610815_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เทวนิยมคือมีเวทนาสองอเทวนิยมคือมีเวทนาเดียว
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1BshxQOovr8TV5buhLlH9AuRsPQJQVmcSMPpj7Kk5Nm4/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1sZB2TY2za444CmLdzfWVO3OMNcXllc6U
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันพุธที่ 15 สิงหาคม 2561 พ่อครูเพิ่งกลับมาจาก สัตตาหะไปที่สันติอโศกและปฐมอโศก และได้ไปตรวจสุขภาพด้วย ดูเหมือนต้องใช้คำว่าเฝ้าระวัง สำหรับสุขภาพของพ่อครู เฝ้าระวังเรื่องตา เรื่องของตายังปกติ แต่มีข้อแม้ให้ใช้แสงสว่างอย่างพอเพียง ในการทำหนังสือกับคอมพิวเตอร์ และใช้วิธีพักสายตาทุก 15 นาที เป็นการมองไปไกลๆ สบายๆ เท่าที่พวกเราเวลาไปหาหมอตาก็บอกว่าตาแห้ง เพราะว่าอาจจะไม่ค่อยได้กระพริบตา ดูอะไรยาวๆ
ส่วนที่ได้เพิ่มเติมมาคือทางด้านกล่องสายเสียง พบว่า เส้นเสียงทั้งสองข้างมีความหนาตัวขึ้นกว่าเดิม ดูเหมือนท่านปัญญานี่ถึงกับต้องผ่าตัดเลย แสดงว่ามีการใช้เสียงมากเกินไป แนะนำให้จิบน้ำมากขึ้นเวลาเทศน์ เป็นระยะทุก 15 นาที ถ้าเป็นไปได้ควรลดระยะเวลา และความถี่ของการเทศน์ลง ควรจะเทศน์ด้วยเสียงที่ไม่ต้องตะเบ็งหรือหนักเกินไป รูปแบบของการจัดสำมะปี๋ซี่วิตดีมาก เป็นที่พอใจของหมอ ว่าพ่อครูได้พักเป็นระยะๆ
ผลการ x-ray คอมพิวเตอร์ สิ่งที่หมอเฝ้าระวังอีกตัวคือกระเปาะที่มันโตขึ้น มีเส้นผ่าศูนย์กลางเท่ากับหลอดลมใหญ่ และเบียดหลอดลมมากขึ้น หมอว่าเป็นต้นเหตุแห่งการไอ แนะนำให้ดื่มน้ำเพิ่มขึ้น ใช้เครื่องพ่นละอองน้ำวันละ 2 ครั้ง งดอาหารชิ้นใหญ่ระคายเคือง ลดการพูดคุยเวลาฉันอาหาร ก็กรุณาห้ามมาเป็นมารคอ…ของพระโพธิสัตว์ ถ้าหากพูดคุยไปด้วยจะมีปัญหาทำให้อาหารตกลงไปในหลอดลมจะอันตราย เคยได้ฟังข่าวคนดังๆเคี้ยวอาหารแล้วพูดไปก็อาหารตกไปในหลอดลมหายใจไม่ออก เป็นเรื่องที่เฝ้าระวัง
เพื่อให้ความถี่ในการไอลดลง เอาเสมหะออกง่ายขึ้น อย่างพ่อครูนี้ไอไม่ใช่น้อย แต่พ่อครูไม่รู้สึกอะไร แต่ถ้าเป็นคนธรรมดาๆอย่างนี้คงไม่ไหว เสียพลังงานมาก แต่พลังงานพ่อครูไม่อยู่กับการไอเท่าไหร่ แต่อยู่ที่ทำอย่างไรสิ่งที่ท่านรู้เยอะแยะจะมาบอกกับพวกเราให้รู้ได้มากขึ้น พอไออย่างไรก็ไอไป แต่ก็อย่างไรก็เสียพลังงาน แล้วก็ต้องกระทบกระเทือนร่างกายส่วนอื่น จะมีวิธีอย่างไรทำให้ไอน้อยลง นี่ก็คือข้อเสนอของหมอ
ส่วนการไปตรวจหัวใจเป็นปกติดี หมอให้ทดลองวิ่งสายพานดู หัวใจปกติ ส่วนอายุร่างกายเท่ากับคนอายุ 50 ปีเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นอายุไปอีก 100 ปีคงเป็นไปได้
เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเสนอของหมอ ที่จะให้ดูแลเรื่องสายเสียงและกระเปาะ ก็อยากให้พ่อครูพักเป็นช่วงๆ ก็อยากจะแบ่งเวลาเทศน์ของพ่อครูออกเป็นสามช่วง ช่วงละ 30 นาที จะมีสมณะสิกขมาตุมาช่วยย่อยให้ผู้ฟัง นิมนต์พ่อครูดื่มน้ำสัก 10 นาที พักเส้นเสียง
ก็เรียนพ่อครูว่า ตอนนี้เทศน์อย่างไร ผู้ฟังก็มีเท่านี้ แต่ถ้าเทศน์ตอน 90 ปี ผู้ฟังก็จะมีมากกว่านี้ พ่อครูว่าอีกแค่ 6 ปีเอง หนังจีนว่า 10 ปีไม่สาย
พ่อครูว่า…SMS วันที่ 13-14 สค. 2561
_1614 ศิลปิน คือมายา /สิริมหามายา คือ อะไรคะ
พ่อครูว่า…อาตมาเขียนในหนังสือ คนจนที่มีแบบนี้มีเรื่องใหม่ๆเยอะ ไขเรื่องราวประเด็นต่างๆที่ชาวพุทธหรือนักศึกษาติดข้องไม่ทะลุ คิดว่าจะได้ไขอีกเยอะ เล่ม 1 พิมพ์ออกมาแล้ว 100 กว่าหน้า ตอนนี้มาแก้ไขใหม่ ตอนนี้ 500 กว่าหน้าแล้ว เล่ม 2 อาจถึง 2000 หน้า
ศิลปินคือมายา อาตมาไม่อยากจะไปวิจารณ์ศิลปินเขา เพราะเป็นพวกคนฟุ้งซ่านคนไม่รู้เรื่องคนเพ้อเจ้อ ขออภัยที่พูดความจริง ศิลปะเป็นมงคลอันอุดม นี่คือนิยามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ศิลปินก็มีความสำคัญมากที่จะสร้างศิลปะ งานศิลปะนั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นมงคลอันอุดม เป็นสิ่งที่จะนำพาไปสู่อรหันต์ เป็นคุณค่า ศิลปะเป็นคุณค่าไม่ใช่เรื่องมอมเมา
ถ้ามอมเมาให้หลงในภพชาติ อัตตาฟุ้งซ่าน วิมานสวยหรูแปลก ความคิดแตกกระจายไม่ใช่ ต้องรวมความคิดให้คมแม่น แตกฉานทะลุจบ นี่คือศิลปะ
ทุกวันนี้เพ้อเจ้อกัน โดยเฉพาะตักกสิลามหาวิทยาลัยใหญ่ในยุโรป มีแต่ความเพ้อฝันสร้างวิมานเป็นศิลปะบ้าบอ อะไรก็ศิลปะหมด เขาหลงเอาเองเป็น นิรมาณกาย สัมโภคกาย อาทิสมานกาย เป็นเรื่องการที่เขาไม่รู้เรื่อง แล้วก็นิรมานกายมา ใครหัวไม่ถึงไม่รู้ บอกว่าเป็นศิลปะชั้นสูง Abstract เขียนเอาไว้เยอะ ก็สารพัดจะคิดอ่านอะไรก็ได้ เพื่อมายืนยันว่าเป็นศิลปะตลอดทั้งโลก แล้วหลอกขายกัน มีอุปาทานว่าสุดยอดๆ พวกเมาๆ ไม่มีเงินก็ไปหาเงินมาซื้อ มันเหลงเลอะเทอะ
ถ้าเข้าใจคำว่าศิลปะคือมงคลอันอุดม คือนำไปสู่อรหันต์ คือสิ่งสูงสุด ศิลปะไม่ใช่เรื่องความเพ้อเจ้อ สร้างอัตตา สร้างวิมาน ภพชาติ นามธรรม อรูปธรรมอะไร ก็แล้วแต่สัมโภคกายคืออะไร บอกว่าใช่ๆๆ ต่างคนต่างนิรมาณกายไป พูดกันเป็นตุเป็นตะด้วย แต่ต่างคนต่างไม่รู้ว่าคืออะไรเป็นอาทิสมานกาย
นิรมาณคือสิ่งที่เนรมิต แล้วบริโภคร่วมกัน สัมโภคกาย แต่ทั้งสองคนคือคนตาบอดกับคนหูหนวกจูงมือกันไปดูหนังใบ้ เหมือนกับชาวเทวนิยม ไม่เคยเห็นพระเจ้าเลย สักคนเดียว ก็หลงว่าเป็นสิ่งงามที่ดีที่สุด คือพระเจ้า ทีนี้สิ่งที่งามที่ดีของแต่ละคนก็ตรงกันบ้างไม่ตรงกันบ้าง ความคิดของใครก็ของใคร ศาสนาพุทธนั้นพระพุทธเจ้าไม่เอาแล้ว นิรมาณกาย สัมโภคกาย อาทิสมานกาย ก็มาเอาที่รู้ร่วมกันได้ ตาเปิดๆ
สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้คือสิ่งที่มี จักษุ ปัญญา ญาณ วิชชา แสงสว่าง (อาโลกสัญญา) แจ้งๆ มีพระอาทิตย์มีแสงสว่างกระทบสิ่งนั้นสิ่งนี้รู้ พูดกันรู้เรื่อง เราเห็นคนอื่นก็สัมผัสเห็นร่วมกันได้ อันนี้ดีหรือไม่ดี จริงหรือไม่จริงใช้ได้หรือไม่ได้ อันนี้ควรมีหรือไม่ควรมี ก็รู้แล้วใช้ประโยชน์กันได้ ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน เป็นอรูปธรรมนามธรรมวิมานเพ้อเจ้อ ซึ่งอันนี้ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร
อาตมาเรียนศิลปะมา อาตมาก็ยังงงว่า ทำไมต้องไปเรียนศิลปะ เราน่าจะไปเรียนธรรมะ แต่ก็เป็นศิลปะตั้ง 5 ปี แล้วก็จบออกมา เรียนแล้วไม่ได้ใช้ แต่มาศึกษาธรรมะก็ได้ใช้ ศิลปะเป็นมงคลอันอุดม ทุกวันนี้อาตมาทำงานเป็นศิลปิน อาตมาไม่มีสิทธิ์เป็นศิลปินแห่งชาติ เพราะเขาไม่รู้ว่าอาตมาเป็นศิลปิน ไม่ใช่เป็น นิรมาณกาย สัมโภคกาย อาทิสมานกาย เดียวกันกับเขา
ขออภัยที่พูดไปเป็นวิชาการไม่ได้ด่าใครพูดสัจจะให้ฟัง
แล้วสิริมหามายาคืออะไร เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก สรุปสั้นๆว่า
มายาคือ ความหลอกลวง สิริคือดี มหาคือยิ่งใหญ่ โดยพยัญชนะสิริมหามายาแปลว่าความหลอกลวงที่ดี ยิ่งใหญ่มาก แล้วสิริมหามายาคือใคร คือผู้ให้กำเนิด ให้กำเนิดอะไร ให้กำเนิดสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในความเป็นมนุษย์ ถ้าเป็นมนุษย์ก็คือพระพุทธเจ้า เป็นตัวตนบุคคล ถ้าเป็นนามธรรมคือเป็นสิ่งที่ให้กำเนิดสิ่งที่ยิ่งใหญ่ดีมากที่สุด ศาสนา เทวนิยมเรียกว่าพระเจ้า แต่ว่าพระเจ้าเป็นความลึกลับ พระเจ้าไม่มีใครสัมผัสเห็น พระเจ้าจึงเป็น รโห รหัสสะ คือ เป็นความลึกลับ เดี๋ยวนี้ก็ยังลึกลับไม่มีใครรู้จักพระเจ้า ถ้าสมมุติตรงกันว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด สิ่งที่สูงสุดประเสริฐสุด คือพระเจ้า เพราะฉะนั้นก็มีหลักการโดยมีคนจริงๆคือ ปกาศก หรือ ผู้เป็นพระบุตร ให้พระบุตรมานำคำสอนนำความรู้และความจริง ของพระเจ้ามาประกาศ โดยคนก็ไม่กล้าพูดว่า นี่เป็นความรู้ของเรา บอกได้แค่ว่าเป็นความรู้ลึกลับของพระเจ้า พระเจ้าให้ประกาศก็ต้องประกาศตามนี้
ศาสนาพระพุทธเจ้าให้กำเนิดคนที่มีสูงสุดประเสริฐสูงสุดที่คนเป็นได้ จึงเป็นเรื่องไม่ลึกลับเป็นตัวตนจริงๆ ทีนี้คำว่า สิริมหามายา ตัวตนบุคคลคือผู้ให้กำเนิดคือแม่ เป็นมารดาของสิ่งที่ดีที่สุดคือคนประเสริฐสุด ถ้าเป็นนามธรรม ก็คือสิ่งที่ให้กำเนิดสิ่งที่ดีที่สุดประเสริฐสุด ไม่มีอะไรยอดสุด ผู้ที่จะทำให้เกิดสิ่งที่ดีที่สุดสูงที่สุด ให้เกิดคือให้เกิดได้ แล้วก็ให้ดับได้
ตกลง สิริมหามายาคือนิพพาน นิพพานก็คือความดับ ดับแล้วก็เกิดอีก ก็ไหนว่าดับแล้วทำไมยังอยู่อีก? มันก็เลยกลายเป็นคน เหมือนตลบแตลงกลับกลอกหรือเปล่าก็เหมือนคนเล่นมายากล ปั๊บไม่มี ควักนกพิราบมาแล้วหายไป วับไข่มา วับไข่หายไป ทำให้เกิดก็ได้ทำให้หายไปก็ได้ ในอิทธิวิธีมโนมยิทธิก็มี พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าทำให้มีก็ได้ทำให้หายไปก็ได้ เหมือนนักมายากลที่เก่ง ทำให้เกิดและดับก็ได้ เร็วไว เป็นมุทุภูตธาตุ
คนที่เก่งที่สุดคือคนที่สามารถทำให้ดับได้และเกิดอยู่ ซึ่งเป็นนัยสำคัญของความเกิดดับ ศาสนาพุทธมีความสำคัญอยู่ที่การเกิดดับ ผู้ที่ดับได้เป็นนิพพานเป็นนิโรธ ผู้ที่บรรลุนิพพานนิโรธคือผู้ที่เป็นอรหันต์ คือผู้หมดความลึกลับสูงสุด อรหะคือไม่ลึกลับ อันตะคือถึงขั้นที่สุด เป็นผู้ทำความไม่ลึกลับได้สูงสุด ความไม่ลึกลับอันนั้นก็คือความเกิดความตาย ทำได้อย่างพิสดาร เป็นอมตบุคคล จะให้เกิดก็ได้ดับก็ได้
ที่สุดแห่งที่สุด ให้ดับจนกระทั่งสูญไปตลอดกาลเลยไม่มีอย่างนิรันดร ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่
1.ไม่มีนิรันดร 2.ไม่มีอัตตา 3.อิสระที่สุด
ศาสนาเทวนิยมมีพระเจ้า ยังไม่อิสระยังเป็นทาสของพระเจ้า พระเจ้ายิ่งเป็นใหญ่กว่าคน เพราะฉะนั้นคนทุกคนยังไม่อิสระสมบูรณ์ ยังตกอยู่ในอำนาจของพระเจ้าอยู่ ศาสนาเทวนิยมไม่มีสิทธิ์เป็นอิสระ และไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นศูนย์ เพราะว่า นิรันดรไม่มีสิทธิ์จะรู้จักอัตตา แม้ที่สุดปรมาตมันหรือปรมอัตตา ศาสนาพุทธทั้งหมดและทำให้หายไปนิรันดรได้ สุญญตา สลายทุกสิ่งทุกอย่างอัตภาพไม่เหลือ ทำได้เองอิสระเสรี นี่คือศาสนาพุทธ เลิกอัตตาเป็นอิสระสมบูรณ์
ขออภัยที่พูดนี้ไม่ได้ข่มดูถูกศาสนาใดๆ สาธยายธรรมวิชาการด้วยความจริงใจ ขออภัยจริงๆ ถ้ามีผู้ฟังแล้วรู้สึกไม่ดี โดยเฉพาะผู้นับถือศาสนาอื่นอยู่ อาตมาก็เคารพ เพราะสิ่งที่เป็นอาตมัน ปรมาตมัน หมายถึงสิ่งที่ดีที่สุด คุณก็เป็นได้ตามคำสอนของพระเจ้าก็แล้วกัน ก็จะมีอยู่อย่างนั้นนิรันดร แน่นอนคุณก็ต้องเป็นอย่างนั้น อย่างน้อยตายแล้วก็ไปอยู่สวรรค์กับพระเจ้า ก็ไปอย่างนั้น ปรมาตมันก็ยังอยู่
สิริมหามายา คือผู้ที่รู้ความเกิดความดับแล้วทำความเกิดความดับได้ ลึกซึ้งมาก อาตมาเป็นพระอรหันต์เป็นพระโพธิสัตว์ เปิดเผยจนไม่เหลืออะไรแล้ว
อาตมาเป็นโพธิสัตว์ได้ดับแล้วแต่ยังเกิดอยู่ คือสิริมหามายายังไม่ยอมตาย ยังจะเกิดอีก เพื่อไปศึกษาสิ่งที่สูงที่สุดในการเกิดมาเป็นคน หรือเป็นสัตว์โลกที่ชื่อว่ามนุษย์สูงได้ ก็คือพระพุทธเจ้าได้สูงสุด พากเพียรศึกษามีความรู้ในเรื่องของมนุษย์และสังคมจนเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 แล้ว ความรู้ที่เอามาศึกษาเป็นความรู้ของโพธิสัตว์ทั้งนั้น ถ้าไม่มีก็โมเม แต่ที่กล่าวนี้มันเป็นความจริงมันเป็นความรู้ของมนุษยชาติ เป็นประโยชน์หรือเปล่า ผู้ที่ปฏิเสธไม่ศรัทธา แน่นอนเขาก็ไม่เชื่อ แต่คนที่ไม่ถึงขนาดนั้น ก็จะรู้ว่าอาตมาพอมีความจริงอะไรบ้าง
อาตมาอธิบาย เดี๋ยวก็เกิดเดี๋ยวก็ดับ เดี๋ยวก็มีเดี๋ยวก็ไม่มี เดี๋ยวว่าตัวเองสูงเดี๋ยวว่าตัวเองต่ำ ก็คล้ายๆกัน จริงแล้ว ผู้ติดตามตั้งใจจับพยัญชนะและสภาวะ
ถ้าเราศึกษาให้ดีแล้วจับสภาวะธรรม จับพยัญชนะตามก็จะไม่สับสน พยัญชนะก็บ่งถึงสภาวะก็อย่างหนึ่ง ถามว่าสิริมหามายาหมายถึงอะไร คือผู้รู้จักความเกิดความดับได้อย่างสมบูรณ์แบบ และเป็นผู้สามารถทำความเกิดความดับได้ ถ้าเป็นความเกิดความดับสูงสุดที่เป็นแม่ ก็เป็นผู้ที่ให้กำเนิดพระพุทธเจ้า ถ้าเป็นนามธรรมก็เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดอรหันต์ ทำให้เกิดนิพพานเป็นความจริงความรู้สูงสุดได้ นั่นแหละคือสิริมหามายา
สิกขมาตุกล้าข้ามฝันช่วยสรุป…ย่อยว่า ให้อยู่กับคนที่เป็นสิริมหามายา คือคนสุดยอด แต่เราเองก็อย่าเชื่อตัวเองมาก เพราะเรายังไม่ใช่คนสุดยอด (คนที่ยังไม่ดับได้สนิท ก็ต้องระวัง ว่าจะหลอกตัวเองว่า ไม่มีแล้ว จึงอนุโลม…
สมณะฟ้าไทว่า…ได้ฟังเรื่องศิลปะ…
พ่อครูว่า…เหมือนนิทานเรื่องพระสองรูปเดินไปเจอผู้หญิงจมน้ำ พระรูปหนึ่งไปอุ้มผู้หญิงข้ามน้ำแล้วก็วางลงพระอีกรูปถือสา แต่พระรูปนั้นบอกว่า ผมวางผู้หญิงไปตั้งนานแล้ว แต่ท่านยังไม่วางอีกหรือ?เป็นต้น
สมณะแสนดินสรุป…พ่อครูสายปรุงไม่ปรี๊ด
_มนูญ ณ นคร : ฟังพ่อท่านเรื่องเลี้ยงสัตว์แล้วสะท้อนใจจริง ผมเองก็ติดอยู่กับเรื่องแมวหมา จนไม่สามารถเข้าวัดไปพบปะหมู่กลุ่มได้ แต่ถึงยังไงก็พยายามแก้ไขอยู่ครับ
พ่อครูว่า…สัตว์ที่ไม่น่าเอามาเลี้ยงในจุลศีล
-
พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับแพะและแกะ. เลี้ยงเพื่อใช้ส่วนของมัน
-
พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับไก่และสุกร. เลี้ยงมันเพื่อกินเนื้อ
-
พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับช้าง โค ม้า และลา เลี้ยงเพื่อใช้แรงงานของมัน
พระพุทธเจ้าเอาตัวอย่างมาให้ศึกษา 3 ชนิดนี้ อยากจะเอามันมาใช้เพื่อใช้ขนมันใช้ส่วนของมันใช้เนื้อของมันใช้แรงงานของมัน ถึงอย่างนี้ท่านก็บอกว่าอย่าทำ ท่านแบ่งไว้เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ การเอาประโยชน์จากสัตว์มี 3 อย่างใหญ่ๆ ส่วนสัตว์อื่นๆไม่มีประโยชน์ก็ยิ่งอย่าไปเอามันมา ท่านห้ามเฉพาะภิกษุ แต่ไม่ได้ห้ามฆราวาสนะ
นัยละเอียดต่างๆพวกนี้ พระพุทธเจ้าบัญญัติเพื่อให้คนปลอดภัย จากวิบาก ยิ่งถ้าไปเอาสัตว์ที่ไม่เป็นประโยชน์อย่างที่ว่านี้ จะเป็นภาระหนักหนาสาหัส ก็ยิ่งแย่
อาตมาอธิบายมามากมาย ว่าเรื่องสัตว์ต่างๆนี้ปล่อยไปเถิดปล่อยมันไปตามวิบาก แม้ถ้าเป็นสัตว์เซลล์เดียวก็ตาม กับคนก็เป็นวิบาก ต้องปฏิบัติร่วมกันทำงานร่วมกันกับคน มันก็หนักหนาสาหัส แค่นี้ก็เหลือแล้ว สัตว์ก็ปล่อยมันไปอยู่ตามสัตว์ อย่าเอามาใช้งาน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการฆ่าการกิน แม้แค่อาศัยแรงงานให้มันมารับใช้เรา
มีม้าที่ลากรถ ม้าลำปาง ใส่ที่บังตามัน เอามันมายืนตากแดด จนกระทั่งมีคนมาขึ้นรถก็ขับ แล้วปล่อยให้ยืนตากแดดไป ทรมานทรกรรม คนเอาประโยชน์ใส่ตัวเอง และไม่สงสารสัตว์ ตัวเองเห็นแก่ได้กินแรงงานสัตว์อาศัยสัตว์ เห็นแล้วสงสาร
แต่ก่อนอาตมาที่วารินฯ แม่ก็มีรถม้า อาตมาเคยขับรถม้ารับจ้าง ขึ้นสะพานสูง บางทีมันเดินไม่ไหวต้องช่วยดันมัน แต่ยิ่งพูดอาตมายิ่งเห็นภาพม้าลำปาง ที่อื่นก็มีบ้าง ก็สงสารม้า ปล่อยให้มันยืนทั้งวัน สรุปแล้วเรื่องสัตว์ เป็นคนก็เป็นสัตว์ วิบากร่วมกับคนนี้มากมายยิ่งนักหนักหนาสาหัส สัตว์อื่นใดๆก็อย่าเอาไปเพิ่มมาให้แก่ตนอีกเลย เขาก็อยู่ของเขา ปล่อยเขาเลย แม้แต่ที่สุด เขียดมันจะถูกงูกินคุณก็อย่าไปยุ่งกับมัน หากไปสงสารเขียดจับออกจากงู ดีไม่ดีฆ่างูเลยแล้วก็ให้เขียดรอด คิดดูสิ แล้วจะให้งูมันกินขี้หรืออย่างไร งูมันก็ต้องกินสัตว์ งูมันไม่กินพืชพรรณธัญญาหารอื่น ดีไม่ดีมันกินสัตว์ใหญ่เลยนะ มันไม่กินท่อนไม้หรอก
เป็นเรื่องที่อจินไตย อย่าไปยุ่งเลยแม้แต่ฆราวาสก็ตาม แม้จุลศีลก็ตาม ฆราวาสก็ควรถือศีล 5 คือ อย่าฆ่าสัตว์ ส่วนศีลข้ออื่นๆก็ปฏิบัติไปตามลำดับ เพราะฉะนั้นแม้แต่ให้ฆราวาสที่ไม่ใช่นักบวช ก็ปฏิบัติศีลข้อที่ 1 หวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ ให้มีจิต ปรารถนาประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ ซึ่งเป็นความหมายที่ลึกซึ้งมาก เอามันไปปล่อยเสีย อย่าไปเผลอเอามาเลี้ยง อย่าไปต่อ ให้จบ รู้แล้วว่าเป็นภาระเป็นวิบาก พยายามแก้ไขอยู่ก็ขอให้สิ้นสุดได้ง่าย
_สุนงค์ อิทธิไพบูลย์ · กราบนมัสการพ่อครูค่ะ ใฝ่ฝัน อยากจะมาสัมผัส ต่อสถานที่ปฐมอโศกสักครั้งหากยังมีกุศลดี หลงเหลืออยู่บ้าง คงได้มา ในฐานะญาติธรรมค่ะ
พ่อครูว่า…เชิญพยายามหาโอกาสเวลามา
_พรชัย จันทรสอน · ชอบใจพ่อท่านถามคนว่าทำไมไม่มาวัด เพราะติดที่เลี้ยงหมา
เจ้าสัวที่รวยอันดับหนึ่งใต้หล้าฟ้าไทยก็มิจฉาวณิชชาอย่างน้อย 3ข้อ แล้ว ขายยาพิษ,เนื้อสัตว์และสัตว์เป็น(ยังไม่นับพืชจีเอ็มโอ)
นโยบาย 0 บาท ชมร.เขียงใหม่มีมานานแล้ว เจตนาสร้างบุญเต็มๆแต่ยังไม่กล้าใช้บริการ
พ่อครูว่า…ที่อาตมาพาทำให้รู้ว่าเสียสละได้ แบ่งกันกินใช้ได้ มีคนตักพูนๆ ก็เป็นเรื่องของคนมีจิตขี้โลภเป็นไปได้ก็เป็นตัวอย่างให้คนอื่นเห็น ว่าคนนี้ทำน่าเกลียด ก็ว่ากันไป เขาเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีก็เป็นประโยชน์อีกอย่างหนึ่งเหมือนกันไม่เสียหายอะไรหรอก หากมองดีๆ
ที่ทำ 0 บาทก็ตาม แม้ที่สุดอาตมาพามาเสียสละ ทุกวันนี้ก็มีความชัดเจนที่ทำได้ มีหน้าที่ผลิตก็ทำมีหน้าที่แจกจ่ายก็ทำตามควร อาตมาว่า ชาวอโศกลงตัวแล้ว เป็นตัวอย่างของผู้ที่ทำเศรษฐกิจ เป็นความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ของพุทธเจ้า อาตมาทำได้สมบูรณ์แบบแล้วขนาดนี้ ใครเก่งกว่าอาตมาก็ทำเลย อนุโมทนาถ้าทำได้ ดีกว่าอาตมาได้มากดีกว่าอาตมาได้
เพราะว่ามันเป็นเศรษฐศาสตร์ยิ่งใหญ่บทใหญ่ของโลกเลย เป็นเรื่องยากแต่ทำได้ในประเทศไทยนี้สุดยอด แต่คนไทยอาภัพ ผู้บริหารเศรษฐกิจของประเทศ ก็น่าจะมายกตัวอย่างพวกเรา จะได้ไปเป็นน้ำหนักตัวอย่าง พูดไป ใครก็พูดได้ว่าทำงานฟรี ไม่เอา ลาภแลกลาภ ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา ก็สุดยอดแล้ว เป็นเรื่องสูงสุดเป็นมิจฉาชีพข้อที่ 5 ของพระพุทธเจ้า ทำงานอย่างไม่เอาสิ่งแลกเปลี่ยนทำงานฟรีก็ทำได้ ยืนยันได้ และทำงานอย่างสบาย ไม่ได้เดือดร้อนวุ่นวาย มีอยู่มีกิน แม้ไม่เอารายได้ก็มีอยู่มีกินไม่ได้งอมืองอเท้าสร้างสรรให้เหลือใช้ แล้วเอาไปแจกจ่าย เป็นการพิสูจน์ความจริงเศรษฐศาสตร์สุดยอดว่าให้มาเป็นคนจน
การจะพัฒนาเศรษฐกิจแก้ปัญหาเศรษฐกิจ การจะแก้ปัญหาด้วยการพาให้คนมารวย กันทั้งประเทศนี้ พูดโกหก พูดสิ่งที่เป็นไปไม่ได้พูดสิ่งที่ไม่จริง ขนาดให้มาจนทั้งประเทศยังไม่ได้เลย จนทำง่ายจะตายยังพาให้จนทั้งประเทศไม่ได้ จะพาไปรวยทั้งประเทศ จะไปหอบเอาเงินที่ไหนมาให้คนรวยทั้งประเทศ พูดแล้วเป็นเรื่องสุดยอดอีเดียด
เมืองไทยเป็นเมืองพุทธมีพระเจ้าแผ่นดินเป็นโพธิสัตว์ ท่านตรัสชัดว่า ให้มาขาดทุนให้มาแบบคนจน มันน่าจะเป็นตัวอย่างของโลกเลยนะประเทศไทย ถ้ามาถามผู้บริหารเศรษฐกิจของประเทศ ก็บอกว่าเราพาให้ประเทศจน เท่เสียไม่มีเลยนะ เชื่อไหม ในหลวงท่านตรัส เท่มากเลยนะ แต่ไม่มีคนกล้าวิจารณ์ท่านเท่านั้นแหละ แต่ผู้ที่มองเห็นความสุดยอด อาตมานี้มองเห็นความสุดยอดของในหลวง คนถามก็ไม่ใช่คนธรรมดาเป็นรัฐมนตรีเกาหลี เพื่อนที่เป็นประธานาธิบดีฝากมาถาม ว่าจะบริหารเศรษฐกิจแบบไหนดี ในหลวงท่านก็ตรัสว่าบริหารแบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ท่านอธิบายไปแบบพระองค์ พูดไปแล้วเขาก็เฉยต้องการคำอธิบาย เราก็พูดอีก เขาก็ต้องการฟังอีก ก็อธิบาย สุดท้ายว่าเราเสียคือเราได้ จบอย่างนี้ อาตมาว่า รัฐมนตรีเกาหลีคงเกาหัว ขออภัยไม่ได้ลบหลู่ ไม่ได้หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เขาคงนึกอยู่ในใจว่าในหลวงพูดอะไรมันเป็นไปได้อย่างไร เพราะคนเราจะคิดได้อย่างไร การบริหารเศรษฐกิจให้พาคนมาจน เขาจะคิดออกหรือ พาคนมาขาดทุน แล้วให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ขาดทุนแก่ผู้อื่นได้ นี่คือเศรษฐกิจสุดยอด อย่างเช่นชาวอโศกขาดทุนให้แก่คนอื่นได้แล้วเราอยู่ได้ ไม่ใช่พูดเพ้อเจ้อ ลอยลม เป็นไปไม่ได้
แต่เราเป็นได้ เป็นอย่างสุขสำราญ เพราะเราไม่ได้เบียดเบียนใคร เราเป็นไปได้เรามีแรงงานมีความรู้ กินน้อยใช้น้อยไม่ถูกหลอก ที่จะต้องให้ไปซื้อกินใช้เลอะเทอะ ไปกินสิ่งฟุ่มเฟือยที่เขาเรียกว่าอร่อยหรูหราเท่ เรากินเท่านี้ก็ได้วิตามินได้สารอาหารไปเลี้ยงร่างกายแล้ว ถูกต้องตามโภชนาการไม่ต้องถูกหลอกเลย อย่างนี้ต่างหากคือคนเจริญ คนมีปัญญาจริงๆ ไม่ต้องตกอยู่ใต้อำนาจของคนที่มาหลอกเราเลย ไปเห่อตามแฟชั่นเขาก็ถูกหลอกหมด อย่างนี้ต่างหากคือสุดยอดคน แล้วก็เป็นคนที่ช่วยเศรษฐกิจประเทศชาติ พวกเรานี้ช่วยเศรษฐกิจประเทศ ไม่ไปถูกหลอก แม้แต่ต่างประเทศจะหลอกในประเทศจะหลอกเราก็ไม่ถูกหลอก เรารู้จักสาระ แน่นอนคนเราก็ต้องกิน เรื่องกินเรื่องใช้ที่ฟุ่มเฟือย พวกเรามีประโยชน์สูงประหยัดสุด มัธยัสถ์ ไม่เปลืองผลาญนี่คือเศรษฐกิจสุดยอด
ประเทศไทยนั้นอาภัพ อาตมาถูก กาหัวกระโหลกไขว้ไว้แล้ว โดยเถรสมาคม เขาก็ต้องเกรงใจมหาเถรสมาคม แต่แม้บัดนี้เขาก็ไม่กล้ามา ก็เลยซวยประเทศไทย ถ้าหากนักบริหารนักเศรษฐกิจมาเอาตามอโศกเรา ในประเทศไทยทำได้ มีหมู่บ้านแบบนี้เกิดขึ้นอีกในประเทศไทยนะ เป็นหมู่บ้านคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจแล้ว เป็นหมู่บ้านคนจนที่อุดมสมบูรณ์เป็นคนจนที่มหัศจรรย์ ที่เรียกว่าหมดปัญหาเรื่อง เศรษฐกิจแล้วอย่างนี้ เพิ่มขึ้นอีกกี่หมู่บ้านในประเทศไทย จะทำให้ประเทศไทยแก้ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจออก
มันเกิดได้ที่ไหนต้องมีจิตใจที่มีปัญญา ว่าคนเราจะจบภาระ ที่เราจะต้องไปยื้อแย่งแข่งขัน กอบโกยเอาเปรียบเอารัดไม่เอาแล้ว มาอยู่อย่างนี้เป็นคนเลี้ยงง่ายบำรุงง่าย
วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
เป็นคนอย่างนี้ได้จริง พระพุทธเจ้าสอนไว้หมดแล้ววิชาการเหล่านี้ เอาหลักวิชาของพุทธเจ้าไปแก้ปัญหาเศรษฐกิจการเมือง ไปแก้ปัญหาสังคม ของพระพุทธเจ้าสุดยอดแล้ว แต่ไม่เข้าใจความรู้ของพระพุทธเจ้า ไม่เข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะเถรสมาคมไม่รู้คำสอนพระพุทธเจ้า คนอื่นก็เลยพลอยไม่รู้ไปด้วย ซวยจริงประเทศไทย
อาตมาพาทำสำเร็จได้ผลตามคําสอนพระพุทธเจ้า ที่สร้างวัตถุต่างๆเช่นพระพุทธรูปใหญ่ก็ไม่ได้อยากจะสร้างแต่เป็นความเหมาะสมที่จะต้องมี
อาตมาสร้างพระพุทธรูปองค์นี้สำเร็จ ตรงที่ไม่มีใครมากราบพระพุทธรูปอย่างเดรัจฉานวิชา ไม่มีเลย ไม่มีดอกไม้ธูปเทียนมาบูชาไม่มีการขอหวย แล้วพระพุทธรูปองค์มีพรมน้ำมนต์ตลอดเวลา น้ำมนต์เยอะมาก แต่ไม่มีใครหลงน้ำมนต์บ้าบอแบบนั้น นี่สุดยอดเลย เพราะฉะนั้นพระพุทธรูปของเรา ไม่พาใครงมงาย สำเร็จอย่างนี้เป็นต้น สุดยอดจริงๆ
_รายการสำมะปี๋ซี่วิตค่ำนี่รัศมีเมตตาของพ่อท่านแผ่ไปโดยรอบ ดูอบอุ่นและเป็นกันเองกับลูกๆ ดูจากจอทางบ้านยังปลาบปลื้มตาม สาธุ
_วันชัย สหมโนธรรม · คุณผู้ชายที่ใส่หมวก..ทำไมไม่ถอดหมวกออกก่อนถามคำถามครับ..ดูแล้วไม่สุภาพเลยครับ
พ่อครูว่า…ผ่านไปแล้วไม่ใช่กาละแล้วตอนนี้
_พิศมัย ชำนาญคิด · โยมจะเอาหลักคิดที่ท่านพูดวันนี้ไปปรับใช้กับเรื่องราวของตนเอง โดยเฉพาะเรื่องการอ่านเวทนา อ่านจิต อ่านใจตนเอง ล่าสุด อาหารที่เคยชอบโยมก็ไม่ตามใจกิเลสนะ โยมรับแจกตามที่เขาแจกให้ มีขัดเคืองใจนิดๆ และไม่ขอเพิ่ม ได้แค่ไหนก็พอใจแค่นั้นนะคะ และจะพยายามทำนะคะ กราบนมัสการค่ะ
พ่อครูว่า…สาธุ อนุโมทนา ฟังธรรมะเข้าใจแล้วเอาไปทำ อ่านเวทนาในเวทนา จิตในจิต ม
จิตก็คือ ที่พระพุทธเจ้าสอนในสติปัฏฐาน 4 กายในกายเวทนาในเวทนาจิตในจิต ธรรมในธรรม จบแล้วศึกษาธรรมะพุทธเจ้า 4 อันนี้แหละ กายคือรูปนามคือธรรมะ 2 ธรรมะหนึ่งคือจิตของคนคือปัญญาคือสัญญา เป็นต้น สองสิ่งที่ถูกรู้คือรูป คุณก็เรียนรู้ธรรมะ 2 แล้วทำให้ธรรมะ 2 นี้เป็นหนึ่งหรือเป็น 0 นี่คือ อเทวะ Adheism
ศาสนาอเทวนิยมทำให้ 2 กลายเป็น 1 หรือ 0 ได้ แต่ศาสนาเทวนิยมทำความเป็นหนึ่งไม่ได้ ยังเป็น 2 เสมอ เป็นความมีปรมาตมันเป็นพระเจ้าตลอดนิรันดร แต่ศาสนาพุทธนั้นทำให้วิญญาณหายไปได้ ทำให้ไม่ต้องทุกข์ เมื่อมีหนึ่งแล้วก็ไม่ทุกข์ไม่เป็นคู่ไม่มีเมถุน ไม่ปรุงไม่สังขาร มีเดี่ยวก็ไม่สังขาร เพราะมีหนึ่งเดียวไม่ต้องสังขารกับอะไร ไม่ต้องสัมผัสสัมพันธ์ปรุงแต่งกับอะไร 1 แล้วยิ่งถ้าทำ 0 ได้ก็คือปรินิพพานเป็นปริโยสาน นี่คืออเทวนิยม
แม้แต่คำว่าเทวก็ไม่เข้าใจแล้วไปเข้าใจเป็นเทวดา ที่ปั้นเป็นวิมาน เนรมิตเป็นวิมาน เทวดาของไทยก็ เหาะลอยยกขาสองขาลอย ใส่สังวาลย์ ทั้งผู้ชายผู้หญิงเทวดาไทย
เทวดาฝรั่งก็มีไม้ กายสิทธิ์
เทวะ อเทวะ เป็นธรรมะ ไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา
ศาสนาพุทธที่จะเข้าใจเทวดา เทวดาคือรู้จักธรรมะ 2 ทเวธัมมา แล้วทำให้ธรรมะ 2 โดยเฉพาะทำให้ธรรมะ 2 ให้เป็นหนึ่งเสมอได้สำเร็จ นี่คือเป้าหมายของศาสนาพุทธ หมดทุกข์ ศาสนาพุทธคืออะไร คือหมดทุกข์ หมดความเป็นพิษภัยแก่อะไรทุกอย่างจะมีแต่ประโยชน์อย่างเดียว เมื่อเกิดมาเป็นคนได้อัตภาพเป็นคน แล้วเป็นคนที่ไม่มีพิษภัยแก่อะไรเลยนั่นคือสุดยอดแล้ว มีแต่ประโยชน์ให้แก่โลก จะอยู่ไปอีกนานเท่าไหร่ก็มีสิทธิ์ แล้วสามารถที่จะเป็น 0 ได้ ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ด้วย นี่คือสุดยอด
เพราะฉะนั้นคุณจะสูญ ไม่มีนิรันดร ไม่มี อัตตา แล้วสูงสุดไม่มีพระเจ้าอยู่เหนือเราเลยเราเป็นศาสนาที่อิสระเสรีภาพที่สุด ศาสนาเทวนิยมไม่มีอิสระเสรีภาพสูงสุดได้เพราะอยู่ใต้พระเจ้า คนไม่มีสิทธิ์จะมีอิสระเสรีภาพสมบูรณ์ก็ไปอยู่กับศาสนาพระเจ้า ส่วนศาสนาพุทธนั้นมีสิทธิ์เลือกได้ แล้วไม่อยู่นิรันดร
อาตมาสรุปเป้าสำคัญสามอย่างนี้ยิ่งใหญ่ ธรรมะทั้งหลายรู้จักนิรันดรทำให้หมดความนิรันดรได้ ศาสนาพุทธมีปรินิพพานเป็นปริโยสาน หมดอัตภาพสูงสุดได้ แล้วทำได้เองเป็นอิสระเสรีภาพไม่ต้องให้พระเจ้าทำให้ ไม่ต้องมีใคร ช่วยตนเองทำให้ตัวเองได้เป็นอิสระสูงสุด จะอยู่ก็ได้ นี่คือสิริมหามายา ผู้ที่ กล่าวว่าจะอยู่จะช่วยคนให้เป็นอรหันต์จนหมดเป็นคนสุดท้ายจึงจะปรินิพพาน คือพระอวโลกิเตศวร อาตมาก็ซึ้งในน้ำใจท่านสุดยอด ก็ท่านว่า แต่จะมีจริงหรือไม่มีจริงก็ไม่รู้ มันจะเป็นไปได้เลย ก็เท่ากับท่านจะอยู่นิรันดรใช่ไหม
นิรันดรแปลว่าอะไร แปลว่าไม่มีในระหว่าง ระหว่างนั้นไม่มี เพราะฉะนั้นใน กาละที่โลก ถ้าพระอาทิตย์ เราก็เป็นมนุษย์ มีชีวะรับรู้ สัตว์มันก็ไม่รับรู้ว่าโลกมันหมุน แต่คนมันรู้เรื่อง เพราะฉะนั้นคนก็รู้ ว่าในกาละ ในโลกมีหมุนเวียนมีกาละ
ศาสนาพระพุทธเจ้าตรัสรู้ กรรมกับกาละ Karma and Time of Continuum.
นี่คือของพระพุทธเจ้า ส่วนของไอน์สไตน์นั้น Space and Time of Continuum
ของพุทธเจ้าคือ Karma and Time of Continuum. คือสัมพันธภาพ ของกรรมกับกาละ
กรรมมีในชีวะ ส่วน space ไม่มีชีวะ ของไอน์สไตน์ไม่มีชีวะ เป็นเคหะวัตถุแท่งทึบ ไอน์สไตน์ก็ว่าตามไอน์สไตน์ โพธิรักษ์ก็ว่าตามโพธิรักษ์
_สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน…คนเลี้ยงสัตว์ก็เลยมาวัดไม่ได้ เราก็หลงโอปปาติกสัตว์ เลี้ยงสัตว์ในใจอยู่ก็เลยไม่ง่ายตามฐาน เลี้ยงเวทนาเคหสิตะอยู่ เราก็เลี้ยงความทุกข์ในใจ ทั้งที่ว่ามันพบแต่ก็ให้อาหารมันอยู่เรื่อย
_สมณะฟ้าไท…ต้องขอบคุณพ่อครูที่ทำให้รู้ว่าในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์
พ่อครูว่า…หากในหลวงไม่ใช่โพธิสัตว์ท่านจะไม่ตรัสว่าให้ประเทศมาบริหารแบบคนจน มีพระเจ้าแผ่นดินของไทยองค์เดียวที่ตรัสแบบนี้
สมณะฟ้าไทว่า…คนที่เข้าใจมากที่สุดก็คือพ่อครู…
พ่อครูว่า…พวกคุณมาเป็นคนจนคุณก็ไม่ได้เป็นคนตกต่ำอะไรนะ
สรุปอีกทีหนึ่งว่าศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า เราจะจับหัวใจศาสนาได้ หัวใจของศาสนาพุทธอยู่ที่ พระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
คือจะต้องรู้จักสภาวะสอง เทวฺ ถ้ารู้จักธรรมะ 2 ทำให้ธรรมะ 2 เป็น 1ได้ ในโลกนี้มีศาสนาเทวนิยมกับอเทวนิยม คุณรู้เทวะ คุณรู้อเทวะ ก็ทำเทวะ ให้เป็นอเทวะได้ จบแล้วศาสนาในโลกสุดยอด จะบอกว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงอริยสัจ 4 เป็นหัวใจศาสนา
อริยสัจ 4 ก็คือการอธิบายธรรมะ 2 ในเวทนา ทุกข์สุขไม่ได้อยู่ในอย่างอื่นได้เลยมันอยู่ในเวทนา เพราะฉะนั้นจับอาการของทุกข์ของสุขให้ได้ แล้วก็แยกตัวทุกข์หรือสุขก็ตาม
สุขเพราะไปหลงคบหากับกาม พยาบาท โมหะมันวุ่นหลงเลอะ แต่กามกับพยาบาทก็ไปคบกับเหตุปัจจัยแห่งกามและพยาบาท ปรุงแต่งให้สมใจก็เป็นสวรรค์ สมใจในพยาบาทก็ยังเป็นสวรรค์เลยแต่เป็นเชิงร้าย ปรุงแต่งหนักหนาสาหัสดีไม่ดีซ้อนแย่งกาม
ศาสนาพุทธย่อมาถึงตัวสำคัญ แล้วคนที่หมดกิเลสของศาสนาพุทธ ไม่ใช่คนที่เรียกว่า มันไม่มีกิเลสเกิดในจิตก็จริงแต่ไม่รู้จักโลก เขาจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่
ศาสนาพุทธเจ้ามีโลกวิทู รู้จักโลก รู้จักโลกแต่ละระดับด้วย แล้วไปอยู่กับเขาอย่างอนุโลมปฏิโลม กับสังคมประเทศชาติ จึงอยู่กันอย่างที่ในหลวงท่านว่า อะลุ่มอล่วยกัน ช่วยเหลือกันได้ ถ้าเขาให้ช่วยเราก็ช่วย ถ้าเขาไม่ให้ช่วยเราก็ช่วยไม่ได้หรอก ขนาดนั้นคนที่มาให้ช่วยยังล้นมือเลย คนที่ไม่ศรัทธาไม่ให้ช่วยไม่ต้องไปช่วยเขาหรอก เขาก็ไปตามทางที่ชอบที่ชอบ เราทำแค่นี้ก็เหลือเกินแล้ว
เราก็ทำประโยชน์ให้แก่โลก อาตมาภูมิใจที่ทำงาน เพื่อให้คนพ้นทุกข์ให้คนเป็นสุขให้คนมีประโยชน์ต่อสังคม พยายามสร้างคนมาช่วยประเทศชาติช่วยโลก ไม่ให้เป็นภาระของประเทศชาติ ไม่เป็นเรื่องก่อความวุ่นวายแย่งเศรษฐศาสตร์ของโลก ไปแย่งการเมืองตำแหน่งหน้าที่ในสังคมก็ไม่ใช่ มีแต่เสริมสร้าง สิ่งที่ควรเสริมสร้างให้แก่เขา ไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งด้านสังคมเศรษฐกิจ ทางด้านการเมืองก็เสริมสร้างให้เขา
เป็นเรื่องอิสระเสรีภาพเราเห็นควรก็ทำไม่เห็นควรก็ไม่ต้องทำ
ศาสนาพุทธลดละกิเลสความเห็นแก่ตัวส่วนตัว และทั้งเรียนรู้โลก เป็นจิตวิญญาณที่ขยันหมั่นเพียรสร้างสรรค์ที่เป็นประโยชน์แก่โลกได้ ให้อุดมสมบูรณ์ เราไม่ไปสร้างอะไรที่หนักหนาสาหัส เอาความรู้วิศวกรรมมาใช้ก็ประมาณหนึ่ง ไม่ต้องไปสร้างลูกระเบิด ที่ยิ่งใหญ่เกินการ เราใช้เครื่องยนต์เท่าที่ทำได้ใช้ได้ เราก็ทำกันไปในทางวิศวกรรม โดยเฉพาะในทางกสิกรรม ก็เห็นว่าประเทศไทยเป็นประเทศกสิกรรม เราควรทำอันนี้ให้มาก
ถ้าหากประเทศไทยเข้าใจระดมกันทำกสิกรรม ให้ดี ให้เป็นเลิศในโลกเลยนะโอ้โห อุตสาหกรรมเป็นเรื่องรอง ให้เกษตรกรของไทยลืมตาอ้าปากอยู่ดีกินดี แต่ทุกวันนี้ฐานะของพวกอุตสาหกรรมดีกว่าฐานะกสิกรรม ควรมาทำให้ฐานะกสิกรรมมีกินมีใช้ ที่สำคัญคือสอนให้กสิกรอย่าไปรวย เพราะอะไร
เพราะถ้าหากกสิกรอยากไปรวยเหมือนอุตสาหกรรม โลกเดือดร้อน ถ้าหาก คุณสร้างข้าวผลิตข้าว คุณจะขายข้าวราคาแพง ถ้าขายราคาถูกได้มากเท่าไหร่ นั่นแหละคือการเจริญ นั่นแหละคือความประเสริฐ ทำให้ราคาข้าวถูกลงแล้วเราก็อยู่รอด มีเงื่อนไขตรงนี้ด้วย ถ้าหากข้าวราคาแพงคนตายก็คือคนจน ถ้าหากข้าวราคาถูก คนจนก็รอด
อาตมาถึงว่า ข้าวไม่ใช่สินค้า แต่คืออาหารที่ต้องแบ่งปันกันกิน
อันอื่น ไม่สำคัญเท่ากับข้าว คุณมีข้าวก็อยู่รอดแล้วนอกนั้นพืชผักก็หากินได้ไม่หนักหนา ข้าวเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง อาหารเป็นหนึ่งในโลก
ธรรมะต้องรู้จักเวทนาในเวทนาเป็นหลัก ศึกษาตรงนี้ ทฤษฎีของพระพุทธเจ้า แม้จะลดกิเลสเพื่อให้หมดทุกข์ หมดสุข ทฤษฎีของท่าน ล้อหมดเลย ต้องเป็นผู้ที่อยู่กับโลกมีความชำนาญมีความสามารถทำงานเพื่อผู้อื่นได้ด้วย ไม่ใช่งอมืองอเท้า ได้แต่เราอย่างเดียว เราทำกสิกรรมเป็นหลักอย่างอื่นเป็นรอง
_ผาหิน….กราบนมัสการครับ…ขอถาม… จากหนังสือคนคืออะไร?ฯ หน้า150…เมื่อเริ่มได้ฌานจิตขั้นต้นนี้ อันเรียกว่า”ปฐมฌาน”ก็คือ ผู้นั้นตัดโลกภายนอกออกไปส่วนหนึ่งแล้ว ปล่อยวางเรื่องภายนอก ส่วนที่เกิดจาก”สังขารธรรม”….
1.คำว่า”สังขารธรรม”คืออะไรครับ…ผมไม่แน่ใจหรือจะคือวัตถุหรือสิ่งที่เราคิดว่าเป็นสิ่งยั่วยุให้เราเกิดกิเลสที่อยู่ภายนอก….
2.สมมุติว่าเราติดก๋วยเตี๋ยว….คำว่า”ตัดโลกภายนอกออกไปส่วนหนึ่งแล้ว”…หมายความว่าเราจะเลิกกินก๋วยเตี๋ยว…แต่ในใจเราอยากกินอยู่..ใช่ไหมครับ?..เราก็ทำใจในใจจนรู้ตามความเป็นจริง”สักแต่ว่ารู้”ลักษณะนี้จะเรียกว่า”ฌาน ขั้นที่ 1″(กายวิเวก)ได้ไหมครับ
3.จากข้อ 2.ใจอยากกินก๋วยเตี๋ยวยังมีอยู่…แต่ก็อยากทำให้ความอยากหมดไปจากใจ…ความอยากนี้จะเรียก”ภวตัณหา”ได้ไหมครับ?
พ่อครูว่า…ตอบจากข้อ 3 ก่อน ความอยากกินมีอยู่ในใจ แล้วอยากให้ความอยากนี้หมดไปความอยากนี้ ความอยากนี้เรียกว่า ภวตัณหา ใช่ แต่ทุกวันนี้เขาไม่ได้ทำตั้งแต่ภายนอกเบื้องต้นทำภายในเลย พวกนั่งหลับตาเป็นพวกที่ทำผิดตั้งแต่ต้น ผิดมาจนถึงตรงกลางและตอนปลาย นั่งหลับตาปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธนี้ผิดหมด ศาสนาพุทธไม่มีหลับตาเลย ปฏิบัติตอนแรกลืมตา เป็นกามตัณหาก็ล้างกามให้ได้ ล้างจิตที่เป็นกามราคะ กามตัณหา
ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส กายสัมผัส กิเลสมันไม่เกิดเลยกับภายนอกมันยังระริกระรี้ภายใน ข้างนอกไม่ออกมาทางกายเลย
บอกว่ากายวิเวกนั้น กายต้องมีทั้งภายนอกภายใน กายเป็นโอฬาริกอัตตา ก็รู้ แล้วมันก็ทำอะไรไม่ได้ ในพระอนาคามีเหนือมันได้ เหลือแต่ภาวะในเป็นภวตัณหา
คุณก็ต้องทำให้หมดในระดับ ภว ในรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ก็ล้างอาการสภาวะที่ตามพยัญชนะ ล้างหมดก็เป็นอรหันต์
อยากให้เกิดความอยากมีหมดไปในใจเรียกว่า วิภวตัณหาได้
ข้อ 2 สมมุติว่าเราติดก๋วยเตี๋ยว….คำว่า”ตัดโลกภายนอกออกไปส่วนหนึ่งแล้ว”…หมายความว่าเราจะเลิกกินก๋วยเตี๋ยว…แต่ในใจเราอยากกินอยู่..ใช่ไหมครับ?..เราก็ทำใจในใจจนรู้ตามความเป็นจริง”สักแต่ว่ารู้”ลักษณะนี้จะเรียกว่า”ฌาน ขั้นที่ 1″(กายวิเวก)ได้ไหมครับ
พ่อครูว่า…การตัดกิเลสได้ไม่ใช่ว่าเลิกกินก๋วยเตี๋ยว กินก๋วยเตี๋ยวได้แต่ไม่มีกิเลสกับก๋วยเตี๋ยว ถ้าตัดภายนอกนี่หมายความว่ารสอร่อยหยาบไม่มีแล้ว แต่ก่อนต้องได้กินๆ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว มันไม่ได้ตามต้องการอย่างนั้นก็ได้ แต่ก็ยังติดอยู่ในรสที่มีอยู่บ้างเบาบางลง อยู่ในใจเรียกภวตัณหา
แต่ว่าทำสักแต่ว่ารู้ก็ใช่ ถ้าจิตเราเฉยกับมันก็เรียกว่าสักแต่ว่ารู้ แต่ว่าความจริงแล้วจิตใจเรามันมีความเหนือกว่ามัน อาการที่อยากได้เพิ่มเติมได้ความอร่อยนั้นไม่มีแล้ว
ฌาน 1 ไม่ได้ตัดขอบเขตขนาดนั้นหรอก จริงๆฌาน 1 2 3 4มันซ้อน เป็นอจินไตย อธิบายได้ยาก จะบอกว่าภายนอกหยาบไม่มีก็ใช่ แต่ภายในมีอยู่ ก็ไม่ได้ตัดขาดจากภายนอก ไม่ใช่ไปหลับตาให้หมดจากภายนอก ไม่ใช่หรอกคุณลืมตานี่แหละ วันหนึ่งคุณจะเหนือภายนอกได้ แต่นี่คุณไม่ได้ปฏิบัติเลยไปปฏิบัติในภายใน ปฏิบัติแต่ภายในไม่ใช่ปฏิบัติธรรม คนปฏิบัติภายนอกแล้ว เหลือส่วนที่ยังมีภายใน กระทบสัมผัสอันนี้แล้ว มีส่วนเหลือที่ภายใน เป็นภวตัณหาหรือรูป อรูปแล้ว ถ้าวิภวคือหมดภพแล้ว คุณก็ล้างอรูปให้หมดไปแล้วก็ยังสัมผัสกับภายนอกอยู่นั่นเอง ศาสนาพุทธไม่มีการปฏิบัติหลับตาเลย การหลับตาปฏิบัติเป็นโมฆะจากศาสนาพุทธเลย มันหลงผิดไปไกลเป็นเดียรถีย์ชัดๆ มันไม่มีเลยศาสนาพุทธ แล้วทำไมมันหลงผิดกันจนกระทั่งทุกวันนี้นั่งสมาธิ นั่งฌาน ใครไม่มานั่งหลับตาปฏิบัติไม่ใช่การปฏิบัติของศาสนาพุทธ เข้าใจอย่างนั้นอีก เอาหัวมาเป็นหาง เอาเหตุมาเป็นผล เอาขี้มาเป็นข้าว แล้วก็กิน แล้วเอาอะไรมาเป็นข้าวแทน อยู่อย่างนั้น ยกตัวอย่างอย่างนี้จะได้รู้สึกบ้าง
รู้สึกบ้างไหมว่าคนนั้นผิด อย่าเอาขี้มาแทนข้าวสิ รู้ตัวเสียบ้าง หลับตาไม่ใช่ของศาสนาพุทธเลย ศึกษาให้ดี ศาสนาพุทธในพระสูตรแรกคือ พรหมชาลสูตรบอกไว้
เล่ม 9 ข้อ 87 [87] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน ย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยเหตุ 5 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
เวทนาเป็นกรรมฐานเดียวของศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธ ไม่ปฏิบัติที่อื่นนอกจากเวทนา กายคือรูปกับนาม ก็มาอ่านที่เวทนา แยกอกุศลจิตที่เป็นเหตุให้เกิดเวทนาสอง ฆ่าเวทนาเก๊ให้เหลือเวทนาเดียว ก็สามารถเรียนรู้ดับเวทนาให้เป็น 0 ได้ นปุงสกลิงค์ ก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้
ผู้ที่ฟังอาตมาเข้าใจจะประโยชน์ ผู้ที่ไม่เชื่อก็ซวยไป บาปไม่ใช่ของอาตมา บาป สำหรับคนที่ไม่ให้มาฟังอาตมา ไม่ได้ใส่ความนะ
มันไม่ได้ตัดจากภายนอกไปไหน ศาสนาพุทธภายนอกภายในสัมผัสอยู่ ระวังกิเลสออกตั้งแต่ สักกายะ แล้วดับตั้งแต่สักกายะ ไม่ใช่ดับอย่างอื่น จะตัดเล็บก็ตัดแต่เล็บ ไม่ใช่ตัดหนังด้วย นิ้วด้วย ให้แยกกายแยกจิตให้ออกอันไหนกายอันไหนจิต หากแยกกายแยกจิตไม่ออก คุณดับกิเลสไม่ได้ ฆ่าสัตว์โอปปาติกะไม่ได้
สัตว์โอปปาติกะมี 9 สัตตาวาส 9 มีสัญญาที่สัมมาทิฏฐิกำหนดรู้กาย แล้วทำให้สัตตาวาส 9 หมดก็เป็นพระอรหันต์ เวลาเรียนจะต้องเรียนวิโมกข์ 8 สัมผัสกายด้วยวิโมกข์ 8 ด้วยกาย จึงถึงวิมุตติ วิโมกข์ แล้วไปนั่งหลับตาจะเห็นรูปที่ไหน
วิโมกข์ 8 ข้อที่ 1 รูปีรูปานิปัสสติ ผู้มีรูปจึงเห็นรูป แล้วไปนั่งหลับตาจะเห็นรูปที่ไหน
-
ผู้มีรูป ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย (รูปี รูปานิ ปัสสติ)
-
ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66) ย่อมเห็น รูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทธา รูปานิ ปัสสติ) . (*พ่อท.แปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป)
-
ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ อธิมุตโต . โหติ, หรือ อธิโมกโข โหติ (พ่อครูแปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น)
พตปฎ. เล่ม 10 ข้อ 66 / เล่ม 23 ข้อ 163
_นักรบธรรม…ที่ว่า หลับตาไม่ใช่ศาสนาพุทธ ผมก็ระลึกอยู่ว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้น ผมก็เห็นพ่อครู และสมณะ มีการสอนเรื่องศาสนาพุทธไม่หลับตาปฏิบัติ เมื่อมีการสอนอย่างนี้มันก็เป็นอุปการะ
พ่อครูว่า…เขาเอาเป็นตัวเมนหลักเลย เป็นตัวจริง อุปการะไม่ใช่ตัวจริงตัวหลัก ให้ชั่วคราว มีประโยชน์ 4 อย่างคือ
-
ได้พักผ่อนแบบสงบจิต มีอุปการะมาก
-
ศึกษาเพิ่มทักษะในเจโตสมถะ และใช้ตรวจอ่าน ภาวะจิตต่างๆ ในภวังค์
-
เอื้อให้ปฏิบัติเตวิชโช (ทบทวน) ได้อย่างดี .
-
สร้างพลังทางจิต ที่จะนำไปทำฤทธิ์ต่างๆ (แต่ฤทธิ์ในพุทธศาสนา หมายถึง ฤทธิ์ที่ระงับ ดับกิเลส เพื่อไปสู่นิโรธ-วิมุติ-วิโมกข์-นิพพาน)