู สาธุ
_อำภา รื่นใจดี · ลูกกราบนมัสการถามเจ้าค่ะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์คืออะไร ศาสนาพุทธให้ความหมายคำว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างไร สิ่งศักดิ์สิทธิ์เราสร้างขึ้นเอง หรือปรากฏเองโดยไม่มีใครสร้าง จากเหตุการณ์หมูป่าติดถ้ำแล้วช่วยออกมาได้จากความรู้ความเพียรของคน และวัสดุอุปกรณ์ การบริหารจัดการงบประมาณ รวมถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์
(แม้แต่ต่างชาติตะวันตกก็คิดเหมือนคนไทย) แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องหมูป่าคืออะไร เจ้าคะ
พ่อครูว่า…สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ต่างชาติเขานับถือกันทั่วโลก ไทยเราก็มีเหมือนกันแต่ไม่ได้ลบหลู่ เราก็ไม่ได้หลงสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วนะ เราดูในปัจจุบัน ที่จะต้องเข้าใจว่าวันนี้เป็นเอก อันนี้เป็นรอง สิ่งลึกลับพวกนั้นเป็นเรื่องรอง เป็นเช่นนั้น
ก่อนอื่นก็เอาคำว่าศักดิ์สิทธิ์ เขาแปลรวมๆว่า ว่า สูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ จะล่วงละเมิดมิได้ อย่าไปแตะต้อง เป็นเรื่องขลัง ศักดิ์สิทธิ์ในความหมายแบบขลังเช่น มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดูแลคุ้มครองแผ่นดินนี้อยู่ หรือทำงานนี้เป็นงานที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งอย่าไปลบหลู่ดูถูกนะ เป็นต้น
หรือ ศักดิ์สิทธิ์ก็คือเป็นการกล่าวอย่างประกาศิต คนนี้พูดศักดิ์สิทธิ์ เป็นประกาศิตเลย
เราแยกศัพท์ดู คำว่า ศักดิ์ ก็แปลว่า 1.ยศ 2.อำนาจ 3.ความสามารถ 4.เรี่ยวแรง 5.ความอุตสาหะ 6.ฐานะ (เช่นคนนี้มีฐานะเป็นหลาน คนนี้มีฐานะศักดิ์ต่ำกว่าเรา เป็นต้น) 7.หมายถึงคุณวุฒิ 8.ความเชี่ยวชาญ 9.ความช่วยเหลือ 10. ที่พึ่ง
ที่พึ่งที่เป็นวัตถุเลย เช่น หอก หรือหลาวหรือกระบี่ (เป็นการบอกยศศักดิ์)
สิทธิ์ คือ ความสำเร็จ ความสมปรารถนา การบรรลุมรรคผลจริง ความเจริญ สรุปก็คือความสำเร็จเรื่อง หรือสิทธิ์ หมายถึงอำนาจอันชอบธรรม เช่นเรามีสิทธิ์นะ หรือลิขสิทธิ์
สิทธิ์ทางด้านการเมือง สิทธิ์พื้นฐาน สิทธิ์หน้าที่พลเมือง การได้รับการศึกษา สิทธิ์ ชาวอินเดียเขามีสิทธิ์จะอุจจาระที่ไหนก็ได้เป็นเรื่องของเขา แต่เมืองไทยไม่ได้เป็นมารยาทสังคม
ปู่เถาว์…ถ้าคำว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในความหมายของ ไอน์สไตน์ได้กล่าวถึงพลังงานแห่งความรัก พลังงานความรักเป็นพลังงานที่ยิ่งใหญ่และครองโลก อย่างนี้ใช้ได้ไหม
พ่อครูว่า…ได้
_วาส ทองจันทร์ · กราบนมัสการพ่อครูครับ ผมติดตามชมรายการที่พ่อครูแสดงทุกรายการครับ วันไหนลืมดูสดก็จะไปตามดูที่ยูทูปครับ
พ่อครูว่า…ที่อาตมาทำงานอยู่ทุกวันนี้ เวลาที่มีควรจะทำอะไรที่มันมีประโยชน์ กรรมกิริยาของเราควรมีประโยชน์ แม้แต่เราหายใจออกหายใจเข้า ก็น่าจะเป็นประโยชน์ ถ้าหายใจออกหายใจเข้าไม่มีประโยชน์ ไม่ดี เพราะฉะนั้นมันจะเสียสุขภาพใช่ไหม ถ้าหายใจออกหายใจเข้าที่ไม่ดี เช่น หายใจออกหายใจเข้าในที่ที่มีแก๊สพิษ ก็ตาย หายใจออกหายใจเข้าในที่ที่ไม่ควรหายใจอย่างนั้น ที่มีเชื้อโรค ก็ไม่ควร จะได้รับเชื้อโรคไปตามอากาศได้
แม้แต่หายใจออกหายใจเข้าก็ต้องสังวรระวัง ว่าเราควรจะหายใจออกหายใจเข้าอย่างไรดี ผู้ที่เรียนรู้ลมหายใจเข้าออก ก็จะมีการมีสติ ใช้การกระทบรู้เพื่อทำให้เกิดสมถะแล้ว การหายใจออกหายใจเข้าที่อยู่ในบรรยากาศในที่ที่ควรจะทำก็เป็นประโยชน์
กรรมทุกกรรมตั้งแต่กระพริบตา บางทีก็กระพริบตาในที่ที่ไม่ควรกระพริบตา ทุกอย่างอะไรที่เคลื่อนไหวในตัวเรา ที่เราจะกระทำ กิริยาต่างๆ ล้วนแล้วแต่เป็นกรรมกิริยา ที่ดีและไม่ดีได้ทั้งนั้นเลย ถ้าจะว่าไปแล้ว ดีหรือไม่ดีบางอย่างเป็นโทษภัยต่อสุขภาพ เป็นโทษภัยต่อสังคม เป็นโทษภัยต่ออะไรต่างๆนานา เราก็ควรจะต้องศึกษา
เข้ามาสู่ สำมะปี๋ซี่วิต…
_ดญ.แก้วบุญ…หลวงปู่มีศีลกี่ข้อ…
พ่อครูว่า…ถามล้วงความลับเลย หลวงปู่นี้ได้ปฏิบัติธรรมมา หลวงปู่ถือศีล จุลศีล 26 ข้อ มัชฌิมศีล 10 ข้อแล้วก็มหาศีลอีก 7 ข้อ หลวงปู่บวชมาก็มีศีลมาตลอด
มหาศีล 7 ข้อนี้อันสุดท้าย นี้เป็นหมวดใหญ่ มหาแปลว่าใหญ่ มัชฌิมแปลว่ากลาง จุลแปลว่าเล็ก
เดี๋ยวนี้ภิกษุทั้งมหาเถรสมาคมไม่ถือมหาศีลเลย ในมหาศีล เป็นสิ่งที่ให้งด เป็นเดรัจฉานวิชาในศาสนาพระพุทธเจ้าจะไม่มีเลย ถ้าจะถือจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ต้องไม่มี แต่เดี๋ยวนี้ศาสนาล้มเหลวเละเทะเสียหายไปหมดแล้วเต็มไปหมด เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่ศาสนาพุทธ
ศาสนาพุทธไม่มีเดรัจฉานวิชาไม่มีไสยศาสตร์อย่างเคร่งครัด เพราะว่ามันเป็นเรื่องทำลายศาสนา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาอเทวนิยม คือศาสนาที่ไม่ได้ถือที่พูดเมื่อกี้คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่บันดลบันดาลไม่ใช่ถือเอากรรมเป็นเรื่องใหญ่ ที่จะบันดาลเป็นเรื่อง God เป็นเรื่องใหญ่ ส่วนพุทธนั้นไม่เอา God การนับถือกรรมเป็นเรื่องใหญ่
ในมหาศีล ให้ชัดเจน จะอ่านข้อที่ 1 กับข้อที่ 7
1.พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้คือ ทายอวัยวะ ทายนิมิต(คือทำเครื่องหมาย) ทายอุปบาต ทำนายฝัน ทำนายลักษณะทำนายหนูกัดผ้า ทำพิธีบูชาไฟ ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ทำพิธีซัดแกลบบูชาไฟ ทำพิธีซัดรำบูชาไฟ ทำพิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ ทำพิธีเติมเนยบูชาไฟ ทำพิธีเติมน้ำมันบูชาไฟ ทำพิธีเสกเป่าบูชาไฟ ทำพลีกรรมด้วยโลหิต เป็นหมอดูอวัยวะ ดูลักษณะพื้นที่ ดูลักษณะที่ไร่นาเป็นหมอปลุกเสก เป็นหมอผี เป็นหมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน เป็นหมองู เป็นหมอยาพิษ เป็นหมอแมลงป่อง เป็นหมอรักษาแผลหนูกัดเป็นหมอทายเสียงนก เป็นหมอทายเสียงกา เป็นหมอทายอายุ เป็นหมอเสกกันลูกศร เป็นหมอดูรอยเท้าสัตว์ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง
แต่เดี๋ยวนี้เบี้ยวแล้วว่าอยู่ไหน ก็อยู่ในพระไตรปิฎกนี่ไง ถ้าไม่มีในพระไตรปิฎกอาตมาเสร็จเลย
7.พระสมณะโคดมเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิด(แปลความว่าให้คนได้ติดยึดขี้หมูขี้หมาเอาขี้หมูขี้หมามาให้คนที่เขาเอาโภชนะเอาข้าวเอาน้ำมาให้กิน) ด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้คือ ทำพิธีบนบาน ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือน ทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่าย ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องบน ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องล่าง ปรุงยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตา ปรุงยานัตถุ์ ปรุงยาทากัด ปรุงยาทาสมาน ป้ายยาตา ทำการผ่าตัด รักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล
อาตมาเคยสะกดจิต ให้คนลืมตาแล้วมองไม่เห็นสิ่งของที่อยู่ตรงหน้าเราได้ ร่ายมนต์คือมีลักษณะเช่นนี้ จะให้เป็นอย่างไรก็ได้ ไม่ให้ได้ยินเสียงไม่ได้เห็นด้วยตาไม่ได้ยินด้วยหู ไม่ได้รู้ด้วยกลิ่นได้เลย ไม่รู้รสด้วยลิ้น สะกดจิตเสร็จแล้ว เอาพริกให้กินเขาก็กินพริกได้เฉยๆ คำสะกดจิตบอกว่าของนี่แหละหวาน พริกนี่แหละหวาน เขาก็จะหวาน อาตมาได้เคยทำมาแล้ว
การรดน้ำมนต์ไม่มีในศาสนาพุทธนะ มาทำบุญทำทานกันแล้วพระก็จะให้รดน้ำมนต์ ก็ถือว่าได้อะไรกลับไปบ้านแล้ว
เรื่องยาต่างๆ ถ้าในยุคนี้คงจะเขียนชื่อยาเต็มไปหมด…หมดหน้ากระดาษเลย นี่ไปเอายาจากทั่วโลกมาลง แค่นี้ไม่พอหรอกชื่อยา ยาสารพัด อาตมาอยู่ใกล้หมอพยาบาล เดี๋ยวเขาก็พูดว่าอย่างนั้นอย่างนี้เขาก็รู้หมด เขาพูดด้วยกัน มันชื่อฝรั่งทั้งนั้น อาตมาก็ฟัง แล้วเขาจำชื่อยายี่ห้อต่างๆได้ พยาบาลกับหมอรู้กัน ก็จะมีเป็นยุคไป เมื่อเป็นยุคต่อไปมียาใหม่ก็ต้องจำอีก
สมัยนั้นก็มีผ่าตัด ใส่ยาชะแผล แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง
น่าสงสารศาสนาพุทธนั้นเดี๋ยวนี้ไม่มีศีลเลย แล้วจริงที่สุด เดี๋ยวนี้นอกจากมหาศีลมัชฌิมศีล ก็คลุมเครือ มัชฌิมศีลก็คือเดรัจฉานกถา จุลศีล ก็มีซึ่งก็ยังติดมาอยู่บ้าง
-
ไม่ฆ่าสัตว์ 2. ไม่ลักทรัพย์ 3. ไม่เป็นข้าศึกแก่กุศล ก็มีคำความขยาย แต่ทุกวันนี้มาย่นย่อลง ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดเท็จ ไม่ดื่มน้ำเมา
แต่ในจุลศีลมี
-
พระสมณโคดม ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์วางทัณฑะ วางสาตรา มีละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณาหวังประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวงอยู่.
-
พระสมณโคดม ละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ รับแต่ของที่เขาให้ ต้องการ แต่ของที่เขาให้ ไม่ประพฤติตนเป็นขโมย เป็นคนสะอาดอยู่.
-
พระสมณโคดม ละกรรมเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติห่างไกล เว้นจากเมถุน ซึ่งเป็นเรื่องของชาวบ้าน.
-
พระสมณโคดม ละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จพูดคําจริง ดํารงคําสัตย์ มีถ้อยคํา เป็นหลักฐาน ควรเชื่อ ไม่พูดลวงโลก.
-
พระสมณโคดม ละคําส่อเสียด เว้นขาดจากคําส่อเสียดฟังจากข้างนี้แล้วไม่บอกข้างโน้น เพื่อให้คนหมู่นี้แตกกัน หรือฟังจากข้างโน้นแล้วไม่บอกข้างนี้ เพื่อให้คนหมู่โน้นแตกกัน สมานคนที่แตก กันแล้วบ้าง ส่งเสริมคนที่พร้อมเพรียงกันแล้วบ้าง ชอบคนที่พร้อมเพรียงกัน ยินดีในคนที่พร้อมเพรียงกัน เพลิดเพลินในคนที่พร้อมเพรียงกันกล่าวแต่คําที่ทําให้คนพร้อมเพรียงกัน.
-
พระสมณโคดม ละคําหยาบ เว้นขาดจากคําหยาบ กล่าวแต่คําที่ไม่มีโทษ เพราะหู ชวนให้รัก จับใจ เป็นคําของชาวเมือง คนโดยมากรักใคร่ ชอบใจ.
-
พระสมณโคดม ละคําเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคําเพ้อเจ้อพูดถูกกาล พูดคําจริง พูดอิงอรรถ พูดอิงธรรม พูดอิงวินัย พูดคํามีหลักฐาน มีที่อ้าง มีที่กําหนด ประกอบด้วยประโยชน์ โดยกาลอันควร.
-
พระสมณโคดม เว้นขาดจากการพรากพืชคามและภูตคาม.
-
พระสมณโคดม ฉันอาหารหนเดียว เว้นการฉันในราตรี งดการฉันในเวลาวิกาล.
-
พระสมณโคดม เว้นขาดจากการฟ้อนรําขับร้องประโคมดนตรี และดูการเล่นอันเป็นข้าศึก.
พ่อครูว่า…อาตมาก็แต่งเพลง แต่เพลงของอาตมาเป็นโลกุตระ อาตมาแบ่งเพลงออกเป็น 5 ระดับ
-
ลามก 2. ราคะ 3. สาระ 4. ธรรมะ 5. โลกุตระ
ลามกคนรู้ง่าย แต่ราคะ ถ้าสิ่งใดสื่อออกไปแล้วคนเกิดกามราคะเพิ่มขึ้นอันนั้นไม่ใช่ศิลปะเป็นราคาเป็นลามก แต่ถ้างานใดสื่อไปแล้วทำให้คนรอบแล้วเกิดกิเลสลดลงเรียกว่าเป็นศิลปะ ถ้าทำให้กิเลสเพิ่มเรียกราคะหรือลามก
ถ้าสาระมันก็ไม่ใช่ศิลปะเรียกว่าสารคดี เป็นวิชาการเป็นเรื่องราวสาระ ถ้าศิลปะต้องมีสองอย่าง ต้องมีสุนทรียศิลป์กับสารศิลป์
สุนทรียะศิลป์ประกอบไปด้วยสาระเช่นวรรณกรรม ประติมากรรม Music and Drama ก็ต้องมีสิ่งประกอบในนั้น เหมือนกับยา สาระของมัน คือสิ่งที่เอาไปรักษาโรค แต่บางทีมันกินยาก เขาก็ใส่น้ำตาลเข้าไปนิดหน่อย สิ่งนั้นคือสุนทรี หรือใส่สีบ้าง เป็นต้น ประกอบไป
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นสุนทรีนี่มีนิดหน่อย สิ่งที่ประกอบชี้ชวนให้พอจะได้รับสาระนั้น ถ้ามีแต่สาระเต็ม เขาเรียกว่าเป็นเนื้อแท้แก่นสารของมันเต็มๆไม่ใช่ศิลปะ ศิลปะต้องมี 2 อย่างประกอบกัน
ศิลปะคือสิ่งที่ประกอบด้วยสาระให้เกิดผล เพราะฉะนั้นศิลปะคืองานที่สัมผัสแล้วเกิดสาระขึ้นมา แล้วมันชี้ชวน ถ้าจะไปสุนทรีย์แล้วเป็นสิ่งที่เชิญชวนของเชิญชวน ให้มาสัมผัสไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ทุกวันนี้ไปหลงเรื่องใหญ่ คือสุนทรีย แต่สาระไม่มี ไม่พูดว่างานที่เราทำนี้ต้องการ Interest Point Essence ของคุณคืออะไรมนุษย์ไปสัมผัสงานของคุณแล้วเกิดประโยชน์อะไรเป็นประโยชน์เป็นเนื้อแท้เป็นสาระ ก็ไม่รู้ เอาแต่ชวนให้ดู ให้รู้สึกถึงให้รู้สึกพิเศษ แล้วก็หลงด้วยเปลือกเทคนิควิธีการสีสัน องค์ประกอบลีลาเท่านั้น ที่เป็นศิลปะ สูญหมดเลย เพราะฉะนั้นก็ฟุ้งซ่านไป
ยุโรปกลางตะวันตกนี่แหละเขาไม่รู้จักศิลปะ แต่ศาสนาพุทธเรารู้จักศิลปะ พระพุทธเจ้าตรัสว่าศิลปะเป็นมงคลอันอุดม ศิลปะคือสิ่งที่จะนำไปสู่สิ่งสูงสุดคือนิพพาน
ลามก ราคะ สาระ ก็ยังไม่ใช่ศิลปะ
ธรรมะ ที่จริงก็ยังไม่ใช่ศิลปะ แต่ยังอนุโลมว่าเริ่มมีสาระที่มีองค์ประกอบที่จะทำให้เกิดคุณค่าความดีงาม ประกอบกับสาระขึ้นมา ถ้าเป็นสาระที่เป็นวิทยาศาสตร์สาระที่เป็นคุณธรรมก็เป็นธรรมะขึ้นมา ธรรมะจึงยกขึ้นมาสูงกว่าสาระและวิทยาศาสตร์
อันสุดท้ายคือ โลกุตระ
อาตมาเป็นคนกำหนดเอง ไม่มีใครมาบัญญัติหรอก ว่า อาตมามีความรู้ทางศิลปะและก็พยายามปฏิบัติศิลปะตามที่อาตมาเข้าใจ
อาตมาวิจารณ์ศิลปะหลายอย่าง ที่เอามาหลอกล่อกันขายให้แพงๆ บ้าหลอกขายกัน งมงายติดยึดในเทคนิค ฝีมือวิธีการสร้าง Concept หลอกล่อไว้เป็นวิมาน มีชื่อศิลปะสารพัดเลย ศิลปะที่เกินจริงศิลปะที่เป็นนามธรรมอะไรของเขาเยอะแยะ เขาก็ว่าของเขาไปมหาศาล เป็นชื่อภาษาฝรั่ง อาตมาขี้เกียจจำ
อาตมาใช้ศิลปะในการทำงานการแสดงออก สุ้มเสียงสำเนียงเป็นศิลปะคำพูดภาษา ให้มันได้ประโยชน์ให้มันได้ผลดี นัจจะ คีตะวาทิตะ เป็นศิลปะ คนจะเข้าใจหรือไม่ก็ตามแต่ จะมายืนยันว่าได้เป็นศิลปินดำเนินงานตามศิลปะ
_จะลดกิเลสได้อย่างไรคะ
พ่อครูว่า…ฟังดีๆ ลดกิเลสคือ ต้องพยายามอ่านใจของเรา กิเลสมันจะอยู่ในใจ แล้วมันก็ออกมาทางกายกรรม วจีกรรม กิเลสมันเกิดจากจิตที่เรียกว่าอกุศลจิต อ่านอกุศลจิตที่เกิดให้ดี จิตมันเป็นโทสะเป็นราคะ ต้องเข้าใจให้ได้ว่า อาการที่เป็นราคะ อาการนี้เป็นโทสะมันเป็นอาการอย่างไร นั่นแหละคือตัวกิเลสแล้วอย่าให้มันเกิดในใจเรา
ถ้ามันเกิดมาอย่างน้อยเราก็ข่มมันไว้ 2 เรียนรู้กิเลสมันเกิดในใจเรา เราจะต้องเห็นว่ากิเลสมันเป็นตัวผีเป็นตัวหลอก มันไม่มีของจริงมันไม่มีตัวตน แต่คนนี้โง่ ไปติดใจแล้วไปมีมาไม่รู้กี่ชาติติดยึดมา เพราะฉะนั้นเราต้องรู้ว่ามันไม่ใช่ตัวจริง มันเกิดบันดาลราคะ โทสะ เมื่อไหร่เราเรียกด้วยศัพท์ว่ากิเลส เมื่ออ่านอาการนี้ออกเราก็บอกมันว่า มันเป็นผีหลอก อย่ามาหลอกข้า ข้าไม่เชื่อเอ็ง อย่ามามีอำนาจกับข้า ต้องคิดอย่างนี้เห็นอย่างนี้เลย แล้วมันก็ไม่เที่ยง สู้มันปั๊บ มันก็หายไป มีสติรู้ว่ากิเลสเกิดในใจเรา เราก็ชี้หน้ามันเลยอย่ามาหลอกเรา แล้วมันจะไป ใช้ปัญญารู้ว่า หน้าอย่างนี้มาหลอก เราจะเห็นหน้าผีสารพัดลีลาต่างๆ เราก็จะรู้ทัน อาการราคะ อาการโทสะ แล้วมันก็จะไม่เกิดที่เรามันจะหายไปทำอย่างนี้แหละ ทำให้กิเลสหมด
_ด.ญ.น้ำผึ้งถาม…คำว่าแพ้เป็นพระชนะไม่เป็นสมณะคืออย่างไรคะ
พ่อครูว่า…ผู้ที่แพ้จะได้เป็นผู้ประเสริฐคือคำว่าพระ รู้จักแพ้ให้ได้ อย่างหลวงปู่นี้เคยแพ้มาหนัก ยอมเป็นผู้แพ้มาตลอด แต่ไม่เป็นผู้ผิด พยายามเรียนรู้ว่าสิ่งไหนผิดอย่าให้ผิด แต่ถ้าแพ้ไม่ได้แพ้เลย ผู้แพ้เป็นผู้ประเสริฐ เพราะคนเราไม่อยากจะแพ้หรอกอยากจะเอาชนะทั้งนั้น เพราะฉะนั้นชนะนี้เป็นตัวผี เรายอมแพ้เสีย ให้ผีมันชนะไปเถิด ผู้แพ้ได้เป็นพระผู้ประเสริฐ
ชนะไม่เป็นสมณะ ผู้ใดที่เอาแต่ชนะเขา ผู้นั้นก็ไม่ใช่พระ ไม่ใช่ผู้ประเสริฐ สมณะก็คือผู้ประเสริฐ สมณะก็คือพระ คือผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบลดกิเลสเป็นผู้เจริญ เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่เอาแต่เอาชนะคะคานใคร ก็คล้ายๆกับเป็นผู้แพ้ ไม่เอาชนะนี่แหละคือผู้เป็นสมณะ ผู้ใดที่ไปเอาชนะคะคานเขาอยู่ ไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นพระภิกษุ ไม่เป็นผู้เจริญ
_ถ้าเกิดเราไม่ชอบผู้ใหญ่คนหนึ่ง ไม่ชอบแบบสุดๆ แต่มีเหตุจะต้องไปอยู่ใกล้ๆ จะทำอย่างไรคะ
พ่อครูว่า…เราต้องวางใจ ทำอย่างนี้เจอหลายคน ก็จะเป็นอยู่ เราต้องอยู่กับผู้ที่ไม่ชอบสุดๆ เราต้องตั้งใจเลย แล้วเราจะทำใจอย่างไร เราจำเป็นแล้ว เข้ามาอยู่ที่นี่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เราก็ต้องอยู่ ทำอย่างไร ก็หัดวางใจ จะไปห้ามผู้ใหญ่ไม่ให้เขาเป็นอย่างนั้นไม่ได้ แล้วจะไปสอนเขาหรือ เราเป็นเด็ก ก็ยิ่งไม่ได้ใหญ่ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องจำนนต้องยอม แล้วก็ดู ใช้วิจารณญาณใช้ความคิดความรู้ของเรา ท่านทำอย่างนี้ ถูกหรือไม่ถูกเราก็ตรวจสอบตามตำรา ตรวจสอบกับผู้ที่รู้ ว่าอย่างนี้มันถูกไหม อย่างนี้มันดีไหม ถ้าเผื่อว่าผู้ใหญ่บอกว่าเราเข้าใจผิดผู้ใหญ่ทำถูก เราก็จะได้รู้ว่าเราเข้าใจผิด เพ่งโทษท่าน เราก็จะได้วางใจ
แต่ถ้าไปบอกผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่อธิบายว่าท่านทำถูก ทำอย่างนี้เราไม่ชอบ เราก็รู้ว่าเรานี้ทำผิดผู้ใหญ่ทำถูก ไปหาผู้ใหญ่ที่เราเคารพนับถือ ผู้ใหญ่คนนี้ทำอย่างนี้กับเรา เราก็สงสัยว่ามันถูกหรือผิด ก็ไปถามผู้ใหญ่อีกคน ผู้ใหญ่อีกคนบอกว่าอย่างนั้นน่ะถูก แล้วไม่ตรงกับที่เราเข้าใจ เราก็ผิดเราก็แก้ไขสิ
ถ้าผู้ใหญ่บอกว่าอย่างนั้นมันผิดมันก็เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ใครทำผิดมันก็เป็นกรรมของคนๆนั้น ใครทำก็กรรมของใคร ก็แล้วไป เราไปแก้ไขผู้ใหญ่ไม่ได้ สอนผู้ใหญ่ไม่ได้ ก็ยอม ท่านจะเป็นอย่างนั้นก็ต้องปล่อย เป็นความซวยของผู้ใหญ่
_ด.ญ.น้ำผึ้งถามว่า หนังสือสัจจะชีวิตเล่ม 5 จะมีไหมคะ
พ่อครูว่า…เป็นเด็กที่อ่านหนังสือที่มีสาระมีธรรมะ แทนที่จะไปอ่านการ์ตูน เป็นเด็กที่มีบารมี สมัยพระพุทธเจ้ามาบวชตั้งแต่ 7 ขวบก็เป็นพระอรหันต์ได้ก็มีเยอะแยะ มาบวชเอง ดีไม่ดีบางทีพ่อแม่จับมาบวชก็ได้ แต่สมัยนี้ มันไม่มีพระอาริยะจริงแล้ว ก็ขอยืนยันว่า อโศกนี่แหละมีพระอาริยะจริง อโศกสร้างพระอาริยะจริง ให้เข้าใจ เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ พูดตรงๆเลย พูดเต็มๆตรงๆ เราต้องพูดความจริงด้วยสัจจะ ไม่อย่างนั้นเสียเวลาพูดไม่ตรง
ที่พูดนี้ไม่ได้หมายใจให้ไปข่มอวดคนนั้นคนนี้ว่าคนนั้นคนนี้ แต่พูดสัจธรรมพูดสิ่งที่จริงเท่านั้นเอง
_ด.ญ. น้ำมนต์ เด็ก 7 ขวบเป็นอรหันต์ในสมัยพุทธกาลได้อย่างไรคะ
พ่อครูว่า…สมัยที่พระพุทธเจ้าสร้างศาสนา คนที่เกิดร่วมกับพุทธเจ้าจะต้องเป็นคนมีบารมี หมายความว่าได้เป็นสิ่งที่สูงส่งสั่งสมใส่ตัวเองมาเยอะ เพราะฉะนั้นเมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในยุคนั้น ก็จะต้องมีคนที่มีบารมีคนที่จะรับธรรมะพระพุทธเจ้าได้เกิดมา เป็นเรื่องอจินไตยและเป็นเรื่องจริงที่จะต้องเกิด เรื่องจริงต้องมีครบมีสิ่งที่เป็นจริงได้ ไม่อย่างนั้นก็สร้างศาสนาไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะต้องมีคนที่มีคุณธรรมที่เป็นพุทธ และพุทธที่ถูกต้องด้วย แต่ยังไม่มีคนมาชี้ว่าอย่างนี้เป็นพุทธอย่างนี้ไม่ใช่ พูดอย่างนี้ภาษาเป็นชาวพุทธ แต่ที่ปฏิบัตินั้นผิดเพี้ยนไปก็ไม่ใช่ ท่านจะได้มาแจกแจง
ผู้ที่มีบารมี แม้แต่เด็ก 7 ขวบเกิดมาก็มีบารมีแล้ว อย่างเช่นพระพุทธเจ้าเมื่อประสูติออกมาคนก็ทำนายว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า จะเป็นเจ้าของศาสนาพุทธ ผู้ที่ทำนายที่ทำมาถูกต้องเลย มีพราหมณ์ 6 คนทำนายสองคติ เป็นพระมหาจักรพรรดิกับเป็นพระพุทธเจ้า ส่วนโกณฑัญญะนั้นทำนายว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างเดียว นั่นแสดงว่า พระพุทธเจ้ามีบารมีตั้งแต่ชาติก่อนแล้ว เพราะฉะนั้นคนอื่นจะอายุน้อยหรือมากก็มีบารมีตามความจริงที่ท่านมี ในแต่ละคนๆ เพราะฉะนั้นอายุ 7 ขวบ ก็มีบารมีมาแสดงตัวเป็นอรหันต์เลย เพราะมีบารมีมาเก่า มีได้อย่างไรก็สั่งสมบารมี
อย่างหลวงปู่ สั่งสมมีบารมีเก่า เป็นพระโพธิสัตว์ที่สั่งสมบารมีมาเยอะ มาชาตินี้ก็เอามาประกาศมายืนยันแสดงปรับปรุงแก้ไขสิ่งที่ผิด หลวงปู่ก็ได้มาจากเก่าก่อน ที่สั่งสมมาแล้วมีของจริง บารมีคือของจริงที่ได้สั่งสมมา
ถ้าสั่งสมสิ่งที่ไม่ดีเรียกว่าสันดาน ถ้าสั่งสมจริงที่ดีเรียกว่าบารมี
_ด.ญ.น้ำมนต์ถาม…ทำไมคนต้องถือสากันด้วยคะ
พ่อครูว่า…พวกเราชอบใช้ภาษาตอบ เพราะเขาไม่ถือศีล
เขาถือสากันเพราะเขาไม่ถือศีล ถ้าถือศีลก็จะไม่ถือสา
เขาไม่มีศีลก็เลยไม่รู้ว่าจะปฏิบัติกันอย่างไร ถ้าเขาถือศีลซะก็จะเข้าใจไม่ถือสา
เช่น ถือศีลข้อที่ 1 กับสัตว์กับคนก็จะไม่ไปทำร้ายกัน
ศีลข้อที่ 2 ไม่เอาของที่ไม่ใช่ของของเรา อย่าไปแตะต้องของๆเขา
ศีลข้อที่ 3 เรามี ตา หูจมูก ลิ้น กาย ใจ สัมผัส เราก็จะเรียนรู้ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส แล้วก็มาปฏิบัติธรรม จะได้ลึกซึ้งขึ้นไป สัมผัสทางรูปแล้วเกิดกิเลส สัมผัสทางเสียงทางกลิ่นทางรส ก็จะรู้จักวิธีลดกิเลส
ศีลข้อ 4 เกี่ยวกับวาจา ศีลข้อที่ 5 เกี่ยวกับจิตใจ
จะเป็น จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ก็ตาม
จุลศีล 26 ข้อ ไม่พรากพืช ฉันหนเดียว ไม่ฟ้อนรำ ไม่นั่งที่นอนใหญ่โตหรูหรา ไม่รับเงินรับทอง ไม่รับธัญญาหารดิบ เช่น ข้าวสารอาหารแห้งใส่บาตรไม่ได้ ผิดศีลข้อนี้ เพราะว่ามันเป็นอาหารดิบ มาบวชแล้วมาปรุงแต่งอะไรไม่ได้ เอามาก็ เด๋ออย่างนั้น ข้าวสารอาหารแห้งกินก็ไม่ได้มันยังไม่สุก แต่เดี๋ยวนี้ผิดไปหมดไม่ได้รู้จักศีลเลย
ไม่รับเนื้อดิบ อันนี้คนก็หยิบไปแง่เชิงว่า ไม่รับแต่เนื้อดิบ
เว้นขาดจากการรับสตรีกุมารี เพราะฉะนั้นอย่ารับมาเพื่อให้เป็นคนที่เราต้องรับผิดชอบมาเป็นลูกศิษย์ มาเป็นผู้ที่จะต้องดูแลรับผิดชอบไม่ได้ ภิกษุเป็นผู้ที่เว้นขาดหมดแล้ว แม้แต่โภคขันธาปหายะ ญาติปริวัตตังปหายะ แม้แต่ญาติ พ่อแม่พี่น้องลูกหลานก็ตัดขาด สมบัติก็ตัดขาด เพราะฉะนั้นผู้หญิงผู้ชายหรือสตรี เด็ก ทาส ทาสีทาสา เขาจะมาอย่างไม่ใช่ทาส เขาจะมาก็คือเขาจะมาศึกษา จะเป็นเด็กเป็นผู้ใหญ่ทั้งหมด กุมารีกุมารา หรือจะเป็นใครก็ตาม เขาก็มาของเขาเอง เราก็ให้ธรรมะ ไม่ผูกพันไม่เป็นญาติ ไม่ไปผูกพันเป็นพี่น้องที่จะต้อง รับผิดชอบ ต่างคนต่างมาศึกษา อย่างพวกคุณมาด้วยอิสระเสรีภาพมาเอง เป็นฆราวาสไม่อยู่ในกฎเกณฑ์นี้ก็เป็นพี่น้องทางธรรมกัน
เว้นขาดจากการ
-
พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับแพะและแกะ.อันนี้เอามาใช้ส่วนของมันเช่น นม ขน
-
พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับไก่และสุกร. อันนี้เอาไว้กินเนื้อมัน
-
พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับช้าง โค ม้า และลา อันนี้เอามาใช้แรงงานเพื่อประโยชน์ตน
เราต้องไม่เอาสัตว์มาที่เราจะเป็นประโยชน์จากมัน ไปเอากินเนื้อกินหนังหรือเอาแรงงานมันก็ไม่เอาทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นแม้จะมีประโยชน์อย่างนี้ท่านก็ไม่รับ สัตว์ที่ไม่ควรจะเอามาใช้ประโยชน์เลยแต่คนไปรับเลี้ยงมัน เลี้ยงนกเลี้ยงหนู เลี้ยงสิ่งที่เอ็นดู ผิดหมดเลยยิ่งไกลไปใหญ่เลย ขนาดสัตว์ที่เป็นประโยชน์ท่านยังห้าม เพราะฉะนั้นสัตว์ที่ไม่เป็นประโยชน์ได้แก่อะไรก็ไม่รู้เป็นภาระ แล้วก็ไประเริงผูกพันกับสัตว์อีก เลี้ยงสารพัดจิ้งจกตุ๊กแกก็เลี้ยงไปหมด หาสัตว์แปลกๆมาเลี้ยง
สัตว์ทุกสัตว์เกิดมาตามวิบากของมันไปตามวิบากของใครของใคร เราเองเป็นคนผ่านวิบากสัตว์ต่างๆ มีวิบากร่วมกันอย่างไม่รู้มาก เยอะแยะไปหมดเลย เช่นพระพุทธเจ้าตรัสว่า เราเกิดมากับสัตว์ต่างๆในโลกนี้ ไม่มีสัตว์ตัวใดที่ไม่เคยเกิดมาเป็นพ่อแม่เป็นลูกเป็นหลานของเราเลย เพราะฉะนั้นสัตว์ต่างๆก็คือมันจะวนเวียนมาเป็นลูกมาเป็นสัตว์ อยู่อย่างนั้นตลอดเวลา พ่อแม่เราตายก็มาเป็นสัตว์ตัวนี้ ปู่ย่าตายาย ก็เป็นสัตว์ตัวนี้ มันสัมผัสสัมพันธ์กันโดยเราไม่รู้เลย เพราะฉะนั้นยังจะเอามากินเอามาฆ่าก็ไม่ควร พระพุทธเจ้าก็บอกให้เลิกให้เขาไปตามวิบากของเขา
สัตว์เดรัจฉานก็ปล่อยไปตามวิบากเขา แต่ถ้าเป็นวิบากคน เราก็มีวิบากร่วมกันมาทั้งรักทั้งชัง
16 ปีแห่งความหลัง ทั้งรักทั้งชัง
เยอะแยะมาไม่รู้กี่ชาติ แค่นี้คุณก็จัดการวิบากของคุณให้เสร็จเถิด
สรุปแล้วสัตว์ใดๆก็แล้ว โดยเฉพาะคน ศึกษาวิบาก ศึกษาสิ่งที่เราจะอยู่ร่วมกัน ทำประโยชน์แก่กัน บอกแก่กันและกันได้ก็คือคน คนก็ยังมีเวไนยสัตว์ ที่ยังสอนได้ ส่วนที่เป็นอเวไนยสัตว์สอนอย่างไรก็ไม่รู้เรื่อง ก็ต้องปล่อยเขา สุดวิสัย เราสอนคนจำนวนหนึ่งที่สอนกันได้
อาตมาเกิดมาชาตินี้ที่จะสอนกันรู้เรื่องพูดกันได้ก็มีเท่านี้ ทั้งๆที่เมืองไทยมีจำนวน 70 ล้านคนแล้ว แต่ละวันแต่ละวัน บางทีก็ไม่ถึง 70
_คุณร้อยร่มบุญ…เกิดมาชาตินี้รู้สึกซาบซึ้งประทับใจที่ได้เป็นลูกหลานหลวงปู่ แต่ก่อนเราเป็นคนไม่มีศาสนา ปฏิเสธศาสนาอย่างรุนแรง แล้วก็เคยรู้สึกตำหนิเล็กๆกว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไร ไม่ให้ฆ่าสัตว์แล้วจะให้กินอะไร เป็นคำถาม ตอนเด็ก
พอเป็นสาวขึ้นมา รู้สึกว่าชีวิตแต่งงานเป็นชีวิตที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทำไมพุทธเจ้าบอกว่าความรักเป็นความทุกข์ไม่เข้าใจ แต่เมื่อได้มาศึกษาศาสนาก็เลยอยากบอกพี่น้องที่อยู่ทางบ้านว่า ถ้าไม่ผ่านการพิสูจน์ ท่านจะไม่ได้รู้ว่ามรรคผลมีจริง หลักคําสอนของพ่อครูเป็นวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้ ดิฉันก็รู้สึกว่า หนูน้ำมนต์มีบุญ รู้สึกว่าคน 7 พันล้านในโลกนี้ รู้สึกอยากจะบอกพี่น้องที่อยู่ไกลแสนไกล วันนั้นฟัง ยิ่งมาฟังในวันนี้ถ้าเราไม่ได้มาอยู่ในดินแดนนี้ที่พ่อครูบอกว่าเป็นชมพูทวีป เราก็เถียงมาตลอดว่าไม่ใช่ แต่พอเราปฏิบัติได้บ้างเล็กๆเป็นคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจได้เล็กๆ และถ้ายิ่งคนที่ปฏิบัติได้มากๆนะคะ ดิฉันคิดว่ามันน่าพิสูจน์คำสอนพ่อครู
พ่อครูว่า…ถามหน่อย คนมาอยู่ที่นี่เป็นคนจนแล้วมีอาการสุขสำราญเบิกบานใจยกมือ
แม้แต่เรื่องตลาดอาริยะ พ่อครูพาทำตั้งแต่ปี 2525 ตอนนี้ก็ 37 ปีแล้ว แม้คำสอนของพ่อท่านที่พูดว่า เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธฟังแล้วก็บอกว่าเป็นไปไม่ได้หรอก แต่เราก็ไม่ได้เถียงเพราะว่าเราคิดว่าไม่มีภูมิ เราก็ฝึกมาเรื่อยๆ
คำถามคือ?…วันก่อนที่หนึ่งฟ้าพูด มันก็มีคนเข้าใจกันเป็นสองประเด็น บางคนใกล้ๆ บางคนบอกว่าปลูกบ้านหลังใหญ่ในที่นี้ แม้จะไม่บรรลุอะไรแต่ก็ได้มาอยู่แล้ว บางคนก็บอกว่าเรื่องงมงายไร้สาระ มันเกิดอะไรขึ้นทำไมความคิดของคนจึงเปลี่ยนเป็น 2 กลุ่ม
พ่อครูว่า..ทำไมจึงมีความเห็นต่าง แน่นอนความเห็นต่างกัน อณูหรือปรมาณู ตั้งแต่ 2 อันก็มีความแตกต่างกันแล้ว อณูของความคิดก็แตกต่างกัน 2 อย่างจะเป็นธรรมะ 2 เสมอ พระพุทธเจ้าก็อธิบาย ธรรมะสอง ตั้งแต่คุณสามารถจับสภาพธรรมะอันไหนได้ก็ตามที่เป็น 2 คุณก็สามารถเรียนรู้ความแตกต่างเรียกว่า ลิงคะ อ่านอาการลิงคนิมิตอุเทส
ตามดูเครื่องหมายอะไรที่มันหมายถึงอย่างนี้ ทั้งรูปและนาม แล้วก็เดินดูทั้งรูปและนาม เป็นอย่างไร แล้วอะไรที่เราควรจะใช้ อะไรที่ควรจะได้อาศัย อะไรที่มันเป็นพิษ อะไรควรห่างไปเลยไม่ควรจะใช้ อันไหนควรใช้ตามฐานะตามเวลาตามองค์ประกอบที่จะใช้ จึงเป็นคนที่มีความรู้ จะอยู่กับอะไรหรือใครก็แล้วแต่ ต้องเรียนรู้ 2 สสารและพลังงาน จนถึงรูปและอรูปของจิตเราจะอยู่ทั้งรูปและอรูปของนามธรรมขนาดไหน แล้วเอามาใช้เรียกว่าสังขารปรุงแต่งร่วมกันใช้ เท่าที่รู้ว่าดีที่สุด นี่ละเอียดมาก ธรรมะของพระพุทธเจ้า
จึงเป็นคนที่อยู่กับสิ่งที่มีในโลกนี้ ไม่ว่าสสารพลังงานหรือจิตนิยามที่เป็นธรรมะ 2 ก็เลือกเอามาใช้ให้เหมาะสม จึงเป็นคนที่ฉลาดที่สุด รู้ทางวิทยาศาสตร์รู้ทางธรรมะ ธรรมะเป็นศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมของสัจธรรมซึ่งอยู่ในโลกอย่างสบาย ไม่เหมือนคนอื่นเขา
คุณร้อยร่มบุญ…แสดงว่า ไม่มีใครผิดใครถูกใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า..เป็นฐานะของแต่ละคน รู้ว่าถูกหรือผิดคือไม่ทำให้เจริญไปกว่านั้น ถูกที่สุดแล้วคุณก็จบ แต่คนอื่นยังผิดอยู่เพราะเขายังไม่จบ ก็มีสิทธิ์ เขาก็ต้องทำตัวเองให้จบเหมือนกัน มันมีขีดที่จบ มันมีประเด็นหรือมีขีดเครื่องตัดให้รู้ว่า อย่างนี้จบ เป็นพระอรหันต์ถือว่าเป็นผู้สมบูรณ์ สูงกว่าพระอรหันต์เรียกว่าโพธิสัตวภูมิ ทุกคนก็เอาชั้นนี้คือจบอรหันต์ก่อน
_คุณร้อยร่มบุญว่า…ในที่ประชุมสันติอโศก หลังจากเลิกประชุมเสร็จ ดิฉันถูกเชิญออกจากห้องประชุม และปลดออกจากผรช.ดิฉันก็ยืนขึ้นและนั่งลง และร่วมประชุมต่อจนครบ 2 ชั่วโมงแสดงความคิดเห็นไปเรื่อยๆเป็นเรื่องปกติ หลังจากประชุมก็มาวิเคราะห์วิจัยกัน ชาวอโศกบอกว่าธรรมเนียมของชาวอโศกไม่มีการเถียงสมณะ ดิฉันก็บอกว่าไม่ได้เถียงแต่แสดงความคิดเห็น แล้วคนเกือบ 20 คนคิดเห็นเหมือนดิฉัน มีคนหนึ่งที่แสดงเห็นต่าง แต่เขาบอกว่าธรรมเนียมของอโศกไม่มีการเถียงสมณะ แต่พ่อครูบอกว่า ประชาธิปไตยครอบจักรวาลการแสดงความคิดเห็นไม่น่าจะผิด
ดิฉันอยากกราบเรียนถามพ่อครูว่า การที่มีความเห็นต่าง แล้วเราแสดงความคิดเห็นกับสมณะ จริงๆวันนั้นดิฉันคิดที่ดีมาก ไม่โกรธอะไร ดิฉันเป็นครูที่สอนเคมี จะขอโทษเด็กเราก็แสดงออกได้ปกติ เราก็แสดงความเห็นกับท่านสมณะไป คนก็ตกใจ เมื่อท่านเชิญดิฉันออกจากห้องประชุมและปลดออกจาก ผรช. ดิฉันก็ลุกขึ้นและนั่งลงประชุมต่อ
ธรรมเนียมของอโศกไม่มีการเถียงสมณะ แต่ดิฉันบอกว่า ไม่ได้เถียงแต่แสดงความคิดเห็น เมื่อวันรุ่งขึ้นดิฉันก็กราบสมณะท่านนั้นอย่างสนิทใจ ทำไมถึงมีการแสดงความคิดเห็นและบอกว่าเถียง
เพราะชาวอโศกญาติโยมไม่มีความคิดเห็นกับสมณะได้ถือว่าเป็นการเถียงไม่อย่างนั้นจะเป็นคนที่ถูกตราหน้า คิดว่าอย่างนี้ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริง
เลยอยากถามกลับเป็นว่าธรรมเนียมของอโศก ญาติโยมแสดงความคิดเห็นกับสมณะได้ไหม ถ้าการเถียงเพื่อการใช้อารมณ์ ไม่มีเหตุผลลบหลู่ดูหมิ่น ดิฉันไม่มีตัวนั้นได้อย่างเคารพบูชา จากวันนั้นดิฉันไม่มีตัวไม่เคารพ ตอนท่านป่วยดิฉันก็หาคนไปดูแลท่าน ดิฉันสาบานได้
ถามว่า ญาติโยมเมื่อมีความเห็นต่างจากสมณะมีสิทธิจะถามความเห็นหรือไม่
พ่อครูว่า…ประเด็นที่จะถาม อาตมารู้มาตั้งนานแล้วตั้งแต่คุณยังไม่จบ
คำตอบนั้นคือคุณเองยังคิดว่า คนจะต้องมีความคิดตรงกันหมดทุกคน นั่นแหละคือความผิดของคุณ ถ้าคุณเข้าใจว่าคนเรามีความคิดต่างกันยึดถือต่างกันประพฤติต่างกัน ก็จะจบ พูดแค่นี้ก็คงเข้าใจแล้วครูวิทยาศาสตร์
_เรื่องสุดท้าย เมื่อวาน จากการประชุมชุมชน ท่านสมณะฟ้าไทว่า บรรณารักษ์ของชุมชนราชธานีอโศก คนเดิมได้ลาออกไป ตอนนี้ไม่มี บรรณารักษ์ ขอเสนอ อ.ดินดี ณ อุบลฯ ซึ่งเป็นบรรณารักษ์เก่า
คุณดินดี…ยินดีเป็น…สาธุ
พ่อครูว่า…จบทางบรรณารักษ์มาด้วยก็น่าจะเหมาะสม
_ด.ญ.สุดคำฟ้า…หนูไม่รู้จักวิธีการปล่อยวาง หลวงปู่ช่วยบอกด้วยค่ะ
พ่อครูว่า…ผู้ใหญ่ใครรู้จักวิธีปล่อยวางบ้างยกมืออธิบายให้เด็กคนนี้ฟังหน่อยเร็ว … ผู้ใหญ่ยังไม่ยกมือตอบเลย…แสดงว่ายังไม่มั่นใจ ยังไม่สามารถอธิบายว่าปล่อยวางทำอย่างไร ก็อย่าไปห่วงอย่าไปหนักใจอะไรเลยปล่อยวางคืออะไร ขนาดผู้ใหญ่เรียนมาจนกระทั่งแก่ จวนจะตายแล้ว พูดนี้ไม่ได้แช่งนะ พูดไปตามเนื้อแท้เนื้อหา
เอาตอบบ้าง การปล่อยวางนี้พูดง่ายแต่ทำยาก ปล่อยวางอย่างเป็นวิชาการก่อน เราจะต้องเรียนรู้จิต เจตสิก รูป นิพพาน
เรียนรู้จิตในจิตให้เป็น แยกจิตออกชัด จนกระทั่งสามารถที่จะ วิเคราะห์วิจัยจิตนั้นได้ แยกแยะได้ เรียกด้วยภาษาว่าเป็นวิปัสสนา คือแยกแยะแจกแจงจิตเรา
โดยเฉพาะจะต้องสามารถรู้ตัวประเด็นจิตของเราที่จะปฏิบัติ ก็คือ เวทนา เป็นจุดสำคัญเลย อาการของจิตที่เป็นเวทนาเป็นอาการของความรู้สึก แล้วมันจะมีกิเลสอยู่กับความรู้สึกอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นถ้าจับอาการเวทนาได้ก็จะเรียนรู้ได้
ท่านแจกเป็นเวทนา 108 เรียนรู้ มันมีการปรุงแต่งและเกิดกิเลสอย่างไร แล้วจะวางอย่างไร จะวางอย่างไร ก็ต้องมีปัญญาเป็นตัวทำให้วางได้ ไปกดข่มไม่ใช่วางได้
เมื่อสามารถรู้กิเลสแล้วจะเกิดปัญญาชำระ ปัญญาจะฉลาดรู้ว่า มันเป็นความไม่เที่ยงมันเป็นเหตุแห่งทุกข์ เราจะไปเอามันไว้ทำไม ญาณตัวนี้ท่านเรียกว่ามุลจิตตุกัมมญตาญาณ
เป็นวิปัสสนาญาณที่ท่านรวบรวมมาเป็นญาณ 16
ญาณตัวนี้อยู่ในวิปัสสนาญาณ 9 แต่เป็นตัวที่ 12 ของ ญาณ 16 มุลจิตตุกัมมญตาญาณ แปลว่าปล่อยวาง เราจะวางได้จริงต้องศึกษาจิตในจิต แล้วจะมีปัญญาตั้งแต่
ภังคญาณ มันเสื่อมไป แล้วมันก็พยายามทำอย่างนี้มากขึ้น
-
(1)อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นความเกิดกิเลส -เห็นความเสื่อมไปของกิเลส ชาติ ชรา มรณะ สุข-ทุกข์เวทนาต่างๆ ไม่มีอะไรอยู่กับเรานิรันดร คนที่เกิดความฉลาดด้วยปัญญา เพราะเราไปยึดถือสิ่งที่ไม่เที่ยง เราไปยึดของที่เปล่าไม่มีตัวตน ไม่มีใครโง่เท่านี้หรอก คนที่ไปยึดถืออย่างนี้นั้นโง่จริงๆเลย โง่อย่างแท้ๆเลย ไปยึดเอาความไม่เที่ยงแท้ ไม่อยู่กับร่องรอย และมันเป็นเหตุที่ทำให้เราทุกข์ เมื่อยึดถือเข้าก็เป็นทุกข์ มันไม่มีจริง จริงๆแล้วมันไม่เที่ยง แล้วเราก็อาศัยใช้ในปัจจุบัน ปัจจุบันมันมีนิดเดียว อาศัยแล้วก็พอจบ
-
(2)ภังคานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นความสลายไปของสังขารธรรม-ตัณหาปรุงแต่งทั้งหลาย .
-
(3)ภยตูปัฏฐานญาณ ญาณอันเพ่งเห็น กิเลสสังขาร เป็นภัยอันน่ากลัว.. เพราะล้วนแต่ต้องสลายไป
-
(4)อาทีนวานุปัสสนาญาณ ญาณอันคำนึงเห็นโทษ . ต่อเนื่องมาจากการเห็นภัย
-
(5)นิพพิทานุปัสสนาญาณ ญาณเห็นความน่าเบื่อ-หน่ายในกิเลส เพราะสำนึกเห็นทั้งโทษและภัย . .
-
(6)มุญจิตุกัมยตาญาณ ญาณรู้เห็นการเปลื้องปล่อยไปเสียจากโทษ-ภัยเหล่านั้น .(อตัมมยตา) .
ปัญญานี้เป็นตัววาง เราจะบอกวางๆๆพล่อยๆตื้น ไม่ได้ มันต้องมีจิตตัวปัญญาตัวฉลาดรู้จริงๆ แล้วต้องรู้จริงๆถึงจะวาง จึงจะเป็นรายละเอียดดูว่าวางด้วยปัญญา จะเห็นด้วยวิมุตติญาณทัศนะ มีญาณทัศนะความเฉลียวฉลาด รู้วิมุตติญาณทัสสนะเป็นตัวสำหรับว่าเราทำถูกต้องแล้ว เพราะฉะนั้นทำอย่างนี้ได้ จงทำแต่อย่างนี้ มันก็จะเกิดความสำทับย้ำลงไป แล้วก็จะชำนาญบรรลุสูงสุดเป็นอัตโนมัติเป็นเอง
_หลวงปู่คิดอย่างไรครับที่ทำอย่างนี้ แล้วทำอย่างไรครับที่จะไม่ผิดศีล 1 และ 4 ครับ
พ่อครูว่า..สังวรณ์กายกรรมเกี่ยวกับสัตว์ทั้งหลาย ข้อที่ 4 ก็เกี่ยวกับคำพูด วจีกรรม เราก็ต้องรู้ว่ามันผิดศีลคืออย่างไร ข้อที่ 1 เจอสัตว์ทั้งหลายเกี่ยวข้องกับสัตว์ทั้งหลายเราอย่าไปทำร้ายมัน ก็ปล่อยมันไปตามวิบากตามวิถีของมัน ถ้าเผื่อว่าเห็นว่ามันจะใช้ประโยชน์ได้ก็ช่วยมัน เห็นว่ามันเกินขอบเขตไม่ต้องช่วยก็ปล่อยมันไป
ส่วนพูดก็อย่าให้มันเป็นคำที่โกหก คำที่เป็นคำหยาบ อย่าพูดแล้วก็ทำให้เกิดการทะเลาะกัน ไปว่ากัน
_ตอนขนเรือมีผู้ไปตัดต้นมะพร้าวถนนบ้านกุดระงุมเพื่อเตรียมขนเรือ แต่ที่ผ่านมาไม่จำเป็นต้องตัด การสนทนาบางช่วงบอกว่ามะพร้าวเขาขาด เขาบอกว่ามีเจ้าของไปตัดของเขาได้อย่างไร คำตอบก็คือ ใครเป็นคนปลูก ปลูกติดถนนอย่างนี้ได้อย่างไร
พ่อครูว่า..สรุป พวกเราเป็นตำรวจเป็นนักตรวจสอบ เป็นนักจับผิด เป็นนักจะหาข้อมูล ที่ผิดอะไรอีกเยอะแยะ ก็เป็นเรื่องดี แต่ก็อย่าไปเอาอะไรยุบยิบมากนัก เอามาเป็นเรื่องราวอะไรมากมาย มันมีแค่เชิงที่เราไม่ทำแต่คนอื่นทำ จะให้คนอื่นเป็นเหมือนคุณ จะให้คนไปเหมือนคนอื่นเขามันไม่ได้หรอก คนอื่นถ้า 100 คนมันจะมีล้านจริต ร้อยคนก็มีล้านจริต
เพราะฉะนั้นคุณอย่าไปหวังเลยว่าจะทำให้คนอื่นไม่ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าคุณทำอย่างนี้คุณตาย ไม่มีวันเป็นสุข ถ้าทำอย่างนี้สักวันคุณจะหมดพลังงานตายไปเอง เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ จบ
_ดิฉันขอถามว่า รู้กายรู้จิต ปัจจุบันธรรม และ รู้ภายใน ได้คาถาวิปัสสนากรรมฐานรู้เฉยๆไม่คิดนึกปรุงแต่ง
พ่อครูว่า…ถ้าคุณปฏิบัติอย่างที่ว่าได้คือรู้กายรู้จิตเป็นปัจจุบันและรู้ภายใน และใช้วิปัสสนากรรมฐานวิปัสสนาญาณปฏิบัติวิเคราะห์วิจัยรู้จักกิเลสและลดกิเลสได้ ก็ดีกว่าวิปัสสนา คุณทำอย่างนี้จนรู้เฉยๆไม่คิดนึกตามกิเลส แต่พูดความจริงตามความเป็นจริงอย่างนี้ แล้วก็จะเฉยๆไม่คิดปรุงแต่ง ถูกต้องแล้วครับ คะแนนเต็มทำให้ได้อย่างที่พูด
ถ้าประพฤติอย่างนี้ได้เป็นอรหันต์ไม่ผิดหรอก
_อยากรู้ว่าทำไมเกิดมาแล้วต้องแก่เจ็บตายด้วย เป็นอมตะไม่ได้หรือคะ
พ่อครูว่า…ที่เป็นแบบนี้มันเป็นสัจธรรม ไม่ว่าจะเป็นการเกิดแก่เจ็บตายก็เป็นสัจธรรม ประเด็นที่ถามมา เป็นอมตะไม่ได้หรือ แสดงว่าเข้าใจว่าอมตะคืออะไร
ความเป็นอมตะคือผู้ที่ทำเกิดทำตายได้แล้วจะเกิดก็ได้จะตายก็ได้ เป็นข้อที่ 9 ในมูลสูตร
อมตะนี้ผ่านวิมุติที่เป็นสาระเป็นแก่นสาร เป็นจุดสำคัญที่เราทำให้เกิด เมื่อมีวิมุตก็เป็นผู้บรรลุธรรมในอมตะก็เหลือแต่ว่าจะปรินิพพานเป็นปริโยสานหรือไม่เป็นข้อที่ 10 ในมูลสูตร
ถ้าคุณรู้ 10 ข้อนี้เป็นหลักใหญ่ในการปฏิบัติธรรมก็จะมี
-
มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) . .
-
มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) . . . .
-
มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) . . .
-
มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา) .
-
มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ) . . .
-
มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ) . . . .
-
มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) . กัปตันรู้ยิ่งยอด
-
มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) . หลุดพ้นสุดยอดที่จะรู้ยิ่ง
-
มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา). = สอุปาทิเสสนิพพาน.
-
มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) = อนุปาทิเสสนิพพาน