610810_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก สัตบุรุษผู้มาแจกแจงวิชชา 8 ของพุทธ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1X7G1EGUKQpbuK9KqK20Yrn4XX3cFxE394Y_dEi10Tcw/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1a27IJaTPQgy2ppB4hch_52JqxUfyd3sr
สมณะเดินดินว่า…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม 2561 ที่บวรสันติอโศก ช่วงเข้าพรรษาพ่อครูมีโอกาสไปที่สันติอโศกและปฐมอโศก ก็เป็นนิมิตหมายที่ดี ทำให้เราเห็นบรรยากาศของแต่ละชุมชนได้มารวมตัวกัน ความจริงพ่อครูมีแสดงธรรมทุกเย็น แต่ถ้าพ่อครูไม่มาก็ไม่มีการรวมตัวกัน ฟังเหตุผลว่า ตอนเย็นเป็นเวลาที่ทุกคนติดงาน ไม่สามารถจะมาฟังธรรมรวมตัวกันได้ รู้สึกเป็นห่วงอีกอย่างว่า ในความเป็นอยู่ร่วมกัน อุดมการณ์สาธารณโภคี จะมีทิฐิเสมอสมานกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีศีลเสมอกัน มีข้อประพฤติปฏิบัติสอดคล้องกัน แต่ความเป็น เอกีภาวะชาวอโศกที่เป็นอย่างเดียวกันเพราะได้รับการปลูกฝังสัมมาทิฏฐิมาอย่างยาวนาน ก็ไม่รู้ว่าฟังธรรมกันแต่ไหนในปัจจุบัน นานไปก็น่าเป็นห่วง ความเห็นที่จะหลอมรวมกัน ก็จะแตกแยก จะมีความเป็นหนึ่งเดียวกันได้นั้นจะต้องได้รับสัมมาทิฏฐิที่สอดคล้องกันก่อน
แม้ว่าเราจะไม่ได้อยู่ในสถานที่เดียวกับพ่อครู แต่เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีก็ทำให้เราเข้าถึงได้เกือบพร้อมกัน มาครั้งนี้ก็เห็นความรวมกันของสันติอโศก ทางไปปฐมอโศกก็คงจะเป็นภาพที่คล้ายกัน คิดว่าในวาระ 84 ปีของพ่อครู 48 พรรษา ถ้าชาวอโศกสามารถรวมพลังเพิ่มพูนสัมมาทิฏฐิกันให้ได้ทุกเย็นๆ น่าจะเป็นนิมิตหมายที่ดี
พ่อครูว่า…อาตมาไม่ได้มาเดือนที่แล้วก็ไม่ได้มา ตอนนี้ไม่อยากเดินทางเท่าไหร่มันเมื่อย ก็ไม่อยากเดินทางไปไหน แต่ก็ไม่ได้อ่อนแอ แข็งแรงอยู่ ยังวิดพื้นได้ 46 ทีแล้ววันนี้ เกือบจะห้าสิบ ออกกำลังกายเพราะว่าชีวิต 8 อ.ของอาตมา ใช้ดูแลสังขารร่างกาย เรื่องออกกำลังกายเป็นเรื่องที่จะต้องตามใส่ชีวิต แต่ตอนเด็กๆก็ไม่ต้อง เพราะมันวิ่งมันซนอยู่แล้ว แต่ว่าเมื่อโตขึ้นแล้วอายุมากขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่เติมก็จะไปเร็ว
พ่อครูว่า ก็โอภาปราศรัยกับ sms
_จากพี่น้องกลุ่มอโบสถศีล …พี่น้องชาวอโศกคะในฐานะเป็นคนอิสาน รุ่นเก่าแก่ ขอติงคำว่า สำมะปี๋ซี่วิต ที่จริงเคยพูดแต่ว่า สัมปะปี๋ ไม่เคยได้ยินคำว่า สำมะปี๋ เปิดดูในพจนานุกรม ไม่มีคำนี้ ฉะนั้นใครรู้จริงกรุณาอธิบายหน่อยค่ะ
พ่อครูว่า…สำพำปิ แปลว่ามากหลาย มาเพี้ยนเป็นไทยก็คือ สำมะปิ ที่อาตมาว่า คนนี้แย้งว่า สำปะปี๋ ไปเปิดพจนานุกรมภาษาไทยไม่มีหรอก ราชบัณฑิตยสถาน
ก็ไม่ได้พูดเพื่อเอาชนะคะคานอะไรกันพูดเพื่อเป็นความรู้นะ
_จากปุ้ย …ในสมัย พระพุทธเจ้า พระสารีบุตร เป็น พระโพธิสัตว์ระดับไหน และ พระโมคคัลลานะ เป็น พระโพธิสัตว์ระดับไหนคะ
พ่อครูว่า…มันคนละกาละ ระดับไหนก็ช่างท่านเถิด ยุคโน้นมัน 2,000 ปีตอนนี้ก็เอาตอนนี้เถอะ ไม่ชัดเจนเท่าเอาอาตมานี้แหละ โพธิสัตว์ระดับ 7 ก็แล้วกัน อาตมาชาตินี้เกิดมาเป็นนายรัก รักพงษ์ อย่าให้ผิดตัวสิ เอาปัจจุบัน เป็นความจริงหลักที่สำคัญ
ทางการบ้านการเมืองตอนนี้ เกี่ยวกับการที่จะส่งผู้ร้ายข้ามแดน คือทักษิณยิ่งลักษณ์ คดีอาญากับคดีการเมืองต่างกัน คดีการเมืองเขาถือว่าเป็นเกียรติด้วยซ้ำไป แต่คดีอาญานั้นเป็นการขี้โกงชัดๆ ถ้าผิดทางการเมืองไม่เสียหายแต่ถ้าผิดอาญา เช่นการโกงมันเสียหาย นี่ทักษิณยิ่งลักษณ์ ก็มีความผิดทางอาญา ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ มันตราชีวิตของเขาไว้ มันก็เป็นวิบากของประเทศนะ ได้คนมาบริหารประเทศก็เป็นคนขี้โกงทุจริต อาตมาก็ขอพูดถึงการเมือง
อาตมาเขียน นัยปก หรือว่าเหมือนบทนำของหนังสือพิมพ์เราคิดอะไรทุกเดือน พูดถึงเรื่องการบ้านการเมืองเป็นหลัก แต่ก็อยู่ในทางธรรมะ อาตมาปางนี้อะไรๆก็ต้องมีธรรมะไม่มีธรรมะไม่ได้หรอก ไม่มีธรรมะก็บรรลัย อะไรๆก็ต้องมีธรรมะ
SMS วันที่ 8 สค. 2561 (พ่อครู : บวรสันติอโศก)
_Workshops ไพศาล · ระบบภาพคมชัดระดับHD
_ไฟธรรม นาวาบุญนิยม · กราบมนัสการค่ะพ่อครู ภาพชัด เสียงแจ๋วมากค่ะ ที่ จ.ร้อยเอ็ด
_นางเกดมนี สุขสวรรค์ · ກາບນະມັດສະການພໍ່ທ່ານທີ່ເຄົາລົບຢ່າງສູງຕິດຕາມຊົມພໍ່ທ່ານຕະຫຼອດຂ້ານອ້ຍ กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพอย่างสูง ติดตามชมพ่อท่านตลอด ขะน่อย
_บุญชัย ตั้งสำราญจิต · คุ้มค่าที่สุดในชีวิตที่ได้พบและฟังธรรมของพ่อท่าน.
พ่อครูว่า…คนเห็นค่าก็เห็นนะ แต่คนไม่เห็นค่าก็พูดไปบ้าบออีก น่าสงสาร อาตมาก็ขอยืนยันว่า อาตมาเป็นคนมีสติสัมปชัญญะดี ไม่ได้เป็นคนพิการ ไม่ได้เป็นคนหาเรื่องหาราวเป็นคนจริงจังด้วยนะ จริงจังต่อชีวิต จริงจังต่อสิ่งดีงามของความเป็นมนุษยชาติของความเป็นสังคม
อาตมาไม่ได้ทำงานไร้ค่า แต่ทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ต่อสังคม อาตมาทำงาน คุณมาได้ฟังคุณบอกว่าคุ้มค่าที่สุดในชีวิตที่ได้ฟังธรรมพ่อท่าน อาตมาก็ว่าถูกแล้ว คนไม่ได้ฟังธรรมะอาตมาก็ไม่เกิดคุณค่า ยิ่งคนดูถูก ก็เป็นคนหาค่าไม่ได้เลย ไร้ค่าเลย นี่อาตมาพูดความจริงนะ อาตมาเป็นคนพูดความตรง ไม่เลียบเคียง พูดอะไรตรงๆ
_สราวุธ บุญญโก · เขาว่าการบรรลุมี ๔ สายด้วยกัน คือ สุขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต แบบที่พ่อครูอธิบาย เป็นการปฏิบัติแบบสุขวิปัสสโก “สุขวิปัสสโก”คืออะไรครับ
พ่อครูว่า…เขาว่าใช้วิปัสสนาในปัจจุบันแล้วเป็นสุข ลดละกิเลสได้แล้วก็พบความสุข ซึ่งอาตมาว่า “สุขวิปัสสโก” คำนี้ ในพระไตรปิฎกไม่เคยเห็นเป็นคำในคัมภีร์วิสุทธิมรรคของอรรถกถาจารย์มาพูดเอาเอง ซึ่งมันได้ผิดเพี้ยนไปแล้ว ศาสนาพุทธนั้นวิปัสสนาเพื่อให้หมดโศกหมดทุกข์ ไม่ใช่วิปัสสนาให้เกิดแต่ความสุข “สุขวิปัสสโก” จึงเป็นคำที่วิบัติ
ความหมายก็คือ วิปัสสนาให้เกิดความสุข ปัสสะแปลว่าเห็นด้วยตาเปิด ไม่ได้หลับตา เรียกว่าวิปัสสะ วิปัสสี วิปัสโก โกคือ ผู้นั้นที่ใช้การสัมผัสเห็น ทางทวาร 6
เตวิชโชแปลว่า วิชชา 3 คือการเข้าไปตรวจสอบจิต จะหลับตาหรือไม่ก็ได้ คือการเพ่ง จะเรียกว่า ใช้สมาธิก็ได้ จะเรียกว่าการทำจิตให้ไปตรวจสอบโดยการนึกคิด ถึงสิ่งที่ผ่านมาแล้ว บุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกว่ากิเลสอะไรเกิดกิเลสอะไรดับ ดับแล้วหรือยัง ก็คือการตรวจสอบกิเลส ตรวจสอบดูว่ากิเลสเราหมดสิ้นก็เป็น อาสวักขยญาณ อาสวะดับหมดหรือยัง
จะตรวจสอบเมื่อไหร่ หากไม่ตรวจสอบก็ไม่รู้ว่าได้หรือเสีย ทำไปป่วยการ
ฉฬภิญโญแปลว่า เขาตัดหัวหางของวิชชา 8 เอาแค่ 6 ก็คือ ฉฬภิญโญ เป็นความรู้ 6 อธิบายแบบเจโตก็เป็นเรื่องของตัวตนบุคคลเราเขาเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ไปเสีย
เริ่มต้นวิชชา 8 ตั้งแต่ มโนมยิทธิ อธิบายอย่างเจโต ก็จะเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ เทศนาปาฏิหาริย์
ทิพยโสต คือรู้ละเอียดยิ่งขึ้น เจโตปริยญาณก็ยิ่งเก่งทางจิต หยั่งรู้ใจคนได้ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะเดินดินว่า..เจโตปริยญาณ หากเราไม่ได้ฟังพระครูก็จะเข้าใจผิดไปมาก
_เชวง กิจจะบรรณ์ ..เพื่อนส่งมาว่า.. วันที่ 20นี้ ที่หลักเมืองคับว่างๆเชิญนะคับ,สวดดาวนพพระเคราะห์อีกคับ โดยอาจารย์ สมนึก วัดหรงบนคับ บวงสรวง 9.00น. สวดดาวนพเคราะห์ 13.00น.
ผมตอบเขาว่า.. เพื่อนรักเราศิษอโศกแต่ก็ไม่ได้ต่อต้านความเชื่อของคนอื่นนะเพื่อน
พ่อครูว่า…การสวดมนต์จะลากเสียงยาวไม่ได้ใส่ทำนองไม่ได้ ก็ผิด เป็นคีตะ ทุกวันนี้น่าสงสารศาสนา ไปพูดพยัญชนะ สระ สวดก็คือการแสดงธรรมะเป็นภาษาออกมา ก็ต้องให้มันตรง ไม่เช่นนั้นมันกลายเป็นแบบโลกๆ ไม่เช่นนั้นก็เหมือนกับศาสนาอื่นเขาก็สวดแบบที่มีทำนองทั้งนั้น แต่ศาสนาพุทธไม่ให้ทำแบบร้องเพลงหรือลากเสียงอันยาว
พวกที่พาเพี้ยนตอนแรกคือพระฉัพพังคีย์ ก็พาสวดผิดเพี้ยนไป คำสวดท่านอนุญาตแค่สรภัญญะคือออกเสียงตามสระ พยัญชนะ ไม่ลากยาวหรือใส่ทำนอง ศาสนาพุทธต่างจากเขาอย่างนั้น แต่ทุกวันนี้ไม่เหลือเลย เอาธรรมบทมาสวด
ถ้าหากว่าจะสวดแบบปณามคาถา เป็นคำแต่งขึ้นในภายหลังเพื่อยกย่องเชิดชูพระพุทธพระธรรม พระสงฆ์ ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้าโดยตรง ทำแบบนั้นก็เป็นการร้องแบบคนทั่วไป มันไม่ได้อยู่ในแนวของศาสนาพุทธ แต่ศาสนาอื่นเขาก็สวดกันแบบมีทำนองแข่งขันกันด้วยซ้ำ แต่ศาสนาพุทธนั้นห้าม และเป็นอาบัติด้วย
ประเด็นสวดในมุสาวาทวรรค ข้อนี้ ผู้รู้ในศาสนาพุทธตอนนี้ไม่เข้าใจกัน จะเป็นปราชญ์ทางศาสนาขนาดไหนก็ไม่เข้าใจ หรือเข้าใจแต่ท่านไม่เอาถ่าน
ประเด็นที่พระพุทธเจ้าห้ามคืออย่าเอาธรรมบทมาสวดพร้อมกัน 2 คนต่อหน้าสาธารณะ เพราะจะกลายเป็นกิจที่ใช้เลี้ยงชีพหากิน แต่ทุกวันนี้กลายเป็นเรื่องหาเงิน ท่านกันเอาไว้อย่างนั้นเลย ให้คุณไม่ต้องมาบวชเป็นพระแล้วอาศัยการท่องบ่นการสวดให้แก่ฆราวาส คุณไม่ต้องกังวลหรอก ปฏิบัติธรรมให้ดีให้บรรลุธรรมให้ได้ ท่องสวดไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่ถนัดเราก็ไม่ต้องท่อง ทำให้บรรลุธรรมแล้วก็พูดภาษาของเรา พูดและอธิบายให้ฟังเป็นภาษาของเรา เอาที่เราบรรลุนี้พูดได้ ก็ได้ แล้วพวกคนธรรมดา ฟังคนที่ไม่ท่องเป็นภาษาธรรมะมันยิ่งเข้าใจดีด้วยซ้ำไป เอาคำพวกนี้มาทำอย่างยึดถือ โดยไม่เข้าใจเจตนาที่ท่านมุ่งหมาย เอามาใช้เอามาทำ ก็เลยเสียไปหมดเลย จนกระทั่งไม่เข้าใจจริงๆ เอาธรรมบท เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาทำเสียเละเทะ เละจนกระทั่งทุกวันนี้ศาสนาพุทธเหลือแต่การสวด ในราชพิธีก็มีแต่การสวด งานทางการศาสนาก็มีการสวด พิธีการทางสังคม ถึงขั้นราชพิธี สวดเท่านั้นแหละเป็นใหญ่ และคนฟังก็นั่งประนมมือ นั่งไป มันน่าสงสาร
ถ้าราชพิธีเอาผู้รู้มาสาธยายธรรมะ ก็ติดตามอยู่นะ ถึงราชพิธีก็จะมีมานั่งตามเป็นลำดับ มีกำหนดยศชั้นแต่งเครื่องทรงด้วยนะ พระก็มีหน้าที่มา แต่ก็มีแต่พิธีสวด ถือตาลปัตร ไม่ได้เป็นตัวของตัวเองไม่ได้เป็นเรื่องของธรรมชาติไม่ได้เป็นเรื่องที่น่ารู้ ราชพิธี มีใครมานั่งฟังเราติดตามอยู่นะงานท่านเป็นอย่างไร ขอแนะนำหน่อยนะ ในฐานะเราเป็นนักธรรมะให้ประโยชน์แก่ท่านเลยถึงจะเป็นคุณค่าอย่างมาก นี่ไปก็ไปนั่งทำพิธี นั่งสัปหงกเมื่อไหร่จะเสร็จเสียที อาตมาดูแล้วน่าสงสาร มันเป็นเรื่องเลวร้ายเป็นเรื่องเสียหายไม่เกิดประโยชน์อะไร
สรุปอีกที ศาสนาพุทธทุกวันนี้กลายเป็นเหลือแต่การสวดแล้วเลี้ยงชีพหากินด้วยการสวดตั้งแต่ระดับต่ำ ล่อแรพ ล่อแหล่ สวดกันครึกครื้นเลย ญาติโยมเมื่อไหร่จะได้เงินสักที ว่าไปเรื่อย ทุเรศทุรังการ เบื้องบนก็แบบบนเบื้องล่างก็แบบล่าง เรามาบวชแล้ว เราทำอย่างไร ก็ท่อง 12 ตำนาน 7 ตำนาน คุณต้องท่องให้ได้นะ นี่เป็นบทที่ใช้หากินเลยนะ ไม่อย่างนั้นถือว่าไม่ได้บวชพระเพราะไม่มีบทหากิน
_หลวงปู่ครับ ผมสงสัยว่า ทำไมคนบางคนถึงชอบเรียกร้องขอความช่วยเหลือพอเราไม่ช่วยเขาก็ชอบอ้างโน่นนี่เพื่อให้เราช่วยเขา แต่พอเราต้องการขอความช่วยเหลือ เขากลับปล่อยให้เราทำคนเดียว บางทีเขาทำงานเขาเสร็จเราก็กลับ ไม่มาช่วยเหลือกัน แต่พอเราทำเสร็จ เราจะกลับ เขาก็ขอให้เราช่วย โดยอ้างคำว่า เพื่อนกันจริงหรือเปล่า?… ผมสงสัยจังครับ
พ่อครูว่า…เอาน่า รอได้ทำงานช่วยเพื่อนเขาจะขอร้องทำก็ทำเถอะนะ ยิ่งทำงานยิ่งเป็นคุณค่ามากนะไม่ต้องไปเกี่ยงหรอก เขาจะขี้เกียจเอาเปรียบบ้างก็ให้เขาเอาเปรียบไปเถอะ เราต้องคิดถึงธรรมะให้ดี คนเอาเปรียบเราให้เราทำงาน ถ้าเขาเอาเปรียบให้เราพาเอาไปทำอกุศลกรรมทุจริตก็ว่ากันไปจะไม่ทำ ก็เกี่ยงได้ แต่ถ้าหากเพื่อนชวนทำงานที่มีประโยชน์คุณค่าก็ขยันเข้า ถ้าชวนไปทำไม่ดีก็หาทางเลี่ยง ถ้าพาทำดีก็เป็นบุญกุศล เราทำเสร็จก่อนก็ได้ไปช่วยเพื่อนเราทำงานมากขึ้น ก็ได้เป็นกำไรทั้งนั้นเป็นของดีทั้งนั้น คิดให้ชัดๆถึงๆ มันไม่ใช่เรื่องเสียหาย
ใครทำงานแลกลาภ มิจฉาอาชีวะข้อที่ 5 อย่าไปคิดถึงการแลกเปลี่ยน ได้ทำงานที่ดีแล้วก็เป็นกุศลประโยชน์ของเราเองได้แล้ว เรามีงานเราก็ทำ งานคนอื่นให้ช่วยก็ไปทำมันก็ดี ถ้ามันไม่มีเวลา กำลัง ก็ว่าไป การได้ทำงานมากๆ แล้วเป็นคุณค่า แต่งานที่เสียหายก็ไม่ควรทำ หรือถ้าเราทำแล้วจะเสียหายเด็กทำแล้วจะเสียหายก็เขาไม่อยากให้ทำ เขาอยากให้เราทำนั้นดีแล้ว คิดให้ถึงๆ
SMS วันที่ 9 สค. 2561 (สำมะปี๋ซีวิต)
_3867 เห็นพ่อครูอยู่ท่ามกลางญตธ.นร.สัมมาฯสันติอโศกในวงสำมะปี๋ซีวิต เหมือนเห็นพ่อครูอยู่ท่ามกลางธ.สาราณียะ,ปิยะกรณะ,ครุกรณะ,สังคหะ,อวิวาทะ,สามัคคียะ,เอกีภาวะ,ในบวรพอเพียงจริงๆ!
_สงคราม อัฐบูรณ์.. พ่อท่านคับกิเลสของการใช้หนี้หมายถึงอะไรคับ แล้วเราควรทำไง ในเมื่อหนี้นั้นเราไม่ได้ก่อ
พ่อครูว่า…ตอนเป็นฆราวาส อาตมาเป็นลูกหนี้ชั้นดีของธนาคารเลยนะ ใช้หนี้ตรงเวลา จะมาเป็นหนี้ใครก็ไม่มีปัญหา นี่คือชีวิตสมัยเป็นฆราวาส เป็นเรื่องที่พูดไปแล้วเหมือนโก้มาก สมัยโน้น ทำไมเราเจอแต่แบบนี้ คนมาขอเงินใช้คนมาขอเงินคืนหนังสือ แม้แต่คนอิสลามก็มาขอเงินเรียนหนังสือ เราก็ถามว่าทำไมมาขอทั้งที่เป็นอิสลามเราเป็นพุทธ ก็บอกว่าเชื่อว่าท่านต้องให้ เราก็ไม่รู้เป็นไงชีวิตเป็นแบบนั้น
_ดาวฝัน · กราบนมัสการท่านพระครูเจ้าค่ะสุขภาพแข็งแรงนะคะให้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกหลานชาวอโศกตลอดไปนะคะ
_ปุญญะ ธรรมะ…จากกรณีของปะดาวบุญ แม้จะทำกุศลไว้มากแต่วิบากยังตามทัน หรือแม้แต่พระพุทธเจ้า วิบากก็ตามทัน… อยากให้พ่อครูช่วยขยายความ เรื่องที่แม้เราทำดีก็ยังมีวิบาก และถ้าไม่ทำดี วิบากจะมากขนาดไหน เป็นอย่างไรคะ …
พ่อครูว่า…ปะดาวบุญ ตอนแรกจะแย่ใกล้เป็นมนุษย์พืชแล้วแต่ตอนนี้ก็รับรู้ได้มากขึ้น
มันก็ดี คุณได้ประเด็นนี้ ขนาดพวกเรามาปฏิบัติดี วิบากยังมี หากเราไม่ได้ปฏิบัติ ทางโลกจะได้ขนาดไหนก็ทางใครทางมัน ไม่ขยายความมากกว่านี้หรอก เรื่องกรรมวิบากเป็นเรื่องอจินไตย ก็เอาล่ะ…ไม่พูดมากเรื่อง
อาตมาพูดเกริ่นไว้แล้วจะขอพูดเรื่องวิชชา 8
วิชชา8 ประการต้องศึกษา ต้องใช้ ไม่อย่างนั้น ปฏิบัติธรรมไม่เกิดผลดี ศาสนาพุทธคือ วิชชาจรณสัมปันโน จรณะ 15 วิชชา 8 นี่คือศาสนาพุทธ เป็นพุทธคุณจริงๆ
ถ้าเราไม่รู้เราไม่ได้ประโยชน์จากวิชชา 8 เราก็ไม่ใช่ชาวพุทธ ก็ต้องได้ประโยชน์จริงจัง
-
วิปัสสนาญาณ (ความรู้แจ้งเห็นจริง – หรือรู้ความจริงในเหตุที่มีความจริงเกิด .. รู้กิเลสตายจริง อกุศลดับจริง) . .
-
มโนมยิทธิญาณ (ความมีฤทธิ์ทางจิต ที่จิตสามารถ เนรมิต “ความเกิด” อย่างใหม่ขึ้นมาได้) .
-
อิทธิวิธญาณ (จิตมีอานุภาพในการบรรลุขจัดทำลายกิเลส ได้หลากหลายวิธี) . . ดู พตปฎ.9/133
-
ทิพโสตญาณ (สามารถแยกแยะ การได้ยินสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้ง เช่น กิเลสปะปนมากับคำร่ำลือ กับเสียงที่เกินกว่าคนธรรมดาเขาจะรู้นัยยะได้)
-
เจโตปริยญาณ (กำหนดรู้ความแตกต่างในจิตขั้นอื่นๆ ของตนได้รอบถ้วน) &
-
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (การย้อนระลึกถึงการเกิดกิเลสเก่าก่อน มารู้อริยสัจจะจนหายโง่จากอวิชชา)
-
จุตูปปาตญาณ (รู้เห็นการเกิด-การดับของจิตที่ดับเชื้อกิเลส แล้วเกิดเป็นสัตว์เทวดา หรืออาริยะสัตว์) .
-
อาสวักขยญาณ (ญาณที่รู้การหมดสิ้นอาสวะของตน)
(พตฎ. เล่ม 9 ข้อ 127-138)
ฉฬภิญโญ เขาว่า ตัดข้อ 1 กับ 8 ออกไป
แต่ของพระพุทธเจ้านั้นต้องขึ้นต้นวิปัสสนาญาณเป็นหัวต้น คือต้องดูในขณะตาเห็น จมูกรับกลิ่น มีทวารทั้ง 6 เปิดรับมีผัสสะ คำว่าปัสสะ ปัสสิ แปลว่าเห็นการเกิด
เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธหลับตาปฏิบัติจึงเป็นการปฏิบัติที่ผิดไปเลย การหลับตาปฏิบัติไม่มีในระบบของศาสนาพุทธเลยขอยืนยัน อธิบายเป็นอานาปานสติ นั่งตั้งกายตรงดำรงสติคงมั่น ไม่มีคำว่าหลับตาอยู่ในอาณาปานสติเลยสักคำ คุณไปหลับเอง คุณจะนั่งตั้งกายตรงคู้บัลลังก์หรือเตวิชโชก็ได้ แต่ การปฏิบัติธรรมะพุทธเจ้านั้นอยู่ในชีวิตประจำวัน
ทำงานอาชีพทำการงานทุกอย่างอยู่ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจาอยู่ในมรรคมีองค์ 8 มีสัมมาวายามะ สัมมาสติ ช่วยในการปฏิบัติ ในขณะทำงานอาชีพในขณะพูดในขณะคิด มีสัมมาทิฏฐิเป็นประธาน ก็ทำครบในมรรคมีองค์ 8
ในการเข้าใจผิดไปนั่งหลับตาปฏิบัติ มันถึงทำให้ศาสนาเสื่อมจนกระทั่งหลงผิดไปเลย ว่าการปฏิบัติธรรมนั้นต้องหลับตาต้องนั่งสมาธิ จะทำสมาธิต้องนั่ง ต้องหยุดไปหาสถานที่ต้องหยุดทำงาน แล้วก็สะกดจิตเข้าไป ดีไม่ดีก็หลับตาด้วย แต่นั่งอยู่เฉยๆก็ผิดมรรคมีองค์ 8 แล้วเพราะในมรรคมีองค์ 8 ไม่มีให้บอกนั่งเฉยๆ จะให้ทำการงานด้วย ทำกรรมการงาน ทำวาจา เป็นการงานทางกาย วาจา การขบคิดสมอง ก็ให้รู้ทุก ทั้งอาชีพการงานการกระทำ ให้รู้วิปัสสนาคือ ต้องรู้ธรรมะ 2 แยกแยะธรรมะ 2
สำคัญก็คือตรงสังกัปปะ 7 องค์ธรรม ตักกะวิตักกะสังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา
เดี๋ยวนี้อธิบายกันไม่ออกแล้ว อธิบายสัมมาอาชีวะ 5 อย่างก็ไม่ได้ ศาสนาพุทธก็เลยไม่รู้มิจฉาอาชีวะก็เลยทำมิจฉาเต็มไปหมด มีทั้งมิจฉาชีพ มิจฉากัมมันตะ มิจฉาวาจา มันได้ผิดเพี้ยนไปแล้วพระพุทธเจ้าสอนไว้แต่เขาทิ้งไปหมด แล้วเอาที่ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัตินั่งหลับตาปฏิบัติ เดินหนอย่างหนอ ยุบหนอพองหนอ ซึ่งมันไม่ใช่ของศาสนาพุทธเลย
เขาบอกว่าเป็นสำนักปฏิบัติ จะสอนพยัญชนะอะไรก็ตาม แล้วจับไม่ติดว่าอะไรคือเนื้อหาของศาสนาพุทธก็ไม่รู้ สอบได้เปรียญเป็นยศชั้นเอาไปหากินเลี้ยงชีพไป ท่องได้เก่งบรรยายได้เก่งจำได้เก่ง ร้อยเรียงเก่ง เก่งพยัญชนะวิชาการ ไม่เข้าหาสภาวะ สภาพธรรมที่จะให้เกิด ศีลขัดเกลากิเลส เพื่อได้อธิจิต ก็ต้องมีปัญญาเป็นตัวร่วมรู้ทั้งศีล ปฏิบัติแล้วจะขัดเกลากิเลสออกจากจิตไหม จนเกิดอธิโมกข์ อธิมุติ ก็อธิบายไม่ได้ก็ไม่รู้เรื่อง ปฏิบัติที่ไหนยังไงเมื่อไหร่ก็ไม่ได้อะไรเลย มันก็เลยไปกันใหญ่
ทั้งวิปัสสนาญาณ คือต้องเปิดทวารตาหูจมูกลิ้นกาย ทวารนอกและมีใจร่วม
เวลาเรียนรู้ก็ต้องเรียนรู้กับสิ่งที่เราสัมผัส เรียกว่ารูป สิ่งที่ถูกรู้ทั้งรูปและนาม ก็จะต้องใช้สัญญากำหนดรู้ ทั้งภายนอกจนถึงภายใน เกี่ยวข้องกันเป็นธรรมะ 2 ทั้งนอกและในไม่แยกกัน รูปจะต้องรู้ทั้งหมดท่านก็แจกไว้ 28
ตั้งแต่ดินน้ำไฟลม เป็นอุตุธาตุ เราก็สัมผัสโดยมีทวารภายนอกทั้ง 5 เมื่อมันเริ่มโคจระ ดำเนิน เอาปสาทรูป 5 กับโคจรรูป 5 สัมผัสกับสาลี่ ขาวผ่อง รูปงาม ถ้าคนที่ยังมีอะไรอยู่ก็บอกว่าน่ากิน มองทะลุไปถึงเนื้อว่าสงสัยคงกรอบ คงหวาน เราก็อ่านว่าเฮ่ย จิตของเราไปแล้วนะสัมผัสกับลูกสาลี่ ไปถึงน่ากิน อยากได้อยากกิน เราก็อ่านอาการอยากกิน คือกิเลส
แล้วคุณมีสิทธิ์ไหมในศีลข้อที่ 2 เรามีสิทธิ์ในของนี้หรือไม่ หากไม่มีสิทธิ์ คุณอยากก็อยากไปเปล่า ไม่มีสิทธิ์ซื้อเขาก็ไม่ขาย แต่คุณก็ต้องรู้ สำคัญคืออ่านเมื่อเราสัมผัสและจิตเกิดความอยาก มันมาหลอกเรา ต้องเรียนรู้อาหาร
อาหาร 4 มี กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณหาร
ก็อ่านรู้ด้วยนาม 5 เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ
ปฏิบัติด้วยนาม 5 ในการรู้รูป 28 “ผัสสะ” กับ “สัมผัส” เป็นคำไวพจน์กันเป็น synonym
แต่มันมีนัยละเอียดเพิ่มขึ้นเหมือนกันในผัสสะกับสัมผัส จะใช้คำตรงคือผัสสะ
เมื่อเราผัสสะแล้ว วิปัสสนาญาณต้องรู้ว่าอะไรเกิดขึ้น ถ้าเข้าใจตรงนี้ วิชชาต่อไปถึงวิชชา 8 ก็จะต่อเนื่องกันหมดเลย
เอาศีลข้อ 2 สัมผัสกับพืชหรือดินน้ำลมไฟ เราไม่พูดถึงสัตว์ อาตมาแยกศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับข้าวของดินน้ำไฟลม พืช สัมผัสแล้วจิตของเราอยากได้อยากมีอยากเป็น เมื่อมันไม่ได้ของเป็นของเรา เราอยากเราก็สร้างขึ้นผลิตขึ้น หรือจะเอาเงินซื้อก็ว่ากันไป แต่กิเลสความอยากนี่เราควรจะรู้ อยากอย่างพอเหมาะพอดี อยากเป็นอาหารไว้กินสำหรับอันนี้ เป็นเครื่องนุ่งห่มเป็นที่อยู่อาศัยเป็นยารักษาโรค การบริขารที่จะใช้ นอกกว่านั้นที่มันเกินที่เขาสร้างหลอกมีเยอะมาก ผู้ที่เรียนธรรมะแล้วจะเห็นได้ว่า ของที่มันเกินความจำเป็นของชีวิตมีมากจริงๆ แต่คนก็ไม่รู้
คนก็สร้างมาเพื่อหลอกออกไปอีกไม่หยุดหย่อน โลกก็เลยไม่จบสิ้น ในการปรุงแต่งสร้างอะไรขึ้นมา คิดสร้างอะไรขึ้นมาเพื่อเอามาหลอกคน เพื่อให้คนซื้อหาเอาไป ไปดัดแปลงตกแต่ง ให้เป็นอันใหม่ก็แล้วแต่ มีประโยชน์อย่างไรก็แล้วแต่ ประโยชน์จากนั้นมันเป็นสาระหรือไม่ก็ไม่รู้ เป็นของขวัญได้ทั้งนั้น เลอะเทอะไปหมด
สรุปเข้าเป้าก็คือ คนเราตัดสิ่งที่เฟ้อเกินออกไป จนกระทั่งรู้สาระที่แท้จริงที่ควรอาศัย ความจำเป็นของชีวิตมันน้อย มันอยู่ในโลกนี้ถ้าเราไม่หลงบ้าบอมันก็อยู่ง่ายมาก
อาตมาภูมิใจทำงานศาสนามาได้ชาวอโศก ให้มาเห็นดีเห็นงามแล้วก็มาปฏิบัติตาม จนกระทั่งกลายเป็นคนไม่หลงไปกับโลกเขา ที่เขาจะฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยถูกหลอกกัน พวกเราก็ฉลาดไม่ไปหลงตามเขา ไม่ไปบ้าบอตาม อาตมาว่าดีจังเลย จะช่วยคนเหล่านี้ไว้ช่วยประเทศชาติ โดยพวกเขาไม่ต้องไปเป็นตัวแย่งชิงให้ลำบากให้วุ่นวายให้เขามาจัดการ ดูยุ่งยากในการปกครองในการดูแลชีวิต อาตมาก็ได้ช่วยเหลือผู้บริหารประเทศให้คนมาเข้าใจสัจจะของพระพุทธเจ้า แล้วปฏิบัติตัวไม่ไปทำเรื่องวุ่นวายในสังคมประเทศชาติ ก็ได้ช่วยประเทศชาติช่วยสังคมไปสร้างสรรสิ่งที่มีประโยชน์เป็นสัมมาอาชีพทำมาหากินสร้างสรร
อาตมาก็สบายใจ มีชีวิตทำงานที่ได้ช่วยประเทศชาติสังคม แม้แต่ผู้บริหารประเทศ อาตมาก็ว่าได้ช่วยจริงๆ โดยไม่ได้มีตำแหน่งหน้าที่อะไรแต่ก็ช่วยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ จนกระทั่งกลายเป็น หมู่บ้าน กลายเป็นสังคมชุมชนมีวัฒนธรรมมีความเป็นอยู่ ตามระบบของศาสนาพระพุทธเจ้า จนกระทั่งเป็นหมู่บ้านทางนิตินัย มีผู้ใหญ่บ้านตามระบบเขา บริหารกันอย่างที่รัฐบาลน่าจะมาเห็นและเอาเป็นตัวอย่าง
ยกตัวอย่าง ทั้งหมู่บ้านเป็นหมู่บ้านที่มีศีล ตั้งแต่ไหนแต่ไรตั้งแต่พาทำชุมชนหมู่บ้าน อย่างต่ำที่สุดหมู่บ้านเรามีศีล 5 เป็นอย่างต่ำด้วย อบายมุข ไม่มี สิ่งเสพติดไม่มี เป็นศีล 5 ที่เป็นอธิศีลด้วย ตั้งแต่สร้างมาจนถึงปัจจุบันก็เป็นอย่างนี้ เป็นหมู่บ้านที่สุขสงบ เป็นหมู่บ้านที่รัฐและประเทศต้องการ อย่างเป็นสากลเลยนะ ทำมาหากินไม่ไปละเมิด
ก็ไม่ยาก จริงแล้ว วงการศาสนา สมเด็จช่วง ใครเคยได้ยินบ้างพูดว่า จะทำหมู่บ้านชุมชนที่มีศีล 5 แต่โพธิรักษ์พาทำมาสี่สิบกว่าปีแล้ว สำเร็จด้วย เขาก็เพิ่งดำริและยังไม่ได้ทำ ก็มีแต่ป้ายแต่ไม่มีใครพาทำ
อาตมาเองรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไม่ดีเลย ต้องมาพูดแต่สิ่งไม่ดีสิ่งที่ผิด สิ่งที่ดีทำไมไม่พูดบ้าง เราก็พูด พอพูดสิ่งที่ดี ก็มาถูกชาวอโศก ยกตัวอย่าง การปฏิบัติศีลก็บอกว่าตัวของพวกเขาปฏิบัติศีลถูก พูดเรื่องสมาธิ ก็ว่าทำถูกอีก พูดเรื่องปัญญาก็ว่าของอโศกถูกอีก
ซึ่งปัญญากับเฉโกมันต่างกัน ฉลาดแบบไหนที่เป็นของพุทธ ฉลาดเฉโกไม่พ้นวงวนโลกธรรม ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เป็นสมบัติผลัดกันชมแย่งกันไปแย่งกันมา ชาวอโศกไม่ไปแย่งกับเขา ทำให้สังคมเศรษฐกิจค่อยยังชั่ว ดีไม่ดี สร้างให้อุดมสมบูรณ์ให้เขาด้วยซ้ำไป ลาภไม่แย่ง ยศก็ไม่แย่ง ให้ก็ได้ ไม่ให้ก็ได้ เขาเห็นว่าเราทำดีก็อยากให้ขึ้นไปอีก มันก็ซ้อนอีก
สรุปแล้วพวกเราไม่ได้เป็นตัวต้านหรือตัวแย่งอะไรกับสังคมเลย พวกเราเห็นว่าทำแบบโลกๆเราไม่เอา จึงออกมาทำแบบเรา ถึงได้กลายเป็นชุมชนชาวอโศก อยู่กันอย่างช่วยกันทำมาหากินตามระบบพระพุทธเจ้า ไม่ได้เป็นเรื่องของลาภยศสรรเสริญโลกียสุข สบม.ธมด ปกต หห จจ. สบายมากธรรมดาปกติหายห่วงจริงๆ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่
อาตมาทำงานมาถึงวันนี้สำเร็จผล จะช่วยสังคมประเทศชาติโดยเฉพาะเอาธรรมะของพระพุทธเจ้า มาให้พวกเราเข้าใจว่าชีวิตคนต้องดำเนินไปอย่างไร เป็นอยู่อย่างไร เข้าใจแล้วก็เอามาปรับใช้ ก็เลยเป็นประชาชนของสังคมของประเทศที่ผู้บริหารไม่ต้องหนักใจการบริหาร เราไม่เคยไปเรียกร้องให้รัฐบาลมาช่วยเหลือเรา ในหมู่บ้านชุมชนชาวอโศก จะมีเงินของรัฐให้หมู่บ้าน เราไม่เคยไปเรียกร้องต่อว่า งบประมาณอะไรเข้ามาในหมู่บ้านนี้ ทางอบต.สบายใจ ที่หมู่บ้านเราอยู่ในตำบลนี้ เขาไม่ต้องคิดถึงเลยเรื่องงบฯให้หมู่บ้านเรา คนไหนขาดแคลนก็เอาไปได้เลย จนเขาเกรงใจว่าอย่าเลย เพราะเอาไปเสร็จแล้ว พวกนั้นก็จะแย่งกัน คุณก็เอาตามสิทธิของคุณนั่นแหละ นี่พูดโก้จัง ไม่ได้พูดโก้ แต่พูดสัจธรรมสู่ฟัง
สมมุติหมู่บ้านมี 10 หมู่บ้านในตำบล หากเป็นอย่างชาวอโศกจะสบายขนาดไหนในตำบลนั้น นี่เห็นผลธรรมะของพระพุทธเจ้าว่าได้ผล เมื่อปฏิบัติถูกต้องตามทฤษฎีได้ผลจริง ใครเขาจะไม่เห็นไม่รู้ก็แล้วแต่ อาตมาก็อธิบายให้ฟังเป็นสาระ
อธิบาย มโนมยิทธิคือ ฤทธิ์ทางใจ คือจิตของเรามีกิเลส พอจิตเราลดกิเลสได้ จิตของเรามีฤทธิ์ มโนมยะ แปลว่า สำเร็จด้วยจิต พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ว่า เหมือนดาบออกจากฝัก เราก็รู้ได้ว่านี่คือดาบนี่คือฝัก ที่ถอดออกคือกิเลส เหมือนงูลอกคราบ เหลือแต่สิ่งที่ดี หรือดาบ จริงๆแล้วดาบไม่ใช้ฝักหรอก ต้องถอดฝักออกจากดาบก่อนสู้ งูก็ต้องลอกคราบ เป็นเรื่องที่เราเข้าใจว่าที่ต้องลอกออก ฤทธิ์ของจิตจะมีฤทธิ์ ก็ต่อเมื่อทำให้จิตของเรานั้นมีประสิทธิภาพ ความมีฤทธิ์คือมีประสิทธิภาพ พลังงานจิตที่ถูกกิเลสถ่วงไว้ มันไม่เต็ม จะให้ทำการงานที่ดี กัมมัญญตา เป็นการงานที่ประเสริฐ หากเอากิเลสออกไปแล้วจิตก็จะ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
มโนมยิทธิคือจิตมโนมันมีฤทธิ์มีอำนาจที่ให้เป็น กัมมัญญตาอย่างนั้น ไม่ใช่ไปมีฤทธิ์เดช เขาแยกกันว่ามโนมยิทธิ คือทำจิตได้ปาฏิหาริย์
ส่วนอิทธิวิธีคือหยั่งรู้ใจคนได้ มันไม่ใช่ อิทธิวิธีคือ เป็นเรื่องที่หลากหลายออกไปจากมโนมยิทธิอีก
โสตทิพย์ก็คือ อธิบายเหมือนตีกลองที่ไกล ก็ได้ยินแล้วแยกได้ว่านี่คือกลองตะโพน บัณเฑาะว์ เปิงมาง สามารถแยกแยะได้ รู้ได้ไกลและลึก และแยกแยะออกว่าอันไหนคืออันใด อันนี้คือกิเลส อันนี้คือเนื้อแท้อย่างนี้เป็นต้น เมื่อมีอะไรปนผสมมาก็แยกออกได้ ก็มีจิตที่เก่ง มีจิตที่แยบคาย
เจโตปริยญาณ
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ
เจโตปริยญาณคือตัวกลาง วิชชาตอนนี้ เป็นตัวที่คุณต้องรู้ ถ้าคุณไม่รู้ก็จัดการกับจิตคุณไม่ได้ รู้รอบในความเป็นจิตคือเจโตปริยญาณ มี 16
คือ การกำหนดรู้ใจสัตว์อื่น (รู้สัตว์ชั้นต่ำสูงในจิตตน-ปรสัตตานัง) .
รู้บุคคลชั้นต่ำ-สูงอื่นๆในจิตอาริยของตน(ปรปุคคลานัง) เป็นปรมัตถ์.
-
สราคจิต (จิตมีราคะ)
-
วีตราคจิต (จิตไม่มีราคะ)
-
สโทสจิต (จิตมีโทสะ)
แยกแยะราคะโทสะโมหะได้ สัมผัสอะไรแล้วจับได้ว่ามีอาการราคะโทสะหรือโมหะ มันเป็นแล้วเราก็จับเข้าหลักพยัญชนะว่ามันเป็นอะไร แล้วทำอย่างไรให้มันลดความเป็นราคะโทสะโมหะ จนไม่มี เรียกว่า
-
วีตโทสจิต (จิตไม่มีโทสะ)
-
สโมหจิต (จิตมีโมหะ)
-
วีตโมหจิต (จิตไม่มีโมหะ)
คุณไม่ต้องท่องเลย ทำตามสภาวะก็ได้ ไม่ต้องจำเลย จากนั้นก็ต้องรู้ต่อไป
คุณรู้แล้วก็ต้องทำให้มันได้ มันมีลักษณะสองอย่าง
-
สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) เป็นก้อนแน่น เหมือนสังกะตังที่ผมเป็นก้อนๆ เป็นก้อนตีไม่แตก
-
วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด)เป็่นฟองๆ กระจายรวมไม่ติด
กิเลสคุณนี่แหละที่เป็นได้สองแบบนี้ มันจะกระจายก็ต้องจับตัวให้แน่น มันจะเป็นก้อนก็ต้องแยกแยะออก จับได้แล้วก็จัดการให้มันดี
-
มหัคคตจิต. (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น) ทำให้เจริญได้ดีขึ้น
-
อมหัคคตจิต. (จิตไม่เจริญขึ้น) ทำให้เจริญไม่ได้
-
สอุตตรจิต. (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ)
-
อนุตตรจิต. (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า)
คือให้จิตเราล้างกิเลสออก สอุตระไม่เหนือ อนุตตระคือเหนือกว่ากิเลส เหนือคือตัวจบ
-
สมาหิตจิต. (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว)
-
อสมาหิตจิต. (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์)
คือทำให้ตั้งมั่น
-
วิมุตตจิต. (จิตหลุดพ้น) . . .
-
อวิมุตตจิต. (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) .
(พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ135)
หากเรามีภาวะจะไม่สับสนอะไร เรียงมาได้ดี
คุณต้องรู้สภาวะมันไม่ใช่รู้แต่ภาษา คุณต้องทำให้ ราคะลดลงเป็นวีตราคะ หากทำไม่ได้ไม่รู้สภาวะราคะ จับตัวราคะตัวเองได้หรือไม่ แล้วทำให้ลดได้หรือไม่ ไม่รู้ไม่ได้ทำเลยเสร็จแล้วไปทำอะไรก็ไปนั่งหลับตา ไม่รู้จัก สราคะ สโทสะ สโมหะ พยัญชนะไม่รู้ แต่ว่าสภาวะคุณรู้ไหม ถ้ารู้เป็นระบบอย่างนี้มันดี ไม่เรียนเลยแล้วคุณทำได้รู้หรือไม่ รู้ในราคะโทสะหรือไม่ แล้วทำได้ในระดับไหนจนกระทั่งอาสวักขยญาณ คุณก็ไม่รู้จนถึงวิมุติ อวิมุติ เป็นอย่างไร
การเรียนรู้ธรรมะเดี๋ยวนี้เขาไม่มีสภาวะจริงไม่บรรลุธรรมจริง มันก็เลยเลอะเทอะไปหมด คนไม่รู้แล้วอวดรู้ อธิบายก็ทำให้สับสนเข้าไปอีกเสียหมด อาตมาก็ต้อง ในยุคนี้มา ต้องจับฝาจับตัวให้ลงกันชัดเจน มันเละไปหมด มันเลยยาก พูดไปแล้วก็เหมือนชวนให้เขาหมั่นไส้
บอกกระซิบเลยว่า อาตมาอวดหรือแสดงยังไม่หมดเลยนะ เดี๋ยวจะหาว่าอวดอีก พูดอย่างซื่อๆไม่ได้เล่นลิ้นเล่นเล่ห์นะ
ขนาดนี้คนยังหาว่าอาตมาสุดโต่ง แต่อาตมาก็พูดถึง ศีลสมาธิปัญญาไม่ได้หนีไปจากพื้นนี้เลย เดี๋ยวก็พูดถึงศีล 5 นี่ก็พูดถึง 1. เสียมาก 2. ก็ไม่ได้ถึงไหน ศีล 5 นี่แหละครบแล้ว ถ้ารู้กันอย่างแตกลายงาเลยนะ เหมือนพระสมเด็จแตกลายงาราคา 100 ล้านขึ้น
เราเอาศีลเป็นตัวตั้ง คุณจะเอาวิชชา 8 มาใช้
ศีลข้อ 1 คุณรู้วิปัสสนา สัมผัสต่อสัตว์ ศีลข้อ 2 ต่อของ ต่อสมบัติ ต่อตาหูจมูกลิ้นกาย รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส แล้วคุณก็ต้องวิจัยวิจาร จับตัวกิเลสที่ได้ มันอยู่ในจิตนี่แหละแยกแยะให้ออก คุณแยกออกแล้ว คุณจะมีตัวแสดงทำฤทธิ์ ที่จะมีอุณหธาตุ ธาตุไฟที่ชื่อว่าฌาน
ฌานไม่ใช่ธาตุเย็น ไปนั่งหลับตาแล้วจะทำจิตให้เย็น พอเป็นฌานก็จะร้อนเลย โหมไหม้ ธาตุไฟที่มีฤทธิ์เหนือกว่าไฟราคะโทสะโมหะ
ถ้าคุณสร้างจิตให้เป็นพลังงานไฟที่เรียกว่าฌาน มีอุณหธาตุ ร้อน ถ้าไม่สามารถสลายไฟราคะโทสะโมหะได้คุณก็ไม่สำเร็จ
มโนมยิทธิคือ สร้างธาตุไฟให้ได้ ไม่ใช่ไปนั่งแช่ให้เย็น คนละเรื่อง อาตมาอธิบายเข้าไปถึงภาวะสัจจะ ให้เห็นว่าอันนั้นมันปฏิบัติผิด ถูกมันต้องสอดคล้องทั้งสภาวะและพยัญชนะ ทั้งเนื้อแท้เนื้อหา
วิปัสสนาต้องมีผัสสะ แล้วต้องอ่านกิเลส ต้องสร้างฌาน ไฟ ให้เป็นฤทธิ์ทำลายให้สำเร็จ
มโนมยิทธิ หมายถึงการสร้างพลังงานใช้พลังงานไฟ ไปสลายไฟราคะโทสะโมหะได้
คุณสร้างได้ หนึ่ง มันก็จะมีอื่นอีกหลากหลาย เรียกว่า อิทธะ หรืออิทธิวิธญาณ คือมโนมยิทธิที่หลากหลาย ฆ่ากิเลสได้มากขึ้นจิตคุณจะเก่ง
ศีลข้อที่1 คุณไม่ฆ่า ละการฆ่า วางทัณฑะ วางศาสตรา คุณก็ต้องอ่านใจของคุณ คุณว่างแล้วภายนอกไม่มีพฤติกรรมการฆ่า วางอาวุธวางเครื่องมือฆ่า ไม่ได้เอามือเป็นอาวุธแล้ว แม้ไม่มีอาวุธแต่มีมือเป็นกังฟูทำให้คอหักได้ ก็ไม่เอา มีความเอ็นดูมีความกรุณาหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ นี่คือรายละเอียดของวิชชา เพิ่มเจโตปริยญาณ 16 ไปเรื่อยๆและมีเตวิชโช 3 อย่างนี้เป็นความรู้ที่ทำการทบทวน ว่าที่คุณทำเจโตปริยญาณได้ทำไหม คุณได้เจริญในเจโตปริยญาณ 16 ไหม ถึงวิมุติอวิมุติ สมาหิตัง อสมาหิตังไหม
ไม่ใช่แค่ท่องพยัญชนะแต่ให้มีสภาวะ ทำสภาวะให้ได้ 16 ข้อนี้ไหม เราได้ใช้งานจนเกิดผลในการปฏิบัติทั้งหมดเลย เรียกว่าได้ทำ
ตอบครูสิ ว่า พวกเราได้มีสภาวะที่เป็นอย่างนี้หรือไม่ 1 ข้อ 8 กันเลย อาสวักขยญาณ
ถึงบางเรื่องของอาสวะได้
อาสวักขยญาณ ในเรื่องของศีลข้อที่ 1 เรื่องของสัตว์ คุณสามารถที่จะไม่ฆ่าสัตว์และจิตใจของคนไม่มีอาสวะจะไปฆ่าสัตว์แล้ว อาสวะคือจิตลึกๆของเรา ถ้าสัตว์มันจะฆ่าเรา เราจะฆ่ามันไหม หากสัตว์เล็กเราก็รู้ว่ากัดเจ็บ เป็นพิษก็หลีกเลี่ยงเอาได้ แต่คุณมีจิตโกรธเคืองอยากฆ่าอาฆาตพยาบาทไหม ก็คือ วิชชาของคุณแล้ว มีสภาวะแล้วถ้าคุณได้ปฏิบัติ
จุตูปปาตญาณ คือเห็นกิเลสเกิดกิเลสดับ จุตูแปลว่าตาย เคลื่อน ปปาตะ แปลว่าเกิด อุบัติ หรืออุปัติ
มันมีความเกิดความดับ ก็ได้ จุติแปลว่าดับหรือเคลื่อนออกจากเรา มันมีอีกไหมจิตเราที่สะอาดขึ้นมันเปลี่ยนแปลงจากใจเราได้
พยัญชนะอนุสาสนีของพระพุทธเจ้าก็เอามาใช้ได้ทั้งหมด แม้กระทั่งวิชชา 8
อธิบายขยายความยกตัวอย่างแล้ว อาตมาได้สอนมา ทวนถามพวกเรา ฟังแล้วและเข้าใจเอาไปใช้ประโยชน์และปฏิบัติตามไหม ได้ผลด้วย อาตมาก็ประสบความสำเร็จในการเป็นครู เป็นผลสำเร็จในการสืบทอดศาสนาพระพุทธเจ้าที่เอาธรรมะนี้มา ไม่ใช่เราไปท่องสอบได้เปรียญเป็นดอกเตอร์ได้รับยศสรรเสริญ โดยไม่ได้ปฏิบัติเลย ดีไม่ดีเปรียญ 9 แต่กินเหล้าหัวราน้ำ โกงสะบัดช่อเลย มีคดีเงินทอนวัด
เราเกิดมาแล้วเราเองเราได้ชีวิต หากไม่ได้ธรรมะเลยนี่ ถ้าคุณหลงไปหาเงินหาทองอยู่ทางโน้นเลย โดยเฉพาะทางสำนักไหนสอนโลกุตระคนไม่รู้เรื่องเลย คุณไปวัดป่าก็ได้ทอดกฐิน จนกระทั่งตายเปล่าจะเสียดายชีวิตไหม แต่ว่าของมันยังมีดีมีคนพูดรู้เรื่องอยู่นะ หากมันไม่มีสัตบุรุษมาสอน แล้วเราเองก็ไม่ได้เป็นสัตบุรุษ ก็ว่าไปอีกอย่าง แต่นี่สัตบุรุษยังมีอยู่ อาตมาก็ว่าสัตบุรุษผู้อื่น น่าจะยังมี แล้วทำไมไม่แสดงตัว เขาอาจจะสุภาพกว่าอาตมาไม่แสดงออกโจ่งแจ้ง แล้วอธิบาย คำว่าสัตบุรุษคืออย่างไรก็ไม่รู้
สัตบุรุษคือบุคคลในข้อที่ 10 ของสัมมาทิฏฐิที่ 10
สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)
สัตบุรุษต้องอธิบายสัมมาทิฏฐิ 10 ประการได้
ทุกวันนี้การทำทานไม่มีผล ถ้าคุณทำทานแล้วไม่รู้จักจิตใจ ทำทานแล้วขอให้ได้สวรรค์ 6 ชั้น ได้สวรรค์ 8 ชั้น สวรรค์มี 6 ชั้นแต่ขอไป 8 ชั้น สวรรค์บ้าบอคอแตก 6 ชั้น เป็นสวรรค์เก๊ ตอนนี้ยังมีสวรรค์ 8 ชั้นสวรรค์เฟส 2 เฟส 3 อีก สวรรค์ของเขาเป็นคอนโดมิเนียม
ฟังแล้วอย่าหัวเราะเยาะเขาเลย มันน่าหัวร่อ เป็นสัจจะอันหนึ่ง เหมือนเห็นคนไม่รู้เดียงสาก็น่าเอ็นดูไม่ได้โกรธแค้นโกรธเคืองอะไรนะ ก็เลยมันหัวเราะเยาะ ในความไม่ประสีประสาไม่ถูกต้องของเขา เหมือนเด็กเล่นขายขนมครก ที่จริงเยี่ยวใส่นะแล้วบอกว่าเป็นขนมครก
ก็น่าเอ็นดู
ถ้าเราเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาเรียน มารู้แล้วทำสร้างให้ลดกิเลสได้ เรียกว่าทำงานสำเร็จ คุณก็สำเร็จผู้สอนก็สำเร็จศาสนาพระพุทธเจ้าก็มีผู้สืบทอดใช้ได้
แทนที่จะสอนทานก็สอนแบบผิด ทานแล้วได้วิมานเลอะเทอะ แทนที่จะเรียนธรรมะพระพุทธเจ้าให้ดีก่อนแล้วเป็นอัตถิทินนัง ทานแล้วกิเลสลดได้ มีผลอัตถิทินนัง
หรือถือศีลแล้วลดกิเลสได้ เรียกว่าอัตถิยิตถัง คือ วิธีปฏิบัติต่างๆที่ทำให้กิเลสลดได้ อย่างนี้ก็สัมมาทิฏฐิ
สัมมาทิฏฐิ ที่ เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา) ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา).
-
ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด) (อัตถิ ทินนัง)
-
ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว มีผล (อัตถิ ยิฏฐัง)
-
สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว มีผล (อัตถิ หุตัง)
-
ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว มีแน่ (อัตถิ สุกตทุกกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก)
-
โลกนี้ มี (อัตถิ อยัง โลโก) หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ คือดาวดวงเก่า กิเลสติดใจโลกธรรม
-
โลกหน้า มี (อัตถิ ปโร โลโก) หมายถึง โลกโลกุตระ คือดาวดวงใหม่ ความรู้ความเข้าใจทวนกระแสกับอันเก่า ทำให้กิเลสติดในโลกธรรมลดลงได้ ก็เป็นโลกอื่นโลกใหม่ ศาสนาพุทธทุกวันนี้อยู่ในโลกีย์ไม่ได้มีทางออก แม้แต่พาไปนั่งหลับตาก็ไม่ได้พาออกจากโลกีย์นี้ ยิ่งจมไปกับความไม่รู้จัก ไม่มีการพิจารณากายในกายเวทนาในเวทนาจิตในจิตธรรมในธรรม ไม่รู้จักกายว่าคือรูปนามคือธรรมะ 2 ไปสัมผัสกับสัตว์สัมผัสกับข้าวของสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายก็วิจัยจิตออก ดูรู้จักเวทนาในเวทนา เข้าใจเวทนาร้อยแปด อย่าหลอกว่าเป็นเวทนาสุขทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ ทำให้ไม่สุขไม่ทุกข์แบบเนกขัมมสิตอุเบกขา เดิมมันเป็นเคหสิตะ แม้จะทำอุเบกขาได้ ไปนั่งหลับตาสมาธิมันก็ไม่ได้ออกจากกิเลสไม่ได้แยก แก้กิเลสออกที่จะสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายใจแล้วเกิดกิเลสกามพยาบาท คุณก็จับกิเลสแล้วฆ่ามันออกไป เป็นเนกขัมมะ แยก เนกขัมมะเคหสิตะ มโนปวิจาร 18 จับเหตุแห่งกิเลสทำกิเลสออกได้ก็เป็นเนกขัมมะ
ยกตัวอย่างสัมผัสกับสาลี่รูปนี้ น่ากินจังเลยอยากได้อยากกิน มันเป็นของเราหรือไม่ หากไม่ใช่ของเราอยากมาก ไม่มีคนอยู่ก็ลักขโมยไปอย่างนี้หรือเปล่า หรือวิสาสะเลย ควรไหม ก็จะรู้จักกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม
ศีลข้อที่ 1 สัมผัสกับสัตว์ไม่เอ็นดูสัตว์ยังอยากจะฆ่าแกงสัตว์ จิตใจยังโหดร้ายยังไม่ดีเลย ยังไม่มีเมตตาไม่มีความเอ็นดู ต้องทำให้เป็นกลาง (มีเสียงแมวดังขึ้นมา ที่จริงแล้วเป็นโทรศัพท์มีเสียงแมวดัง )
_ทองแก้วถามว่า…ไฟฌานกับเนกขัมมสิตอุเบกขาอันเดียวกันไหม
พ่อครูว่า..มันคนละจังหวะเวลากัน สภาวะฌานคือ คนสร้างพลังงานจิตให้เกิด เป็นพลังงานที่เรียกเป็นภาษาไทยว่าธาตุไฟ จะมีพลังงานเพื่อจะเอาไปใช้กำจัดไฟราคะโทสะโมหะ เมื่อคุณทำได้ก็เป็นฌาน คุณก็ใช้พลังงานนี้ไปดับกิเลส กำจัดกิเลส เนกขัมมะ คือการทำให้กิเลสออก(มีเสียงของหล่น) พ่อครูว่า ไม่เป็นเสียงโทรศัพท์อีกแบบหรือไม่?
เนกขัมมะคือต้องมีวิธีทำให้กิเลสลดเอากิเลสออก มีอุบายวิธี
พลังงานฌาน ฌานอยู่ที่ไหนปัญญาอยู่ที่นั่น ปัญญาจะเกิดไปกับฌาน ฌานเกิดกับปัญญา
ปัญญาของศาสนาพุทธต้องเป็นปัญญาที่คุณจะสร้าง ฌานได้ จึงเป็นปุญญะ
ฌานเป็นเครื่องมือของบุญอีกที พลังงานเดียวกัน ฌานก็คือบุญ
ที่เจ้าตัวทำสำเร็จในปัจจุบัน ฌาน ก็มีในปัจจุบันนั้น นอกปัจจุบันใดไม่มี ฌาน
ฌานดับกิเลสได้ ก็เกิดบุญเต็มตัว เพราะฌานกับบุญ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแต่แยก กาละ กำลังทำอยู่เรียกว่าฌาน ฌานแสดงฤทธิ์ฆ่ากิเลส ก็เป็นบุญ
_ยกตัวอย่างตบะหรรษา ปีก่อนๆ แต่ปีนี้ต้องได้ไม่ล้มเลยเป็นฌานได้ไหม
พ่อครูว่า…ได้ กดข่มเฉยไม่ได้ ไฟไม่เกิด ตบะแปลว่าเผาไม่ใช่กดข่มหรือเย็น ตบะก็แปลว่าเอาจริงเอาจัง ทำฌานจริงจังเป็นตบะ
_ต้องได้ คือเป็นฌานหรือไม่ และทำได้วันละ 1 ครั้งได้ไหม
พ่อครูว่า..ต้องได้เป็นการบังคับสิ คุณต้องทำได้ผล ทำได้ทุกวินาที วันหนึ่งทำได้หนเดียวไม่ไหวหรอก เอาวินาทีเลย
เนกขัมมะ อุเบกขา คุณสามารถทำให้เกิด ลดกิเลส เนกขัมมะ ถึงเนกขัมมสิตอุเบกขา
เกิดทางตาหูจมูกลิ้นกายใจทวาร 6 แล้วทำให้เกิดความสุขความทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ก็ได้ แจกแล้ว ทวาร6 ทำได้ทั้ง 3 อาการก็เลยเป็น 18 อย่าง
มันสุขก็ดีมันทุกข์ก็ดี ก็ต้องวิจัยวิจารณ์ที่เวทนา อาการของเวทนาเป็นสุข การปฏิบัติธรรมของพุทธ ถ้าไม่มีเวทนา คุณไม่รู้จักอาการเจตสิกเวทนา จะไปทำอย่างไรจะไปนั่งหลับตาไม่มีสัมผัสเลยเวทนาไม่เกิดเลย พระพุทธเจ้าตรัสว่า พรหมชาลสูตร ไม่มีผัสสะไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายกระทบสัมผัสเลยปฏิบัติธรรมของพุทธไม่ได้
แม้แต่มูลสูตร 10 คุณจะมนสิการได้ต้องมีผัสสะเป็นสมุทัยแล้วต้องมีเวทนารวมลงเป็นอาการ แล้วปฏิบัติที่เวทนา เวทนาเป็นตัวปฏิบัติของศาสนาพุทธ ถ้าไม่มีตัวเวทนาปฏิบัติไม่ได้
กายในกาย ก็ต้องจับที่เวทนาเป็นหลัก กายเริ่มต้น มีธรรมะ 2 ที่เป็นรูปนาม ต้องมีธาตุปัญญาที่สัมผัสรู้ มีสภาวะแยกแยะได้ เมื่อสัมผัสแล้วเวทนามันเป็นสุขทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ก็ได้ แล้วมันเป็นสุขเป็นทุกข์ ที่จริงมันเป็นอันเดียวกัน มันโง่ไปโง่มาเท่านั้น ไปยึดถือว่าอย่างนั้นเป็นทุกข์อย่างนั้นเป็นสุข
คนฐานสูงอนาคามีแล้ว สัมผัสแล้วรู้สึกว่าเรายังชอบมัน จิตจะเป็นทุกข์แล้ว เราทำไมไปชอบ มันจะรู้สึกโทมนัส เรายังไปโสมนัสไปชอบอยู่ได้ไง มันต้องกลางๆ หากยังชอบชังผลักดูดอยู่ ถ้าเรายังชอบเละเลย อยากได้ ก็ไม่ไปไหนหรอก
เราปฏิบัติรู้จักสภาวะ รู้จักฐานจิตเรา อ่านเวทนาในเวทนานี่แหละ การปฏิบัติธรรมถ้าไม่รู้จักมโนปวิจาร วิจารแปลว่าอาการ อาการของมโน ป เป็นตัวตั้ง อ่านให้ออกแยะให้ออกว่าเป็นแบบโลกีย์ อยังโลโก เราทำให้เป็นแบบอื่นได้ ปโรโลโก เป็นจิตของคนต่างดาวได้ โดยจิตคุณจะต้องมี
-
มารดา มี (อัตถิ มาตา) จิตที่ทำให้เกิดเรียกว่าแม่
-
บิดา มี (อัตถิ ปิตา) จิตที่ทำหน้าที่ร่วมกันทำให้เกิดเรียกว่าพ่อ
แยกจิตที่ช่วยทำให้เกิดสองอย่างนี้ได้ เช่นเราสมมุติว่าศีลเป็นพ่อปัญญาเป็นแม่ หรือสมมุติว่า ศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อก็ได้ แล้ว 2 ตัวนี้มันช่วยกันทำให้เกิด สัตว์ โอปปาติกะ มันต้องประหารจิตที่เป็นอกุศลและจิตเป็นกิเลส ทำให้เป็นจิตเจริญขึ้น เป็นอย่างไร ก็ต้องแยกกิเลสออกให้ได้
สัมผัสแล้วแยกให้ออก แล้วทำให้กิเลสลด อาจจะกดข่มไปก่อน วิกขัมภนปหาน
หากใช้วิธีพิจารณาว่าเอ็งเป็นของหลอก อาการนี้มันไม่ใช่ของจริงไม่ใช่ตัวจริงมันเป็นอนัตตามันพาเราทุกข์ มันหลอกว่าให้เราชอบ ที่จริงๆซ่อนตัว เอาสวรรค์มาออกหน้า แต่ข้างหลังมันเป็นนรกเป็นความทุกข์ หน้ากับหลังเอ็งอยู่ด้วยกัน อย่ามาหลอกเสียให้ยาก
แล้วเอ็งไม่อยู่นานหรอก สัมผัสแล้วหายไปความสุขความทุกข์ก็หายไป ดีไม่ดีกินจนพอเต็มท้องแล้ว ก็อึดอัดแล้วไม่อร่อยหรอกไม่สุขหรอก มันไม่เที่ยงเลยไม่อยู่กับร่องกับรอยเลย
-
สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ สัตตา โอปปาติกา)