ขอเล่าเข้าพรรษา ตอนที่ 20 บ้านราชเป็นสนามแห่งการฝึกฝน
วันนี้ยังคงชุ่มฉ่ำด้วยสายฝน ตลอดทั้งวันไม่ได้พบแสงแดดเลย มีเพียงความครึ้มด้วยเมฆฝนบนท้องฟ้าและความชื้นแฉะของพื้นดิน พอช่วงบ่ายๆสายฝนก็มาทักทายแล้วค่ะ วันอังคารเป็นวันทำวัตรเช้าที่ญาติโยมจะได้ฟังธรรมจากสิกขมาตุแต่ปะไม่ได้ไปร่วมเพราะตื่นตอนหกโมงเช้าอีกแล้วค่ะ ร่างกายยังไม่พร้อมที่จะบำเพ็ญ รู้สึกตัวตอนตีระฆังยังมีอาการปวดหัวก็เลยนอนต่อ ช่วงนี้ทำตัวเป็นคนป่วยค่ะ กินกับนอนมากขึ้นกว่าปกติ ช่วงบ่ายสี่โมงเย็นก็จะเสริมข้าวต้มผสมถั่วตุ๋น สัญญาณร่างกายมันจะบอกค่ะ วันนี้แข็งแรงขึ้นมากแล้ว ออกกำลังกายก็ไม่เหนื่อยแล้ว เวลาที่ไม่สบายตัวได้ปฏิบัติธรรมเรื่องการวางใจ ไม่ทำใจไม่ให้มีความรำคาญรุ่มร้อนใจกับความเจ็บปวดไม่สบายตัว เช่น ปวดหัวปวดตา ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ นอนมากก็ปวดเอว ไม่ต้องอยากหายอยู่กับอาการเป็นวันๆไป ตบะทุกอย่างที่บำเพ็ญต้องถอนไว้ก่อน ทำร่างกายให้แข็งแรงเป็นอันดับแรก นี่เป็นวิธีของปะที่ทำทุกครั้ง แม้จะกินมื้อเดียวเวลาป่วยก็จะเสริม จะไม่ปฏิบัติธรรมแบบเถรตรงยึดแบบไม่เปลี่ยนแปลงค่ะ ร่างกายจะมีสัญญาณบอกเราเองค่ะ แต่ถ้าแข็งแรงมันก็จะไม่หิวและไม่ง่วงนอนตอนกลางวัน
วันนี้หลังกินข้าวมีผู้โทรศัพท์มาติดต่อขอดูงานที่บ้านราชก็เลยให้ติดต่อกับฝ่ายต้อนรับโดยตรง ได้ให้เบอร์ของฝ่ายต้อนรับไป เดินมาสักหน่อยก็ผู้ที่จะมาพักค้าง เป็นคุณแม่และลูกชายเดินทางมาจากอำเภอแม่ริม จ.เชียงใหม่มาทักทายบอกว่าจะมาขอพักค้างเพื่อปฏิบัติธรรม 5 วัน จึงพาไปลงทะเบียนพักค้างกับท่านสิกขมาตุที่เขตสิกขมาตุค่ะ ส่วนลูกชายก็พาไปลงทะเบียนกับท่านสมณะ ท่านจะเก็บบัตรประชาชนเอาไว้ค่ะถ้าจะกลับจึงไปเอากับท่านค่ะ เล่าถึงตรงนี้ก็อยากจะทำความเข้าใจกับผู้ที่สนใจที่จะมาเรียนรู้วิถีชีวิตที่ราชธานีอโศก ที่บ้านราชเป็นหมู่บ้านนักปฏิบัติธรรม คนที่จะมาศึกษามาได้ทุกเวลาไม่มีการเสียค่าใช้จ่าย เพียงแต่ว่าเมื่อมาอยู่แล้วให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบของหมู่บ้าน หลักเกณฑ์ง่ายๆ คือ ปฏิบัติศีล 5 ละอบายมุข กินอาหารมังสวิรัติ และชุดที่จะนำมาใส่ก็ขอให้สุภาพค่ะ ปฏิบัติธรรมที่บ้านราชไม่มีนั่งสมาธิหรอกค่ะ มีแต่สมาธิหมุน หมุนไปกับกิจการงานในวิถีชีวิตของหมู่บ้าน ซึ่งก็มีกิจวัตร กิจกรรม กิจการ ที่หลากหลาย ที่บ้านราชทั้งนักบวชและญาติโยมล้วนแต่ทำงานค่ะ และการสร้างความตั้งมั่นของจิตหรือสมาธินั้นก็คือ ทำงานไปและตรวจสอบใจไม่ให้มีนิวรณ์ เฝ้าตรวจสอบใจในขณะทำกิจกรรมต่างๆ รู้เท่าทันใจและไม่ให้มีอกุศลจิต ท่านสมณะสอนว่าทำกิจการงานเหมือนการเขย่าแก้วน้ำให้ตะกอนลอยขึ้นแล้วเราก็ค่อยๆ ตักตะกอนออก ในที่สุดน้ำก็จะใส นี่เป็นการสร้างสมาธิด้วยการวิปัสสนา ซึ่งต่างกับการไปนั่งสมาธิสะกดจิตจะเหมือนทำแก้วน้ำให้นิ่งๆ แล้วตะกอนก็จะนอนก้น ใจใสเฉพาะตอนนั่ง แต่เมื่อมีผัสสะก็จะเขย่าให้ตะกอนลอยขึ้น ก็ต้องหลบหนีผัสสะไปอยู่นิ่งๆ ให้ตะกอนนอนก้นใหม่ ไม่จบไม่สูญค่ะ ท่านใดสนใจก็สอบถามรายละเอียดได้ที่หมายเลขของหมู่บ้านได้ค่ะคือ 088 078 4866
วันนี้พ่อครูและท่านปัจฉาสมณะเดินทางมาถึงบ้านราช ในเวลาประมาณบ่ายห้าโมงกว่าๆ ค่ะ และก็ได้ขึ้นลิฟต์ขึ้นไปชั้นสี่ ซึ่งช่างทำเสร็จทันพ่อครูกลับมาจากสันติอโศกพอดี ได้เห็นภาพจากท่านปัจฉาฯ พ่อครูอยู่สันติอโศกก็ทำงาน พอมาที่บ้านราชฯ มาปุ๊บก็ทำงานปั๊บเลยค่ะ วันนี้ขอเอารูปที่ท่านปัจฉาฯ ถ่ายลงในไลน์หมู่บ้านเก็บมาฝาก เพื่อให้ทุกท่านได้เห็นพลังอิทธิบาทของพ่อครู “ทุกวินาทีเป็นวินาทีแห่งบุญ” ค่ะ ได้เห็นภาพแล้วก็ยิ่งต้องลดละกิเลส ยังไงๆ ชาตินี้ปะก็ตั้งใจก็ปิดอบายมุขนะคะ จำได้ไหมค่ะ อบายมุข 6 มีอะไรบ้าง มีดังนี้ค่ะ 1.ดื่มน้ำเมา 2.เที่ยวกลางคืน 3.เที่ยวดูมหรสพการละเล่น 4.เล่นการพนัน 5.คบคนชั่วเป็นมิตร 6.เกียจคร้าน พ่อครูบอกว่าอบายมุขที่ใหญ่ที่สุดในยุคนี้คือที่พวกเราเขี่ยๆ กันทั้งวันค่ะ ก็เลยต้องสำรวมสังวรให้มากค่ะ
ปะตรงเตือน นาวาบุญนิยม
พุทธสถานราชธานีอโศก อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี
วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2561