บันทึกผ่านเลนส์ ส่องโพธิกิจ…สังคมอาริยชนคนโลกุตระเป็นแดนศิวิไลซ์ที่หลายคนแสวงหา
วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม 2561
เช้านี้บรรยากาศที่บวรราชธานีอโศกก็ยังมีฝนตกพรำๆเป็นระยะๆแต่ไม่มีฝนตกหนักมาก ทำให้อากาศค่อนข้างเย็นและชื้น
หลังจากพ่อครูตื่นตามเวลาปกติ 06.00 ท่านปัจฉาหนักแน่นได้เรียนแนะนำถึงการออกกำลังกายหลังจากตื่นนอนควรแบ่งการวิดพื้นออกเป็น 4 เซตสลับกับท่ากายบริหาร ที่พ่อครูบริหารประจำ โดยแบ่งเป็นวิดพื้นตามจำนวนครั้งคือ 15-15-14-14 แต่พอวิดพื้นไปได้ 3 เซต ท่านปัจฉาแสนดินได้เรียนปรึกษาในการลดจำนวนครั้งลงโดยภาพรวมทั้งหมดไม่น่าจะเกิน 50 ครั้งในครั้งสุดท้ายจากที่จะต้องวิดพื้น 14 ครั้งจึงเหลือเพียง 8 ครั้งซึ่งทำให้ร่างกายพ่อครูเกิดความสมดุลและร่างกายไม่หนักจนเกินไป
เช้านี้พ่อครูออกมานั่งเช็ดหน้าเช็ดตาและดื่มน้ำปัสสาวะอุ่นที่สวนเอาพิษออกซึ่งปลูกต้นไม้โดยเฉพาะไม้ดอกของไทยที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ทั้งช่วงเช้าและช่วงค่ำ พ่อครูนั่งสนทนากับท่านปัจฉาสมณะได้ครู่ใหญ่ไม่นานนัก ฝนก็เริ่มตกพรำๆลงมาจนต้องย้ายเข้าไปในห้องทำงาน พ่อครูชั่งน้ำหนักได้ 49.8 กิโลกรัม จากนั้นเป็นปกติที่พ่อครูจะเปิดคอมฯนั่งพิมพ์งานธรรมะพร้อมกับดูข่าวสารจากทีวีทั้ง 3 จอ
เวลา 11.07 นาที พ่อครูลงมาฉันภัตตาหารที่ชั้นล่างเฮือนสูญ ก่อนเข้ามานั่งที่โต๊ะฉันภัตตาหาร สังเกตเห็นกล้วยไม้พันธุ์ใหม่ สีสรรแปลกตาที่นำมาประดับหน้าเวทีแสดงธรรม หลังจากนั้นนั่งฉันภัตตาหารพร้อมทั้งท่านปัจฉาดินไทและท่านปัจฉาหนักแน่น
เวลา 12.20 นาทีหลังจากพ่อครูฉันภัตตาหารเสร็จ ได้แวะดูโมเดลทองเหลืองของเรือโคกใต้ดินที่มีหล่อต้นแบบเสร็จเรียบร้อย มีความวิจิตรงดงามมาก ซึ่งเรือโคกใต้ดินที่จะนำมาซ่อมแซมและตกแต่ง ตอนนี้อยู่ที่ด้านหลังสถาบันขยะวิทยาด้วยหัวใจโดยมีทีมท่านสมณะพอแล้ว สมาหิโตนำทีมซ่อมแซมเพื่อที่จะให้เรือมีรูปทรงสังคมอาริยชนคนโลกุตระเป็นแดนศิวิไลซ์ที่หลายคนแสวงหาและแบบตามที่พ่อครูดำริไว้ หลังจากนั้นพ่อครูเดินมาที่เฮือนสวยเหมิดและเฮือนหญังกิน สังเกตเห็นถังน้ำแข็งที่โรงน้ำแข็งได้ให้ลูกค้าไว้สำหรับใส่น้ำแข็งเป็นประจำ พ่อครูเดินมาด้านหลังเฮือนโสเหล่ สังเกตเห็นเรือแคนูได้ถูกนำออกมาจากบุ่งแล้ว นำมาคว่ำวางไว้ที่แก้งไทบ้าน ท่านปัจฉาดินไทเรียนพ่อครูว่าเมื่อวานเดินมาทางนี้แล้ว วันนี้น่าจะเข้าไปดูด้านในหมู่บ้าน พ่อครูจึงเดินมาที่สามแยกถนนตรงศูนย์ซึ่งเป็นใจกลาง จุดนัดพบของหมู่บ้าน ผ่านศาลาน้ำดื่มซึ่งมีถังสแตนเลสใหญ่บรรจุน้ำดื่มไว้สำหรับชาวชุมชนและนักเรียนหรือผู้ที่ต้องการน้ำซับคุณภาพดีดื่มและนำไปเก็บได้ฟรี แต่มีป้ายที่พวกเราให้ช่วยกันใช้น้ำอย่างประหยัดเพื่อช่วยวัดประหยัดค่าไฟ
พ่อครูเดินต่อมาที่ซอย 5 คุ้มหนุนกัน เดินมาด้านหลังผ่านขึ้นบันไดไปเรือรามรักษ์พบช่างคณิต ไทเทิดธรรม กำลังนำก้านตาลมาประดิษฐ์เป็นอุปกรณ์ใช้สำหรับยืดเส้นเอ็นร้อยหวายและเส้นเอ็นตั้งแต่ช่วงน่องจนถึงสะโพกได้เป็นอย่างดี ช่างคณิตบอกว่าเห็นคุณขวัญตะวันซื้ออุปกรณ์ยืดเส้นเอ็นอย่างนี้มาในราคา 180 บาทจึงเกิดแนวความคิดว่าจะลองทำเองเพื่อให้ท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุและชาวชุมชนได้นำไปลองใช้ พ่อครูเดินดูงานตกแต่งภายใน ช่างคณิตเรียนพ่อครูและอธิบายถึงการทำงานเครื่องเลื่อยซึ่งคุรุชุบชีพได้บริจาคมา ซึ่งเป็นประโยชน์มากสำหรับงานไม้ที่ต้องการความประณีต รวมถึงนวัตกรรมที่ช่างคณิตได้ดูในอินเตอร์เน็ต ในการประดิษฐ์เครื่องมือสำหรับวัดองศาต่างๆในงานก่อสร้างตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ได้แมนยำทำให้งานที่ออกมาประณีตยิ่งขึ้น พ่อครูเดินมาด้านล่างเจอไม้ประดู่เก่าหลายแผ่น ช่างคณิตเรียนพ่อครูว่าจะนำไม้เหล่านี้มาประกอบเป็นโต๊ะตกแต่งด้วยไฟไว้สำหรับใช้งานต่อไป
พ่อครูออกมายืนดูเรือรามรักษ์ดำริให้ทาสีเรือตามที่ท่านปัจฉาดินไท ได้แนะนำเพื่อรักษาเนื้อไม้ ขณะที่ยืนดูเรือรามรักษ์ พ่อครูก็ได้ยินเสียงประกาศเพื่อขอแรงชาวชุมชนไปช่วยเข็นปุ๋ย 1 รถสิบล้อ พ่อครูไม่รอช้าบอกว่า “งั้นพวกเราไปช่วยเขาเข็นปุ๋ยดีกว่า”..
จึงเดินกลับเข้ามาในชุมชนผ่านบ้านแม่บุญรุ่ง
แม่บุญรุ่งนิมนต์พ่อครูลองนั่งรถไฟฟ้าคันใหม่ที่ลูกๆได้ซื้อมาให้ไว้ใช้งานในชุมชน พ่อครูขึ้นไปนั่งรถเครื่องไฟฟ้าตามนิมนต์ของแม่บุญรุ่ง ทดลองสตาร์ทเครื่อง ซึ่งแม่บุญรุ่งบอกว่ารถคันนี้ใช้งานได้เหมาะ เพราะแม่บุญรุ่งเคลื่อนไหวลำบาก ทำให้แม่สามารถไปภายในชุมชนได้ไกลขึ้น
จากนั้นพ่อครูเดินผ่านบ้านพลังบุญ ผ่านหน้าห้องน้ำ ลุงแขก ธาตุดินจอดจักรยานกราบนมัสการพ่อครู พ่อครูเดินผ่านมาหน้าลานสะโพ ผ่านขึ้นมาทางอาคารบวร นักเรียนสมุนพระราม เด็กชายเวียงและเด็กหญิงแก้วเข้ามากราบนมัสการพ่อครู ท่านเดินผ่านเข้ามาภายในอาคารบวรซึ่งได้ลงเคลือบเงาพื้นปูนที่ขัดบ้างแล้วจนถึงหน้าเรือเจิ้นเทิ้น ยายแสงและป้าแววเข้ามากราบนมัสการซึ่งทั้งสองคนกำลังห่อข้าวต้มมัดเพื่อขายในตลาดนัดบุญนิยม
พ่อครูเดินลงมาถนน ด้านข้างอาคารบวร เป็นถนนทางลัดไปโรงปุ๋ยพลังชีวิต พ่อครูทักถึงความอุดมสมบูรณ์ของสองข้างทางซึ่งมีทั้งต้นกล้วย มะละกอ พริก มะเขือ ดอกแคซึ่งเติบโตแข็งแรง ออกดอกออกผล งดงามอุดมสมบูรณ์ พอมาถึงโรงปุ๋ยพลังชีวิตเห็นรถสิบล้อ 1 คันโดยมีท่านปัจฉาสมณะแสนดิน รวมถึงชาวชุมชนบางส่วนกำลังช่วยเข็นปุ๋ยขึ้นรถสิบล้อ พ่อครูไม่รอช้า เดินเข้าไปจับรถเข็น บรรทุกปุ๋ยอินทรีย์ตรางอกงามขนาด 50 กิโลกรัมครั้งละ 2 กระสอบทันที ครั้งนี้มีทั้งชาวชุมชนและศิษย์เก่ามาช่วยตามหน้าที่ได้อย่างสมดุลและลงตัวตามกำลังของแต่ละบุคคล เป็นความเจริญในกิจกรรมกิจการที่ร่วมกันทำในระบบสาธารณโภคี ที่สามารถพึ่งพากันได้ทุกครั้ง ที่มีการระลึกถึงกันในระบบ ซึ่งมีองค์ประกอบของบุคคลที่เป็นอารยชน พุทธบริษัททั้ง 4 ระดับคือนักบวชชาย นักบวชหญิง อุบาสกและอุบาสิกา มองไปหนไหนจึงเห็นทุกคน เป็นยิ่งกว่าญาติ ยิ่งกว่าพ่อแม่เพราะสามารถพึ่งเกิด พึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตายกันได้อย่างแท้จริง
หลังจากพ่อครูช่วยเข็นปุ๋ยเสร็จแล้ว พวกเรานิมนต์พ่อครูขึ้นรถปิคอัพอาเย็นยิ่งเพื่อกลับไปที่ชั้น 4 เฮือนสูญ ผ่านเข้ามาหน้าอง์พระพุทธโตเห็นรถบัส 2 คันที่มีนักเรียนมาเต็มคัน รถมาส่งพ่อครูที่หน้าน้ำโตนซึ่งยังไม่ได้เปิดให้บริการพ่อครูจึงบอก ให้ติดต่อท่านสมณะคมคิดช่วยเปิดบริการน้ำโตนด้วย เพราะมีรถบัสมาตั้ง 2 คันที่เขาจะมาเยี่ยมชมเรา แล้วพ่อครูขึ้นลิฟท์มาถึงชั้น 4 พักสักครู่และนั่งทำงานเขียนหนังสือต่อไป
ส่องผ่านเลนส์ มาติดตามน้ำโตนจึงพบว่าท่านสมณะคมคิดกรุณาเปิดน้ำโตนแล้วโดยมีนักเรียนจากโรงเรียนบ้านโพธิ์ไทรโพธิ์ศร จังหวัดยโสธร ซึ่งเป็นนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 4 ถึงม. 3 จำนวน 81 คน ที่มาทัศนศึกษางานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานีและคุณครูก็รู้จักพวกเราดี เพราะเป็นญาติธรรมที่เคยมาที่วัดป่าสวนธรรมร่วมใจ จึงได้พานักเรียนมาเยี่ยมชมสถานที่ พร้อมทั้งทักทายพวกเราอย่างคุ้ณเคย
ส่องผ่านเลนส์มองถึงความเมตตากรุณาของพระโพธิสัตว์อันหาที่สุดมิได้ที่เอื้อเกื้อกูลต่อมวลมนุษยชาติ เมื่อเห็นผู้คนมาเยี่ยมชมและมีความหวังที่จะชมธรรมชาติจากน้ำตกต่างๆ ก็จะได้ยินพ่อครูบอกทุกครั้งว่า ถ้าพวกเราพอจะเปิดน้ำตกได้ทุกวันเพื่อที่จะให้คนได้มาพักผ่อนหย่อนใจโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆได้ ก็จะมีส่วนช่วยให้ทุกคนที่มาเยี่ยมชมได้ผ่อนคลายจากความเครียดกับเศรษฐกิจในปัจจุบันได้ ซึ่งสถานที่ที่เป็นธรรมชาติในสมัยนี้มีจำนวนน้อยมาก และส่วนมากมีการปรุงแต่งมากมายและเสียค่าใช้จ่ายในการเข้าชม พ่อครูจึงมีดำริที่จะสร้างธรรมชาติเพื่อให้มวลมนุษยชาติได้สัมผัสทั้งสถานที่ที่เป็นสัปปายะ เหมาะสมสำหรับมนุษย์ที่จะต้องมีชีวิตเกื้อกูลธรรมชาติ ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน รวมถึงได้สัมผัสกับจิตวิญญานของชาวชุมชนที่เป็นชุมชน คนอยากจน มาเป็นคนจนโลกุตระ ขยัน สร้างสรร เสียสละ มีการให้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์สู่สังคม เป็นแดนศิวิไลซ์ที่หลายคนตามหา..