610808_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก ศีลทำให้เกิดสมาธิ-ปัญญา-วิมุติตามลำดับ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1dU0sjg2y8swn8yj7D3TQcjf2mv1UwzDE7XfDrphCEOQ/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1vsf_AN2_JId4Aw1aR7fxpIVwrZxT0sVt
สมณะเดินดินว่า…วันนี้เป็นวันพุธที่ 8 สิงหาคม 2561 ที่บวรสันติอโศก วันนี้มาในสถานที่ใหม่ ที่นี่สันติอโศกดูเหมือนจะเงียบสงบกว่าที่อื่น พ่อครูเดินทางมาครั้งนี้ มาทำกิจสำคัญหลายด้านด้วยกัน โดยกำหนดนัดหมายพรุ่งนี้ต้องไปฟังคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ พ่อครูยังมีวิบากเกิดจากตอนชุมนุม ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติความมั่นคง แต่ปรากฏว่ามีทนายแจ้งว่าศาลขอเลื่อนนัดไปในวันที่ 6 ธันวาคม
พ่อครูว่า…ที่เลื่อนเขาคงมีคดีมาก เขาก็จะบอกไม่ทัน ก็เลยขอเลื่อนกำหนดหมาย
ส.เดินดินว่า…อัยการพยายามแย้งว่า เวทีที่ตั้งอยู่นี้เป็นเวทีถาวรหรือไม่ พวกเราก็บอกว่าไม่ใช่ถาวรย้ายไปย้ายมาได้ แล้วส้วมนี้เป็นการกีดขวางทางจราจรใหม่
พ่อครูว่า…เป็นเรื่องมโนสาเร่ ที่ไม่ควรฟ้อง แต่เขาก็หยิบขึ้นมา ไม่มีงานจะทำแล้วหรือยังไง ตั้งแต่ปี 54
เรื่องประเด็นที่เราทำงานคือ ไปไล่รัฐบาลที่ไม่ควรจะบริหารต่อไป เราก็เลยเข้าไปทำหน้าที่ประชาชน ไม่เห็นด้วยที่จะให้รัฐบาลนี้บริหารต่อไป เราก็ทำด้วยความสงบเรียบร้อย ด้วยเหตุด้วยผล สาธยายความรู้ความจริงหลักการ พูดถึงความจริงที่เกิดผลเสีย ให้แจ้งชัด ทำอย่างสงบไม่มีอาวุธเรียบร้อยทุกอย่างไม่ผิดกฎหมายใดๆเลย ถ้าจะผิดก็ผิดกฎหมายจราจรเท่านั้น ที่ไปยึดพื้นที่เขา จราจรติดขัดบ้าง แต่เขาก็สัญจรยังได้อยู่ แต่ผลมันก็เป็นผลดีต่อประเทศอย่างยิ่งใหญ่ต่อสังคม เรื่องของการเมืองสังคม เราก็เป็นผู้ทำหน้าที่พลเมืองที่ถูกต้องที่ดีที่สุด ทำกันอย่างยาวนานเป็นปี เป็นการทำงานการเมืองของประชาชนที่งดงามที่สุดเท่าที่อาตมามีความรู้และมั่นใจในตัวเองว่าเป็นตัวอย่างให้แก่ประเทศไม่รู้กี่ประเทศ ดูได้เป็นตัวอย่างว่าคนเขาใช้ความสงบความเรียบร้อยใช้ความรู้เช่น ความสุภาพครบครันทั้งหมดมาใช้ โดยเฉพาะความอดทนอยู่กันเป็นปีข้ามปี เป็นเรื่องสวยงามมาก ผลสำเร็จของประชาชนที่ประท้วง จนเสร็จหมดเลย 4 รัฐบาลต่อเนื่องกันมา 4 รัฐบาล
จำได้ว่าออกไปตั้งแต่พ.ศ 2549 จนสิ้นสุดในปี 2557 จึงมีการปฏิวัติ ซึ่งเป็นผลสำเร็จของการปฏิวัติโดยประชาชนที่สำเร็จผล สำเร็จด้วยความสงบ ผู้บริหารหมดฤทธิ์หมดอำนาจแล้วก็เลยต้องมีผู้รักษาการ เสร็จแล้วก็ไปเจรจาอะไรต่างๆนานา พลเอกประยุทธ์ก็เป็นตัวแทนของประชาชน ในฐานะเป็นผู้รักษาความมั่นคงของประเทศ ก็ไป แล้วก็ให้ไปเจรจา แต่เจรจาไม่รู้เรื่องกัน ก็เป็นการปฏิวัติของประชาชน ทำอย่างสวยงามที่สุด ทุกคนที่มาร่วมกัน ช่วยกันประท้วง ขับไล่รัฐบาล กองทัพธรรมก็ไปร่วมกับประชาชนพันธมิตร จนกระทั่งได้ผลสำเร็จ เป็นพฤติกรรมการเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสวยงามที่สุด ชัดเจนเลย รัฐบาลตั้งหลายรัฐบาล รัฐบาลเขาเชื่อมต่ออำนาจไปอีกหลายรัฐบาล จนพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมา เราก็ไปช่วยกันประท้วงอีกก็สำเร็จ นักรัฐศาสตร์การเมืองต้องบันทึกเรื่องนี้ให้ดี ทำจริงเป็นเรื่องจริงของโลกไม่ใช่เรื่องเล่น และทำได้สำเร็จเรียบร้อยสูงสุด จบ อาตมาเป็นตัวปฏิกิริยาเข้าไปร่วมด้วย ที่พูดนี้ไม่ได้ทวงบุญคุณ ก็ต้องขออภัย มันเป็นการศึกษาเป็นการเรียนรู้เท่านั้น เพื่อให้ฉุกคิดว่าอะไรคืออะไร
ที่มันเกิดเรื่องตูมตามบ้างทำร้ายกันบ้าง มันก็เป็นธรรมชาติของการเมือง เพราะเราไปไล่พวกนี้พวกนี้ก็ต้องมาขวาง ไม่ใช่พวกเรานะ อย่าเข้าใจผิดว่าพวกเราทำให้เกิดการฆ่าฟันเกิดการยิงกัน อันนั้นมันเป็นผลจริงของความจริงว่าพวกนี้ กากเศษสุดท้ายที่เขาแสดงออก สุดท้ายก็เรียบร้อยจบไป นี่ก็ทบทวนความรู้การเมืองของประเทศชาติสังคม
สด.ว่า…ก็มีแกนนำจะต้องไปชดใช้อยู่บ้าง ก็มีนักกฏหมายออกมาช่วยบ้าง ประชาชนออกไปทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ เพื่อไปขับไล่รัฐบาลที่ทำผิดกฎหมาย
กฎหมายต้องคุ้มครองประชาชน ศาลตัดสินว่ารัฐบาลนี้เป็นการทำลายประชาธิปไตย ประชาชนก็ไปประท้วงกฎหมายน่าจะคุ้มครองประชาชนมากกว่า
วิบากพ่อครูคงไม่มาก คดีนี้ ก็ตัดสินถ้าจะลงโทษก็เพียงรอลงอาญา
วันพรุ่งนี้ก็จะมีรายการสำมะปี๋ซี่วิต ปกติจัดที่ราชธานีอโศกบรรยากาศคึกคักดี มาจัดที่เมืองสงบสงบๆอย่างสันติอโศก จะมีแฟนนานุแฟนมามากหรือเปล่า พ่อครูตั้งใจว่าจะให้เป็นบรรยากาศที่เป็นกันเอง
การฟังธรรมแบบของแห้งกับของสดต่างกันของสด จะได้เห็นความเป็นสมาธิของพ่อครู
พ่อครูว่า…จิตที่เป็นความคล่องแคล่วของเวทนาสัญญาสังขาร มีความเร็วมีพลังงานทางจิต เวทนาสัญญา ทำงานคล่องแคล่วว่องไวเป็นคนที่มีสมาธิดีมาก ถึงจะคล่องแคล่วว่องไวได้ เดี๋ยวจะได้สาธยาย สมาธิของพระพุทธเจ้าที่เป็นโลกุตระ มีองค์ประกอบของมรรคมีองค์ 8
แค่สัมมาทิฏฐิก็ต้องเข้าใจให้ได้ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ ทินนัง ยิฏฐัง หุตัง กัมมานังผลังวิปาโก …ความมีสัมมาทิฏฐิ 10 ข้อนี้ จึงนำไปสู่สัมมาสมาธิได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เป็นความหมุนรอบเชิงซ้อนขององค์ธรรมต่างๆ เป็นเรื่องลึกซึ้งมาก
สมณะเดินดินว่า…เป็นเพียงให้เห็นว่าพ่อครูอยู่ มีสภาวะให้เราเห็นเราดู แต่ถ้าพ่อครูไม่อยู่เราจะไม่ได้เห็น
พ่อครูว่า..ขอยืนยันว่าอาตมามีสมาธิที่ดีมากเลย เป็นสมาธิของพุทธ มีทั้งความตั้งมั่นของจิต เป็นจิตที่มี อเนญชาภิสังขาร โดยมีแกนฐานจิต เป็นปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เป็นแกนฐานจิตฌานที่ 4 มีตัว ธรรมะสอง คล่องแคล่ว มุทุภูตธาตุ
นี่อาตมาอธิบายขยายความยังไม่พิสดารนะ ถ้ามีพระมหากัจจายนะมาร่วมด้วยจะอธิบายได้ครบรอบกว่านี้
พ่อครูว่า..ก่อนอื่นก็ SMS 610707-8
_0890015xxx รายการ”สำมะปี๋ซีวิต” ชื่อเป็นภาษาอีสาน ผมมีความเห็นว่าน่าจะเปิดโอกาสให้ใช้ภาษาถิ่นของแต่ละคนถามตอบกันเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศและเพื่อการเรียนรู้ร่วมกันด้วย จะได้เป็นกันเอง และที่สำคัญอยากฟังพ่อท่านเทศน์เป็นภาษาอีสานบ้าง และจะดูสอดคล้องกับชื่อรายการ”สำมะปี๋”อย่างมากเลยครับ
_บุญชัย ตั้งสำราญจิต /ฟังท่านมานาน เริ่มจะฟังทันแล้วครับท่าน น้อมจิตคารวะครับ
_โอธิ กราบพ่อท่านมาด้วยความเคารพค่ะ โลกเรานี้เข้าสู่ยุคอะไร สมาธิที่สอนกันนั้น ใช่ที่ ว่าก้อนหินทับหญ้าชั่วขณะ พอออกจากที่นั่งหญ้าขึ้นงามอีกของแท้จากสันติอโศกเหตุใดไม่มาเรียนรู้เป็นผลดีสู่สันติสุขถึงสังคมองค์พ่อของแผ่นดินทรงเมตตาสอนเตือน ทำดีทำยาก แต่ต้อง
ทำ เราก้าวตามรอยพ่อ กราบมาด้วยความเคารพพ่อท่านค่ะ
_3867ควันหลงอุทกวิปโยคที่เคยชินอยู่กับน้ำท่วมอดีตทุกปี!พ่อค้าแม่ขายที่น้ำท่วมจะแปรตลาดบกเป็นตลาดน้ำ !แปรทางเดินรถเป็นทางเดินเรือ!แปรร้านก๋วยเตี๋ยวข้าวผัดขนมหวานลงเรือเร่ซื้อ ขายถูกกินอิ่มบนแพยางรถทุกปีที่น้ำบ่เชี่ยว!ท่วมนาน แรมเดือน!
พ่อครูว่า..สำหรับราชธานีอโศกพึ่งพาตัวเองได้ไหมเวลาน้ำท่วม ทางราชการเขาก็ส่งเครื่องช่วยเหลือมา เราก็เลยเอาไปแจกคนอื่นต่อ ทางราชการก็เลยบอกว่าไม่ต้องเอาไปช่วยเขา เอาน้ำมันไปให้เขาแทน ส่วนเครื่องยังชีพไม่ต้องเอาไปให้เขา เขาเอาตัวรอดได้ ถ้าหากดินไม่มีเขาก็ทำแพปลูกผักได้ น้ำท่วมมาก็เอาพืชผักจากแพมารับประทาน ที่สำคัญคือมีอยู่มีกิน เพราะว่าพี่น้องจากที่ต่างๆส่งอาหารไปให้กินเต็มไปหมด
พวกเราพยายามพัฒนาประชาชนให้เป็นผู้พัฒนา มีเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม มีสาธารณโภคี มีอะไรก็เอาเข้ากองกลาง ไม่ใช่เอาเป็นตัวกูของกู ไม่ใช่ มีมากก็ไปเผื่อแผ่แจกจ่ายกัน เราพิสูจน์แล้วดีที่สุดทำได้แล้วด้วย ชาวอโศกทำได้แล้วด้วย
การบริหารบ้านเมือง เราทำได้ผลดี ก็เลยเอามานำเสนอทางการ ไม่ใช่ของชาวอโศกแต่เป็นของพระพุทธเจ้า พัฒนาตัวเองเป็นคนอย่างนี้ได้ ด้วยคนกลุ่มหนึ่งที่อาตมาได้ใช้ทฤษฎีของพระพุทธเจ้าเอามาให้ศึกษา เรื่องกอบกู้เศรษฐกิจก็เรียบร้อย กอบกู้ทางการเมืองทางสังคมก็เรียบร้อย ทุกวันนี้ถือว่าชาวอโศกไม่เป็นภาระสังคม นี่เป็นผลสำเร็จแล้ว
เศรษฐกิจที่ลงตัวสมบูรณ์เป็นอย่างนี้เหรอเป็นอย่างไร อยู่ในภาวะที่ไม่ได้แย่งชิงกัน แต่มีความขยันเต็มที่ ขยันอย่างที่เรียกว่าแต่ก่อนขยันเอาไปบำเรอตน แต่พวกนี้ขยันสร้างสรรและกินน้อยแต่พอดี ไม่ถูกโลกหลอกไป ต้องไปแบ่งให้ดนตรีการ แบ่งให้เสื้อผ้าแฟชั่น ไม่ พวกนี้ ใช้สิ่งที่พอมีเป็นปัจจัยชีวิต เสื้อผ้าหน้าแพร อาหารเครื่องนุ่งห่มที่อยู่อาศัยยารักษาโรค ก็อยู่กันอย่างประโยชน์สูงประหยัดสุดได้ เป็นเศรษฐกิจสูงสุดแล้ว
แล้วอยู่กันยังไง บริหารกันอย่างไร บริหารกันอย่างสำเร็จเป็น
-
อิสระเสรีภาพ เป็นผลสำเร็จ
- เป็นภราดรภาพ
- เป็นสันติภาพ
- เป็นสมรรถภาพ
- เป็นบูรณภาพ
- เป็นสุนทรียภาพ
- เป็นสุญภาพ
นี่คือผลของการเมืองรัฐศาสตร์นะ อาตมาก็มาทำหน้าที่ช่วยประชาชนประเทศชาติได้อย่างสำเร็จ
ผู้ที่มาเป็นชาวอโศก อยู่ไปอาตมาก็อธิบายธรรมะลึกซึ้งของพระพุทธเจ้า ผู้ที่มาเป็นชาวอโศกนั้นมาเป็นผู้หมดตัวแล้วสบายแล้ว ไม่มีความลำบาก ทุกคนช่วยกันบ่ได้ ซ้อนๆๆ อาตมาบริหารโดยไม่ได้เป็นผู้บริหาร คนรับช่วงไปบ้าง.. หนักหนาไหม(ถามท่านองค์นี้)
สมณะเดินดินว่า…ไม่หนักเพราะมีหมู่กลุ่มช่วยกัน
พ่อครูว่า…บริหารโดยไม่ต้องบริหารไม่ต้องวุ่นวายไม่ต้องจำจี้จ้ำไช เรื่องฟ้องร้องก็ไม่ค่อยมี รวมแล้วมันก็ลงตัว อยากให้เขามาศึกษาเรื่องของมนุษยชาติ
พระพุทธเจ้าพาทำเป็นเรื่องของมนุษยชาติและสังคม
มาเข้าสู่ประเด็นที่จะอธิบาย เรื่องของสมาธิ
เข้าใจไม่ได้ง่ายๆ เอาแต่บัญญัติก่อน สมาธิหมายถึงอะไร
สมาธิจะมีฌาน ปฏิบัติฌานปฏิบัติสมาธิปฏิบัติอย่างไร
ทั่วไปนั้นปฏิบัติการปฏิบัติสมาธิเขาจะพากันนั่งหลับตาทั้งการทำฌานและสมาธิ วิธีจะปฏิบัติคือหลับตาและสะกดจิต สะกดจิตเข้าไปแล้วทำให้จิตนิ่งแล้วบอกว่าเป็นฌานเป็นสมาธิ ดีไม่ดีบอกว่าทำสมาธิแล้วจะเกิดฌาน
ที่จริงต้องเกิดฌาน แล้วฌาน มีผลเป็นบุญ ก็ชำระกิเลสเสร็จ ฌานคือการปรุงแต่งพลังงานจิตให้เป็นอุณหธาตุ เรียกว่ามีพลังงานสูง ที่จะเผา ฌาปนะ แปลว่าการเผา เราเรียกฌาปนกิจ กิจการเผา เผาอะไร?
เป็นพลังงานที่เรียกชื่อว่าไฟ ไปเผาไฟราคะ เผาไฟโทสะ เผาไฟโมหะ พลังงานฌานจะไปเผา ใครปรุงแต่งพลังงานขึ้นมาได้ เป็นอภิสังขารพลังงานนี้ก็เผากิเลสได้
เมื่อได้พลังงานขึ้นมาก็เป็น ฌาน เป็นอุณหธาตุ ก็ไปทำหน้าที่ทำลายไฟราคะโทสะโมหะ ได้ผลขึ้นมาก็เกิดเป็นบุญ บุญคือการกำจัดกิเลส
รายละเอียดของฌานกับบุญต่างกันนิดนึง เมื่อกิเลสลดลงจิตก็สะอาดขึ้น จิตก็ตกผลึกสะอาดเป็น ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
ปริสุทธา บริสุทธิ์ ปริโยทาตา คือทำซ้ำที่ได้ผล อาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมัง ยิ่งทำก็เกิดธาตุจิตมุทุ ยิ่งเร็วไวทั้งตัวสภาวะปัญญา จะมีธรรมะ 2 Static และไดนามิค ก็จะยิ่งแววไวแคล่วคล่องดัดได้ ยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งกัมมัญญา มีประสิทธิภาพสูงสุดก็ไปทำงาน กัมมัญญา ซึ่งเป็นอัญญาเป็นธาตุรู้ของศาสนาพุทธ ก็ยิ่งเป็นการงานที่ดีที่เหมาะควร ที่เจริญไปได้เรื่อยๆ
ทำเสร็จแล้วจิตก็ยิ่งรวมเป็นผลสูง เป็นปภัสสรา ยิ่งเจริญผ่องแผ้วผุดผ่องงดงามสดใส เจริญสูงขึ้น ในความเป็นสมาธิของพุทธจึงไม่มีตรงไหนที่จะมา นั่งแช่แข็งจิต มีแต่อุณหธาตุตลอด มีจิตที่เจริญขึ้นมีสภาพตื่นเป็นพุทธะตลอดสาย ชาคริยา สายตื่น ไม่มีตรงไหนที่บอกว่าให้ไปนั่งหลับตา ให้จิตตกตะกอนนอนแช่แข็ง ไม่มี มีแต่ตัวตกผลึกของธาตุที่สะอาดบริสุทธา มีความตั้งมั่นเป็นสมาธิ สมาธิแปลว่าจิตตั้งมั่น
อธิบายฌานไปถึงบุญถึงสมาธิ สามบัญญัติที่บอกสภาวธรรม
อธิบายการสร้างพลังงานจิตให้เป็นฌาน เผากิเลสได้ ก็เป็นผลสำเร็จเป็นบุญ แล้วสะอาดตกผลึกกันเป็น สมาธิ
อาตมาทำงาน อาตมาทำตามพระพุทธเจ้ายิ่งทำงานยิ่งมีอุเบกขา 5 เจริญขึ้นเจริญขึ้น อาตมาถึงบอกว่าอาตมามีสมาธิดี เพราะฉะนั้นสมาธิของอาตมาถึงแคล่วคล่องว่องไว นัจจะคีตะวาทิตะ อายุตั้งเกือบ 85 แล้วก็ยังดีอยู่ คอยดูตอนอายุ 100 จะดีอย่างนี้ไหม ไม่ใช่ว่า ช้าลงๆๆ อาตมาคงไม่เป็นอย่างนั้น ติดตามไปอย่าเพิ่งรีบตาย อีกแค่ 15 ปี เศษๆ ก็จะถึง 100 ตอนนั้นก็ดูสิ โพธิรักษ์อายุถึงร้อยจะเป็นอย่างไร
อาตมาตั้งเป้าไว้ 151 ปี เพื่อพิสูจน์ความจริงหลายๆอย่าง ที่ทำงานศาสนามา ศาสนา สอนให้ใช้ความรู้ที่ทำให้ตัวเองเจริญ ตามทิศทางศาสนาพระพุทธเจ้า แล้วก็จะมารวมกัน เมื่อหลายคนมารวมกันก็จะเกิดสังคม คนที่ทำกายกรรมวจีกรรมมโนกรรมที่ดีมารวมกันก็เกิดพฤติกรรมสังคมที่ดี ก็จะชี้บ่งว่า นี่เกิดจากความรู้ทฤษฎีของพระพุทธเจ้า นี่คือสังคมพระพุทธเจ้า ที่มีความรู้ของพระพุทธเจ้าเอามาปฏิบัติจนเกิดพฤติกรรมกายกรรมวจีกรรมมโนกรรม เพื่อให้คนเรียนรู้ปฏิบัติคุณสมบัติที่ได้ พระพุทธเจ้าท่านสรุปคุณสมบัติที่เจริญก็มี
สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคคียะ เอกีภาวะ
อโศกมีตัวอย่างลักษณะของประธานคือจิตของแต่ละคน มีลักษณะ สาราณียะ รำลึกถึงกัน ปิยกรณะรักกัน คุรุกรณะเคารพกัน สังคหะช่วยเหลือกัน อวิวาทะไม่ทะเลาะวิวาท สามัคคคียะ ไม่มีตีกันหัวร้างข้างแตกตาย ก็อาจมีนิดๆหน่อยๆ ในฐานะที่ทำใจไม่ไหวแล้ว ก็แล้วแต่ แต่ก็ไม่เห็นเกิดเท่าไหร่ นานๆทีมีที ทำงานมาเกือบจะ 40 ปีก็ยังไม่มีเรื่องที่ต้องชำระความหนักมาในเชิงโทสะ อยู่กันอย่างพร้อมเพรียง เอกีภาวะ มีความเป็นปึกแผ่น
ชาวอโศกเป็นปึกแผ่น แน่น เหมือนกับพระพุทธเจ้าตรัส กับวัสสการพราหมณ์ ว่า ตราบใดที่เขายังมีอปริหานิยธรรมจะไม่มีใครตีแตก อะไรจะมาล้มล้างเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ได้อย่างนี้แล้ว พวกคุณจะเปลี่ยนแปลงไหม มีตัวอย่างสำนักต่างๆคุณจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นแบบนั้นใหม่ให้เป็นศาสนาโน้นศาสนานี้ อโศกจะไม่เปลี่ยนแปลง อวินิปาตธรรม ไม่แปรเปลี่ยนไปจากนี้ อสังหิรัง ใครก็ตีไม่แตก อสังกุปปัง ไม่กลับกำเริบอีก ไม่กลับกำเริบนี้ จะไม่กลับกำเริบ ตั้งแต่ฐานโสดาบัน
ฐานโสดาบัน
ก.) ส่วนที่สิ้นไปจากจิต . .
-
ขีณนิรยะ (สิ้นจากนรก, ปิดนรก ดับความเร่าร้อนได้) .
-
ขีณปิตติวิสยะ (สิ้นจากวิสัยความอยากอย่างเปรต)
-
ขีณติรัจฉานโยนิ (สิ้นจากความโง่ ที่ขวางเจริญ)
-
ขีณาปายทุคติวินิปาตะ (สิ้นจากอบาย ทุคติ วินิบาต)
ข.) ส่วนที่เกิดทางจิต (โอปปาติกโยนิ)
-
โสตาปันนะ (เข้าสู่กระแสโลกใหม่คือโลกุตระ) . .
-
อวินิปาตธัมโม (ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา)
-
นิยตะ (เที่ยงแท้แน่นอนสู่มรรคผลที่สูงขึ้น)
-
สัมโพธิปรายนะ (มุ่งตรัสรู้ในภายหน้า)
(พตปฎ. เล่ม 19 ข้อ 1475)
เราจักเป็นผู้ไม่ถอยหลัง จักเป็นผู้มีพรหมจรรย์เป็นที่ไปในเบื้องหน้าฯ อนิวตฺติ ภวิสฺสามิ พฺรหฺมจริยปรายโนติ ฯ (ล.12 ข.478)
นี่คือคุณสมบัติของจิตที่เจริญจริงๆอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส สู่แดนธรรมเขาจะช่วย insert ตัวอักษรได้อย่างดี บางทีรู้ล่วงหน้าเลยว่าอาตมาจะพูดอะไร
สมาธิของพระพุทธเจ้าไม่มีการเกิดด้วยวิธีการหลับตา ฌานจะเกิดสมาธิ ฌานเป็นอุณหธาตุ เป็นพลังงานร้อนไม่ใช่พลังงานเย็น แต่เขาไปทำฌานแบบนั่งสมาธิมันทำให้เกิดความเย็น ฌานของพระพุทธเจ้า จัดการ กาย ตั้งแต่ กายกลิ
กายกลิ พจนานุกรม ก็แปลว่า สิ่งชั่วช้าที่อยู่ในกาย กลิ คือสิ่งชั่วช้าที่อยู่ในกาย
ทีนี้ ความคิดของคน องค์รวมความคิด Concept ของคนไทย เมื่อบอกกาย Concept ของคำว่ากายก็หมายถึงเอา ร่างอย่างเดียว เขาก็เลยไปแปลว่า กายกลิ คือโทษทางกาย
กายมันมีโทษ ก็ไปแปลอย่างนี้ ความจริง กายกลิคือกิเลสในรูปนาม กายคือรูปนามธรรมะสอง กายกลิคือ ตัวที่เป็นโทษที่อยู่ในกายนี้ นี่คือตัวที่จะต้องเรียนรู้ตรงนี้แหละในองค์ประชุมกาย
หัวใจของศาสนาพุทธ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
เรียนรู้ เทวธัมมมให้เป็นเอกธัมมา เป็นจิตที่เป็นหนึ่งเป็นพิเศษเรียกว่า เอกัคคตา
จิตที่ยังเป็นสองอยู่ ก็คือจิตที่ ยังไม่ได้ปฏิบัติยังเป็นสอง คำว่าสองคือ เทวฺ ลัทธิที่ไม่มีความรู้จะทำ 2 ให้เป็นหนึ่งจึงเรียกว่าเทวนิยม เขาก็แปล เทวะ นี้ว่า เทวดา
ความเป็นเทวะ ถือว่าเป็นเทวดาเป็นจิตวิญญาณที่เป็นตัวตนชนิดหนึ่ง ตามเทวนิยม เขาว่า เทวะ เป็นตัวเป็นตนเป็นพลังงานชนิดหนึ่ง สุดท้ายตัวตนนี้จิตวิญญาณนี้ในลัทธิเทวนิยมจะอยู่นิรันดร แล้วเทวะนี้ใหญ่มาก ใหญ่จน 1.นิรันดร 2.สร้างทุกสิ่งได้
เทวะคือพลังงานยิ่งใหญ่มากของเขา แต่แง่ดีอย่างหนึ่งยกให้เป็นปรมาตมันหรือปรมอัตตาตัวตนใหญ่สุด เรียกว่า ปรมาตมัน ทางเทวนิยมเขาไม่เคยเห็นอยู่ในห้วงจินตนาการเท่านั้น ไม่มีใครสัมผัสและไม่มีตัวตนด้วย
พระเจ้าคือนิรมาณกาย ไม่มีตัวตน แต่ผู้ที่ร่วมยอมรับนับถือพระเจ้าร่วมกัน ต่างก็บริโภคประโยชน์ที่คิดว่าควรจะได้ จากพระเจ้ามันไม่มีตัวตน ต่างคนต่างคิดวามี เรียกวาสัมโภคกาย คือ การบริโภคร่วมกัน กับกายนี้ นิรมาณกาย กายที่ไม่มี สมมุติเทพ ไม่มีใครเห็น อทิสมานกาย เป็นกายที่ไม่เห็น ผู้รู้ท่านอธิบายไว้หมดแล้ว แต่นี่อธิบายกาย 3 นี้ ตามความเห็นของผู้ที่มิจฉาทิฐิไปเละเทะ อาตมา ดูแล้วก็น่าสงสาร
เพราะว่าเป็นเรื่องยากเป็นเรื่องอจินไตยเป็นเรื่องลึกซึ้ง สุดลับ รหัสสะ แปลว่าความลับความลึก ต้องเดาเอา กลายเป็นศาสนาที่เดา ศาสนาพระพุทธเจ้าจึงไม่เอาแบบนั้น ศาสนาของท่านเป็นศาสนา สัจฉิ แจ้งใสสว่าง สัจฉิกตา ชัดเจนแจ่มแจ้ง ซึ่งเกิดความรู้ความเห็นที่มี 5 องค์ธรรม
-
จักษุ
-
ปัญญา
-
ญาณ
-
วิชชา
-
อาโลก
จักษุคือ เป็นความรู้ที่ตรงนี้ยังมีดวงตา นิพพานพระพุทธเจ้าปรินิพพานแบบลืมตาเรียกว่าจักขุมาปรินิพพุโพติ เป็นนิพพานอย่างลืมตาไม่ใช่ไปนั่งดับนิโรธหลับตาแบบนั้น ที่ต้องพูดมากเพราะคุณหลงผิดไปนั่งหลับตาเป็นนิพพาน ปฏิบัติหลับตาเป็นสมาธิเป็นฌานแล้วจะเกิดปัญญา แล้วจึงเกิดมรรคผล เชื่อกันอย่างนี้เลย อาตมาว่า เชื่อผิด ที่ใครเป็นคนเริ่มต้นไม่รู้ ตกนรกป่านนี้ไม่รู้อยู่ในขุมไหนลึกมาก ก็เป็นเรื่องทำลายศาสนา คนเริ่มต้น และคนที่จะช่วยกันทำให้ผิดก็ทยอยไปอยู่ด้วยกันตามหัวหน้า ทำให้ศาสนาพุทธผิดเพี้ยน เป็นเรื่องหนักหนาสาหัส อาตมาก็เอามาพูดอธิบายให้กลับคืน
สรุปอีกช่วงว่า สมาธิของพุทธไม่ใช่จิตที่เกิดจากการหลับตา สมาธิเป็นผล ฌานเป็นมรรค ฌานกำจัด อุณหธาตุ ที่กำจัดไฟราคะโทสะโมหะได้ก็เป็นบุญ กำจัดได้จิตใจก็ตกผลึกสะอาด ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา จิตเจริญขึ้นเป็นอุเบกขาที่เป็นเนกขัมมะ ไม่ใช่อุเบกขาเคหสิตะ(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณเดินดินว่า…ตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัย รู้สึกว่าจิตใจตัวเองฟุ้งซ่านควบคุมได้ยาก ก็เลยหาวิธีแต่ก็คุมไม่ได้ แม้จะไปนั่งสมาธิหลับตาก็คุมไม่ได้ แต่ไปเจอ หนังสือของเป้าเกงเต็ง ว่าให้กินเจ ก็เลยลองกินเจ แต่ก็ทำให้เห็นผลว่า แค่เรากินเจ ความสงบของจิตใจที่เราเคยฟุ้งซ่านก็ควบคุมได้ มีความปกติเกิดขึ้น ไม่ต้องไปนั่งหลับตา กดข่ม แต่พอเรามีศีลแต่ละข้อที่เกิดขึ้น จิตเราก็สงบตั้งมั่น
พ่อครูว่า…ในมหาปรินิพพานสูตร บอกไว้ชัดเลยว่า ศีลอันพระอาริยะใคร่แล้ว อันไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไท อันวิญญูชนสรรเสริญแล้ว อันตัณหาและทิฏฐิไม่ลูบคลำแล้ว เป็นไปเพื่อสมาธิ
ศีลนี้เป็นตัวกำหนดสมาธิ
สมาธิที่ไม่มีศีลกำหนดเป็นสมาธิที่สะเปะสปะ เป็นสมาธิที่ไม่มีหลักการไม่มี ต้น กลาง ปลาย สมาธิของพระพุทธเจ้าจะต้องมี ศีล สมาธิ แล้วก็มีปัญญา เข้าร่วมกัน รู้จักศีล สมาธิ เกิดอธิศีล อธิจิตร่วมไป ทำให้เกิดวิโมกข์ จิตใจถูกกำจัดกิเลสไปเรื่อยๆ ก็เกิดกระบวนการ Process ของจิต ที่จะเกิดการจัดการทำงาน สังขารสังเคราะห์ ได้ผล
การแยกศีลออกจากสมาธิ สมาธินั้นไม่ใช่สมาธิ
ศีลก็ต้องเป็นที่พระอาริยะใคร่ อาริยะนั้นไม่ใช่แค่ฉลาดปุถุชน อาตมาใช้คำว่าอาริยะ เพราะคำว่า พระอาริยะนั้นเป็นการไปนอกรีต อรหันต์แบบเดียรถีย์ อรหันต์เก๊ อาตมาถึงไม่อยากจะใช้ภาษาแบบนั้นด้วย จึงใช้คำว่า อาริยะ คนก็มาท้วงว่าอาตมาดัดจริตเอาคำที่ไม่มีใครใช้มา อาตมาก็ว่ามีใช้ในคำว่า พระศรีอาริยเมตไตรย ก็ขอใช้คำนี้ดีกว่าเพราะว่าคำนี้เป็นอนาคต คำว่าอริยะนี้เสียไปหมดแล้ว อดีตนี้เสียหมดแล้ว เกิดConcept ว่าพระอริยะต้องเป็นแบบนั้น อรหันต์ต้องเป็นแบบนั้น อาตมาก็เลยต้องขอใช้คำว่า อาริยะ
มีคำว่าศีลอันพระอาริยะใคร่แล้ว
พระพุทธเจ้าบอกว่าคนที่ต้องการศีล คนนั้นมีความคิดแบบอาริยะ ไม่ใช่ความคิดแบบปุถุชนโลกียะ แต่เป็นความคิดของคนโลกุตระ มีอัญญา ความรู้ใหม่ที่ต่างจากความรู้เดิมที่ได้ผิดเพี้ยนแล้ว เก่าแล้ว อาตมากำลังเป็นมนุษย์ต่างดาว
อาตมามาขับจานบิน มาลงในโลกมนุษย์ยุคนี้ที่มีศาสนาพุทธ ก็เห็นว่าดวงดาวของอาตมาก็มีศาสนาพุทธ พอมาโลกลูกนี้ ก็พบว่า คนต้มยำ ศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้าเละเลย เอาไปทำปลาแดกเน่าเละหมดเลย ปลาแดกดีก็กินได้แต่ปลาแดกเน่ากินไม่ได้อีก
อาตมาก็เลยเอา ศีล สมาธิ ปัญญา ศาสนาพุทธแบบที่อาตมาเป็นมนุษย์ต่างดาวที่ทำ มาให้ทำ แบบที่ทำเน่าแล้วนั้นเสียหายต่อชีวิต เละไปด้วยเดรัจฉานวิชาไสยศาสตร์ เต็มไปด้วยการทำมาหากิน เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาเกิดอาบัติเต็มไปหมด เป็นอาบัติปาจิตตีย์จนถึงปาราชิกเต็มไปหมด อาตมาก็ว่าไม่ไหว พากันอาบัติเน่าจมอาบัติหมักหมมเน่าใน จนไม่รู้ตัวพวกเน่าก็อยู่ด้วยกัน สุดทางอาตมาก็เลยไม่ยอมเอาจานบินกลับ อยู่ที่นี่แหละ ต่างดาวลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ สร้างหมู่กลุ่มมนุษย์ต่างดาวใหม่ เอาศาสนาพุทธแบบแนวที่เราทำแบบมนุษย์ต่างดาวนี้มาใส่ตรงนี้ เขาก็ยังยึดถือแบบมนุษย์โลกเก่า ยังยึดถือธรรมะพุทธเจ้าแบบเก่า แต่อาตมาจะไปแก้ไขเขาไม่ได้ อาตมาก็มาเอาศาสนาพุทธในดวงดาวที่อาตมาอยู่มาประกาศในดาวดวงนี้ ประกาศไป
เออ มีคนในดาวดวงนี้บางคนเห็นเข้าใจว่าของเก่าที่ทำอยู่นี่มันไม่ดีก็เข้ามาๆๆ องค์นี้ก็เข้ามา…(ส.เดินดิน) องค์นี้บวชพระกับทางโน้นนะ
สมณะเดินดินว่า … ตอนนั้นพ่อครูยังไม่ได้บวชให้ก็เลยบวชทางโน้นมาก่อน
พ่อครูว่า…ก็พูดตามเหตุปัจจัยสมุทัย อาตมาก็เลยไม่กลับไปแล้วอยู่ในดาวดวงใหม่นี่แหละ เอาพุทธศาสนาที่อาตมาเอามาจากดาวดวงที่อาตมาอยู่อาศัย มาเปิดเผย อาตมาว่าพุทธศาสนาอันที่อาตมาเอามานี้ อาตมาก็มากลายเป็นมนุษย์ดาวดวงนี้แล้ว แต่ก็กลายเป็นผู้ที่มีทักษะดี มีหลักปฏิบัติในการประพฤติมั่นคงอยู่ตามพุทธศาสนาของดาวดวงที่อาตมามานี่แหละ
อาตมานี้ จะเรียกว่าเหมือนอย่างธรรมกายพยายามทำจานบินดาวดวงใหม่ อธิบายไปอธิบายมาอาตมาก็มีจานบินของอาตมา มาชาติที่แล้วก็มาลงโลกลูกนี้ แต่ไม่เหมือนกับจานบิน ดาวของธัมมชโย มาจากดาวดวงไหนก็ไม่รู้ ไม่ใช่ดาวหรอก มาจากนรก โลกันต์ ดาวโลกโลกันต์ ก็เลยเป็นไปอย่างนั้น
มาเข้าเนื้อหา ศีล ที่เป็นไปเพื่อสมาธิ เข้าเป้าเลย
ศีลเป็นตัวกำหนดอธิจิต ที่จะตกผลึกเป็นสมาธิ ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เป็นอเนญชา แล้วทำเพิ่มขึ้นให้ตั้งมั่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเป็นอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิวิมุติ สั่งสมเป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนที่เกิดมรรคผลเจริญ
สมาธิที่ไม่มีศีลเป็นตัวตั้ง ไม่มีศีลเป็นตัวกำหนด สมาธิที่ อยู่ดีๆนั่งหลับตาก็ได้สมาธิ สมาธิอย่างนี้ไม่ใช่ ศีลอันพระอาริยะใคร่แล้วเป็นไปเพื่อสมาธิ
ศีลของพระอาริยะ ที่ว่ามานี้จะทำให้เกิดสมาธิ อธิจิต อธิปัญญา อธิวิมุติ
อธิจิต เจริญด้วยปัญญาที่รู้ชัดเจน เพราะลดกิเลส กำจัดกิเลสเป็น อธิโมกข์ รู้จักอธิมุติก็เป็นวิมุติ เป็นวิมุติญาณทัสนะ
ศีลข้อที่ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ ท่านกำหนดว่าไม่ฆ่าสัตว์ คำว่าไม่ฆ่าคือเป็นหัวเรื่อง เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ ตัวความรู้บอกว่าไม่ฆ่า คุณก็ต้องหยุดงดเว้นขาด จากการฆ่าสัตว์ กรรมกิริยาของคุณเลิก เพราะคุณบอกว่าคุณเลิก ละการฆ่าสัตว์ แต่ก่อนเคยฆ่า จากเพชฌฆาตที่เคยฆ่าหมูฆ่าปลา จากเพชฌฆาตที่เคยฆ่าอะไรก็แล้วแต่ สัตว์เล็กสัตว์น้อยสัตว์ใหญ่จนกระทั่งถึง เจออะไรที่อยากฆ่า ก็ฆ่าไปเรื่อย จนกระทั่งเว้นขาด เว้นบ้าง ไม่ฆ่าแล้วก็เว้นขาดไปเรื่อยๆ เลิกไปเรื่อย วางทัณฑะ วางศาสตรา จิตเปลี่ยน มีความละอายมีหิริโอตตัปปะ แล้วมีจิตเจริญ เป็นความเอ็นดูเป็นความกรุณาเป็นความเมตตา จิตจะเป็นขึ้นมาเจริญขึ้นเรื่อยๆนี่คือ อธิจิตจะเจริญขึ้นเรื่อยๆจากศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์
จิตเกี่ยวกับสัตว์ อยู่ในโลกกับสัตว์ทั้งหลายมีแต่จิตที่หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ จะไม่ทำร้ายทำลายกันเลยไม่ว่าสัตว์ใดๆยกเว้นสัตว์ที่เล็กที่สุดคือเชื้อโรค ที่เข้ามาทำร้ายร่างกายเรา เชื้อโรคมันมีหน้าที่กินแหลกเราก็ตาย เรายังไม่อยากตาย ขออภัยจะมีวิบากอย่างไรก็ยอม ยอมเสียสละส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่ เสียสละวิบากฆ่าเชื้อโรค เซลล์น้อย เพื่อรักษาเซลล์ที่เราเป็นคนนะ รักษาส่วนใหญ่ไว้ก่อน แล้วเราก็พูดกับเชื้อโรคไม่ได้ด้วย
เราก็หวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ เราจะเกี่ยวข้องกับสัตว์ใดก็แล้วแต่มีแต่ความเมตตากรุณาหวังประโยชน์ต่อกันและกันหมด ไม่ใช้อาวุธไม่ใช่มือไม้ไม่ใช้กายหรืออะไรก็ตามไปทำร้าย อย่างเก่งก็มีปากหอก มันมาก็บอกว่าไปๆ แต่ไม่ฆ่า หลบเลี่ยงเอาบ้าง ต่างคนต่างก็ไปตามวิบาก
สัตว์โลกก็อยู่กัน ตกลงไม่ฆ่ากันมันก็เจริญงอกงามไปหมดเลยแม้แต่สัตว์ร้าย คนเราไม่ต้องไปเกี่ยวกับวิบากของเขาไม่ต้องไปอยู่ในระบบของเขา เราทำเท่านี้ เราไม่ทำไม่ฆ่า มันเกิดมากขึ้น เขาก็จะฆ่ากันเอง เขาไม่รู้ก็แบ่งไป คนไม่เชื่อคนไม่รู้ก็ทำ ขนาดพวกเราชาวพุทธยังไปฆ่าอยู่เลย แม้แต่ความเป็นสัตว์ ถ้าเรามีคุณสมบัติคุณธรรมนี้แล้ว ก็ไม่มีการฆ่าแกงกัน
คนเป็นสัตว์ใหญ่สัตว์ประเสริฐ เหนือกว่าช้างเหนือกว่าปลาวาฬ ยุคนี้ไม่เอาไดโนเสาร์มาพูด คนเป็นสัตว์ที่มีสมองมีปัญญามีความรู้ เอาอันนี้ก่อน เราไม่ต้องไปทำร้ายใคร
ใครที่ทำดีเราก็ช่วยกัน ช่วยไม่ได้ก็ปล่อย เราทำดีจนกระทั่งเขาเห็นเขามาเอาตาม เขามาเกิดปัญญา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาอิสระเสรีภาพ ไม่หลอกล่อไม่บังคับ ทุกคนมีอิสระมาเอาเองแล้วไม่หลอกล่อ คนมีปัญญาก็ต้องคัดเลือก
ชาวอโศกเราเกิดมาจะห้าสิบปีแล้ว คนตาไม่มีแววไม่มีปัญญา ก็ไม่รู้ไม่เห็น ชาวพุทธที่นึกว่าพวกนี้บ้าๆบอๆ เขามองอย่างนั้นจริงๆ อาตมาพูดไม่ผิด ไม่ได้ไปหาเรื่องเขาเป็นอย่างนั้นจริงๆ
แต่คนที่ตาดีมองเห็นแล้วยอมมา ก็ได้รับมรรคผลไป ผู้ที่ปฏิบัติธรรมแล้วตั้งแต่ศีลเบื้องต้น
ตั้งแต่ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล
จุลศีล มี 26 ข้อ ปฏิบัติไปแล้วจะเกิดมรรคผล
ข้อที่ 1 ไม่ฆ่าสัตว์
ข้อที่ 2 เกี่ยวกับข้าวของ ที่เป็นพีชนิยามจนถึงจิตนิยาม มีชีวะ ทีนี้รายละเอียดก็อธิบาย
พีชะที่เป็นชีวะไม่ใช่สัตว์ก็เป็นของแต่เป็นของที่เขาเป็นเจ้าของพืช พืชก็เป็นเจ้าของพืช ส้มโอก็เป็นเจ้าของส้มโอ มันก็เลี้ยงตัวมันเองทำให้ตัวมันเองเป็นอย่างที่มันจะเป็น เป็นส้มโอเป็นแก้วมังกร เยอะเหลือเกินบนโต๊ะนี้มีตัวอย่างพืช มันก็เกิดของมัน จะมีดอกกุหลาบดอกอื่นๆ
ของที่ไม่ใช่ของของเรา เราไม่มีสิทธิ์ อย่าไปยึดถือ อย่าไปแย่งเอามา มันจะเกิดการแย่งชิง ถ้าเราสร้างเองเรามีสิทธิ์เองไม่เกิดการแย่งชิง ทำพืชนี่แหละ
หรือสัตว์ พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เลี้ยงสัตว์ สัตว์ที่ยกเว้น บอกไว้ก่อน ไม่ควรเอามาใช้เลี้ยงเลย สัตว์ที่ควรเอามาใช้เลี้ยง ก็มีสัตว์ เช่น สัตว์ที่เอามาเลี้ยงแล้วใช้อาศัยส่วนของมันเช่นแพะ แกะ เอานมมันเป็นต้น
-
พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับแพะและแกะ.
-
พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับไก่และสุกร. เอาไว้ถ้ากินเนื้อ
-
พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับช้าง โค ม้า และลา เข้ามาอาศัยใช้แรงงาน
ส่วนสัตว์นอกเหนือจากนี้อย่าเอาไปเลี้ยงเลย แค่นี้ที่เอามาเลี้ยงแล้วมีประโยชน์ก็ยังไม่ให้เลี้ยงเลย ศีลของพระพุทธเจ้า
สรุปเลย จะมาอ้างว่าเอามาใช้งานเอามาเป็นอาหารเอามาเป็นประโยชน์อะไรก็ตามก็ไม่เอาทั้งนั้น
ศีลในจุลศีล 26 ข้อนี้
มาถึงข้อ 2 ของ
ศีลข้อที่ 3 ลึกซึ้งเกี่ยวกับทวารทั้ง 5 ทั้ง 5 เรียกกามคุณ 5 มีจิตเป็นตัวทวารที่ 6 เอามาทำงานกับปสาทรูป โคจรรูปภายนอก แล้วก็จะเกิดสภาวะเป็นเรื่อง
แต่คุณต้องอย่างไรๆคุณก็ต้องกระทบทางตาหูจมูกลิ้นกาย คุณก็จะมีจิตที่คุณจะต้อง กระทบสัมผัส ของ ดินน้ำลมไฟแม้กระทั่งพืช เพชรนิลจินดา ธนบัตร มันก็เป็นของทั้งนั้นรวมหมดแล้ว
อันใดที่มันเกิดเรื่องขึ้นไปเป็นเวทนา เป็นความรู้สึก ตั้งแต่รู้สึกอยากได้มาเป็นของเรา ที่ไม่ใช่ของๆเรา
คุณอยากได้คุณก็สร้างขึ้นมา สร้างส้มโอ เราอยากได้มัน ปลูกอย่างไรก็เรียนรู้วิธีปลูก ยิ่งรู้เนื้อว่าดีด้วย ก็เอาพันธุ์มันมา ปลูกอย่างไร อยากได้อะไรก็ทำขึ้นมาอย่างสุจริต ในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส
เสียงอย่างนี้รสอย่างนี้ ก็ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราอย่าไปละลาบละล้วง ที่สำคัญคือสัมผัสกับสิ่งเหล่านี้แล้วเกิดเวทนา 2
เวทนาเป็นตัวปฏิบัติธรรมแท้ๆ เป็นเวทนเก๊กับเวทนาจริง
เวทนาเก๊คือคนอวิชชาก็ไปติด มันสวย มันเพราะ มันอร่อย ได้มาก็ไปเสพติดมัน นี่แหละเป็นตัวทุกข์ เพราะคุณไปหลงว่าได้เสพอย่างนี้ตามต้องการ จะเป็นของๆเราได้มาเป็นของๆเรา จะเสพแต่ผลของเวทนา ดูรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส มันถูกต้องตามอารมณ์กิเลส คุณก็เป็นสุข
สุขนี้คือ อารมณ์ เก๊ของปลอม ก็เรียนรู้สุขทุกข์ที่เป็นอาริยสัจ
สุขกับทุกข์เป็นอันเดียวกัน พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเรื่องสุข สอนเรื่องทุกข์ และเหตุแห่งทุกข์ แต่สุขเป็นตัวเก๊ สภาวะเก๊ มันไม่มีหรอกสุข มีแต่ความว่าง ข คือความว่าง ว่างต่างหากแต่คุณไปเข้าใจว่าสุข ทุกข์
ก็เลยใช้พยัญชนะทุกข์ สะกดด้วย ก.ไก่ มันทุกข์ไม่ใช่สุข
ต้องเรียนรู้อริยสัจ เพื่อนดับเหตุแห่งทุกข์ ก็คือหมดทุกข์หมดสุขเป็นเวทนาที่กลางๆไม่ทุกข์ไม่สุข
จิตของคุณต้องเรียนรู้อาการเวทนาที่เป็นอุเบกขา ไม่ทุกข์ไม่สุข แล้วก็รู้ว่ามันทุกข์มันสุขให้เหลือน้อยลง เป็นอุเบกขา เหลือในๆแล้วนอกไม่มีแล้ว ก็จัดการภายในอีก
ต้องเรียนรู้สภาวะธรรมที่เป็นนามธรรม ที่ละเอียดลงไป
เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าก็จะมีจิตเจริญ ทำให้เป็นคนที่ประเสริฐเป็นคนที่ดีในโลกไม่แย่งชิง ไม่ฆ่าแกงหวงแหนไม่ติดยึด แต่ยอดขยัน
ศาสนาพระพุทธเจ้า จึงไม่เหมือนศาสนาอื่น ที่เป็นเทวนิยม ไม่รู้จักการทำเทวะ คือสอง ให้เป็น 1 หรือ 0 จนเป็น 1 เป็น 0 มีแต่ศาสนาพุทธที่ทำได้เป็นอเทวะ คือเรียกอเทวนิยม เป็นลัทธิ ไม่ไปอยู่กับ 2 ไม่จำเป็นต้องอยู่กับ 2 จนโง่กลายเป็นเอา 2 มาเป็นภพชาติ เทวดา เป็นเทวะ เป็นตัวเป็นตน รูปร่างเป็นธาตุจิตวิญญาณ เป็นเทพองค์ใดองค์หนี่งในเมถุนสังโยค 7 ไม่ใช่
ศาสนาพุทธรู้แจ้งหมดเลย เพราะทำลายความเป็นสอง เพราะว่ามีคู่ เมื่อทำเป็น1 ก็เกิดสังขารที่ไม่เกิดรส แต่สามารถทำให้สองเป็นหนึ่งได้จึงเรียกว่า เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ
คนไม่เรียนรู้เวทนา จะไม่มีทางปฏิบัติธรรมและบรรลุในศาสนาพุทธเจ้า
ต้องดูรายละเอียดของเวทนาในเวทนา 108 แล้วทำเวทนาที่เป็นตัวสำคัญเลย เรียกว่า มโนปวิจาร 18 คือเคหสิตะ 18 แล้วทำ เคหสิตะ 18 ทำให้มีอาการกิเลสออกจากความเป็นโลกีย์เป็นเนกขัมมะให้ได้ เราออกจากหรือเอามันออกไป ทำลายมันไปได้ จนจิตเป็นอุเบกขาสงบจากกิเลสเป็นที่สุด สงบจากกิเลส เป็นอุเบกขา เป็นจิตที่ไม่มีบวกไม่มีลบไม่มีสุขไม่มีทุกข์ไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก เป็นจิตอุเบกขาที่สมบูรณ์แบบ แล้วทำอุเบกขานี้ให้แข็งแรง เป็นอุเบกขาที่เป็นเองโดยอัตโนมัติ สัมผัสกับอะไรก็เป็นอุเบกขาหมดเลย พระอรหันต์มีอุเบกขาทำอุเบกขาได้ จนกระทั่งอุเบกขาของพระอรหันต์เป็นเองเรียกว่าตถตา เป็นอัตโนมัติ มีมุทุธาตุ จิตเร็วไวดูทางทวารทั้ง 6 สัมผัสแล้วรู้ตักกะวิตักกะ มีเหตุแห่งกามและพยาบาทผสมมาเราก็เอาออกได้ เรารู้ว่ากามหน้าอย่างนี้ พยาบาทแหลมมานิดนึง เรารู้ก็หมดไปเอาออกไปได้ จนกระทั่งไม่ต้องแอะเลย มันแตะปั๊บก็หลุดไปเลย เหมือนปลิงที่แตะขาที่มียาหม่อง
อย่างอาตมาตัวกิเลสไม่กล้าเข้าใกล้อาตมายิ่งกว่าปลิงกลัวอะไร พอเห็นมาแต่ไกลมันมาแต่ไกล แถมปากจัดด้วย ก็ไล่มันได้ นอกจากปากจัดแล้ว แบกทวนหนักกว่ากวนอูฟันแหลกเลย มันไม่ไว้หน้ากิเลสเลยคนนี้ กวนอูแบกทวน 80 ชั่งฟันกิเลสแหลกเลย(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะเดินดินว่า…กิเลสทุกวันนี้มีเยอะมาก คนดูบอลนี้มีแต่ เฮกับโฮ แต่เราเฉยๆเราก็สบาย
พ่อครูว่า..เป็นมนุษย์ต่างดาว พวกที่ดูบอลมีแต่ เฮกับโฮ เราก็แฮ่ๆ หรือฮ่าๆ
สมณะเดินดินว่า..ถ้าเราเอาแบบนี้ไปใช้กับทุกเรื่องก็ได้
พ่อครูว่า…ไม่ใช่แค่สมถะแต่มีวิจัยวิจารณ์ เป็นธรรมะโพชฌงค์ 7
ในพระไตรปิฎกก็มี ผู้ที่เขาเรียนมาก็มีแต่สัมผัสแล้วไม่ได้เอามาอธิบายอย่างนี้ไม่ได้เรียนอย่างนี้ พวกเราอาตมาเอามาให้ปฏิบัติก็ได้ผล คนอื่นเขาไม่รู้เรื่อง เขาไม่ศรัทธาอาตมาก็บอกว่าฟังไม่รู้เรื่อง ดีไม่ดีฟังแหล่ดีกว่า อาตมาเห็นศาสนาแล้วเปิดมาในโทรทัศน์ หลายช่องก็มีช่องธรรมะ ร้องแหล่หาเงินคนอยู่นั่น ขออภัย ใช้คำเหมาะ ดูแล้ว..เถรสมาคมท่านก็ไม่จัดการ เขาก็รู้นะไม่ใช่ไม่รู้ แต่ก็ไม่จัดการ อาตมาว่ามันจะทำอย่างไร
ยุคนี้อาตมาเกิดมามันก็มีสิ่งนี้ เถรสมาคมมีอยู่แล้ว อาตมาก็เลยเอาเท่าที่ได้
มาเข้าสู่มูลสูตร 10
-
มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) มาฟังธรรมแล้วมีฉันทะมีความยินดีว่าศาสนาพุทธต้องเป็นอย่างที่โพธิรักษ์พูดอย่างนี้หรือ ก็จะเกิดความยินดีและความยินดีก็จะทำให้มา
-
มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) อาตมาก็พาให้รู้มนสิการเป็นแดนเกิด ต้องเรียนรู้ที่จะทำให้จิตของคุณเกิด และตาย ต้องทำให้กิเลสตายทำที่ไหน ทำที่มนสิการ คือที่จิตตรงนี้แหละมนสิการ เป็นแดนเกิด ทำให้เกิดอะไร เกิดโอปปาติกโยนิ
ที่อยู่ในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 9 คุณจะต้องทำให้เกิดโอปปาติกะ คือจิตที่เป็นความเป็นสัตว์ทางจิต คุณจะต้องทำสัตว์ทางจิต ให้มาเป็นสัตว์เจริญ
สัตว์เจริญเรียกว่าอุปัติเทพ จนเป็นวิสุทธิเทพ
สมมุติเทพ คือเทพโลกียะ สุขทุกข์ๆวนเวียน
อุปัติเทพคือเรียนรู้กิเลสแล้วเอากิเลสออก เอากิเลสออกได้ตามเหตุปัจจัยก็เป็นวิสุทธิเทพ เป็นเทพที่บริสุทธิ์สูงสุดไปตามลำดับ
การจะทำให้จิตบริสุทธิ์คุณจะต้องรู้ มโนปวิจาร หรือต้องทำจิตตามมูลสูตร โดยการ
-
มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) .ศาสนาพุทธนี้ไม่มีผัสสะปฏิบัติไม่ได้ พระไตรปิฎกเล่ม 9 มีพระสูตรที่ 1 พรหมชาลสูตร เล่ม 9 ข้อ 87 [87] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน ย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยเหตุ 5 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
จะทำใจได้ต้องมีผัสสะแล้วเกิดเวทนา ทำที่เวทนา
-
มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา) จัดการเวทนาให้เป็นสมาธิ
-
มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ) ทำได้ก็มีหัวหน้าคือสมาธิเป็นประมุข ทำที่เวทนา ต้องทำเวทนา 108 ถ้าทำเวทนาในเวทนาไม่เป็นทำอย่างไร ทำให้ธรรมะ 2 เป็นหนึ่ง กายก็คือ 2 กายคือรูปนาม ผัสสะก็เกิดรูปนาม นามคือจิตเรา รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ เราก็กำจัดกิเลสในเวทนา กำจัดกิเลสออกไป ก็เกิดสั่งสมเป็นจิตที่สำเร็จสะอาด เป็นประมุขเป็นหัวหน้า เป็นตัวแกนจิตของคุณ เป็นประธานของคนเป็นจิตที่ตั้งมั่นแข็งแรงเป็นจิตเป็นสมาธิ เป็นจิต Static ของคุณ เป็นอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา ยิ่งแนบแน่นแน่วแน่ปักมั่น
โดยทำให้ธรรมะ 2 เป็นหนึ่ง เป็นหนึ่งอย่างแนบแน่นแน่วแน่แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆต้องมี Static กับ Dynamic จิตตักกะวิตักกะ สังกัปปะ ก็มีมุทุภูตธาตุ เร็วไวคล่องแคล่ว ยิ่งทำให้ฐาน Static แข็งแรงเจริญขึ้นๆ
การปฏิบัติธรรมถ้าไม่สามารถเรียนรู้ตามพยัญชนะต่างๆที่ยืนยันนี้ อธิบายรายละเอียดดังนี้ ปฏิบัติแล้วตั้งแต่สำรวมกายวาจาจิต ก็ทำที่จิตทั้งนั้น กายกระทบหรือแสดงวาจาก็มีตัว ตักกะ มีกิเลสมาสสังขาริกังก็แยกตัวร่วมในจิตที่เป็นกาม พยาบาท กำจัดเหตุนี้ได้ ก็มีอยู่อย่างนี้ไม่มีอื่นไปกว่านี้แล้ว
ทุกวันนี้มันผิดเพี้ยนไปเป็นอะไรก็ไม่รู้ไปนั่งหลับตา ยุบหนอพองหนอ ไปถึงการเอื้อมมือ บานปลายออกไปไม่รู้กี่วิธี เป็นวิธีที่สมถะ เสียส่วนใหญ่ ทั่วไป ก็เลยงอกไปเป็นอาจารย์ที่สอนสมถะเก่งต่างๆ ไม่เข้าสู่ภาคสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้า ไม่มีสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ สัมมาปฏิเวธ
เป็นเรื่องนอกรีตนอกเหล่าปฏิบัติเสียเวลาเป็นชาติไป จนกระทั่งยกย่องเป็นอาจารย์ว่าเป็นอรหันต์เก๊ เห็นว่ามีห้าสิบรูปนี้เป็นต้น
คนที่ไม่เข้าใจและยึดมั่นถือมั่น แม้จะเข้าใจแต่ไม่เชื่อว่าจริง ก็จบ เขาจะไม่เปลี่ยนแปลงเลย มีเยอะ คนแบบนี้ ใครที่ฟังอาตมา แล้วรู้ว่าเรายึดถือผิดมาตั้งนาน เราก็แก้ไขคนอย่างนี้ก็อนุโมทนาสาธุ อาตมาก็สาเปกโข ก็หวัง เป็นวิมานของอาตมา แต่อาตมาเหนือกว่าสาเปกโข อาตมาหวังก็ไม่ได้เอาเป็นของอาตมาเลย
มาเข้าเป้าอีก ศีลข้อที่ 1 ก็จะเกิดสมาธิของศีลข้อที่ 1 ศีลข้อที่ 2 ก็จะเกิดสมาธิของศีลข้อที่ 2 ศีลข้อที่ 3 ก็จะเกิดสมาธิของศีลข้อที่ 3
ส่วนศีลข้อที่ 4 ท่านแยกเป็นวาจา ศีลข้อที่ 5 ท่านแยกเป็นเรื่องของจิต ก็เป็นหลัก
เพราะฉะนั้นศีล 5 จึงเป็นหลัก
ศีลในข้อต่อๆไป ในข้อที่ 4 แยกไปเป็น
-
พระสมณโคดม ละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จพูดคำจริง ดำรงคำสัตย์ มีถ้อยคำเป็นหลักฐาน ควรเชื่อ ไม่พูดลวงโลก.
-
พระสมณโคดม ละคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำส่อเสียดฟังจากข้างนี้แล้วไม่บอกข้างโน้น เพื่อให้คนหมู่นี้แตกกัน หรือฟังจากข้างโน้นแล้วไม่บอกข้างนี้ เพื่อให้คนหมู่โน้นแตกกัน สมานคนที่แตกกันแล้วบ้าง ส่งเสริมคนที่พร้อมเพรียงกันแล้วบ้าง ชอบคนที่พร้อมเพรียงกัน ยินดีในคนที่พร้อมเพรียงกัน เพลิดเพลินในคนที่พร้อมเพรียงกันกล่าวแต่คำที่ทำให้คนพร้อมเพรียงกัน.
-
พระสมณโคดม ละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบกล่าวแต่คำที่ไม่มีโทษ เพราะหู ชวนให้รัก จับใจ เป็นคำของชาวเมือง คนโดยมากรักใคร่ ชอบใจ.
-
พระสมณโคดม ละคำเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อพูดถูกกาล พูดคำจริง พูดอิงอรรถ พูดอิงธรรม พูดอิงวินัย พูดคำมีหลักฐาน มีที่อ้าง มีที่กำหนด ประกอบด้วยประโยชน์ โดยกาลอันควร
-
พระสมณโคดม เว้นขาดจากการพรากพืชคามและภูตคาม
-
พระสมณโคดม ฉันอาหารหนเดียว เว้นการฉันในราตรี งดการฉันในเวลาวิกาล (วิกาลคือ เวลาที่กำหนดไว้ว่าไม่กินหรือกิน เช่นไม่กินกลางคืนไม่กินเนื้อสัตว์เป็นต้น)
-
พระสมณโคดม เว้นขาดจากการฟ้อนรำขับร้องประโคมดนตรี และดูการเล่นอันเป็นข้าศึก บางคนพาซื่อว่าดูไม่ได้เลย แต่ที่เป็นข้าศึกแก่กุศลคืออย่างไร เพราะการฟ้อนรำการขับร้องการละเล่นก็เป็นศิลปะเหมือนกัน มีศิลปะเป็นมงคลอันอุดมไม่ใช่ข้าศึกแก่กุศล ต้องมีปัญญาดูสิ่งเหล่านี้อย่างไม่เป็นข้าศึกแก่กุศลก็ไม่ผิดศีลข้อนี้ นี่ไม่ใช่จะชี้โพรงให้กระรอก ใครบอกความละเอียดลึกซึ้งของสิ่งที่ควรจะต้องประพฤติปฏิบัติให้ตรง อย่าพาซื่อจนกระทั่งไม่มีขั้นตอน อย่าว่าแต่ร้องเพลงเลย อาตมาแต่งเพลงด้วย แต่เพลงของอาตมาไม่เป็นข้าศึกแก่กุศล เพลงของอาตมาเป็นมงคลอันอุดมเป็นโลกุตระ เป็นธรรมะเป็นสาระ
จริง อาตมาเคยแต่งเพลงที่เป็น ราคะ แต่อาตมาไม่เคยแต่งเพลงลามก
อาตมาแบ่งเพลงเป็น ลามก ราคะ สาระ ธรรมะ โลกุตระ
อาตมาแต่งเพลงอย่างน้อยก็มีสาระ เช่น แดดเรืองแสงร้อนแรงคลุมหล้าวับวาม อย่ามัวหลงเวลาล่วงเลยลับไป เป็นต้น หรือว่า หมู่มวลดอกไม้มาลี ..เป็นต้น อาตมาแต่งตั้งแต่อายุไม่ถึง 20 ปี เพลงผกาดั่งนารี แต่งตั้งแต่ 2494 ตอนนั้นอายุ 17
ก่อนสิ้นแสงตะวันก็แต่ง 2495 อาตมาแต่งเนื้อร้องจากทำนองของ สง่า ทองทัช
อาตมาก็ได้รับความรู้ทางดนตรีจาก สง่ามา ตอนนี้ตายไปแล้วล่ะ ก็ทำงานร่วมกันมา อาตมาชอบเรื่องนี้
จนมาเป็นพระ อาตมาก็เลยเอาอันนี้มา และแต่งเพลงโลกุตระ อาตมาไม่พูดถึงเพลงราคะเลย อาตมาอายทิ้งไปเลย ตอนเป็นฆราวาสมีแต่ก็ไม่มากเหลือแต่เพลงซากรักกระมังเป็นเพลงรักน้ำเน่า อย่างนี้เป็นต้น เพลงพิไรรัก ทุกวันนี้เอาแต่เพลงสาระธรรมะโลกุตระ เป็นมงคลอันอุดม
-
พระสมณโคดม เว้นขาดจากการทัดทรงประดับตกแต่งร่างกาย ด้วยดอกไม้ของหอม และเครื่องประเทืองผิว ซึ่งเป็นฐานแห่งการแต่งตัว.
คนที่มองเกินไปไม่แตะเลย อย่างคุณจำลองบอกว่า อย่าเอาดอกไม้มาประดับบนโต๊ะเลยอย่างนี้มันก็แข็ง อาตมาต้องทำงานกับสังคมก็เอามาประดับได้บ้าง ไม่ได้เอามาทัดหูนะ
-
พระสมณโคดม เว้นขาดจากที่นอนที่นั่งสูง และที่นอนที่นั่งใหญ่ ไม่ใช่พาซื่อนะ อย่างนอนในศาลานี้ก็ใหญ่นะ ก็นอนได้ แต่ว่าบางทีมันมีความจำเป็น เป็นไฟท์บังคับแล้วต้องนอนอย่างในโรงแรม ก็ต้องนอน ถ้าบอกว่าไม่นอนจะไปนอนร่มไม้ แต่ไปกับคณะ คณะเขานอนโรงแรมหรูหรา แต่เราก็ขอนอนรุกขมูลโคนไม้ หาร่มไม้ของโรงแรมบางทีก็หาไม่ได้
-
พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับทองและเงิน. เดี๋ยวนี้พูดกับพระไม่รู้เรื่องแล้วพระเขาบอกว่าไม่มีเงินอยู่ไม่ได้ พระไม่มีเงินจะอยู่ได้อย่างไร? ชาวอโศกก็จะบอกว่า พระที่ไม่มีเงินมีทองก็อยู่ได้อย่างนี้แหละ ในยุคเดียวกันไม่ใช่คนละยุค อาตมาก็เดินทางวันนี้มาตั้ง 700 กว่ากิโลเมตร ก็ไม่เห็นต้องมีเงินสักบาท ญาติโยมเขาก็ช่วยดูแลให้ เราไม่จำเป็นต้องไปจ่ายเอง ซึ่งไม่เป็นปัญหาเลย ไม่มีเงินทอง เขาบอกว่าจะกินข้าวยังไง หากไม่มีใครเลี้ยงไว้ก็จะตายแน่นอน แต่ว่าอาตมามีคนเลี้ยงไว้
ชีวิตนี้ให้คนอื่นเลี้ยงไว้สบาย หมู่กลุ่มเขาไม่ปล่อยคุณหิวหรอก คนที่ไม่เชื่อมั่นในตัวเองว่าชีวิตของเราไม่มีเงินจะอยู่ได้อย่างไรมันจะได้หรือ มันต้องเลี้ยงตัวเอง แปลว่าพระพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว ชีวิตนี้เป็น ปริปฏิภัทาเมชีวิกา ชีวิตนี้เนื่องโดยผู้อื่น ปฏิบัติตนเองให้เป็นอะไรล่ะ เป็นโสดาบันก็สอนโสดาบัน เป็นอาริยะขั้นไหนก็สอนขั้นนั้น คนเขาก็จะเลี้ยงไว้ คุณทำให้ถึงก็แล้วกัน
แค่นี้ตอนนี้ก็กำลังออกฤทธิ์ เขากำลังปราบเรื่องเงินทอน แต่ที่จริงยังไม่ได้ปราบเรื่องเงินจริงนะ ปราบแค่เงินทอนนะ ก็ค่อยรุกเข้าไป จนถึงตัวแท้ เอาแค่เงินทอนยังยุ่งถึงขนาดนี้ ถ้าเงินโกง เงินกินเมื่อไหร่ก็หนุกแน่นอน
สมณะเดินดินว่า…พ่อครูพยายามทำให้เราเข้าใจว่าศีลแต่ละข้อจะทำให้เราสู่สุคติ …จบ
พ่อครูว่า…ถามอย่างนี้พวกเราฆราวาส มีไหมที่ไม่สะสมเงินทองส่วนตัวเลย …ที่นี่ไม่มี แต่บ้านราชฯมีนะ