610812_วิถีอาริยธรรม สันติอโศก คอร์สสอนความเป็นแม่ผู้สืบเชื้ออาริยธรรม
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1Bixa49heYBgFQw3bj7uhFaRe9a1mAmgv6m0fPnPdsUA/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1aiAh4xHHM17QfRoAQ1LyB7GUKXxDKHy-
สมณะเพาะพุทธว่า…วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม 2561 ที่บวรสันติอโศก วันนี้เป็นวันแม่
ลักษณะเอกลักษณ์ของพุทธศาสนาคือโลกุตระ เป็นไปเพื่อความเหนือโลก หลุดพ้นจากโลกเป็นนิพพาน เป็นอาริยธรรม
อารยธรรม จริงๆแล้วเป็นคำในอนาคต เพราะคำว่าอริยะนั้นได้ผิดเพี้ยนไปแล้ว คำว่าอริยะนั้นคนจะหมายถึงผู้วิเศษต่างๆนานา เป็นความหมายที่ผิดเพี้ยนไปจากความหมายแท้จริงของอริยะ เข้าใจว่าอริยะคือพวกเอาตัวรอดปลีกตัวเข้าป่า อรหันต์คือพระอริยะระดับสูงสุดที่จะต้องอยู่ป่า ทำให้ความหมายคำว่าอริยะเสียไป และอารยะที่หมายถึงการช่วยเหลือผู้อื่นแต่ก็ขาดการบำเพ็ญตน เป็นอารยะ
พ่อครูจึงใช้คำว่าอาริยะเพื่อทำตนให้พ้นทุกข์และช่วยคนอื่นให้พ้นทุกข์ตาม เป็นคำที่รวมคำว่าอริยะกับอาริยะเข้าด้วยกัน
วันนี้รายการวิถีอาริยธรรม วันนี้พ่อท่านตั้งใจอธิบายคำว่าสิริมหามายา
พ่อครูว่า…วันนี้มีแม่ที่นอนมาฟังธรรมด้วย(ป่วยนอนติดเตียงแต่ก็มาฟังธรรม) ใส่สายยางด้วย มีรุ่นลูกคอยมาดูแล
ความเป็นแม่ไม่จำเป็นจะต้องเป็นผู้หญิง แต่หมายถึงภาวะที่เป็นหญิงผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณโลกุตระ อเทวนิยม
พ่อครูว่า…มาพูดกันถึงเรื่องแม่ในวันแม่ มีผู้ส่งไลน์มา บอกว่า วันแม่แห่งชาติปีนี้ สมเด็จพระสังฆราชได้อัญเชิญพุทธภาษิตมาเป็นกถาว่า พฺรหฺมาติ มาตาปิตโร มารดาบิดาเป็นพรหมของบุตร แปลความอย่างนั้น กราบรบกวนพ่อครู อธิบายความหมายในพุทธภาษิตนี้ในแง่มุมของศาสนาพุทธ ที่มีสัมมาทิฏฐิด้วยค่ะ นิมนต์พ่อครูให้โอวาทผู้มีแม่ด้วยค่ะ
ฟังต่อไปก็จะพูดอยู่ดีๆแล้วมีคนอาราธนามาด้วย ก็อ่านของsms ก่อน
ที่ท่าเพาะพุทธเกริ่นถึง พระพุทธเจ้าประเทศโปรดพุทธมารดา คนเข้าใจไปว่าหายตัวไปอยู่ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ในเรื่องก็มีพลความต่อว่า พระพุทธเจ้าเทศน์ให้แม่ฟัง เสร็จแล้วก็มีพระสารีบุตรนั่งอยู่ที่ตีนภูเขาสิเนรุ พระสารีบุตรแอบฟังคำสอนที่พระพุทธเจ้าเทศน์โปรดพุทธมารดา แล้วการที่เทศน์คำเทศน์ทั้งหลาย คือการเทศน์ธรรมะลึกซึ้ง จิต เจตสิก รูป นิพพาน เหมาหมด ก็เทศน์ถึงเรื่องของจิตเจตสิกเรื่องของรูปทั้งหลาย จนกระทั่งขยายความ อธิบายสาธยายให้ถึงขั้นนิพพาน เป็นเรื่องของจิต เจตสิก รูป นิพพาน
ธรรมะของพุทธก็มีเท่านี้แหละมีจิต เจตสิก รูป นิพพานเท่านี้แหละ แล้วก็เรียนรู้ปฏิบัติให้ถึงนิพพาน นิพพานก็ต้องทำที่จิต จะทำจิตให้เป็นนิพพานได้ต้องรู้จักรูป
เช่น รูป 28 เป็นต้น แล้วต้องมีจิตหรือนามของเราสามารถไปสัมผัสรูปต่างๆเหล่านั้น รู้ความเป็นสภาวะของรูปต่างๆ ดินน้ำไฟลมเป็นมหาภูตรูป จนมาเป็น พีชะ ก็เป็นสิ่งที่อยู่นอกตัวเราทั้งนั้น เสร็จแล้วคนที่เป็นเจ้าของจิต ก็จะมีจิต ที่มีปสาทรูป โคจรรูป
ปสาทรูปคือ ตาหูจมูกลิ้นกาย จะทำงานก็คือโคจระดำเนินไป จะไปสัมผัสอะไรก็แล้วแต่ ที่ตากระทบสัมผัส สัมผัสแล้วก็เกิดเป็น ภาวรูป ภาวรูปที่สัมผัสแล้วจะมีลักษณะ 2 เรียกว่า เทวฺธัมมา เทวฺ แปลว่า 2 หรือเรียกอย่างไทยว่า เท-วะ
เทวฺธัมมาแปลว่าสอง ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ทำให้ความเป็นสองเปลี่ยนไปให้เป็นหนึ่งได้ จึงเรียกว่าไม่เป็นธรรมะที่อยู่แค่ 2 ศาสนาเทวก็คือศาสนาที่มีแต่ 2 แล้ว 2 ให้เป็นหนึ่งไม่เป็น โดยเฉพาะทำให้ป็น 0 ไม่ได้
ศาสนาทั่วไปทำให้ธรรมะเป็นหนึ่งไม่ได้เป็น 0 ไม่ได้ อเทวะ ไม่มีแล้ว 2 ไม่มีแล้ว 1 ก็ 0 ได้เลย หรือยังไม่ถึง0 ก็เป็น1 เป็นเอกธรรม หรือเอกัคคตา หรือเอกัคคตาจิต จิตเป็นหนึ่งได้
ศาสนาพุทธทำเอกัคคตาจิตให้เป็นหนึ่งได้ อัคคะคือเลิศยอด ทำให้เกิดสภาพนั้นได้สำเร็จจริง จนกระทั่งเป็นศูนย์ไม่มีอะไรได้
ส่วนเทวนิยมนั้นไม่รู้จักจิตทำให้จิตเป็นหนึ่งไม่ได้ หรือ 0 ไม่ได้ ก็เลยเป็นจิตอยู่อย่างนั้นนิรันดร ศาสนาเทวนิยมจะมีจิตนิรันดร ส่วนของพุทธนั้นแยกหรือแจกรายละเอียดออกไปจนกระทั่งมีอาการของจิต ทำให้ไม่มีทุกข์เหลือแต่สุข แล้วก็เป็นสุขอย่างเนกขัมมะ เรียกโสมนัสเนกขัมมะ จนเป็น เนกขัมมอุเบกขาได้ พระพุทธเจ้าจึงให้เรียนรู้ที่เวทนา 108
ให้เรียนรู้ที่ มโนปวิจาร 18 แยกอันนี้ได้ เป็นจิตโลกียะ แล้วทำจิตโลกียะให้ลดให้หายไป เรียกว่าเนกขัมมะ จนหายไปหมด หมดเลย ไอ้ที่หายไปนั่นคือจิตที่ไม่ดี เรียกว่า กายกลิ
กาลีหรือกลิ มันคือความเป็นโทษที่อยู่ในองค์ประชุมธรรมะ ที่เป็นธรรมะ 2 คือรูปกับนาม ผู้ที่เรียนรู้ ธรรมะของพระพุทธเจ้าก็จะสามารถ รู้ จิต แยกจิต ที่เป็นกิเลส กับ จิตที่เป็นจริง แยกออกได้จริงๆ นี่คือความสามารถในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเรา
ผู้ที่ทำให้ดับได้ จิตอกุศลดับได้ ก็คือ ผู้ที่ทำให้เกิดได้ ฟังให้ดีๆนะ กำลังจะไขความสิริมหามายา
ผู้ที่สามารถทำให้จิตของเรา จิตเราดวงนี้ลักษณะนี้ แต่แยกเป็น2 แล้วทำ 2 ให้เป็น 1 ได้ จิตเป็นสองหายไป เหลือแต่หนึ่ง แล้วก็ทำจิตให้กลายเป็นสองได้อีกจึงกลายเป็นนักเล่นกลนักมายากล ทำให้เป็นสองก็ได้ทำให้เป็นหนึ่งก็ได้ทำให้หายไปก็ได้ทำให้มีอยู่ก็ได้ เคยเห็นนักแสดงกลไหม ควักนกพิราบมา หรือทำให้หายไป ควักไพ่ออกมาทำให้ไพ่หายไป ควักไข่มีขึ้นมา ควักไข่หายไป มายาแปลว่านักเล่นกลความลวง
ทำไมต้องเอาคำว่ามายามาใส่ในชื่อแม่ของพระพุทธเจ้าเลยนะ พระมารดาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำไมเป็นแม่ของพระพุทธเจ้าแท้ๆ ต้องชื่อมายา
คำว่ามายานี้เป็นความหมายที่ค่อนข้างไม่ดี เป็นความหลอกลวง ส่วน สิริมหานี้ดี ดีใหญ่เลย มหาใหญ่ สิริ ดี ดีที่ยิ่งใหญ่เลย ไม่ใช่ดีน้อยๆ ใหญ่เลยไม่ใช่น้อยไม่ใช่เล็กเลย
ที่บอกว่าเป็นมายาเพราะว่า ต้องเป็นผู้ที่ให้ความเกิด ศาสนาพุทธนั้น เน้นนิพพาน นิพพานคือความดับ ศาสนาพุทธในนิพพานนิโรธคือความดับ แต่ มีความเกิด เราทำจิตของเราให้อกุศลจิตดับ จิตเราก็เกิดใหม่ไม่หายไป นี่มันซ้อนเป็นธรรมะ 2 ซับซ้อน จิตที่เหลือเป็นจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ คือวิสุทธิเทพ เรียกเป็นภาษาไทยว่า วิสุทธิเทวะ
เทวะ แปลว่าความเป็นต่อ สองที่วิสุทธิ์
พระพุทธเจ้าสอนเรื่องเทพเทวนี้มี 3 อย่าง สมมุติเทพ อุปัติเทพ วิสุทธิเทพ
ผู้สามารถทำให้จิตเป็นวิสุทธิเทพได้ สะอาดบริสุทธิ์ได้ จะใช้คำว่า ดับ มันก็ดับไปอันหนึ่งเหลืออันหนึ่ง ใช้คำว่าวิสุทธิ์คือ 10 อันดับสิ่งที่ต้องการให้ดับคือกิเลส จิตที่เป็นอกุศลจิตดับไป ก็เหลือแต่จิตที่สะอาดบริสุทธิ์ จิตที่สะอาดบริสุทธิ์นี้ อธิบายกันไปลึกซึ้งเลยว่า จริงๆแล้วจิตก็ไม่มีตัวตน เพราะฉะนั้นจิตที่สะอาดคือจิตที่มันไม่มีตัวตน จิตที่สะอาดบริสุทธิ์แล้วเป็นจิตวิสุทธิเทพเป็นจิตที่ไม่มีตัวตน
ใช้ภาษามาแทนว่าไม่มีตัวตน ตัวตนเป็นภาษาบาลีเรียกว่าอัตตา
จะเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าต้องเรียนรู้ความเป็นตัวตนคืออัตตา พระพุทธเจ้าก็สอนให้กำจัดความเป็นอัตตาในจิตของเรา ความเป็นอัตตาก็มีลำดับ
ลำดับแรกเรียกว่าหยาบ เรียกโอฬาริกะ ความใหญ่หยาบ จะจับสภาวะได้ง่าย เป็นเบื้องต้น เป็นลำดับ ต้องเรียนรู้ โอฬาริกอัตตา เกิดจากการผัสสะ สัมผัส เช่น เราสัมผัสกับลูกสาลี่นี้ เมื่อสัมผัสแล้ว โอฬาริกอัตตา หยาบภายนอก สัมผัสแล้ว มันก็คืออันนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป แต่ที่เราจะต้องเรียนรู้คือสภาวะจิตที่รับรู้ มันรับรู้เรียกว่าเวทนาคือความรู้สึกเป็นอารมณ์ แล้วมันปรุงแต่งเร็ว ว่า ชอบ หรือ ไม่ชอบ หรือ มันแปรไปเรียกว่าสุข ไม่ชอบหรอกเรียกว่าทุกข์ มันเร็วแป๊บๆ เร็วยิ่งกว่านักมายากลอีก
แล้วคนที่อวิชชาก็จะยึดว่ามันเป็นสุข ไม่ชอบใจก็เป็นทุกข์ก็จะทำลาย โยนเข้ากองไฟให้มันละลายไปเลย หรือทำลายทุบทิ้ง อะไรก็แล้วแต่ คนก็มีพฤติกรรมจากอารมณ์ที่ชอบหรือไม่ชอบอยู่อย่างนี้ อธิบายแค่วัตถุแค่พีชะ วัตถุตัวอย่าง หยิบมาอธิบาย ไม่ชอบ ก็คือเป็นดินน้ำไฟลมพืชพันธุ์ธัญญาหารเป็นตัวสัตว์บุคคล สัมผัสแล้วชอบหรือไม่ชอบ ชอบก็เอามาเลยไม่ชอบก็ทำลาย ตัดหัวฆ่าทิ้ง ไปอย่างนั้น นี่คือพฤติกรรมต่างๆของความเป็นมนุษย์ที่อวิชชา ไม่รู้ว่ามีความต้องทำเช่นนั้น ทำโดยมีตัวต้องการ ชอบหรือไม่ชอบ บงการเราเอง แล้วก็ทำ ทำให้ดับหรือทำให้เกิด ทำให้มันพ้นไปไม่มีหรือทำให้มี
คำว่ามีหรือไม่มีเป็นเรื่องลึกซึ้งมาก
เมื่อคุณเกิดมาเป็นคน มีอัตภาพเรียกว่าตัวตน ตัวตนที่ปราศจากความโง่อวิชชา ปราศจากความหลงผิด โมหะ มีแต่ความรู้ วิชชา มีแต่ความรู้ ปัญญา สามารถอ่านอาการของจิตได้ แล้วเราก็แยก ตัวที่มันไม่เป็นปัญญา มันไม่เป็นวิชชาไม่เป็นความรู้ที่ถูกต้อง มันโง่ แยกว่าโง่ไปได้สารพัด เป็นอกุศลเจตสิก เมื่อไปสัมผัสอะไรก็แล้วแต่พระพุทธเจ้าให้เริ่มต้นตั้งแต่ โอฬาริกอัตตา สัมผัสแล้วก็ แยกให้ออก กิเลสหยาบ กำจัดกิเลสนี้ได้ จนโอฬาริกอัตตา ที่สัมผัสภายนอกนี้หมดไป สัมผัสอะไรก็ไม่เกิดแล้วกิเลสชอบหรือไม่ชอบ เป็นพระอนาคามี สัมผัสอะไรทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นดินน้ำไฟลมพืชพรรณธัญญาหารสัตว์บุคคล สัมผัสแล้วพระอนาคามีจะไม่เกิดอาการ ชอบหรือไม่ชอบ จนถึงกระทั่งโกรธหรือรัก รักก็ไม่มี โกรธก็ไม่เกิดในจิตของอนาคามีสำหรับการสัมผัสภายนอก แต่อาการรักหรือชอบอยู่บ้างมันยังมีระริกระรี้ในจิต เป็นรูปราคะ อรูปราคะ อรูปราคะละเอียดของรูปราคะ มันก็มีระริกระรี้ในจิต
คนอื่นไม่รู้กับเราด้วย พระอนาคามีจะเหลืออยู่อย่างนี้ เราก็เรียนรู้กำจัด ภวตัณหานี้ในขั้นรูป เหลืออรูปก็ดับอรูป จนเป็นพระอรหันต์
พยัญชนะที่หยิบเอามาอธิบายนี้ ผู้ที่เรียนรู้พูดถึงพยัญชนะตัวไหน สภาวะในจิตของตัวเองก็รู้เลย ขานชื่อคนนี้ อ๋อ นี่รูปราคะ อยู่ภายใน อันนี้กามราคะที่เกิดอยู่ภายนอก ขานชื่อตัวไหนก็รู้เจตสิกตัวนั้นได้ อย่างน้อยขานชื่อเราก็เอาพยัญชนะไปเทียบกับสภาวะได้ แม้ว่าเป็นพระอรหันต์ก็เคยมีเคยจำได้ ว่าตอนนี้ไม่มีในตัวเราแล้ว ปัจจุบันใดก็ไม่เกิด อดีตมันก็เคยเกิดเราเรียนรู้กำจัดมันได้เลยจนมันไม่เกิดอีก
อนาคามีกามราคะไม่เกิด สัมผัสอะไรกามก็ไม่เกิด เหลือระริกระรี้ อยู่ภายในเป็นรูปราคะอรูปราคะเท่านั้นเอง พยัญชนะนี้เอาไปประกอบกับสภาวะจิตเจตสิกต่างๆ
เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วพูดถึงตัวพยัญชนะแล้วเรียนรู้วิธีปฏิบัติ
วิธีปฏิบัติของพระพุทธเจ้า ง๊ายง่าย พิจารณาให้เห็นว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ จริงๆ มันไม่ใช่ตัวตน เท่าเนี๊ยะ สามคำเท่านี้ ง่ายจะตายธรรมะพระพุทธเจ้า
พิจารณาเห็นว่ามันไม่เที่ยงมันเกิดได้เดี๋ยวมันก็ดับได้ บางทีมันอยู่กับเรานานๆได้ เราโง่ให้มันอยู่นานก็ทุกข์นาน ถ้าอาการอกุศลจิตเรานี้มันไม่มีไม่เกิดในจิตเราแล้ว อย่างกามก็ไม่มีพยาบาทก็ไม่มี ละเอียดไปกว่านั้น เป็นรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชาก็หมด
พระอรหันต์ไม่มีจิตเหล่านี้ จิตจะเป็นอุเบกขากลางๆไม่มีไม่เกิดในจิตอีกเลย จิตเป็นอุเบกขามีคุณสมบัติ 5 ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
ปริสุทธาก็บริสุทธิ์ ปริโยทาตาก็คือยังบริสุทธิ์แม้จะกระทบสัมผัสกับอะไรต่างๆอย่างแรงอย่างเบามาลีลาต่างๆอย่างไรก็แล้วแต่ ก็ไม่เปื้อน ไม่มีมลทินเกิดอีก สะอาดบริสุทธิ์ทำได้อย่างเร็วก็คือ มุทุ ทำได้อย่างแคล่วคล่องทำได้อย่างแววไว รู้ก็ไว เชิงปัญญา ทำได้ก็ไว เรียกมุทุภูตธาตุ กระทบสัมผัสกับอะไรอีกในโลกก็มีจิตไว นอกจากไว แล้ว เป็นนักมายากลด้วยนี่แหละคือสิริมหามายา ทำให้มีขึ้นมาก็ได้ รับว่ามีอยู่ก็ได้ แต่มีนี้ร่วมกับผู้อื่น ผู้เป็นอรหันต์แล้วตนเองมีร่วมอยู่กับผู้อื่นโดยคำว่า มี นี้ไม่ได้เป็นตัวเราของเรา มีร่วมที่จะทำงานกับคนอื่น เช่น พูดกับคนอื่น มี พูดเหมือนกับพ่อแม่ เล่นกับลูกๆ เล่นหม้อข้าวหม้อแกง อันนี้ขนมครกเยี่ยวใส่ทรายก็ตักมาเป็นขนมครก ใครเคยเล่นบ้าง อาตมาเคยเล่น มันเป็นเรื่องเล่นๆแต่พ่อแม่เล่นกับลูกอย่างสนุกลูกก็เป็นจริงเป็นจัง คือร่วมมีเป็นสัมโภคกาย เหมือนสนุกสนานแต่จิตใจท่านบริสุทธิ์ พระอรหันต์แล้วท่านไม่มีหรอกแต่ท่านก็มีได้ ถ้าเรายังเป็นคนเรายังไม่ตายเรายังมีชีวิตเราก็ร่วมกับคนอื่น อนุโลมเล่นกับเด็กก็เล่นหม้อข้าวหม้อแกงเล่นขนมครกเยี่ยวใส่ทรายแล้วตักมาเป็นต้น มันชัดดี ก็เหมือนเรามีกับโลกเขา อนุโลมตัวนี้ แล้วค่อยๆแทรกซึมเรียกว่าแทรกโอสถเข้ารูขุมขน แทรกยาทิพย์เข้ารูขุมขน ค่อยๆให้ความรู้แต่อาตมาให้ยาแรงแต่ท่านบอกว่าแทรกยาทิพย์เข้าขุมขน ค่อยๆซึมซับ
แต่อาตมาว่าทุกวันนี้หนังคนไม่มีรูแล้วหนังมันด้านหมดแล้ว เพราะฉะนั้นจะไปใช้วิธีเบาๆแทรกโอสถเข้าขุมขน มันไม่มีขุมขนที่จะให้เข้า ก็ต้องแทงเข้าไปจิ้มเข้าไปให้เกิดรูหยดโอสถเข้าไปมันถึงจะเข้าได้ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆในยุคนี้เป็นยุคหนังด้าน ด้านทั้งหมดหน้าตัวตนก็ไม่มีขุมขนเลย หน้าไม่มีเลย แต่ก่อนนี้ก็ขุนขนหน้าบาง ตัวขุมขนหยาบ แต่เดี๋ยวนี้หน้าแข็งไม่มีขุมขนเลย ก็เลยต้องจิ้ม จิ้มด้วยเข็มก็ยังไม่เข้า ต้องหอก พูดให้มันถูกสภาวะความเป็นจริงเพราะหน้ามันแข็งมากเข็มหักหมด ต้องหอก แหลมๆใหญ่ๆทิ่มเข้าไปๆ จึงจะแทรกยาเข้าไปได้บ้าง ต้องใช้นัยยะเปรียบเทียบอะไรอย่างน่าเกลียด แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงในยุคสมัยนี้
อาตมายกตัวอย่างเช่น อาตมาพูดถึง การทำฌาน ทำสมาธิ
ศาสนาอื่นใดเขาทำฌานและสมาธิจะต้องนั่งเพ่งทำการสะกดจิต เพ่งอย่างไรก็แล้วแต่เพ่งนอกหรือใน เพ่งนอกแล้วค่อยใน ทำให้นิ่งอยู่เฉยๆหยุด อย่างนั้นเป็นวิธีที่ตื้นและง่าย ทั่วโลกเขาทำกันอย่างนี้ แต่ไหนแต่ไร เขาก็ทำอย่างนี้วิธีการทำฌานและสมาธิอย่างนี้ ทั่วโลก แต่ฌานของพระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่ ไม่ใช่มานั่งเพ่งอย่างนี้ ฌานของพระพุทธเจ้าต้องทำงานทำการแล้วเพ่งทำให้เกิดไฟ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะเพาะพุทธว่า..พ่อท่านอธิบายสิริมหามายา เป็นวิธีการทำให้เกิดจิตวิญญาณใหม่ โดยปกติลักษณะของพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เน้นนิพพานคือความดับ แต่สิริมหามายานี้ทำให้เกิด ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องสวนทางกัน แต่จริงๆแล้วเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะในการทำความดับก็เป็นการทำความเกิด ดับกิเลสในจิต จึงเกิดความเป็นเทพจนถึงวิสุทธิเทพ ก่อนจะถึงวิสุทธิเทพก็เป็น สมมุติเทพ พัฒนามาเป็น อุปัติเทพ กระทั่งถึงวิสุทธิเทพ
สิริมหามายา พ่อท่าน พยายามเชื่อมโยงให้พวกเรารับรู้ว่า ศาสนาของพระพุทธเจ้าเน้นความดับ แต่ความดับที่ว่านี้ไม่ใช่การดับที่เรียกว่าไม่ดูดำดูดี แต่เป็นความดับที่ก่อให้เกิดความเกิดจนถึงขั้นวิสุทธิเทพ พ่อท่าน อธิบายว่าจิตที่สะอาดบริสุทธิ์คือจิตที่ไม่มีตัวตน นั่นแปลว่า ความไม่มีนั่นแหละเป็นความมี เป็นความไม่มีตัวตน ให้ถึงจิตสะอาดบริสุทธิ์
การปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาคือการปฏิบัติธรรมให้เห็นไตรลักษณ์ พ่อท่านพูดให้เห็น ความไม่เที่ยงความเป็นทุกข์ความไม่มีตัวตน จนเข้าถึงจิตอุเบกขา โดยยกตัวอย่าง กรณีพ่อแม่เล่นกับลูก
นักปฏิบัติธรรมอนุโลมเพื่อโลกไม่ได้อนุโลมเพื่อเรา เป็นสิริมหามายาเป็นการแทรกโอสถทิพย์เข้าในรูขุมขน ตอนแรกพ่อท่านว่าทุกวันนี้คนไม่มีขุมขน หมอเอายาเข้าก็ใช้ขุมเข็ม แต่พ่อท่านก็ว่าแม้แต่เข็มก็แทงไม่เข้าต้องใช้หอก
คนจะมีความสามารถใช้หอกใช้ทวนต้องฝีมือระดับควรรู้นะครับพ่อท่าน ใครที่ยังไม่มีความสามารถในการใช้อาวุธ ให้ระมัดระวังรายการใช้อาวุธจนถึงขั้นอย่าใช้อาวุธ รอให้มีคู่มีกระบวนท่าอาวุธใช้ก่อน ก็ปล่อยให้ผู้นั้นเป็นผู้ทำหน้าที่ไป ผมก็ฟังพ่อท่านมาประมาณนี้ พ่อท่านให้อ่านมโนปวิจาร 18 จัดการกับกายกลิ คือองค์ประชุมของจิตที่ไม่ดีให้หายไป การหายตัวคือทำให้กายกลิหายไป เป็นวิธีการหายตัว แบบอิทธิปาฏิหาริย์ในเชิงพุทธแบบหนึ่งเหมือนกัน
พ่อครูว่า…อาตมาอธิบายไปก็เป็นธรรมะไป อาตมาได้พูดเรื่องแม่ก็อธิบายว่าแม่เรามีจะต้องตอบแทนบุญคุณ ต้องเคารพยกย่องเชิดชูอะไรก็แล้วแต่ ที่มีคำบอกว่า ช่วยขยายความว่า พฺรหฺมาติ มาตาปิตโร
พรหม คือความบริสุทธิ์สะอาดเป็นวิสุทธิเทพ คำว่า แม่นี้ ที่ท่านเรียกสิริมหา มหาแปลว่าใหญ่ เป็นแม่ที่ดีเป็นแม่ที่ยิ่งใหญ่ เพราะว่าคำว่าแม่คำนี้ หมายได้ถึงเป็นตัวตนบุคคล เป็นแม่โดยโลกีย์ธรรมดา เป็นผู้ที่เลี้ยงดูบุตรหลานให้เป็นคนดี ถ้าแม่ไม่เป็นคนดีไม่เลี้ยงลูกปล่อยปละละเลย อย่างที่เคยได้ยินได้ฟัง คลอดลูกออกมาเอาไปทิ้งถังผงเป็นต้น เอาไปทิ้งตรงนั้นตรงนี้ ปล่อยให้สุนัข มันไม่ไหวแล้ว แม่จะต้องมีน้ำใจ
สัตว์เดรัจฉาน เมื่อคลอดออกมาแล้วมันรักลูกของมันทุกตัว อย่าให้ใครมาทำร้ายเลยมันเอาตายนะ แม่ที่มันมีลูกอ่อนอย่าเข้าไปใกล้มันนะสำหรับสัตว์ มันสู้ตายเลย มันระวัง กลัวลูกของมันถูกทำร้าย มันมีสัญชาตญาณด้วย แม้แต่คน นอกจากคนที่มันไม่รักลูก ไม่ดูแลลูก ลูกของสัตว์นี้คลอดออกมาแล้วสัตว์หลายอย่าง พ่อแม่ไม่ได้เลี้ยงเลย มันโตของมันเองด้วยตัวของมันเองเลี้ยงตัวมันเองได้เลย แต่สำหรับลูกคน คลอดออกมาแล้วแม่ไม่เลี้ยงก็ตายลูกเดียว คน ถ้าแม่ไม่เลี้ยง ซึ่งเป็นสัญชาตญาณที่มีมา สัตว์ที่มันต้องเลี้ยงมันก็เป็นสัตว์ที่ดี มันเป็นไปตามลำดับ
สรุปแล้วแม่ มาถึงธรรมะพระพุทธเจ้า การเกิดมันมีการเกิดอยู่ 4 อย่าง
-
ชลาพุชโยนิ (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในครรภ์)
-
อัณฑชโยนิ (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในไข่ – ทิชาชาติ)
-
สังเสทชโยนิ (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดจากการแบ่งตัว) เช่นแบคทีเรีย