610813_รายการสำมะปี๋ซี่วิต ครั้งที่ 5 ที่ ปฐมอโศก
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1YiU7wKZY5MlsX325NdHW2wLND1BFte4hLP6K-LjLSzg/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1B6P7rYVyw5Db8vcd-fp80ptdlHQVddQb
พ่อครูว่า…วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม 2561 ที่บวรปฐมอโศก
_ดญ.ว่านน้ำถาม หลวงปู่สบายดีมั้ย
พ่อครูว่า … สบายดีเพราะหลวงปู่ไม่ซน คนซนๆไม่สบายหรอก
_ทิดคู่ฟ้า…สมัยที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน ก็ไป 2 คนกับพระอานนท์ เพื่อจะไปปรินิพพานที่เมืองกุสินารา ระหว่างทางพระพุทธเจ้าเกิดกระหายน้ำ ก็เลยบอกพระอานนท์ว่า อานนท์เรากระหายน้ำ เธอไปตักน้ำให้เราดื่มหน่อย พระอานนท์ไปที่ลำธาร แล้วกลับมาบอกพระพุทธเจ้าว่า เกวียน 500 เล่มเพิ่งผ่านไป น้ำจึงขุ่น พระอานนท์จึงกลับมา พระพุทธเจ้าก็บอกว่าให้ไปอีก พระอานนท์ก็บอกว่า เกวียน 500 เล่มเพิ่งผ่านไป น้ำจึงขุ่น เป็นครั้งที่ 2 และเป็นครั้งที่ 3 พระพุทธเจ้าก็ตรัสคำเดิม ว่าเรากระหายน้ำจริงๆเธอไปตักน้ำมาเถอะ ผมจะหยุดเรื่องนี้ไว้ก่อน
ผมจะเล่าเรื่อง พระพุทธเจ้าไปหาพระนางพิมพาไปโปรด แต่ก็ไม่ได้ไปสักที แต่พระพุทธเจ้าก็ได้ไป ก่อนจะไปบอกให้พระโมคคัลลานะกับพระสารีบุตรเป็นปัจฉา องค์อื่นไม่ไป พระพุทธเจ้าก็บอกว่า ให้เธอคือพระโมคคัลลานะกับพระสารีบุตรไม่ต้องยุ่งอะไร เมื่อไปแล้วก็เกิดเหตุการณ์ ต้องปล่อยให้พระนางพิมพาทำอะไรก็ปล่อยให้ทำ พอมาแล้วก็เกินคาดคิด คือมากอดเท้าพระพุทธเจ้าแล้วร้องไห้ พระโมคคัลลานะกับพระสารีบุตร เป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้ายและขวา จะเข้าใจได้
ย้อนกลับมา ที่พระอานนท์ พระพุทธเจ้าให้ไปตักน้ำถึง 3 ครั้ง พระอานนท์ก็เลยไป แล้วก็ตักน้ำกลับมาได้
คำถามของผม…ถามพวกเราทุกคนว่า..นิทานเรื่องนี้มีแง่มุมไหนเราจะได้ประโยชน์ ระหว่างพระพุทธเจ้ากับพระอานนท์ใครดื้อกว่ากัน
…มีคนตอบว่า พอๆกัน กราบนิมนต์ พ่อท่านเลยครับ เราจะได้ประโยชน์อะไรจากนิทานนี้
พ่อครูว่า…คำถามนี้แทบจะจนแต้ม หาบาปมาให้เรา ให้เราว่าพระพุทธเจ้าหรือพระอานนท์ดื้ออีก ใครจะไปตอบได้ว่า ใครดื้อกว่าใคร คุณอยากจะว่าพระพุทธเจ้าดื้อก็บาปไปเอง คุณจะบอกว่าพระอานนท์ดื้อก็บาปไปเอง จบ เป็นคำถามที่หาแง่มุมในสิ่งที่ขัดแย้ง แล้วก็จับมาเป็นประเด็นปัญหาหมด จะถามไปหมด แล้วจะตอบหมดที่อย่างไร มันเป็นเหตุที่จะต้องเป็นเช่นนั้น ยกตัวอย่างต่อ เช่น เรื่องน้ำ ที่ดื่มไม่ได้สักทีเพราะเกวียนผ่าน พระพุทธเจ้าก็อธิบายเป็นเรื่องอจินไตย อย่างเช่นพระพุทธเจ้าท่านจะแสดงอะไรออกมาเพื่อจะให้เกิดประเด็น เมื่อประพฤติขึ้นก็จะมีประเด็นมาอธิบาย อธิบายเป็นธรรมะได้หมด เหมือนอาตมาอธิบายได้หมด แต่มันไม่ได้ดีเท่าพระพุทธเจ้าหรอก ยิ่งมาเป็นประเด็นที่จะมาตอบรายละเอียดของธรรมะที่ควรจะสาธยายออกไป เพราะทุกอย่างมันอะไรอันนึง คำพูดคำหนึ่งเกิดขึ้นมา มันก็จะมีอะไรที่มีความหมาย พ่วงไปหานั้นแล้วอธิบายไปมันก็ได้หมดแล้ว
เพราะฉะนั้นสรุปแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นเป็นกรรมกิริยา ที่เราพูดนี้ก็คือวาจา แล้วก็ใช้กรรมกิริยาทางวาจาเป็นตัวนำ ในการที่จะเรียนรู้ ในการที่จะศึกษา เพื่อที่จะได้เกิดการพัฒนาชีวิต เพราะฉะนั้นการแสดงออกเป็นสามัญชีวิตธรรมดาก็ตาม เจตนาอธิบายเป็นธรรมะก็ตาม ก็เป็นประโยชน์ในการพัฒนาชีวิต ถ้าเราเป็นผู้ฉลาด ทุกอิริยาบถสัมผัสอะไรแล้วเราก็กำหนดพิจารณาทำความเข้าใจ เอามาเป็นตู้เราก็ได้ประโยชน์ไปทั้งนั้นในชีวิต อะไรๆก็เป็นบทเรียน
_คุณอำนาจ ขอให้พ่อครูช่วยอธิบาย สำมะปี๋ซีวิต คืออะไรครับ
พ่อครูว่า..สำมะปิ คืออะไรต่างๆนานา สำมะปี๋ซี่วิตก็คือชีวิตอะไรต่างๆนานา ทุกเรื่องราวบทบาท ปนกันมากมายก่ายกอง
_ใจกลั่น ตอนใจกลั่นเข้าวัดปี 2534 ปี 2536 เกิดวิกฤต ตนเองสอนเด็กจนเกิดความเครียดขึ้นมาทางปฐมอโศก ตอนที่พ่อครูมาใจกลั่นก็กราบพ่อครูว่า..ไม่มีใครเข้าใจดิฉันเลย พ่อครูเลยบอกว่า คุณนั่นแหละฟังเพื่อนๆบ้าง เราก็ตั้งสติ
บางทีใจกลั่นมีเพื่อนว่าผอม พ่อครูก็ว่า ไม่ผอมหรอกหุ่นนางแบบ แต่พออ้วนขึ้นมา พ่อครูก็ว่า ไม่อ้วนหรอก แข็งแรงบึกบึน
ที่จะถามคือ คุณต้องฟังเพื่อนๆบ้าง สมัยนั้นก็จะมีหินกลั่น กลั่นฟ้า กลั่นกรอง ใจกลั่น มี 4 กลั่น วันหนึ่งพ่อครูก็บอกว่า พวกกลั่นๆนี้มีแต่ดันทุรังทั้งนั้นเลย คือดื้อ
อยากถามพ่อครูว่า…ที่ตั้งชื่อ ว่าใจกลั่นและพวกกลั่นๆ ต้องการให้กรรมฐานอะไร แล้วพ่อครูทราบได้อย่างไรว่า …เพื่อนฝูงบอกอะไรให้ฟังบ้าง ให้ฟังที่ประชุมบ้าง
พ่อครูว่า…ที่คุณสงสัยว่าอาตมารู้ แล้วอาตมารู้อะไร…
_ใจกลั่นว่า…พ่อครูแสดงธรรมแล้วมันตรงพอดีค่ะ
พ่อครูว่า…อาตมาไม่รู้อะไรแต่แสดงออกไป มันก็ตรงพอดี ก็แสดงว่า อาตมาไปแสดงทั้งๆที่ไม่รู้นี้เป็นสารพัด มันไปตรง ก็คือคุณมีสารพัดนั้น ทั้งที่อาตมาไม่รู้เลย แสดงออกไปก็ไปทุกอันนี้ แสดงว่าคุณก็มีอันนี้ ก็แสดงว่าสารพัด
_ใจกลั่นว่า…ดีไหมคะ
พ่อครูว่า…ถ้ามันตรงก็ได้ประโยชน์ก็ดีไหมล่ะ
_ใจกลั่นว่า.. มีครั้งไหนที่พ่อครู เจตนาจะเทศน์ให้คนนี้
พ่อครูว่า…มีหลายที ตั้งใจจะมาเทศน์ให้คนนี้ แต่บังเอิญคนนี้ไม่มาฟังอีก ก็หลายที คนที่เราจะอธิบายจะสอนให้ดันไม่มาอีก
_ใจกลั่นว่า..แล้วเขาไม่มาแล้วพ่อครูทำไงคะ
พ่อครูว่า…ไม่รู้จำไม่ได้แล้ว บางทีก็เทศน์ไปเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น บางทีก็รอให้คนนั้นมาก่อน
_กำชับ….อยากจะถามเรื่องผู้ใหญ่ที่ว่ายากสอนยาก และเด็กที่ว่ายากสอนยาก พ่อครูเหนื่อยกับเด็กมากกว่าหรือเหนื่อยกับผู้ใหญ่มากกว่าครับ
พ่อครูว่า..ตอบ มันเหนื่อยกว่ากันทั้งคู่ ผู้ใหญ่ก็เหนื่อยกว่าเด็ก เด็กมันก็เหนื่อยกว่าผู้ใหญ่มันก็เลย กันทั้งคู่ ถ้าลงมันไม่ค่อยจะฟังก็เหนื่อยทั้งนั้น มันต้องจ้ำจี้จ้ำไช บางทีก็ต้องปรุงแรงหน่อย อะไรต่ออะไรก็หนัก เท่านั้นเอง ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ
_ปลูกขวัญ..เรามีบรรพชนที่เคยเป็น ผอ.โรงเรียนสัมมาสิกขา ณ บัดนี้มีบ้านอยู่ข้างทาวน์เฮ้าส์ที่วัด ตอนนี้อาจารย์อายุมากขึ้น เดิน 3 ขา เวลากลับบ้านก็อยู่คนเดียว ศิษย์เก่าทั้งหลายก็อยากให้อาจารย์ท่านนี้ มาอยู่ที่นี่แล้วก็ดูแลกัน แต่ทีนี้ อาจารย์จะเป็นคนเกรงใจมาก อยากจะกลับบ้าน เราจะทำอย่างไรให้อาจารย์ได้คลายใจตรงนี้ อาจารย์เคยสอนลูกหลานมา ทำอย่างไรจะให้ลูกหลานได้ตอบแทนบุญคุณบ้าง
พ่อครูว่า…อาจารย์ไม่ออกมาให้เราได้ดูแล เราก็เข้าไปสิ ไปบ่อยๆเดี๋ยวอาจารย์ก็จะเกรงใจว่าคนมาหาบ่อยๆเราก็เลยต้องออกมา เป็นการแก้เคล็ด
_ปลูกขวัญว่า…ตอนนี้อาจารย์ยืนยันว่าจะกลับบ้าน
พ่อครูว่า..ต้องกลับบ้าน แต่เราก็ไปให้มากๆบ่อยๆ จนท่านคิดว่าเราทำให้คนต้องมากันเยอะ เดี๋ยวท่านเกรงใจท่านก็ออกมาเอง นี่คือคำตอบ คำตอบนี้ไม่ได้ปิดบัง ท่านจะได้ยินเองหรือไม่ได้ยินเองก็ไม่เสียหาย
_ปลูกขวัญว่า…อาจารย์บอกว่าจะกลับบ้านที่กรุงเทพฯ
พ่อครูว่า…ก็ตามไปดูที่กรุงเทพฯเลย ต้องพูดถึงธรรมะอันนี้ อันลึกอันนี้ ความเกรงใจนี้ดี แต่ถ้าเกินขอบเขตก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าจะเป็นประโยชน์ มันไม่ใช่เรื่องแกล้ง ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เราก็ควรจะต้องทำให้เกิดความพอดี ถ้าเราออกมาแล้วเกิดประโยชน์อย่างนี้ ลูกศิษย์ลูกหาที่เป็นลูกหลาน ให้เขาได้มาเป็นคนกตัญญูกตเวที มันก็เป็นกรรมกิริยาที่เป็นประโยชน์มีคุณค่า ถ้าคนใดแสดงออกความกตัญญูกตเวทีก็จะเป็นกิริยาเป็นอาการเป็นพฤติกรรม คนก็จะเห็นก็จะเกิดประโยชน์ ที่นี่เขาดีนะ มีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้ใหญ่ ดูแลช่วยเหลือเป็นพฤติกรรมมนุษย์ซึ่งมันจะสวยงามเสมอ ว่าชาวอโศกเรามีพฤติกรรมที่สวยงามอย่างนี้เยอะ พฤติกรรมที่ดี เพราะฉะนั้นถ้ามีพฤติกรรมจริง ถ้าไม่เกิดพฤติกรรมจริงมันก็จะเงียบหาย มันก็จะไม่เกิดผลประโยชน์อะไร ถ้ามีพฤติกรรมสิ่งที่เป็นพฤติกรรมดี ก็แสดงพฤติกรรมดีต่อสังคมขึ้นไป ก็เป็นประโยชน์ให้คนได้รู้ได้เห็น
อย่างเช่นพฤติกรรมของคนที่ช่วย 13 หมู่ป่า ก็เลยเกิดเป็นคุณค่าในโลกขึ้นยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ พฤติกรรมของคนแม้จะเล็กน้อย มีความละเอียดลึกซึ้งก็เป็นธรรมชาติของความละเอียดลึกซึ้ง ก็ดี
_อาจารย์อุทิน…ดิฉันรู้สึกสุดแสนซาบซึ้งกับจิตวิญญาณทุกท่าน ไม่มีอะไรจะเหนือกว่านี้แล้ว แต่ที่ดิฉันจำเป็นต้องออกไปข้างนอกเพราะมีวิบากกรรมที่ต้องใช้หนี้ จนตอนนี้ 2-3 เดือนนี้ อยู่ดีๆจะไปไหนก็ยกขาไม่ขึ้นเลย ก็เลยต้องเดินสามขาสี่ขา เหมือนมีเชือกรัดเอาไว้ พยายามรักษาตัวที่โรงพยาบาล ลูกก็ทำงานที่โรงพยาบาล ไปหาหมอเขาก็ให้แต่วิตามินบีคอมเพล็กซ์เสมอ ผลสุดท้ายหมอนัดอีกทีวันที่ 6 ก็เลยบอกว่าจะไม่ไป มาที่นี่ดีกว่า ดิฉันเตรียมตัวแล้วว่ามันคงถึงเวลาแล้ว กำลังเขียนหนังสือหนังหา เรามีเต็มบ้านหลายพันเล่ม เราจะรักแค่ไหนก็ไม่มีโอกาสนั้นก็ต้องหาวิธีระบาย ที่ดิฉันไปก็ไปรักษาตัว จิตวิญญาณของเรา อย่างไรเราก็หวังจะถึงขั้นนิพพานไม่อยากจะมาเกิดอีก แต่เวลามันน้อยเหลือเกิน ทำได้นิดเดียวก็ใกล้เวลาเข้ากองฟอน ตายเมื่อไหร่ก็ไม่มีปัญหา ขอว่าเท่าที่จะมีแรงมาที่นี่ ดิฉันรู้สึกซาบซึ้งมาก รู้สึกเป็นภาระแก่ผู้อื่นเขา
พ่อครูว่า…ให้เขามีภาระบ้าง ถ้าไม่มีภาระก็จะไม่มีกรรมกิริยาการกตัญญู ให้คนได้เห็นได้รู้ได้เป็นพฤติกรรมให้เขาศึกษา เป็นครูก็ต้องทำอะไรให้คนเห็นคนเข้าใจ คนได้รับรู้ว่าอันนี้เป็นของดี เป็นพฤติกรรมที่ดี ไม่อย่างนั้นไม่เกิดปฏิกิริยาอะไร มันก็ไม่เกิดอาการอะไรที่จะเห็น เพราะฉะนั้นต้องมีเหตุปัจจัยมีรูปนาม เป็นพฤติกรรมธรรมะ 2 ถึงจะเกิด ไม่อย่างนั้นมันก็มีพฤติกรรม 2 มันก็ไม่เกิด เป็นครูวิทยาศาสตร์ก็คงจะเข้าใจนะที่พูดนี้
_อาจารย์อุทินว่า..เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าที่กระหายน้ำ พระพุทธเจ้าตอนที่ทำวิบากไว้ ก็ยังหวังดีที่จะทำ แต่เป็นเพราะจิตวิญญาณของ ผูกไว้หรือ ทำไมผูกไว้นานเหลือเกินจนเป็นพระพุทธเจ้าก็ยังตามมาอีก ก็ไม่เข้าใจตรงนี้เหมือนกันต้องทรมาน
พ่อครูว่า…ก็เพราะอย่างนี้แหละ จิตวิญญาณของสิ่งที่เป็นวัว กับจิตวิญญาณของพระพุทธเจ้า เป็นกรรมวิบากที่ท่านได้สร้างไว้ จึงเป็นเรื่องกรรมวิบากที่แก้แค้นกันด้วยอวิชชา วัวมันก็มีอวิชชา ตอนยังไม่เป็นพระพุทธเจ้าก็ยังมีอวิชชา แม้แต่จะเป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ตาม วิบากนั้นก็เดินบทบาทอยู่ มันก็มีเป็นธรรมดา แม้พระพุทธเจ้าจะมีวิบากไม่ดีนี้ ไม่เป็นไปตามที่ควรเพราะน้ำมันขุ่นไม่ได้กินน้ำ กรรมวิบากก็ต้องออกผลจริงๆ จะไปห้ามได้อย่างไร
พระพุทธเจ้าแม้ว่ากรรมวิบากมาถึงท่าน แต่มันไม่หนักหนาใหญ่โต เป็นเศษวิบากเบาๆ ขนาด พระพุทธเจ้าก็ยังมีวิบากตามมา เพราะฉะนั้นอย่าประมาทในวิบากต่างๆ อย่าไปสะสม ยิ่งสะสมก็เป็นวิบากหนัก
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า อกุศลกรรม แม้นิดแม้น้อยอย่าทำเสียเลย ไปสงสัยว่าทำไม ก็มันต้องมีถ้ามันไม่มี กรรมจะเป็นอันทำได้อย่างไร มันต้องเกิด Action Reaction เมื่อถึงเวลาวาระ เป็นแต่เพียงว่ายังไม่ถึงเวลา กาละ Action Reaction ก็ยังไม่ปรากฏ เมื่อถึงเวลาวาระ Action Reaction นั้นก็ต้องปรากฏ
_ปะฝนฟ้า…1.การเพิ่ม coefficient ให้แก่ตัวเองมีทั้งด้านกุศลบุญใช่ไหมคะ (พ่อครูว่า..ใช่) การจะเพิ่ม พ่อครูว่า.. ถ้าแค่ระดับ + ยังไม่ใช่ ต้องเป็นระดับคูณจนถึงยกกำลัง
…อยากให้พ่อครูยกตัวอย่างบุญกับกุศล
พ่อครูว่า…คุณยกตัวอย่างไกลไป เอาบุญต้องคู่กับบาป กุศลต้องคู่กับอกุศล
บุญยังเป็นโลกุตระเป็นการลดกิเลส ส่วนกุศลนั้นเป็นเรื่องโลกียะ เป็นเรื่องความดี เป็นเรื่องกุศลกับเรื่องไม่ดีคืออกุศล ดีคือสิ่งควร ดีกับไม่ดีจะวนเวียนกลับไปกลับมาไม่สูญหาย นอกจากไม่สูญหายแล้วยังสะสมอีกด้วย คุณสะสมแต่ดี เวลากรรมของคุณก็ต้องมีหนึ่งหน่วย คุณทำกุศลก็ไม่ได้ทำอกุศล กาละทุกกาละ จุดหนึ่งของ กาละเร็วกว่าวินาที จุดหนึ่งคุณทำกุศลก็ไม่ได้ทำให้อกุศล
กุศลอกุศลก็ออกฤทธิ์เป็นผลกรรม ก้อนของกรรมไม่หายไป จะสะสม แล้วมีอยู่ว่าความดีจะออกฤทธิ์ได้ช้าและไม่แรงเท่าอกุศล อกุศลจะวิ่งมาเล่นงานเร็วแรงกว่ากุศล กุศลไม่แรงเท่าไหร่ อกุศลเหมือนผู้ร้ายที่คิดจะทำงานตลอดเวลา แต่ผู้ดีคือกุศลจะเฉื่อย
ส่วนบุญคือพลังงาน ความรู้นี้มีเรียนแต่ในอโศกเท่านั้น อาตมาเป็นคนอธิบาย บุญเป็นพลังงานของจิตนิยาม ไม่ใช่พลังงานอุตุ พีชนิยามไม่มีเวทนา แต่จิตนิยามมีเวทนามีวิญญาณ แล้วมันก็สะสม รัก ดูด กับ ชัง ผลัก
คนที่มีวิชชา จึงแก้ไขไม่ให้แรงผลักแรงดูดทำงาน แม้ที่สุดเป็นพระอรหันต์ก็อยู่เหนือแรงผลักแรงดูด ทำให้พลังงานบวกกับลบนี้เป็น Neutron เป็นพลังงานกลางไม่ผลักไม่ดูดได้ นี่คือความรู้ของพระพุทธเจ้าที่ทำให้พลังงานจิตนิยามให้เป็น Neutron ได้
โดยเฉพาะตัว ผลัก ดูด ที่เป็นเหตุให้ผลักหรือดูดก็สลายตัวนี้ไปได้ แม้มันเกิดก็ห้ามได้ อนาคามีก็ได้ แรงจากภายนอกไม่ทำอะไรได้ จะเกิดแต่ในใจ มันก็จะค่อยๆ ผู้ที่ศึกษาเป็นเจ้าของพลังงานจะจัดการได้ อภิสังขารจัดการได้
_แล้วที่เป็นยกกำลังสอง จะยกตัวอย่างเป็นรูปธรรมอย่างไร
พ่อครูว่า…ยกกำลังคือคูณมากทับทวีเป็นชั้นๆ เป็นอัตราทางวิทยาศาสตร์ นามธรรมแม้จะเป็นพลังงานทางจิตก็วัดหน่วยได้ จะจับหน่วยอย่างไรก็นับเอาจากทับทวียกกำลัง
_คือเราต้องทำกุศลให้มากขึ้นๆ
พ่อครูว่า…พลังงานบุญไม่ใช่กู พลังงานบุญต้องจับกิเลสได้ 2. ต้องทำให้กิเลสลดได้ ทำกิเลสลดได้ หน้าที่บุญก็เลิกไป อันนี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก ไม่เช่นนั้นไม่มีนิพพาน จะเกิด Action Reaction ตลอดเวลา กุศลอกุศลเกิดตลอดเวลา แก้ไม่ตก แต่บุญไม่ใช่กุศลอกุศล บุญทำลายกิเลสไม่เหลือที่จะออกมาทำ Action reaction เป็นวิบากต่อกันไม่มี มันหมดวิบากเลยนะ บุญ ดับบาปได้ อกุศลก็ได้ คือจิตไม่ดีหมดไป ล้างตัวเหตุแห่งอกุศลแห่งวิบากได้มันก็จบ มันก็ไม่มีอะไรเป็น Action Reaction เป็น Neutral(? กลาง ไม่สุขไม่ทุกข์(เนกขัมมะ)?) เป็นศูนย์
ถ้าจัดการบุญได้แค่หยุด มันก็ไม่ได้นิพพานสิ มันต้องถอนอาสวะอนุสัยหมด พลังงานมันสูญจริง ก็นิพพาน ไม่มี Action Reaction อีกแล้ว ถ้ายังไม่หมดไม่สูญ เมื่อไหร่จะหมด Action reaction บุญเป็นพลังงานที่รู้จักกิเลสแล้วทำกิเลสให้หมด หมดกิเลสให้ทำแล้วบุญก็หมด บุญเกิดในปัจจุบันเท่านั้น
ผู้ที่สร้างพลังงานนี้ พลังงานบุญก็ต้องมีเหตุปัจจัย เหตุปัจจัยนี้เป็นเรื่องนี้ ไม่ใช่อยู่ๆก็หาเรื่องให้เกิดบุญแล้วก็ฆ่าอะไรไม่รู้ มันไม่เกิดโดยไม่มีเหตุ ต้องมีผัสสะ เรามีกิเลสกับตัวนี้ ถ้าหากผัสสะแล้วเราไม่มีกิเลส บุญก็ไม่โผล่ บุญก็ไม่มา มันชัดเจน บุญก็ไม่เกิด
บุญมันดับกิเลสสูญได้จริง มันหมดหน้าที่แล้ว มัน สูญสนิทไม่เกิดอีก พลังงานนี้ไม่เกิดอีกในมหาจักรวาล แล้วบุญจะเกิดอีกทำไม มันก็เป็นเศษขยะเท่านั้นเอง
_สืบเนื่องจาก ท่านเดินดินท่านเทศน์เมื่อเช้านี้ มีคนถามว่า มีคนพยากรณ์พ่อท่านหรือยังว่า จะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต แล้วพ่อท่านตอบว่ามี แล้วเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อจากสมณโคดมหรือไม่คะ
พ่อครูว่า…ไม่ใช่หรอก จะไปถามเรื่องอจินไตยพวกนี้เดี๋ยวจะเป็นบ้า
_สมณะเสียงศีล…เมื่อวันแม่ ได้ยินพ่อครูพูดถึงเรื่องของพระนางสิริมหามายา ทำให้รู้สึกเข้าใจที่ดีขึ้น อยากให้พ่อท่านอธิบายชื่ออื่นๆบ้าง อย่างเช่น พระเจ้าสุทโธทนะหมายถึงอะไร เจ้าชายสิทธัตถะหมายถึงอะไร พระนางยโสธราพิมพาหมายถึงอะไร พระนางมหาปชาบดีโคตมี พระเทวทัต พระอานนท์ ถ้าชื่อเป็นภาษาธรรมะจะทำให้เข้าใจธรรมะได้ดีขึ้น
พ่อครูว่า…ชื่อของเจ้าชายสิทธัตถะ สิทธะ แปลว่า สำเร็จ อัตถะ แปลว่าเนื้อหา สิทธัตถะคือผู้มีเนื้อหาแท้ อัตถะคือ essence แก่นเนื้อหา เป็นผู้ที่เกิดมาจะต้องสำเร็จเนื้อหา ในแก่น เป็นเจ้าของเนื้อหาเลย ทำให้เกิดอันนั้นได้
ยโส คือยศ ธร คือทรงไว้ ทรงไว้ซึ่งยศ ยโสธรา
ยโส สูงสุดแล้ว มีสระที่พลังงานสูงสุดแล้ว โอ ธรา คือทรงไว้ (พหูพจน์)
พิมพา คือลักษณะของ พ.พาน หรือพฤติ พ.พานคือตัวบทบาท ป ผ พ ภ ม เป็นตัวจิตการงานตั้งแต่เริ่มต้น ป ลงท้าย ม คือจิตทำงาน พฤติกรรม พ คือทำ แล้วทำขึ้นมา พิม คืออะ อา อิ คือสามเส้าทำงานเป็นวงวนแล้ว ถ้ามีแค่ 2 ก็เป็นแนวระนาบ พอ 3 ก็เกิดวงวน เกิดปฏิกิริยาพลังงานหมุนที่ครบรอบทั่วถึง สามเส้า
อะ อา อิ นี้ พิม คือ จิต ม.ม้า แล้วพออีก คือ พา คือพหูพจน์ เกิดมาเป็นบทบาทโดยพลังงานของผู้หญิงผู้ชาย พลังงานผู้หญิงคือพลังงานไดนามิค ผู้ชายคือพลังงาน Static
เพราะฉะนั้น ตัวพลังงานคือตัวพิมพา เป็นคู่ที่พาไม่ให้หยุด เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าเกิดพิมพาก็ต้องเกิดเพราะจะให้ทำงาน ถ้าไม่มีพิมพาก็จะไม่มีตัว ผู้ที่จะให้เกิดทำไง
พวกคุณพอรู้เรื่องบ้างที่อาตมาพูดไปให้คุณเรียนรู้ สามเส้า ในวัฏสงสารนี้มันมี 3
-
สัตว์ 2. ของ 3. รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
ข้อที่ 1 กระทบกับสัตว์ที่เป็นจิตนิยาม
ข้อที่ 2 เกี่ยวกับของที่เป็นอุตุนิยามพีชนิยาม
เกี่ยวกับสัตว์แต่ละตัว คนละอัตภาพ ก็คือตัวของเขา เราก็คือเรา ทุกคนก็มีวิบากของตัวเอง สัตว์แต่ละสัตว์ ก็มีวิบากของมัน พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า เราอย่าไปเนื่องต่อ ที่เราสัมพันธ์กันมาในอดีตก็เยอะแล้ว สัตว์มันก็อยู่ของสัตว์ ถ้าจะมีอะไรสัมพันธ์กัน เราก็ทำการเกื้อกูลกันเราหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวง ช่วยมันเพราะเหตุปัจจัยอาจจะช่วย ถ้าอยู่ดีๆเราอย่าไปเกี่ยวข้อง ถ้าเกี่ยวข้องก็จะเกิดสัมพันธภาพ เกิด Relation เกิดติด ไม่ว่าจะดีหรือชั่วก็ต้องทดแทนคุณ ชั่วก็จะมาทำร้ายกัน ดีก็จะมาสนับสนุนกัน เกิดกาละยาวยืดไปอีก คุณก็จะต้องยาวยืดไปอีก
เพราะฉะนั้นสัตว์ทุกตัวเกิดมาคุณก็อย่าไปยุ่งกับมัน คุณก็ตัดวัฏฏสงสารของคุณส่วนหนึ่ง จะได้ไม่ไปนัวนังกับมันอีก ไม่ว่าจะเชื่อมทางดีหรือชั่ว ก็ทำภาระให้แก่ตัวเองลดลง อันนี้คือละเอียดมากเลยนะ
เราเข้าใจเรื่องนี้แล้ว เรื่องที่จะไปทำร้ายต่อกัน ฆ่ากัน ให้ละเว้น ในศีลข้อที่ 1 ไม่ใช้อาวุธไม่ใช้อะไรจะไปทำร้าย มีจิตเอื้อเอ็นดูกรุณาหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวง
แม้แต่ศัตรูคู่อาฆาตนานเท่าไรก็ตาม ก็ต้องหวังประโยชน์แก่เขาอยู่ เป็นจบเลย สูงสุด เป็นต้น
อย่างของนี่ ก็ต้องอาศัยใช้สอย เป็นอุตุนิยาม พีชนิยาม หากไม่ใช่ของๆเราก็อย่าไปเอามามันจะเป็นหนี้ เราก็ใช้แต่ของเรานี้ให้พอ ไม่พอก็สร้างขึ้นใหม่ จะได้ไม่เป็นวิบากอีก ไม่เป็นหนี้ ถ้ายิ่งไปทุจริต ไม่ใช่ของๆเราก็ไปปล้นเอามาแย่งเอามา ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมา ก็เลยแย่ใหญ่ เป็นวิบากหนักหนาสาหัส
วิบากร้าย จะไปทำมันทำไม คุณเชื่อว่ากรรมมีผลจริง มันก็จะอยู่อย่างนั้น หากเป็นพระอรหันต์สลายอัตภาพได้ แต่ตราบที่ไม่สลายอัตภาพ แสดงว่า ท่านไม่ทำชั่วก็ไม่เพิ่มอกุศลกรรม มีแต่กุศลก้าวหน้า ตัวร้ายที่จะวิ่งตามทันก็จะห่างไปไม่ได้
กรรมแต่ละกรรมนั้นมีวิบาก ให้ทำแต่กรรมดีแล้วจะได้หนีกรรมวิบากที่ไม่ดี แล้วมันก็ตามเล่นงานเราไม่หยุดหรอก กรรมไม่ดีนี้ กรรมไม่ดีนั้นอย่าทำเสียเลย เป็นสุดยอดพระพุทธเจ้าห้ามไปแล้ว
พวกเรานี้ดี ไม่ทำกรรมชั่ว หรือทำกรรมไม่ดีให้น้อยลงจนบาง ในหมู่ของเราสบาย สังคมของเราเป็นสังคมที่สงบสบาย ไม่เกิดความรุนแรงแม้แต่ ปากหอก พวกเราก็ไม่รุนแรงเหมือนข้างนอกเขา เรื่องกรรมกิริยาทางกายเราไม่มีตบตีทำร้ายทำลายกัน สังคมของเรา ยืนยันได้ สังคมชาวอโศกไม่มีหยาบแรงอย่างนั้น กรรมสุจริตที่จะเอาของๆเขามาเป็นของเราก็จะน้อย
อาตมาว่า อาตมาเกิดมาในชาตินี้ดี เพราะอาตมาได้สร้างพฤติกรรมกิริยาของคนดี แล้วก็เกิดรวมกันอยู่เป็นรูปธรรม เป็นแบบอย่างให้แก่โลก คนตาดี ก็จะรู้ว่า สังคมที่ดีที่สุดในแกนโลกมีอยู่ เมืองอื่นเขาไม่ได้มีความรู้แบบนี้ ไม่ได้มารวมกลุ่มรวมกันแบบนี้ในถึงขั้นสาธารณโภคี ประเทศไหนก็ทำไม่ได้ มีทำได้ประเทศไทย แล้วประเทศไทยทำได้ในกลุ่มคนชาวอโศก คนอื่นเอาแบบให้ได้ จ้างก็เสียเงินเปล่าทำไม่ได้ มีเงินก็ทำไม่ได้ สุดยอดทั้งนั้นจริงๆ พวกเราทำสิ่งที่เป็นสุดที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบ เป็นที่สุดแห่งที่สุดแล้ว มันได้อย่างนี้ก็ดีที่สุดแล้ว
_กรักเพียงแก้ว…เรียนถามว่า ถ้าเรารู้สึกผิด เราไม่อยากจะรู้สึกผิดไปนานๆ เรื่องมีอยู่ว่า ดิฉันเกิดมีความสนใจที่จะปั่นน้ำผัก แล้วเครื่องปั่นจะต้องมีคุณภาพมีแรงม้าสูง ราคาแพง ดิฉันปรารภ ก็มีน้องที่อยู่ในนี้ซื้อให้มาตั้ง 7000 บาท ก็ยังไม่ได้ปั่นคุ้มค่าราคาเลย ก็เลยรู้สึกว่ามันผิด ความรู้สึกนี้จะล้างอย่างไรดีคะ
พ่อครูว่า…ก็หาคนที่จะทำมันมีอยู่เยอะไป ให้เขาไปทำ แต่คุณหวงของก็ไม่ได้ทำ
_ดิฉันต้องซักผ้าขี้ริ้ว ทำไมต้องเอาไปใช้เช็ดของสกปรก
พ่อครูว่า…มันถูกแล้วผ้าขี้ริ้วต้องใช้เช็ดของสกปรก คุณก็ต้องซักให้สะอาดเพื่อจะเอาไปใช้เช็ดอีก คุณไปติดใจอะไร ต้องการให้ผ้าขี้ริ้วไม่เปื้อนอีกเลยก็ต้องใส่หิ้งบูชาไว้ มันก็ไม่ใช่ผ้าขี้ริ้ว มันเป็นผ้าบูชา
_วรรณะ 9 พระพุทธเจ้าทรงสอนใคร พวกเรามีโอกาสได้เรียนและปฏิบัติไปสู่วรรณะ 9 ยังไม่ได้ยากเย็นเลย ท่านสอนใคร ที่มาที่ไป
พ่อครูว่า…อาตมาแค่ฌานวิสัย อย่าให้พูดถึงพุทธวิสัยเลย สรุปได้ว่าพระพุทธเจ้าสอนสิ่งที่ไม่มีใครรู้เท่าถึงท่าน ท่านรู้สิ่งที่สุดยอดจริงๆ แล้วท่านก็เอามาเปิดเผยมาไขให้คนเรียนรู้แล้วทำตาม พระพุทธเจ้าท่านตรัสห้ามหรืออนุญาตสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้น ก็จะได้สิ่งที่ดีเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นคุณจะไปสงสัยไม่ได้หรอก พระพุทธเจ้าจะต้องเป็นผู้รู้สิ่งนี้ ถ้าไม่รู้สิ่งนี้ก็ไม่รู้สิ่งที่เป็นที่สุดแห่งความเป็นคน ในความเป็นคน ท่านรู้ที่สุดแห่งที่สุดถึงได้เป็นผู้นี้จริงๆ ท่านไม่ใช่ของปลอม แล้วท่านก็มาบอกคน จนคนสามารถเป็นอรหันต์ได้ หรือจะต่อไปถึงที่สุดเป็นพระโพธิสัตว์เป็นพระพุทธเจ้าได้อีก พระพุทธเจ้าสอนที่จบให้แล้ว เป็นพระอรหันต์แล้ว จะปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ได้ แยกธาตุ ตัวตนก็หายไป หมด H2O เหลือแต่ธาตุน้ำด้วยไฮโดรเจน ไม่มีอัตตานั้นแล้ว กลายเป็นอุตุนิยามไม่เป็นแม้แต่ พีชนิยาม อรหันต์ที่เลิกจบแล้วสลายธาตุเดิมได้เลย กลายเป็นอาโปธาตุที่สลายตัวไป
_ดิฉันติดใจมานานแล้วว่า…ในเมื่อพระพุทธเจ้าหิวน้ำขนาดนั้น ดิฉันเคยกินน้ำรอยเท้าควาย ทีนี้ ก็ในเมื่อพุทธเจ้าหิวขนาดนั้น สมมุติว่าพระอานนท์เอาน้ำขุ่นมาถวายพระพุทธเจ้าจะบาปหรือไม่
พ่อครูว่า…ก็บาปสิ เอาน้ำขุ่นมาถวายพระพุทธเจ้าได้อย่างไร คนขี้สงสัยก็เป็นอวิชชาของเรา คนที่อวิชชาก็ต้องถามด้วยความสงสัยต่อไป
_ทิดคู่ฟ้า…สมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าเล่าให้ภิกษุฟังว่า ก่อนจะเป็นพระพุทธเจ้าท่านพบพระพุทธเจ้ามาเยอะ ในสัมภาระวิบากก็บอกว่า คนที่จะเป็นพระพุทธเจ้าก็จะพบพระพุทธเจ้ามาหลายแสนพระองค์ พ่อครูก็มาไกลมาก จะไปเป็นพระพุทธเจ้าแล้วบอกได้ไหมว่าพระพุทธเจ้ามาแล้วกี่พระองค์
พ่อครูว่า…ไม่รู้
_ในบรรดาพระพุทธเจ้าที่เกิดมา พ่อท่านก็คงทราบบ้าง ถามว่า จริงๆแล้วพระพุทธเจ้าที่มาอุบัติเป็นพระพุทธเจ้า มีสายเจโตกี่ %
พ่อครูว่า…ตอบไม่ได้
_มีคำที่ท่านจันทร์สรุปจากพ่อครูเทศน์ว่า อย่าใช้แรงพอใจในการดำเนินชีวิต แต่จงใช้แรงจูงใจในการดำเนินชีวิต
พ่อครูว่า..คำว่าพอใจกับจูงใจ ก็มีน้ำหนักต่างกัน จูงนี้ลากกันไปเลย พอ นั้นเป็นพลังงานทางจิตเท่านั้น พอใจ คำว่าพอนี้ มีความหมายสองนัย หากพอใจ หมายถึงลักษณะที่ดูดดึง ถ้าพอตัวเดียว มันกลางแล้ว พอ หยุด พอ
เพราะฉะนั้นคำว่าพอใจ จะต่างกับคำว่าใจพอ อาตมาพยายามแปลสันตุฏฐิว่าใจพอ ไม่ได้แปลว่าพอใจ ถ้าใจพอนี้จะหยุดแต่ถ้าพอใจนี้ยังจะต่ออยู่ ภาษาจะเชื่อมเป็นความหมายสภาวะอย่างนี้ เพราะฉะนั้นพอใจกับจูงใจ พอยังมีการหยุดได้ แม้จะยังผูกต่อไปอีกก็ยังไม่แรงเท่ากับ จูง จูงนี้มันจะต้อง ถ้าเป็นรูปวัตถุก็จูงกันเลยนะ จูงควายจะต้องมีเชือกผูกและจูงไปเลยนะ หรือว่าจูงใครก็ต้องไปลากมือมาเท่านั้นเอง ภาษามันคือสภาวะ ก็รู้ความหยาบและละเอียดต่างกัน มากน้อยต่างกัน แล้วก็ใช้ให้มันถูกต้อง ก็เท่านั้นเอง ในทางดีหรือไม่ดี ถ้าไม่ดีแล้วเราพิจารณาว่าไม่ดีก็ไม่ต้อง จูงใจเป็นทางดีก็ได้ จูงใจในทางไม่ดีก็ได้ เราก็วิจัยเอาเอง ทำสิ่งที่พยัญชนะว่าควรทำอย่างนี้
_สมัยพระพุทธเจ้ามีลำโพงไหมคะ แล้วทำไมฟังธรรมแล้วรู้เรื่องกันเยอะ
พ่อครูว่า…เป็นเรื่องของบรรยากาศ ในอากาศสมัยนี้มีทั้งคลื่นต่างๆวิทยุต่างๆ หนักหนามากมาย คลื่นวิทยุก็ยังทำงานได้ยากเลย ในยุคพระพุทธเจ้ามันบางเบา มันเร็ว ก็อธิบายตามประสาอาตมานะ นาซ่าเขาอาจจะคำนวณได้ดี แม้แต่ตอนนั้น เสียงเบาๆก็ไปได้ไกลและกว้าง จะใช้ลำโพงก็ยังดังสู้เสียงพระพุทธเจ้าไม่ได้ เพราะว่าทุกอย่างมันอยู่ในยุคนั้น ในกาละนั้น องค์ประกอบของอุตุนิยาม จิตนิยามลงตัวกัน สิ่งที่เกิดในองค์ประกอบจะต้องลงตัวกันจะต้องลงกัน เช่นพระพุทธเจ้าจะต้องเกิดวันเพ็ญ 15 ค่ำเดือน 6 ต้องประสูติปรินิพพานตรัสรู้ในวันนี้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ พระพุทธเจ้าประสูติตรัสรู้ปรินิพพานแผ่นดินจะต้องไหว ไม่ใช่อิทธิฤทธิ์อิทธิเดช แต่เป็นเรื่องที่จะต้องลงตัว ท่านจะต้องชื่อเจ้าชายสิทธัตถะ ก็ต้องชื่อนี้ อย่าว่าแต่เจ้าชายสิทธัตถะเลย พระพุทธเจ้าพยากรณ์องค์นี้ยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าเลย เป็นแต่เพียงโพธิสัตว์ ต่อไปจะไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้าพระนามชื่อนั้นมีอัครสาวกชื่ออะไร ท่านรู้เลยแล้วก็เป็นอย่างนั้นทุกพระองค์ มันจะต้องลงตัวถึงขนาด คุณสร้างอันนี้เป็นอันนี้ได้แล้ว มันจะต้องเป็น อย่างอาตมานี้ พยายามพากเพียรให้เป็นพระพุทธเจ้าจะต้องลงตัวเท่าที่ประมาณนี้ ระดับ 7 ระดับ 8 ระดับ 9 ขนาดอาตมาระดับ 7 ก็มีอะไรลงตัวพอใช้ได้ คนนั้นชื่อนั้นชื่อนี้ก็พอลงตัวได้ แต่ก็ไม่พูดไปหรอกเดี๋ยวจะมาถาม ตอบไม่ไหว
_ชูบุญ…คือจะถาม ทำเพื่อเป็นแรงจูงใจ ตอนนี้ไม่ได้ออกกำลังกายแค่ตอนเช้า อยากถามเพื่อให้เป็นแรงจูงใจในการออกกำลังกายแก่ตัวเอง มันจะทำงานอย่างเดียวไม่วางแผนออกกำลังกาย จึงอยากให้พ่อครูเล่าประโยชน์ในการออกกำลังกาย แล้วปัจจุบันพ่อครูออกกำลังกายวันละกี่เวลา
พ่อครูว่า…อาตมาก่อนนอนกับตื่นนอนก็ออกกำลังกายนิดหน่อย มีท่าออกกำลังกายสองสามท่า นอกนั้นก็มีออกกำลังกายเวลาอื่นๆ เดินเร็ว ถีบจักรยาน โยคะ สลับกันไป
_ถามแทรกว่า อุปสรรคในช่วงออกกำลังกายมีไหมครับ เช่นลูกๆก็เบื่อเซ็ง พ่อครูมีตัวอุปสรรค รายการออกกำลังกายไหม
พ่อครูว่า…เกี่ยวอะไรกับลูกๆ อาตมาก็ออกของอาตมา คุณจะเบื่อทำไมกัน มันมีแต่ว่ากำลังทำงานอันนี้สนุกกำลังเขียนหนังสือออกดี เดี๋ยวเขาก็บอกว่ามีเวรจะต้องทำออกกำลังกาย คนก็จะมาคอยเตือน บางทีก็ไม่ได้ออกเพราะว่าวุ่นอยู่กับการเขียนเขาก็ไม่กล้า วันนั้นก็ผ่านไป ก็มีออกกำลังกายอยู่ก่อนนอนตื่นนอน มีท่าประจำ ก็ดัดหน้าหลังเป็น Superman แอ่นหน้าแอ่นหลัง ดัดกลับกัน แล้วก็ยกขา ยกเท้าขึ้น สามครั้ง อาตมานับถึง 20 แล้วก็ยกลง 3 ครั้ง เป็นท่าประจำก่อนนอน และตื่นนอนก็ทำประจำ นอกนั้นก็ออกกำลังกายธรรมดา ก่อนนอนตื่นนอนนี้ทำเป็นประจำไม่ขาด
_ต้องใช้อิทธิบาทไหมครับ
ต้องทำเหมือนกันต้องใช้ที่บ้างมันรู้ว่ายินดีก็ต้องทำ ถ้าเราต้องรู้ว่า 8 อ.นี้จะต้องทำให้ครบดี เป็นลักษณะจะเกิดสัมประสิทธิ์ Coefficient ทำให้เรายืดกาละชีวิตไปได้อีก อาตมาเชื่อ เป็นความจริงก็พยายามทำ เขาไม่เชื่อก็ไม่ทำ คนจะเชื่อแต่ไม่มีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสาก็ไม่ได้ทำ แต่อาตมารู้ว่าต้องทำต้องยินดี ถ้าเรายินดีจะให้มีชีวิตต่อ เราก็ต้องยินดีต่อการสร้างเหตุให้เกิดผล อยู่ดีๆไม่สร้างเหตุ ที่จะให้เกิดผล แล้วจะให้ผลมันเกิดเองไปซื้อเอาตามร้านขายยาได้อย่างไรไม่ได้หรอก มันต้องสร้างเอง
คุณพลังเย็น_ฟังพ่อท่านก็ชัดในวิบากกรรม เฝ้าทบทวน ดิฉันอยากไปอยู่บ้านป้าตอนนั้น แต่มีวิบากอยู่ตรงนี้ ดิฉันสามารถทำใจได้ว่า อยู่ที่นี่ก็เป็นบ้านเหมือนกัน เราเห็นพี่เข่งเห็นคนอื่นก็ไปบ้านราช แต่เราก็ทำตรงนี้ก็ได้ตามเหตุปัจจัย จำคำพ่อท่านว่า อยู่ที่บ้านราชมีแต่คนเอาใจ แต่อยู่ที่นี่มีคนขัดใจ ยิ่งอยู่หน้าร้านกับคนรอบข้างก็ต้องปรับตัวเอง หากเราไม่มีอธิศีล เราก็จะกลายเป็นคนไม่ได้เรื่อง คำสอนก็ไม่ได้เอามาปฏิบัติ ก็เลยเป็นเหตุปัจจัยให้เราวางใจได้ ส่วนเรื่องสุขภาพที่ว่า เจ๊เล็กว่า คงขี้เกียจ ดิฉันก็เป็นมาก ก็เลยตัดรอบแก่ตัวเองว่า งานทำไปเท่าไหร่ก็ไม่จบ หากเราอยากมีชีวิตยืนยาวอยู่ฟังธรรมพ่อท่านให้นานๆก็น่าจะตัดรอบ คือได้ปลอบใจตัวเองไปด้วย
เกี่ยวกับสัตว์เราอยู่ที่ร้านค้าเราหวังประโยชน์ให้แมวจับหนู จะมีวิธีการแก้ไขอย่างไร จำเป็นจะต้องเลี้ยงเขา เราไม่ได้ผูกพันกัน แต่ฟังพ่อท่านรู้สึกว่า มันน่าจะเลิกหรืออย่างไร
พ่อครูว่า…อาตมาว่า แม้จะไม่มีแมว ก็ต้องทำให้เราขวนขวายมากขึ้น จะต้องทำความสะอาดไม่ให้เป็นเชื้อที่หนูมันจะเข้ามาได้ คุณจะเก่งอย่างไรคุณก็เป็นคน จะเก่งหาทางป้องกันไม่ให้หนูมันเข้ามา หาทางได้ โดยไม่จำเป็นต้องให้สัตว์มันมาจับกินกันในนี้ให้ได้ เก่งขึ้น หากไม่ได้ก็ต้องอาศัยแมว
_เขาแนะนำต่างๆ แต่ก็สู้แมวไม่ได้
_ดิฉันกลับไปบ้านคราวนี้แมวมันไม่ขี้ตรงที่เรานั่ง มันฉลาดด้วย ก็เลยจับแมวใส่กระสอบแล้วเอาไปปล่อย แต่เดี๋ยวนี้มันกลับมาบ้านได้ ฉันไม่สบายใจเลย
พ่อครูว่า…เรื่องพวกนี้มันเป็นวิบากมากมาย มันจะต้องเกี่ยวข้องไม่เกี่ยวข้องกัน ถ้าจะพูดจริงๆแล้วแมวมันเป็นสัตว์ป่านะที่จริง เป็นสัตว์ตระกูลเดียวกับพวกเสือ คนเอามาเลี้ยงจนมันกลายมาเป็นสัตว์บ้านไม่รู้กี่ล้านปี จนกระทั่งมันอยู่กับคน จริงๆแล้วมันไม่อยู่กับคนมันเป็นสัตว์ป่า เพราะฉะนั้นคนเลี้ยงมันนี่แหละ มันก็เลยอยู่กับคนจะไปโทษมันได้อย่างไรถ้าไม่เลี้ยงมันอีกสักล้านล้านๆๆๆปี แมวก็จะไม่เข้า เพราะมันจะกลายเป็นสัตว์ป่า แต่นี่มันมาเคล้าเคลียอยู่กับคน เพราะคนนั่นแหละเอามันมาเลี้ยง พระพุทธเจ้าไม่ให้เลี้ยงสัตว์สักอย่าง แต่มันมีวิบาก ไปๆมาๆจะไปห้ามอย่างไร ชีวิตอาตมาไม่วุ่นวาย เกิดมาในชาตินี้ อยู่ที่บ้านก็ไม่วุ่นวายเรื่องแมวเรื่องหมา เคยมีหมาตัวหนึ่ง มาอยู่ข้างรั้วแล้วมาเกาะรั้ว ตัวเดียวครั้งเดียว นอกนั้นอาตมาจะพยายามซื้อหมามาเลี้ยง มันไม่ให้เลี้ยง ต้องให้คนอื่นไป แล้วมันก็อยู่กับคนอื่น หมาตัวนี้มันคลอดลูกแล้วมันก็ตาย คลอดลูกโทน อาตมาก็เลยเอาไปให้ห้องภาพสุวรรณเลี้ยงเจ้าโทนจนมันถูกรถทับตาย ก็มีเท่านั้นแหละที่เกี่ยวข้องกับหมาในชีวิตนี้ นอกนั้นไม่มีมาวุ่นวาย เราอย่าไปสร้างวิบาก ปล่อยให้มันอยู่ของมัน คุณชอบไปฝึกเลี้ยงมัน ผูกพันมัน มันจะไปจบอย่างไร ก็ต้องหยุดตั้งแต่วันนี้จนกระทั่งอีกหลายล้านปี ถึงจะหมดวิบากไป
อาตมาพูดถึงเรื่องสัตว์แล้ว อาตมามีคำถามหนึ่งถามคน คุณทำไมไม่มาวัด เขาตอบว่าไม่มีใครเลี้ยงหมา อาตมาก็เลยบอกว่า คุณรักหมายิ่งกว่ารักธรรมะ คุณก็ต้องไปอยู่กับหมาก็แล้วกัน จบ เห็นหมามีค่ากว่าธรรมะก็จบ
_ผมดูคลิปพ่อท่านออกกำลังกาย ตอนนี้วิดกี่ครั้ง
พ่อครูว่า…เมื่อเช้าไม่สำเร็จ ล้มเหลว วันนี้จะต้อง 49 ครั้ง วิดไปได้ 42 ครั้งก็พังพาบเลย ที่สันติอโศก
_ตัวผมอายุ 57 ผมจะวิ่งวันละ 6 กิโล ฝึกโยคะวันละ 30 นาที ผมวิดพื้น 20 ทีก็เกือบไม่ขึ้น ผมก็เลยงึดว่าท่านวิดได้อย่างไร ผมก็เลยว่า 151 ปีน่าเป็นไปได้ จะมีอานิสงส์เหมือนเราประพฤติศีล จะมีศักยภาพความคล่องตัว
_วันก่อนปั่นจักรยานมาฟังพ่อท่านไม่ทัน แต่พวกเราไม่ค่อยมาฟังธรรมตอนเย็น วันหนึ่งที่พ่อท่านเทศน์ว่า พวกคุณนี่ไม่ค่อยมาฟังเทศน์อาตมา อยากให้พ่อท่านขยายความต่อพวกเราจะให้ความสำคัญต่องานเยอะกว่าการฟังธรรม
พ่อครูว่า…จำไม่ได้ว่าอย่างไรที่ตอบไปแล้ว อันนี้เป็นความโง่ชนิดหนึ่ง เห็นงานสำคัญกว่าการฟังธรรม การฟังธรรมก็มีช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น งานนั้นทำได้ทั้งวัน ขนาดอาตมาเทศน์ก็ยังไม่มาฟังธรรม แต่ถ้าคุณเข้าใจแล้วว่า ธรรมะ สำคัญกว่างาน นี่ยิ่งนานๆทียังไม่มาเอาก็โง่ต่อไป เวลาตอนเย็น ก็ต้องรู้ว่าเวลานี้ อาตมาจะเทศน์ หรือเวลาไหนก็แล้วแต่ ถ้าคุณเห็นความสำคัญก็มา งานก็วรรคได้ ชาวอโศกงานก็วรรคได้เสมอ ปิดไว้ก่อนได้ แล้วค่อยมาทำต่ออันนี้ต้องรีบเอาเพราะนานๆที ต้องดูความสำคัญในความสำคัญ แต่คนไม่รู้ความสำคัญในความสำคัญก็ไปเรื่อยๆ ไม่เกิดประโยชน์
_ช่วงนี้ได้ไปดูแลพ่อที่บ้าน พ่อพูดเหมือนกับหลายคนว่าไม่มาเพราะห่วงหมาห่วงเป็ด
พ่อครูว่า…ไปบอกพ่อสิว่า หมามันก็เป็นหมา รักธรรมะน่าจะได้ประโยชน์กว่ารักหมา ถ้าเห็นว่ารักหมาได้ประโยชน์กว่ารักธรรมะก็ไม่ฉลาดนะ เราไม่ได้ว่าพ่อโง่นะแต่พ่อไม่ฉลาดนะ ใช้ภาษาที่ดีแล้วนะนี่
_เรามาอยู่ทางนี้ก็ห่วงทางบ้าน เราไปที่บ้านก็ห่วงทางนี้เหมือนเหยียบเรือสองแคม วางใจไม่ได้ แล้วพอเราไป พ่อเขาก็เรียกร้อง เมื่อน้องๆโทรไป พ่อก็จะว่า เราดูแลดีที่สุด เขาไม่เอาคนอื่น
พ่อครูว่า…ก็แบ่งส่วนให้ได้ดี มันเป็นสัจจะอย่างนั้นเรามีคุณธรรมมันก็จะมีความดี เราก็เลยต้องรับภาระในสิ่งที่ดี มันเป็นสัจจะจะต้องเป็นอย่างนั้นไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมต้องเป็นเรา ก็เป็นเหตุปัจจัยที่มันมาลงตรงนี้มันจึงได้ เขาบอกว่าเธอนี่ปฏิบัติธรรมว่าง คนอื่นจะต้องทำมาหากิน อย่างนี้เป็นต้น ก็เลยบอกว่าดีนะ กลายเป็นว่าเขาชมหรือเขาว่าเรา เขาชมนะ เราเองไม่ต้องทำมาหากินก็มีอยู่มีกิน แต่คนทำมาหากินไม่มีเวลาว่างเว้น ยังไม่พออยู่พอกิน ใครมันแย่กว่ากัน เราไม่แย่กว่านะ เขาก็น่าจะดูว่าทำไมไม่ทำมาหากินแต่มีอยู่มีกิน เพราะเราเป็นระบบสาธารณโภคี 1.มีอยู่มีกินกับกองกลาง 2.เราไม่ได้กินเปลืองผลาญอะไรเรากินแต่สมควรนิดหน่อยๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไรมาก
เขาไม่รู้ตัวมาเกี่ยงให้เราทำเพราะเราดี เขาไม่เกี่ยงให้เราไปทำชั่วหรอก สังเกตสิ แล้วคนพวกนี้เขาอวิชชา เขาก็จมอยู่กับสิ่งที่ชั่ว ก็เลยให้สิ่งที่ดีเราทำ เราก็ยิ่งทำดี เขาก็ยิ่งไปทำชั่ว คนก็ยิ่งน่าสงสาร ถ้ามีปฏิภาณปัญญาให้เขารู้ตัวเอาใจใส่ธรรมะบ้าง จะได้เป็นคนพัฒนามาเป็นคนดีขึ้น ไม่อย่างนั้นก็จะชั่วลงไปๆ คนดูถูกธรรมะก็โง่ตั้งแต่ต้น มีแต่ทำมาหากิน
คนรวยนี้อย่านึกว่าเขาไม่ต่ำ คนยิ่งรวยยิ่งต่ำ จึงเป็นคนตะกละขี้โลภยิ่งหาทางที่จะพอกพูนสิ่งที่ได้เปรียบ เอาเปรียบเขาเรื่อยๆ ก็ยิ่งแย่ จิตใจก็จะยิ่งเห็นแก่ตัวยิ่งกอบโกย เขาก็ต่ำลงๆ คนที่รวยนี่คือคนต่ำลงๆ ไม่ได้เจริญขึ้นเลยคนรวย พวกเราจะทำมาหากินเราก็ไม่สะสม มาทำให้เป็นประโยชน์แล้วกระจายกันไปอย่างระบบสาธารณโภคีให้สมบูรณ์ เราทำแล้วก็ให้ส่วนกลางหน้าที่แต่ละหน้าที่ทำไปแจกจ่ายสะพัดไป พวกเราก็ไม่กักตุน พวกเราก็สะพัดได้เร็วพวกเราจึงไม่รวย อย่างไรก็ไม่รู้ว่า สภาวะรวย แต่ถึงอย่างไรคนก็จะมามองว่ามันจนอะไรของมัน มันอุดมสมบูรณ์ คนอื่นเขาไม่เห็นมีเลย
หมู่บ้านราชธานีอโศก เป็นหมู่บ้านที่เกิดทีหลังหมู่บ้านอื่นในย่านนั้น ทำไมหมู่บ้านอื่นไม่อุดมสมบูรณ์เหมือนราชธานีอโศก มันมีเอาๆ แล้วบอกว่าเป็นหมู่บ้านจน หมู่บ้านคนอื่นเขายังไม่มีอะไรขนาดนี้เลย นี่เป็นเรื่องจริงที่เขามองไม่ออกเป็นเรื่องซับซ้อน พวกเรานี้คือคนจนที่รวย ไม่มีภาษาจะพูดแล้ว เพราะฉะนั้นแต่ละคนไม่เอามาเป็นของตัว แต่ละคนก็ขยันหมั่นเพียรสร้างสรรก็เกิดผลผลิต ก็ยิ่งมารวมตัวเป็นกลุ่มก้อนมากขึ้น ก็เลยเห็นว่ามีเยอะ
แต่ว่าของเขานั้นแต่ละคนก็จะเก็บเป็นของส่วนตัวปิดบัง ใส่กุญแจไม่ให้ใครเห็น มันก็เลยแยกไป คนก็เลยไม่เห็นก้อนกอบ ไม่มีมากอะไร แต่ที่จริงแล้วแต่ละคน กอบกองไว้ของแต่ละคนเยอะแยะ ถ้าเอามากองรวมกันก็จะเหมือนกับชาวอโศก แล้วส่วนตัวของแต่ละคนเราไม่มีอะไรหรอก
พูดไปนี้ คนมันยังไม่ฉลาดพอ ในโลกนี้ ที่เราทำนี้เป็นเรื่องฉลาดดีที่สุดสูงที่สุดแล้ว ในพฤติกรรมชีวิตของมนุษย์ แต่ละคนจนรวมเป็นสังคมหมู่กลุ่ม เป็นหมู่บ้านเป็นสังคมประชาชน สุดยอดแล้ว แต่ผู้บริหารประเทศก็ไม่รู้ คนข้างนอกก็ไม่รู้ ขนาดคนไทยเป็นเมืองพุทธ เป็นพุทธธรรมของพระพุทธเจ้าเอามาทำให้เห็น คนชาวพุทธพวกเราก็ไม่รู้ไม่ค่อยเข้าใจ นักบริหารก็ไม่แยแส ไม่เห็นว่าน่าจะมาบอกให้เอาตัวอย่าง พวกเราเป็นผู้เผยแพร่ทฤษฎีนี้พฤติกรรมนี้ให้คนอื่นๆต่อไป อาตมาพาทำอยู่
แล้วอะไรก็ไม่อะไร เถรสมาคมต่อต้าน ซึ่งเขาไม่มีความรู้อันนี้เลยเขาทำออกนอกรีต ของพระพุทธเจ้า แต่คนก็นับถือเถรสมาคมยิ่งกว่าอโศก นี่คือความซวยของประเทศ หนึ่ง
สอง กรรมวิธีพิธีกรรมจารีตประเพณีต่างๆ ไปยึดเอาตามเถรสมาคมหมดแล้ว ก็เลยมาทำตามนี้ไม่ได้ ก็เลยได้ยึดถือแต่พฤติกรรมจะได้สวรรค์วิมานอะไรต่างๆที่เขาหลอกไว้
เป็นสัจจะ คนเข้าใจจะรู้ว่าศาสนาพุทธเป็นอิสระเสรีภาพไม่หลอกล่อพูดแต่ความจริง คนที่แสวงหาพบเจอว่าอันนี้ใช่ก็จะมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คนที่มาก็ได้ประมาณนี้ นอกนั้นคนเหล่านั้น ก็โง่ไม่เสร็จก็เลยโง่ต่อไปไม่เข้ามา คนที่เขาโง่เสร็จแล้วไม่โง่ต่อไปก็จะทยอยมา เพราะฉะนั้นจะมีจำนวนจำกัดเหมือนกัน สุดท้ายแล้วคนเหล่านั้น คือ อเวไนยสัตว์ สอนเท่าไหร่ก็สอนไม่ได้ ไม่มีปัญญารู้เลย ไม่สามารถพัฒนาความรู้เลยกรอบนี้ได้เลย คนเหล่านั้นก็ปล่อยให้เต่าปลากินไป
แต่ก็จะมีผู้แสวงหาพากเพียรเพิ่มอิทธิบาทเพิ่มพลังงานที่จะต้องฉลาด ก็จะค่อยๆเจริญขึ้นมาจนเชื่อมติดกับพวกเรา ก็รู้เขาก็จะมา มันจะช้าลงๆ อาตมาทำมาจะ 50 ปีแล้วก็ได้เท่านี้ นอกนั้นจะเร็วขึ้น พวกเราก็ต้องช่วยกันสร้างให้เป็นพลังงานที่จะรวมกลุ่มกัน มีประสิทธิภาพสูงขึ้นๆก็จะมีฤทธิ์ ทำให้ได้ขึ้นมาเพิ่ม
อาตมาจึงไม่หยุดที่จะต้องสร้างสัมประสิทธิ์ให้มีอัตราเร่งอัตราก้าวหน้า มากขึ้นเรื่อยๆไม่เช่นนั้นมันจะไม่เพิ่ม
ยายยิ้มเย็น_จะทำใจอย่างไรที่เราขายอาหารอยู่ เมื่อก่อน เจ๊เตียงว่า…มาดูสิ ดิฉันทำใจยาก เมื่อมาเจอกับตัวเองรู้สึกว่าทำใจได้ยาก ที่รู้สึกว่าคนร่ำรวยเขามัก กิน 0 บาท แล้วเขาก็เอาหม้อเล็กๆมาใส่ซื้อ 20 บาท แล้วตักอีกจานใหญ่ แล้วทำไมต้องให้เขา 0 บาท คิดว่าเขาก็รวยมาก ทำไมเขาไม่ยอมเสียสละ เราเห็นแต่ละคนมากิน 0 บาทมีแต่คนมีสตางค์ทั้งนั้น
พ่อครูว่า…คุณไปเพ่งคนที่เขารวย ซึ่งมีไม่กี่คนหรอกที่เขาทำ คนที่ไม่รวยแต่เขามารับบริการ 0 บาทก็มีไม่น้อยหรอก คุณไปเพ่งเขา ก็เขาโง่ไม่เสร็จ เขาคิดเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ก็เป็นวิบากเขา คุณจะฉลาดอย่างไรให้เขาเข้าใจให้เขารู้ สามารถบอกเขาได้ก็บอก สามารถจะมีเคล็ดวิชาอย่างไรให้เขารู้ตัวว่า เราไม่น่าจะเป็นคนขี้โลภมากขนาดนั้น ได้แล้วก็ทำ ทำไม่ได้เราก็ต้องอย่างนั้น จะบอกว่าให้คนจนมากินเท่านั้นคนรวยมากินไม่ได้ก็ไม่ได้ ก็ต้องจำนน
_มีคู่หนึ่ง สองคนผัวเมียเป็นเซลแมน เขามีเงินมากมายแต่ก็มานั่งทานฟรีแล้วก็ซื้อน้ำขวดนึง มากันบ่อยมาก มาทีไรก็มากิน คนที่มากินก็ตัก พูนมาก แล้วก็มาตักอีก บางคนก็บอกว่าเก็บเงินเขาเลย แต่เขาตักอย่างเดียวนะก็ 0 บาท ทำอย่างไรจะวางใจได้
พ่อครูว่า…เขาเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ เขาเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ก็เถอะ ก็ไม่เป็นไร คือ มันเป็นการสอน ถ้าเขาเอาสองอย่างก็ต้องจ่ายเงิน ถ้าเขาเองเห็นว่าเราน่าจะจ่ายเงินเขาก็ทำ มันเป็นการสอนในที ถ้าเขาไม่ทำก็ปล่อยให้เขาโง่ให้เสร็จ
แล้วเขาเป็นลูกคุณหรือไง เขาไม่ใช่ลูกคุณเขาก็จะทำของเขายึดถือของเขา ไม่เกี่ยวกับเรา บางทีคนจะเห็นมาด้วยกัน คนรวย 2 คนประพฤติต่างกัน คนนี้มันน่าเกลียดเขาแล้วก็จะสะดุด แต่ถ้าบอกว่าคนนี้ทำได้กูก็ทำได้ คนนั้นโง่ไม่เสร็จก็ต้องปล่อยเขา คนที่ขี้โลภไม่เสร็จเราจะต้องไปขี้โลภมากกว่าเขา มันก็ช่วยไม่ได้ ช่วยไม่ได้
ใจกลั่นว่า…นึกว่าเทวดามาทดสอบได้ไหมคะ (พ่อครูว่า…ได้)
_สีดินว่า ตอนนี้ฉันออกกำลังกายประมาณ 1 เดือนแล้ว ยึดหลักของไอน์สไตน์บอกว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้ ไม่ทราบว่าที่พ่อครูออกกำลังกายคิดท่าเองหรือมีผู้แนะนำ
พ่อครูว่า…ตอนแรกๆมีคนแนะนำให้ทำได้ก็จำได้ แล้วก็มีคิดเองประสมมาบ้างก็เลยเป็นชุด จำได้มีท่านหนักแน่นทำด้วยกันบางทีลืมท่านก็บอกให้
_วันนี้ดิฉันรู้สึกว่าได้ทำผิดกับพ่อครูเรื่องอาหารที่ทำอาหารรสจัดไป จะมีวิบากไหมคะ
พ่อครูว่า…เราไม่ได้เจตนา อภัยไม่ได้ถือสาอะไรหรอก เป็นแต่เพียงรู้แล้วก็อย่าทำอีก กรรมเป็นอันทำ จำได้แล้วก็อย่าไปทำอีก สรีระของอาตมามันรับความเผ็ดไม่ได้เลย
_วันนี้รายการสำมะปิ รู้สึกอบอุ่น นั่งดูพ่อท่านว่าเดี๋ยวนี้หน้าตาเกลี้ยงเกลาขึ้นไฝฝ้าลดลง หนุ่มขึ้นนะคะ
พ่อครูว่า…เดี๋ยวนี้กระลดลง ตาดี เห็นความจริงนี้ตาดี ก็ไม่ต้องใส่พริกเลย แม้แต่กลิ่นของพริกที่ไม่เผ็ด มันมีแค่กลิ่นของพริก แต่ไม่เผ็ดเลยก็มี ถ้าจะให้กินพริกก็เอาพริกแบบนี้ แต่ถ้าพริกที่เผ็ดก็เลิกแล้วอย่าเอามา
_ปลูกขวัญ…วันนี้เป็นวันที่มีความอบอุ่นที่สุดเลย ในพวกเราชาวปฐมอโศกยกเว้นนักเรียนปิดเทอมเด็กนักเรียนช่วงปิดเทอมไปเมื่อวานนี้ ต้อยกลับมาจากสนามหลวง ขาแย่เลย เดินได้ไม่ดี มีวิบาก แต่มาถึงชุมชนเรา พี่น้องก็บอกว่าให้เราเปลี่ยน อาหารที่ชอบเช่นข้าวกับเส้นให้ลดลง แล้วดื่มน้ำให้ได้วันละ 3 ลิตร อันนี้เป็นจริง พี่ฝ่ายการเงิน มีทิดสองทิด ดื่มน้ำเกินวันละ 3 ลิตร ถึงเวลาจะมีนาฬิกาบอกว่าดื่มน้ำหรือยัง แล้วไปอยู่ในห้องการเงินด้วย ก็เลยได้ทำด้วยกัน ปรากฏว่าทุกเช้าจะมี ท่านดินไท ไลน์มาในกลุ่ม เห็นว่าพ่อท่านออกกำลังกายหลายท่า ก็เลยตั้งแต่บ่ายๆ เราน่าจะวิดพื้น วันแรกวิดพื้นแบบทหาร เกือบตาย 20 ครั้ง ปรากฏว่า อีกไม่กี่วันเห็นพ่อท่านวิดพื้นแบบขาชิดพื้น ออกกําลังกายหัวไหล่ ก็เลยลองทำบ้าง ทำทีละเซ็ตๆละ 10 ครั้ง 2 เซ็ตเป็น 20 ครั้ง แกว่งแขน 100-500 ครั้ง ปรากฏว่าดื่มน้ำลดการกินข้าวและแป้ง กินผักผลไม้มากขึ้น น้ำหนักลดลงไป 1 กิโล 8 ขีด ในเวลา 1 เดือน ก็คิดว่า มาถูกทางแล้ว
_ชาวจีนถาม…สิ่งที่ยากที่สุดและสิ่งที่สำคัญที่สุดเป็นหัวใจในการปฏิบัติธรรมของที่นี่คืออะไร
พ่อครูว่า…สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ การลดกิเลส ถ้าทำแล้วความยากลดลงผลที่ได้ก็เกิดเป็นสังคมแบบนี้ การลดกิเลสนี่แหละคือเป็นสิ่งที่ยาก เมื่อลดกิเลสได้ มันเป็นความสำคัญ และถ้าลดกิเลสได้ ผลของการลดกิเลสได้ผลของการทำสิ่งที่ยากนี่แหละจึงเกิดอย่างที่ได้มาสัมผัสนี้
สังคมที่ทำได้อย่างนี้มันไม่ง่ายมันยากแต่มันดีที่สุดแล้ว อาตมาประสบความสําเร็จในชีวิตที่ทำให้คนลดกิเลสได้และมารวมตัวกันเป็นพฤติกรรมสังคมมีชีวิตอย่างสุขสบายได้ขนาดนี้ อาตมาว่าอาตมาได้ประสบความสำเร็จ เป็นเรื่องที่ดีเป็นสากลไม่มีอะไรหักล้างได้ถ้าเข้าใจ แม้แต่แค่ในประเทศไทย ถ้าหากผู้บริหารพยายามเอาทฤษฎีนี้ไปปฏิบัติให้เกิดอย่างนี้ เกิดหมู่บ้านแบบนี้ มากขึ้นๆเป็นหมู่บ้านแบบนี้ ประเทศทั้งประเทศก็คือพฤติกรรมสังคมมนุษย์มันจะเป็นอย่างนี้ขึ้นมา มันจะปรากฏให้โลกเห็นเลย แต่นี่เขาฟังไม่ขึ้น
ยกตัวอย่างง่ายๆ อาตมาทำอย่าง ในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่จริงพระพุทธเจ้าก็ทำมาก่อน ต้องมาขาดทุนของเราคือกำไร ทำแบบคนจน เป็นคำที่ง่ายและสั้น พูดอย่างเข้าใจแต่ทำได้ยาก อาตมาก็พาทำอย่างมีทฤษฎีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ก็เลยทำได้ แต่ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ก็ทำอีกลักษณะหนึ่งเพราะเป็นสังคมใหญ่มีหลายศาสนาสำหรับท่าน มาเน้นอย่างอาตมาไม่ได้ อาตมาก็ทำได้เป็นผลสำเร็จซึ่งได้สอดคล้องกับในหลวง ตรงกัน ท่านเป็นโพธิสัตว์ด้วย อาตมาไม่ได้โมเมพูดเล่น ท่านมาทำงานในระดับของท่านสำเร็จ
เพราะฉะนั้นองค์รวมของคนที่เกิดแล้ว ลึกๆของคนไทย รู้ว่านี่คือโลกุตรธรรมจึงเกิด Bomb of love คนก็เสียใจกันใหญ่ ข้อเสียดายอันนี้ ให้มาศึกษากับชาวอโศกแล้วจะได้สิ่งที่คุณเสียใจว่าในหลวงสิ้นพระชนม์นี่แหละ
_เพราะเหตุใดคนยังตกอยู่ในวงวนของกรรม และกาละอยู่
พ่อครูว่า…เพราะโง่
_มีวิธีใดที่เราจะอยู่เหนือได้ หลุดออกจากกรรม และกาละ ยกตัวอย่างด้วย
พ่อครูว่า…มาทำอย่างชาวอโศกนี่แหละ
_ในอนาคตอีกหนึ่งหรือสองปีนี้ พวกเราชาวอโศกจะต้องมีเหตุให้ออกไปชุมนุมประท้วงรัฐบาลที่ได้รับจากการเลือกตั้งได้อีกหรือไม่ครับ เชื่อแน่ว่ารัฐบาลที่ได้รับจากการเลือกตั้งมาบริหารประเทศ ต้องเป็นประเภทที่คอรัปชั่นอีกแน่นอน ตราบใดที่คนในประเทศไทยยังเห็นเงินเป็นใหญ่
พ่อครูว่า…มันต้องทำตามระบบโลก ต้องมีเลือกตั้งและคุณห่วงว่ามันจะเกิดอันนี้มันหนีไม่พ้นหรอกมันต้องเกิด ดี เมื่อไปเลือกตั้งแล้วจะได้รัฐบาลโกงมา ก็จะได้เปรียบเทียบกับรัฐบาลลุงตู่ จะได้ชัดเจนว่าการเลือกตั้งเป็นการเลือกขี้หมา ประชาธิปไตยไม่ใช่เลือกตั้ง ให้เลือกตั้งจะต้องใช้อำนาจเงิน ใช้เล่ห์เหลี่ยมแล้วก็หาพรรคพวกมา มันเป็นวิธีการของคน เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยการเลือกตั้งไม่ใช่การสร้างประชาธิปไตยแบบโดยตรง Direct การสร้างประชาธิปไตยโดยตรงต้องให้รู้
อย่างพลเอกประยุทธ์ทำมีความละเอียด และทำได้เยอะ มีการวางแผนและทำอยู่ทุกวัน มีโครงการมีหมู่กลุ่มมีการแจกงาน แล้วก็ทำอยู่เป็นความเจริญที่เจริญมาก ระบบประชาธิปไตยที่นายกประยุทธ์ทำ ที่พูดนี้ไม่ได้แกล้งป้อยอ มันสู้ประเทศไทยไม่ได้เลย คุณประยุทธ์นี้ ทำถูกต้องมากเลย ถ้าหากมันจะต้องเลือกตั้งและได้อย่างที่เป็น มันจะได้ฟ้องว่า เห็นไหมว่าสู้รัฐบาลลุงตู่ไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นเมื่อยังมีแล้ว ทีหลัง การจะไปหลงแต่เลือกตั้งก็จะลดลง ก็จะเข้าใจว่าลุงตู่เขาทำอย่างไร คนจะมีปฏิภาณศึกษา จะได้เข้าใจว่าประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องการเลือกตั้งเป็นหลัก เป็นเรื่องการประพฤติที่ถูกต้อง หัวใจของประชาธิปไตยคือ
-
ให้อิสระเสรีภาพ เขาก็บอกว่าลุงตู่เป็นเผด็จการ เอามาตรา 44 มาไว้ กด ไม่กดจะได้ที่ไหนเพราะขนาดนี้ก็ยังเห่าขนาดนี้ จับติดคุกไม่รู้กี่คน ก็ต้องใช้ไม้กำราบ เพื่อควบคุมพวกที่บ้าบอรุนแรง พวกที่ไม่มีปัญหาก็ไม่มีปัญหา จึงไม่เกิดความวุ่นวาย ในสังคมขณะนี้สงบเรียบร้อยมาก แล้วทำงานได้อย่างดี มันมีคนปากมากที่บอกว่าเศรษฐกิจไม่ดีขึ้น อะไรก็ไม่ได้ดีขึ้น คนนั้นโง่เพราะอะไรดีขึ้นทุกด้าน แต่พวกนี้มานั่งใส่ความ พวกหาเรื่อง เอาเรื่องที่ไม่จริงเอาความไม่จริงมาประกาศ เดี๋ยวนี้พวกสื่อสาร Social Media มันก็จะไปเร็วอย่างนี้ มันห้ามไม่ได้มันก็ทำกันไป แต่ความจริงแล้วมันดีทุกอย่าง เมืองไทยเป็นประชาธิปไตยที่สวยที่สุดในโลกตั้งแต่เราไปทำประชาธิปไตย