610721 ค่า A ในสูตรสัมประสิทธิ์คือนาม ๕ ภาคปฏิบัติ
พ่อครู …มันก็ยังงั้นแหละ คนที่ต้องมีเรื่องมาก หน้าที่ทำมากคิดมาก เขาก็ต้องมีพลังทางกามมากฮอร์โมนมาก มันต้องไปด้วยกัน
ส.แสนดิน ….อย่างจอมพลสฤษดิ์
พ่อครู ….มันเป็นพลังที่สร้างพลังให้เกิดในคนนั้นมากๆยิ่งขึ้นเหมือน stimulate ให้มีขึ้นเพื่อมาเติมเพราะมันไม่พอแคลอรี่มันก็ไม่พอ กามมันเป็นโคเอฟฟิเชี่ยน (coefficient) อันหนึ่งของพลังงานกระปรี้กระเปร่าในร่างกายในจิต จิตเป็นตัวตั้งเป็นตัวประธานที่เป็นตัวเพิ่ม เพิ่มจากไหน ก็จากที่ตัวเองอยาก อยากอะไรก็แล้วแต่ก็เป็นพลังแคลอรี่ที่ต้องจ่ายทั้งนั้น
แม้แต่อยากทางกามก็ใช่และไม่ใช่น้อยๆ เพราะกามก็เป็นมโนสัญเจตนาอย่างหนึ่งเป็นพลังที่จะกระตุ้นให้อยากเพิ่มขึ้น เวลามันเกิด(อุปัจยะ) พลังกามจึงเป็น โคเอฟฟิเชี่ยน (coefficient)เป็นปฏิภาคทวี พลังที่ไม่มีก็เกิดมี ที่หากมีก็จะยิ่งมีกำลังเพิ่ม ถ้าคุณไปจ่ายพลังที่เกิดขึ้นในตัวคุณ มันก็ต้องเสียพลังไป กับการที่คุณไม่จ่าย ตัวคุณไม่จ่าย มันก็เพิ่มสิ มันมีภาวะซับซ้อน action reaction ๒ อย่างทันที ไอ้ที่กระจายออกมากก็ลด กระจายไม่มากก็เพิ่ม มันมีมากมันก็ต้อง…เหมือนพลังงานทางวิศวะแรงทดมันจะยิ่งได้แรงเพิ่ม หรือมันจะลดหรือเพิ่มก็อยู่ที่ตัวโคเอฟฟิเชี่ยน (coefficient) ที่ A ว่ามี ประสิทธิภาพมากน้อย พลังงานวัตถุก็เหมือนกัน เพราะงั้นไอน์สไตน์คิดได้ E เท่ากับ mc กำลัง ๒ แต่พอบวก A A นี่แหละเป็นตัวเพิ่มไม่มีหยุด เอ คือ mc กำลัง๒ แต่ mc กำลัง ๒ ของเอมันยกกำลัง n ไง มันยิ่งเป็นปฏิภาคทวีขึ้นเรื่อยๆจาก ๒เป็น ๔ เป็น ๘ เป็น ๑๖ เป็น ๓๒ ฯลฯ เป็นแต่เพียงว่าเอ ของคุณมันไปได้เท่าไหร่ n คุณไปได้เท่าไหร่ มันมีกำลังทั้งนั้น มันอยู่ที่ isotope ของคุณหรือสายวิ่งของคุณมันไปได้นานเท่าไหร่
ถาม ….n มาจากไหน
พ่อครู ….เรานี่แหละต้องในสร้างองคาพยพในร่างกายของเรา เราต้องเติมให้มัน คือเราต้องฝึกต้องนึกอยู่เรื่อยๆต้องสร้างให้มันเกิดอย่างพอดีอยู่ตลอด อย่างคุณมีสตังค์ ร้อยบาทเท่ากับคุณมี n แล้ว ถ้าคุณต้องใช้ร้อยนี้ แต่ร้อยนี้ c มันยกกำลังสอง นี่หมายความว่า ที่ไอน์สไตน์คิดไว้คุณต้องเพิ่มมาอีก c ก็ต้องยกกำลังมาอีกเป็นปฏิภาคทวีอย่างที่บอก ไม่ใช่บวกไม่ใช่คูณแต่ยกกำลัง อัตราการเพิ่มมีหลักการใหญ่ ๓ ระดับ บวก คูณ ยกกำลัง นี่สูงสุดแล้วเท่าที่ไอน์สไตน์คิดไว้ ก็เอา c ไปยกกำลังนี่คืออัตราการก้าวหน้าที่มันจะเพิ่มได้
เพราะฉะนั้นในพลังงานที่เป็นวัตถุก็ตามคุณจะทำไงที่จะเติมพลังงานตรงนี้ได้เต็มที่ สูงสุดได้เท่านี้แหละที่เขาคิดได้และใช้กันอยู่ เขาก็อยากได้มากกว่านี้ ทีนี้คิดโดยหลักตรรกะก็ เอ ใหญ่นี่แหละ เอาไปเพิ่มได้อีก ก็จะได้เพิ่มอีกแม้แค่ .๐๐๐๑ คุณก็เพิ่ม A เป็นบวก แล้วจะเพิ่มมากหรือน้อยก็เพิ่ม
ส.แสนดิน …..การบวกเพิ่ม A ในนามธรรมจะมีในขั้นโสดาปฏิมรรคและโสดาปฏิผลขึ้นไปนี่จะมีแต่บวกไม่มีเสีย หรือเป็นลบ แต่ของปุถุชนเขาบวกด้วยกามเขาก็มีแต่เสีย มันไม่มีเพิ่มอย่างยั่งยืน
พ่อครู ….ได้ คิดอย่างนั้นก็ได้ ถูก คือทางโลกนี่เขาได้มาเขาต้องไปจ่าย แต่ทางธรรมนี้มันได้เพิ่มแต่ไม่จ่ายหรือจ่ายน้อยลง อัตราเพิ่มก็เป็นปฏิภาคทวีขึ้น แต่ทางโลกนี่จ่ายเพราะตัณหาความอยากได้มันจะสร้างทุกๆเวลาที่กลไก n ในองคาพยพของเราเป็นตัวฐานตัวรูปที่จะสร้างนาม เหมือนคุณจะปลูกพืชผักคุณก็ต้องมีดินมีปุ๋ยมี น้ำอะไรพวกนี้ มันมีองค์ประกอบอยู่แล้วคุณมาเติมสิ่งที่ได้จากอากาศได้จากลมหรืออะไรแล้วแต่หรือเอามาจากอะไรอีกต่างๆนานา หรือพลังที่จะเอามานี่ พลังดูดหรือพลังที่จะเอามานี่คือตัณหาตัวอยากนี่แหละ ตัวต้องการ แล้วมันเอามาจากธรรมชาติด้วย มันดูดโดยที่ไม่มีใครรู้สึกว่าเขาไปดูดเอามาและมันก็จะเอาเกินด้วยเพราะมันต้องการ และอาการจิตเป็นตัวอัตตาเป็นตัวเจ้าของเพราะงั้นตั้งแต่พีชะมาเลย แต่ถ้าพวกอุตุนี่มันไม่มีตัวต้องการ มันได้จากข้างนอกให้มัน มันจะมากขึ้นๆจากข้างนอกอัดให้มัน ส่วนพีชะมันเริ่มมีตัวตนมันดูดเข้าแต่ตัวตนมันยังน้อย อุตุไม่มีสัญญาแต่มันสังขาร
ส.แสนดิน ….เราเอาจุนสีมาแกว่งในน้ำจนมันอิ่มต้ว แล้วเอาด้ายหย่อนลงไปมันก็จ้บตัวกันเป็น ก้อน เป็นผลึก แปลว่ามันมีสัญญาจะจับตัวมั้ย
พ่อครู ….ตัวนั้นมันเป็นสังขารเท่านั้น ไม่ใช่สัญญา ผลึกเกลือก็เป็นสังขาร สังขารนี่มีร้อน เย็น ดูด ผลัก มันยังไม่เป็นสัญญา มันทำปฏิกริยา ทุกอย่างแหละ ในร้อนนี่มีทั้งผลักและดูด ทั้งสลายตัวและรวมตัวมันมีทั้งสองอย่างอะไรที่ได้สัดส่วนที่ต้องรวมมันรวม ต้องสลายก็สลายไปตามนั้น ตัวละเอียดของมันคือนิวเคลียร์ฟิวชั่น กับนิวเคลียร์ฟิชชั่น ในว้ตถุมันก็มีเหตุการณ์ข้างนอกคือร้อนเย็นมันก็มี action-reaction วิ่งไปตามทิศโน้นทิศนี้ มันเป็นคลี่นอยู่อย่างนี้
ถาม ….ถ้าอย่างนั้น พ่อท่านถ้าเราจะสร้างพลังA ในจิตเรามากๆ เราต้องเพิ่มมโนสัญเจตนาหาร แล้วฝึกไปเรื่อยๆ แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าการฝึกของเราขณะนั้นมันเป็นบวกหรือยกกำลัง เราตัดสินเองได้ไหม
พ่อครู ….อันนี้คุณต้องเข้าใจของตัวเอง จึงจะมีตัววัดหรือตัวรู้ เพราะงั้นถ้าเราสามารถรู้จนเป็นเหมือนมิเตอร์อันหนึ่งไปวัดได้ คุณก็ประมาณการได้ ที่พูดนี่มันเป็นนามธรรมทั้งนั้น พระอาริยะที่เก่งๆในเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ ที่พูดนี่เป็นอาเทสฯ ก็สามารถรู้พลังจิตเราขนาดนี้ๆ
ที่คุณถามมานี่ มันก็มีได้เป็นได้ถ้าคุณศึกษาตนเอง จนกระทั่งคุณกำหนดรู้คุณจะรู้สึก จริงๆจะรู้ได้จากเวทนาจากความรู้สึกทั้งนั้นเป็นตัวที่จะวัด เพราะตัวเรามีธาตุรู้เป็นเจ้าเรือนเป็นตัวประธาน ตัวละเอียดตัวแรกที่จะเริ่มก็คือเวทนา สัญญา สังขาร ถ้าขยายอีกก็เป็นเวทนา สัญญา เจตนา ตัวเจตนาเป็นตัวเกิดใหม่ นาม ๕ นั้นตัวต้นคือเวทนา สัญญาแล้วก็เจตนา ผ้สสะ มนสิการ พอโคเอฟฟิเชี่ยน (coefficient)ตัวใหม่มาคือเจตนาตัวอยาก คุณต้องสร้างอยู่ พอมีเจตนาต้องมีผัสสะเป็นเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีมันเป็นนิวเคลียร์ฟิชชั่น มันไม่ย้อนกลับมา คุณเจตนาคือคุณอยากแต่คุณไม่มีผัสสะ แล้วมันก็ไม่มีอะไรมาให้คุณเลย คุณจึงต้องมีผัสสะ ที่เรียกว่า reaction มาให้คุณ คุณจะดูดเอาพลังงานที่มากระทบแล้ว สัมผัสแล้วกลับมาได้เท่าไหร่ก็อยู่ที่มนสิการที่คุณทำ นี่ครบแล้วในพลังงาน ๕ในนามธรรม ๕
ถาม …..แสดงว่าเราต้องฝีกบ่อยๆ
พ่อครู ……ต้องทำเอง คุณเป็นประธานถ้าคุณเฉยๆเจตนาก็ไม่มี ไม่มีตัววิ่งออกไปเลย เอาแต่เฉยๆ มันก็ไม่เคลื่อนอะไรก็ไม่สัมผัส พลังงานมันอยู่ที่ตัวเรา ตัวเราคิดคำนึง แล้วจัดการให้มันวิ่งขึ้นมา มันก็มีเจตนา แล้วมีผัสสะ เกิดปฏิกริยา action reaction ตัวตั้งคุณพอหรือยังถ้ายัง ผัสสะแล้วยังเป็นเคสิตะเวทนา มันไม่รู้หรอกว่าพอไม่พอ มันไม่รู้ มันก้เหมือนอุตุนิยาม ตัวมันเองมันไม่รู้มันจะโตมันเล็กมันไม่รู้ เหตุปัจจัยข้างนอกทำให้มันทั้งนั้น เพราะงั้นตัววัตถุก้อนหินก้อนนี้มันจะแข็งขึ้นจะโตขึ้นก็มีปริมาณมันไม่รู้เรื่อง เหตุปัจจัยบรรยกาศข้างนอกทำให้มันทั้งนั้น มันอาจกลายเป็นเพชรก็ได้แล้วแต่เหตุปัจจัยหรือเป็นแก้วเป็นหินก็ได้ มันแล้วแต่ต้นฐาน ถ้าเป็นคาร์บอนมันก็เป็นเพชร ถ้าไปไม่ถึงก็อาจกลายเป็นถ่าน
ถาม …..หมายความว่าถ้าเราเจอผัสสะมากๆ แล้วเราควบคุมผัสสะนั้นได้ ผัสสะนั้นก็เป็นพลังงานทำให้เราเพิ่ม โคเอฟฟิเชี่ยน (coefficient)มากขึ้นๆwfh
พ่อครู ….ใช่ คุณต้องฉลาดที่จะรู้ว่า action reaction จะเกิดผลเป็นแรงต้าน ทำให้เกิดแรงทด ถ้าแรงทดก็เพิ่มประสิทธิภาพ
ส.แสนดิน …..ถ้ามากเกินเราก็ไม่ไหว ไม่นิ่ง
พ่อครู …..มากเกิน มันก็จะสูญเสีย ถ้าพอดีจึงจะเกิดอัตราการก้าวหน้า เสมอๆ อันนี้แหละถ้าเราจะยืดอายุต้องปรับความพอดีให้มากขึ้นเรื่อยๆ อย่าให้มากเกิน เช่นถ้าโด้ปอาหารมากเกิน ออกกำลังมากเกินมันก็ลด ต้องทำให้พอดีๆ ได้สัดส่วนมันก็จะเจริญ ก็ประมาณ ๑๐๐ ก็จะพอดี เอา ๑๐๐ เป็นตัวตั้งก็ไม่น่าจะเกินร้อย
ส.หนักแน่น ……อีก ๗๓ วัน แต่พ่อท่านยังไม่มีอาการ
พ่อครู ……ถ้าเกิน ๕๐ แล้วจะรู้ว่าไหมมั้ยที่จะถึง ๑๐๐ เวทนาคือความรู้สึกของเรา เราจะรู้สึกได้ เราก็ประมาณความรู้สึกดูว่าควรเพิ่มหรือควรลด หรือควรจะรอ
ส.แสนดิน …..ที่กล้ามเนื้อ ถ้ามันพอประมาณ
พ่อครู …..ก็นั่นแหละอยู่ที่ตัวตั้ง ถ้าสมมติว่านี่คุณเต็มแล้วนา ถ้าเอาอีกก็ overload คุณก็ต้องรู้ตัว คุณต้องรู้จักความลงตัว ปโหติ พอเหมาะ คุณต้องประมาณให้พอเหมาะให้ปโหติ มีสัมมาทิฏฐิอันพอเหมาะ คนมีสัมมาทิฏฐิพอเหมาะคนนั้นมีสัปปุริส ๗ มีมหาปเทส ๔ ที่จะประมาณสัดส่วนทุกอย่างได้พอดี พอดีมีเพิ่ม หรือพอดีไม่เพิ่ม แต่สมดุล ส่วนชรตาส่วนที่มันจะเสื่อมลงๆไม่ต้องไปคิดมันหรอก ทุกอย่างเกิดขึ้นตั้งอยู่ในขีดหนึ่งของมันแล้วมันจะเสื่อมลง
งั้นใครก็ตามที่สามารถมีพลังงานสูงสุดก็ทำได้เท่านี้ ถ้าเผื่ออาตมาทำไปได้ถึง ๑๐๐ ก็จะดูว่า เออ เราเพิ่มได้ ก็เพิ่ม ถ้าเพิ่มไม่ได้ก็เอาแค่นี้แล้วทำตรงนี้ให้สมดุลจนอยู่ตัวเป็น static จนเป็นฟัลคั่มพลังงานที่จะดีดออกไปได้อีก ดีดตัวนี้ต้องใช้พลังงานทดสูงกว่ายกกำลัง เพราะงั้น mc กำลังสองจึงต้องบวก A ต้องสูงกว่ายกกำลัง ไอน์สไตน์คิดได้แค่นี้แต่นามธรรมหรือจิตวิญญาณ มันมีตัวประธานมันตะกละ มันมีเจตนามีความมุ่งมั่น มันมีตัวเองที่จะฟุ้งจะออกไปได้มากกว่านี้ แต่วัตถุนั้นมันได้เท่าไหร่ก็อยู่เท่านั้นจะเป็นอะไรก็แล้วแต่
คุณเอง คุณเป็นคนคุณสามารถสร้างพลังงานนี้ให้ได้เต็ม mc กำลังสอง คุณเป็นคนคุณเป็นคนคุณสร้างว้ตถุ แต่วัตถุมันมีพลังบวกลบในกรอบของมันเอง คุณทำได้แค่นี้ เพราะงั้นถ้าคนคิดได้สามารถทำพลังงานจากวัตถุโดยเพิ่มอะไรๆเข้าไปคุณจะได้พลังงานนิวเคลียร์ที่สูงกว่านี้ แต่สูตรนี้ยังไม่มีใครคิดได้ ที่ไอสไตน์คิดไว้นั้นสูงสุดแล้วคนอื่นคงคิดเพิ่มอีกยาก แต่มันก็ยังสามารถเพิ่มได้อีก
ถาม ….ที่เขาทำ ระเบิดนิวเคลียร์ก็ต้อง…..
พ่อครู ….เขาก็ได้มาจากวัตถุไง เขาเอาจากอะไรล่ะ
ส.แสนดิน โปรตอนนิวตรอนยิงแสงเข้าไปที่นิวเคลียส แต่สิ่งที่ยิงเข้าไปต้องเล็กมาก เป็นอรูป ไปในนิวเคลียสออกเป็นพลังงาน จะมีพลังงานไหนเล็กกว่านี้
พ่อครู …..เขาไปกระตุ้นมัน มันมีตัวที่ไปกระตุ้นให้เก่งกว่านั้น ไกลกว่านั้น เล็กกว่านั้น เพราะมันยิ่งเล็กมันยิ่งเร็วยิ่งแรง นี่คือความหมายที่ว่านี้ ถ้าเขาสามารถหาได้ จิตวิญญาณก็เหมือนกันถ้าเข้าใจสูตรวัตถุ เป็นแต่ว่า เราเองเป็นผู้ทำ ทีนี้มันเป็นนามธรรม ผู้ทำนี่ คุณจะจัดการนามธรรมยังไง ธรรมะ ๒ รูปนามคุณทำยังไง ทำให้รูปนามมันมีปฏิภาคทวีเป็น โคเอฟฟิเชี่ยน (coefficient)คุณก็หาที่เล็กและเร็วกว่านี้ได้อีก คุณก็ทำซี
ส.แสนดิน ….ก็ต้องทำละเอียดขึ้น แต่อย่างปริมาณนี่ พระพุทธเจ้าแค่ยิงคำถาม เข่นเราหยุดแล้วแต่เธอยังไม่หยุด แต่ต้องวิ่งมาเยอะแล้ว โอ้.. กว่าจะสะดุด
ถาม ….ถ้าเป็นพลังงานของเรา อันนี้หมายถึงความละเอียดของจิตใช่ไหมคะถ้าจิตละเอียดขึ้นเราจะสามารถมีพลังงานมาก การที่จะทำจิตละเอียดต้องทำอย่างไร
พ่อครู ….คือเราจะต้องสัมผัส ต้องทำผัสสะแล้วมนสิการ ขณะนี้คุณกำลังพูดถึงเจตนา นามธรรม ๕ เวทนาสัญญาเจตนาผัสสะ มนสิการ มาถามว่าจะทำยังไงให้กิดสัญญาเวทนาเจตนายังไงคุณก็ต้องมีผัสสะ ผัสสะตัวนี้คุณต้องหาเหตุ มันต้องมีธรรมะ๒ ต้องมีรูปกับนาม คุณต้องสร้างรูปกับนามของคุณเอง
ถาม …โยนิโสมนสิการจะทำให้จิตเราละเอียดขึ้น
พ่อครู ….ใช่ มนสิการทำให้จิตขึ้น เพราะเป็นตัวทำ ตัวทำคุณก็ต้องคิดมีเจตนาคุณต้องฝึก ถ้าจะให้เป็นรูปธรรมก็ต้องหัดจับตัวมันให้ติด ตามที่คุณต้องการได้ ถ้าจับไม่ติดก็ต้องทำไปทำมาๆไม่ได้ก็ต้องทำหลายๆครั้งเท่านั้นเอง มันเป็นนามธรรมละเอียด คำว่าละเอียดหรือเล็ก มันเป็นอรูป มันหนักหนาสาหัสแล้วคุณต้องไปฝีกเอา คุณมาถามอาตมา อาตมาก็ต้องบอกให้คุณจับตัวละเอียดของคุณให้ได้
ส.แสนดิน ….แต่ที่จริงมันอยู่กับตัวเราตลอดเวลา
พ่อครู ….ใช่ มันมีอยู่ในธรรมชาติทั้งหมดแหละ จิตของเราก็อยู่กับเราตลอดเวลา จิตเราก็เป็นธรรมชาติของเรา เราก็ใช้จิตของเรานี่แหละเป็นตัวพลังงาน พลังงานจิตนี่แหละจับพลังงานเป็นทาสให้ได้ ทาสทำอันนี้ไม่ได้ เราต้องบังคับมัน เอ็งต้องทำให้ได้ คุณต้องเก่งในการบังคับมัน ทาสจริงๆน่ะคือตัวคุณเอง จิตที่คุณอยากให้มันเป็นอย่างนั้นก็คือทาสของคุณ คุณก็ต้องฝึกมันเหมือนฝึกทาส ถ้าคุณสอนมันไม่ได้ทาสก็ทำไม่เป็น เพราะทาสมันยังโง่อยู่ สรุปแล้วคุณจะทำยังไง คุณต้องมีปัญญา
ถาม ….สมมติว่าเราคิดไม่ดีกับใคร เรารู้แล้วจับมันได้ อย่างนี้ใช่ไหมคะ
พ่อครู ..ใช่ เวลาเกิดอกุศลจิต คุณต้องสร้างทาสของคุณให้แข็งแรง เขาก็จะทำงานเก่ง คุณก็ฝึกไปเรื่อยๆมันอยู่กับการฝึกและการจัดการเสมอ เพราะงั้น นามธรรมที่จะเกิดเพิ่มก็อยู่ที่ ๑ เราเจตนา ๒ เราผัสสะ ๓ เรามนสิการ สามตัวนี้แหละ คุณมี เวทนา มีสัญญา เป็นตัวตั้ง ทั้งสองอย่างนี้มีตลอด สัญญาเวทนามันเป็นตัวธรรมะ ๒ ของจิตนิยาม พีชนิยามมีสัญญาแต่ไม่ถึงขั้น เวทนา ก็เลยได้สังขารไปตามประสา ส่วนอุตุนั้นถูกสังขารอย่างเดียวยังไม่มีทั้งสัญญา เวทนา จึงถูกสังขารโดย อย่างอื่นทำให้มันเกิด
ส.แสนดิน ….ถ้าอรหันต์ มีสัญญาถึงขั้นเวทยิตนิโรธ คือมีเวทนาเหมือนไม่มีเวทนา
พ่อครู …..จะทำเท่าไหร่ก็ได้จะหยุดก็ได้จะสมดุลก็ได้ เพิ่มจะลดก็ได้จะไม่ทำก็ได้
ส.แสนดิน …..ก็เหลือแต่สัญญากับสังขาร เหมือนกับพืชได้
พ่อครู …ใช่ สังขารอย่างพืช และอย่างพืชที่รู้จักสันตติ รู้ตัวจะต่อจะอุปัจยะหรือจะปล่อย ถ้าปล่อยก็ชรตา เพราะทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ต้องดับไป พระอรหันต์องค์ไหนท่านไม่สันตติแล้วไม่อุปัจจยะแล้ว ท่านก็นิพพาน เพราะงั้นสังขารที่เป็นแท่งก้อนของคุณของอรหันต์ก็ตามมันเป็นชีวะ มันชรตาๆๆๆ แต่พระอรหันต์ ถ้าเกิดฮึดมาอีกเมื่อไร อนิจตา เฮ่ย.. ยังไม่ตาย เอาใหม่น่า … ถ้ายังไม่ตายก็ฟื้นมาใหม่ได้ สำหรับอรหันต์ แต่คนธรรมดาไม่ได้ ถ้ามันเกินขีดที่จะฟื้นแล้ว คุณจะฮึดยังไงมันก็ไม่ฟื้นจะโด้ปยังไงก็ไม่ขึ้น ทนพิษบาดแผลไม่ไหวไม่มีแรงจะฟื้น หรือทนพิษแรงจนทำปฏิภาคทวีขึ้นอีกไม่ได้ แรงที่จะฮึดขึ้นมาไม่มีแล้ว
ถ้าเรามาอธิบายประกอบกับทางวัตถุธรรมมันก็เข้าใจเพิ่มขึ้นและมันทำให้เราเข้าใจลึกขี้นไปอีกเป็นนามธรรมยิ่งขี้นไปอีก ก็พัฒนาขึ้นอีก ถ้าเรารู้อยู่เขตไหนมันก็แค่นั้น แต่ถ้าพัฒนามันก็เพิ่ม ที่เราอธิบายกันนี้เราใช้ภาษาวิทยาศาสตร์มาอธิบายเพิ่มเราจึงได้เรียนลึกกว่าสมัยพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่มีภาษาที่จะนำ เช่น ฟิวชั่น ฟิชชั่น ที่เราพูดได้เพราะมีภาษานำ ภาษามันเยอะ
ส.แสนดิน ….ก็แล้วแต่สมัยนะฮะ บางสมัยมีภาษาอีกแบบหนึ่ง พ่อท่านก็ต้องอธิบายแบบนั้น ใช่ไหม คือใช้ภาษาถิ่น พ่อท่านอธิบายนาม ๕ ภาคปฏิบัติได้ชัดขึ้น
พ่อครู …มันมีเท่านี้แหละ ถ้าเข้าใจนาม ๕ แล้ว คุณก็ไปจัดการนามหรือกิเลสคุณได้ เพราะฉะนั้นคุณใช้นาม๕ ไปจัดการกับกิเลสคุณได้ คุณใช้ทั้งรูป ๒๘ ดินน้ำไฟลม คุณก็มีธรรม๒ แล้วคุณก็จัดการให้ถูกกับหทยารูปซึ่งเป็นตัวจิต เป็นจุดรวม พลังงานของคุณอยู่ในคูหาสยังในร่างกายคุณ
ถาม ….งั้นถ้าจัดการกับทาสของเราได้ สุขภาพเราก็จะดีขึ้น
พ่อครู …. ใช่ นี่เป็นการชะลอวัย ทำให้มันยืนยาว เป็นการเพิ่มอายุขัยที่อาตมาพาทำโคเอฟฟิเชี่ยน (coefficient) อยู่ อันนี้แหละที่คุณพูด คุณเรียนพยาบาลมา ก็พอจะเข้าใจได้สามารถก้าวหน้าฝืนความเป็นจริง ที่จริงของคุณต้นทุนของคุณไม่มีอะไรที่จะรู้เลย คุณก็ทำไม่ได้ มันต้องเป็นตามเหตุปัจจัยแต่ถ้าคุณรู้อย่างที่อาตมาพารู้พาทำตั้งแต่ต้นอาตมารู้แล้วพวกคุณมารู้ตาม คุณจะรู้ชัดเจนหรือรู้ไม่ชัดเจนเท่าไหร่ก็ตามมันก็งงคลำๆพอจับรูปจับนามได้นิดๆ ถ้ายิ่งจับได้ตัวมั่นตัวแม่นเลยนะ คุณก็จะได้จริงขึ้นยิ่งมั่นแม่นทำได้ถูกตัวทำให้เต็มขึ้น คุณก็ยิ่งก้าวหน้ามากขึ้นๆๆ
ส.แสนดิน …พ่อท่านสอนไว้เยอะมาก คุณพยายามหยิบให้ได้สักตัว
พ่อครู …คุณรู้แล้วคุณไม่ทำก็ไม่ได้อีก ถ้ารู้แล้วคุณฝึกจริงก็จะได้
ส.แสนดิน … อันนี้ถามยายสำราญเรื่องฟังธรรม ยายฟังไม่รู้เรื่องแต่ประทับใจที่ได้เห็นพ่อครู มา เขาก็ประทับใจแล้ว
พ่อครู ….ไอ้ตัวประทับใจหรือตัวที่เกิดพอใจอยาก มันเป็นตัวละเอียดของธาตุรู้สายศรัทธา มันถูกดึงไปเรื่อยๆแม้เราทำเองไม่ได้ด้วยอำนาจศรัทธานี่แหละเป็นพลังเป็นอินทรีย์ ๕ เป็นศรัทธา ถ้าเคลื่อนจากศรัทธาได้ ปัญญาก็เป็นตัวเติม คุณจะเพิ่มจากศรัทธามาเป็นวิริยะ คุณต้องมีพลังงานปัญญามาเติม เป็น mc กำลังสอง คือศรัทธา A คือวิริยะ พอวิริยะขึ้น ปัญญาก็ขึ้นวิริยะขึ้นมันก็เกิด ๓ เส้าขึ้นมา ปัญญาคือขับแคลือน ตัวศรัทธากับวิริยะ วิริยะก่อเกิดสติ ให้ตื่นทั้งนอกและใน ตื่นจากในมานอก คนที่เอาแต่นั่งๆๆๆมันไม่เจริญ โคเอฟฟิเชี่ยน (coefficient)ไม่เกิด แต่ถ้าเปิดรับมันได้รับเพิ่มจากข้างนอกมาเรื่อยๆสติก็ทำให้เจริญ ซูปร้าคอนเซ็นเทรชั่น (supra- concentration)ก็เจริญกว่าเมดิเตชั่น(meditation) เพราะเมดิเทชั่นไม่มีการเติม มีแต่ความแน่น ไม่มีโต ไม่มีเจริญ แน่นๆๆๆๆแกร่งๆๆๆ แข็งอย่างเดียว เพราะฉะนั้น ก็แกร่งขึ้นๆ แข็งอย่างเดียวต่อไปก็เป็นเพชร ก็ได้แต่แข็ง เมื่อได้สติแล้วก็เอาสัดส่วนนั้นไปสร้างอันใหม่ จนจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิก็เกิดจากศรัทธาวิริยะสติสมาธิ ตัวปัญญาเป็นตัวเสริมเสมอ คุณก็เสริมวิริยะอีกเป็นสมาธิ สมาธิเจริญปัญญาก็เติมให้สมาธิอีก ได้ตัวตั้งก็มาเป็นตัวศรัทธา ปัญญาก็มา เติมวิริยะอีกเป็นโคเอฟฟิเชี่ยน (coefficient) วิริยะก็เกิดสมาธิ สามเส้านี้ทำงานอีกก็เกิดเป็นสมาธิ ปัญญาก็เติมวิริยะ ตัวที่ได้จากสมาธิก็มาเป็นศรัทธา สมาธิก็มาเป็นศรัทธา ๆๆๆๆปัญญาก็คือตัวเติมๆๆ
ส.แสนดิน …สายปัญญาก็ต้องมีศรัทธา สุดท้ายก็ต้องวนมา ศรัทธาก็มีปัญญา ใช่ไหมครับ
พ่อครู ….ศรัทธาเป็นตัว static ไง ตัว dynamic คือปัญญา พอรู้ว่าได้ตัวนี้แล้ว ปัญญาก็เติมเข้ามาแล้วเป็นวิริยะ วิริยะก็ปฏิบัติการกับสติ ศรัทธาวิริยะสติก็เป็นสามเส้า ศรัทธา วิริยะ สติ
ส.แสนดิน ….แกนของคนที่เป็นสายศรัทธาและสายปัญญา
พ่อครู ….มีปัญญาเป็นตัวรู้ ที่ผมอธิบายนี่สายปัญญา ตัวรู้ทำเพิ่ม แต่ศรัทธามันไม่รู้เท่าไหร่ได้แต่แน่นเข้าๆและนิ่งๆ
ส.แสนดิน ….พระอัสสชิก็เป็นสายศรัทธา ได้แต่นิ่งๆ ได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัส ยังไม่เชื่อ ตรงข้ามกับพระสารีบุตร แต่สุดท้ายก็ต้งมีทั้งศรัทธาและปัญญา
พ่อครู ….ปัญญาต้องรู้ทุกตัว รู้ทุกสภาวะแล้วต้องทำให้ขัดเจนครบครัน อย่างผมอธิบายนี่มีactivity ของแต่ละตัวทั้งศรัทธาสติวิริยะสมาธิ ปัญญาก็ต้องมี activity จัดกว่าเพื่อน ปัญญาเป็นตัวรู้ตัวเสริมปัญญาเป็นตัวความจริงและความรู้
ส.แสนดิน ….พ่อท่านอธิบายอินทรีย์ ๕ พละ ๕ ภาคปฏิบัติ
พ่อครู ….ใช่ ปัญญาเป็นตัวรู้ ธรรมมีสองอัน static กับ dynamic มันเพิ่มนิวเคลียสของตัวเอง มันมีความรู้จัดการเพิ่มพลังนิวเคลียสของตัวเอง เพราะฉะนั้นเราเพิ่มพลังนิวเคลียสของเราได้ แต่เขาไม่มี พลังงานมีขอบเขตของมัน แต่นี่มันมีอัตตา ข้าไม่จบ ข้าต้องเพิ่ม เท่าที่เราจะมีตัวรู้ อินทรีย์ ๕ พละ๕ นี้ ยิ่งรู้ก็ยิ่งเติมได้ๆ เราจึงสามารถเพิ่มอายุขัยได้
ส.แสนดิน ….ได้ทั้งรูปธรรม
พ่อครู ….และนามธรรมก็เป็นตัวเติม
ส.แสนดิน ….ถ้ามันเติมได้น้อย
พ่อครู ….ถ้ามีความรู้ มันก็ได้ ถ้าไม่มีความรู้ก็น้อยใช่ ถ้ามีความรู้มันก็อ๋อ.. มันมีรายละเอียดของมัน รากฐานของมัน ศรัทธาวิริยะ สติ สมาธิปัญญาก็เติมเข้าไปอีก พละ ๕ ก็เพิ่มเข้าไปอีก ศรัทธาเป็นตัว dynamjc พละเป็นตัวstatic พละ ๕ ก็เพิ่มขึ้นๆๆเพราะอินทรีย์ ๕ ตัว dynamic มันไม่หยุด พละ ๕ก็อยู่เท่าเดิมไม่ได้โดนเติมอยู่เรื่อย
ถาม …ดังนั้น dynamic เปลี่ยน static ได้
พ่อครู …ใช่ ถ้าเราไม่หยุด อาตมาถึงเพิ่มอายุขัยได้ อาตมาไม่รู้เพิ่มอายุขัยไม่รู้กี่นักกษัตร อาตมา ๗๒ นี่ต่อมา ๑ นักกษัตรแล้วจาก ๗๒ เป็น ๘๔ เดี๋ยวจะเป็น ๙๖ สองนักกษัตร แล้วก็เป็น ๑๐๘ สามนักกษัตร แล้วอาตมาจะไม่หยุด สามเส้านะ ๑๐๘ เส้าที่สี่จะยาก จะเป็น ๑๒๐ ตรงนี้ยาก ถ้า ๑๒๐ ได้จะไปง่ายขึ้นเป็น ๑๓๒ ๑๔๔ จะง่ายขึ้น
ส.แสนดิน ….จะจำตัวเลขเหล่านี้ได้แล้ว ๗๒ ๙๖ ๑๐๘ ๑๒๐ ๑๓๒ ๑๔๔ เดี๋ยวนี้พ่อท่าน พูดบ่อยจนจำได้
ถาม …..เดี๋ยวเสริมนิดหนึ่ง ผมอ่านเจอว่า ผมหงอกแล้วออกบวช ตอนแรกผมนึกว่าอายุน้อย แต่ไม่ใช่ อายุตอนนั้นยุคนั้น อายุเหลืออีก ๘๔๐๐๐ ปี หัวหงอกครับแล้วออกบวช คนออกบวชไม่ใช่คนแก่
พ่อครู …..ออกบวชคือคนหมดพลัง
ถาม เป็นคนหนุ่ม
พ่อครู …….ผมหงอกแล้วคือหมดพลัง บางคนผมหงอกแล้วแต่ยังไม่แก่ คือเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตที่เหนือทางวัตถุ มันจึงเป็นของน่าทึ่งกว่าวัตถุ เพราะงั้นพวกเราทำไปเถอะมันจะมีอะไรเกินสภาวะที่มันเคยเป็น มันจะมีอะไรประหลาดจะมีอะไรพิลึก จะมีอะไรน่าทึ่งน่าอัศจรรย์หลายๆอย่าง ความจริงเราทำสังคมสาธารณโภคีนี่ก็เป็นเรื่องน่าทึ่งน่าประหลาดแล้ว แต่คนเขาไม่รู้เขาเข้าไม่ถึงเขาพยายามพัฒนาเศรษฐกิจวิธีเศรษฐกิจอย่างสังคมเพื่อให่เกิดการหมุนเวียนในเรื่องของวัตถุ ของสิ่งที่จะนำพาให้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้ จะมีเงินเป็นแก้วสารพัดนึกก็ตาม อาตมาพาทำตามหลัก พระพุทธเจ้าถึงขั้นสาธารณโภคี เงินที่เป็นแก้วสารพัดนึกค่ามันสูงสุด แต่อาตมาพาเรามาทำนี่ค่ามันสูญใช่มั้ย ทางโลกมันถือเงินเป็นแก้วสาพัดนึกสูงสุด แต่เราเอาของพระพุทธเจ้ามาใช้ตามระบบสาธารณโภคี ค่าเงินมันสูญ
ส.แสนดิน ….ค่ามันเป็นนิวทรอล (neutral)
พ่อครู …..ใช่ เข้าใจมั้ย มันสูงสุดแล้ว เพราะงั้นหลักเศรษฐกิจแบบเศรษฐศาสตร์ที่สูงสุด ไม่มีอะไรสู้สาธารณโภคี นี่เราพูดนี่เราเข้าใจสาธาณโภคีแล้ว เราอาศัยมันแล้ว เพราะ ๑ เราเป็นวรรณะ ๙ สูงสุดสาธารณโภคีคือมีคนวรรณะ ๙ เลี้ยงง่าย คนพวกนี้เลี้ยงง่าย ไม่ลำบากอะไรหาอยู่หากิน ครัวกลางก็มี คนทำก็ทำหน้าที่ไป คนปลูกก็ปลูกไป คนเข็นขนก็มี ทำทุกวันด้วย จนตายก็กินไม่หมดเพราะงั้นถึงบอกว่าของเรานี่มันจบสูงสุดแล้ว อาตมาทำให้เกิดสังคมที่รูปธรรมที่เอาของพระพุทธเจ้ามาพัฒนา สมัย พระพุทธเจ้า ทำได้แค่สงฆ์ เพราะสมัยโน้นสมบูรณาสิทธิราชย์ เป็นสังคมทาสที่ไม่เข้าใจสิทธิมนุษยชนใครๆก็ไม่รู้สิทธิในของของตน สิทธิในการแสดงออก เขาไม่รู้เรื่อง เพราะงั้นมันก็ทำไม่ได้ แต่ พระพุทธเจ้าท่านตรัส ท่านเก่ง ใครมาเข้ารีตท่านต้องใช้ธรรมนูญของท่าน คุณย่ามายุ่ง และท่านก็มีบารมีจริงๆ พระเจ้าแผ่นดินที่ไหนๆก็ยอมท่านหมด และถูกทำนายไว้ก่อนด้วย ท่านเป็นเจ้าแห่งโลกจริงๆเจ้าโลกในทวีปอินเดียเลย จะเสด็จไปไหนทุกแคว้น แคว้นเล็กแคว้นใหญ่ แคว้นกาสี แคว้นโกศล ยอมหมด บางองค์แบ่งบ้านเมืองให้ท่านปกครองครึ่งหนึ่ง บารมีท่านสุดยอด ทุกคนยอมรับท่านหมด มันถ้วนเต็ม อาตมานี่อยู่กึ่งหนึ่งของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงประกาศอรหันต์เหมือนกัน ตรัสชัดเลยว่า เราเป็นพระอรหันต์ เราเป็นสุคโต อรหโต อาตมาเองก็ประกาศอรหันต์แล้วถูกเหยียบเลย แต่พระพุทธเจ้านั้นท่านประกาศแลัว คนเอาถาดทองรองรับทันที อาตมาต้องพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นอรหันต์จริงไหม แต่ พระพุทธเจ้า ไม่ต้องพิสูจน์ทุกคนยอมรับโดยดี เห็นมั้ยบารมีต่างกันสุดๆ อาตมาจึงต้องพิสูจน์ตัวเอง
ส.หนักแน่น…..มีคนเขาจับได้นะว่าพ่อกำลังท้อนะ
พ่อครู นั่น..จะว่าท้อก็ไม่ท้อนะ พวกนี้ละเอียดเหมือนกันนะ ท้อนะไม่ท้อ แต่มันมีความสะดุด เอ้….ไม่ไหวแล้วมั้ง แต่ก็รู้สึกตัว ไอ้ตัวนี้เขาเรียกว่ามาร มันเข้ามาสะกิด เฮ่ย…หยุด ๆ ตายได้แล้ว มารมันมาสะกิด
ส.หนักแน่น ….สถานการณ์ก็มียมบาลมาเยี่ยม
พ่อครู เราก็ …ไม่ได้ ๆ เราต้องอุปัจยะ ๆ .. เราก็พลิกได้ อาตมาจะพิสูจน์โคเอฟฟิเชี่ยน (coefficient)จริงๆ คอยดูนะ อย่างเพิ่งรีบตาย คอยดูว่าอาตมาจะได้โนเบิ้ลไพรซ์โคเอฟฟิเชี่ยน (coefficient) นี้หรือเปล่า
ส.แสนดิน …ได้เพิ่ม มันจะหนากว่าเดิมแล้ว
ส.หนักแน่น ….มันเป็นอย่างนี้ ผมเห็นนิดหนึ่ง พ่อครูบอกว่าบ้านราชนี่คนจะมาพันคน ผมก็บอกว่ามันมาครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งเสาร์อาทิตย์มันจะมาเป็นครั้งคราว
พ่อครู …อืม …เป็นค้างคาวนะ
ส.หนักแน่น …แต่ทีนี้หวังไง แต่พ่อหวังว่าคนจะมาเป็นพันคน แต่เวลาจริงไม่มา
พ่อครู …ก็เป็นค้างคาวเวลานอนต้องเอาหัวลงเอาตีนขึ้นนะ
ส.แสนดิน …มันก็พิสูจน์ของมันอยู่แล้ว
ส.หนักแน่น …คือลืมไปว่าอีกห้าร้อยปีมันถึงเจริญไง แต่ตอน
นี้ยังไม่ถึง ๕๐๐ ปีจะได้พันคนหรือ
พ่อครู …แต่มันก็ดีขึ้นไง แต่ก่อนมาเป็นครั้งคราว ตอนนี้มาเป็นค้างคาวมาค้างแล้วไง
ส.หนักแน่น ….แต่ที่มาก็เป็นลูกเจ้าเมืองด้วยนะ ไอ้เราเป็นแค่ลูกพ่อครูใช่มั้ย เราต้องบริการเขาไง แล้วทีนี้เจ้าเมืองเป็นใคร ลองไล่ไปดูซิ
พ่อครู (หัวเราะ) …พวกนี้ พูดภาษาอะไรกันอยู่นะ
เป็นเชื้อเจ้าเมือง เป็นเจ้าของไง รับบริการทุกเรื่อง แล้วนี่เป็นทายาทถึงเวลามาเอามรดกแล้ว อีกหน่อยบ้านราชจะเป็นที่รุ่งเรือง เป็นที่ๆคนจะไปจะมา ผู้ใดได้มาสัมผัสบ้านราชเป็นผู้มีบุญ พูดอย่างโลกๆเขานะ
ถาม จะรุ่งเรืองอีกนานเท่าไหร่
ส.หนักแน่น ๕๐๐ ปีไงบอกแล้ว
พ่อครู ไม่เอาถึงพันล่ะ
ส.แสนดิน วันนั้น มีคนเข้าค่ายคนหนึ่งเขาเป็นช่างประปา เขาดูโทรทัศน์เจอพ่อท่านปุ๊บ ฟังธรรมพ่อท่านแล้วติดปั๊บเลย ติดตามฟังพ่อท่านตลอด ๗ ปี เขาอยู่อำเภอใกล้ๆนี่ แล้วเขาก็มา
พ่อครู นั่นน่ะ เป็นคนมีต้นทุนอยู่ในจิตแล้ว
ส.หนักแน่น เดี๋ยวผมขอแทรกนิดหนึ่งครับผมไปเจออยู่คนหนึ่งเขาถามว่าทึ่พึ่งเป็นจิตหรือเปล่าครับ
พ่อครู อ๋อ ใช่สิ ใครมีที่พึ่งของตนเองก็เป็นตัว static ของเรา เป็นที่พึ่ง เขามีอะไรเป็นที่พึ่ง ปฏืสรโณ เพราะงั้น กัมมปฏิสรโณ กรรมเป็นที่พึ่งของตนได้ แต่ที่พึ่งมันก็ไม่หยุด มันต้องปฏิต้องมี action reaction สรณีย มันแปลว่าการรบ ประกอบการรบ ทำการรบ การบคือการมี action reaction เสมอ เพราะงั้น ลัทธิที่ไปนั่งหยุดๆๆๆๆมันคนละเรื่องกับศาสนาพุทธ พุทธต้องเพิ่มโคเอฟฟิเชี่ยน (coefficient) ไป เรื่อยๆ ต้องรบอยู่เสมอ คุณไม่รบคูณก้าวหน้า
ส.แสนดิน สรณะ ประกอบการรบ เป็นที่พึ่ง ปฏิสรโณ คุณต้องประกอบการรบเป็นจบ คุณตายคุณเสื่อมอย่างเดียว ชรตาอย่างเดียว
ถาม ที่พี่งกับมิตรดีนี่ตัวเดียวกัน มิตรก็เป็นจิตเหมือนกัน
พ่อครู มันก็ใช่ ขยายขึ้นมาก็ใช่ มิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี มีมิตรดี มีฉันทะ มีศีล พอมีมิตรดี ก็มีพลังงานว่าเราต้องการฉันทะเรื่องนี้ ฉันทะ คือความยินดีกลางๆ หมายความว่าไม่ยินร้ายหรือไม่แห้ง คือมันสดขึ้น ยินดี พอเพิ่มจากมิตรดี สหายดีมาฉันทะ ในสุริยเปยยาล ๗ นี่ก็มี ฉันทะแล้วมี ศีล พอยินดีแล้วคุณต้องเข้าหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้า คุณต้องมีศีลเพิ่ม พัฒนาขึ้นมาคือ ศีล แล้วคุณต้องเรียนตัวเองอัตตาจึงจะเจริญด้วยทิฏฐิเป็นสัมมาทิฏฐิ ๑๐ มีสัมมาทิฏฐิเป็นประธาน แล้วคุณก็เริ่มเลย ปฏิบัติด้วยศีลพรต มียัญพิธี มียิตถังคือปฏบัติแล้วก็จะได้หุตัง จึงจะได้ ๓ เส้า ปฏิบัติแล้วจึงจะเกิดพุทธะได้ เพราะงั้นคุณจะจัดการได้ ๓ เส้า คือทานศีลภาวนา หรือ ศีล สมาธิปัญญา คุณจะเพิ่มได้อีกต่อมาคุณจะจัดการเรื่องตัวเองเรื่องกรรม สุคตทุกกฏานัง กัมมานัง ผลังวิปาโก จะมีเหตุมีผลมีกรรมมีวิบากๆๆๆเกิดได้ คุณทำถูกเป็นสุคต ทำไม่ถูก ก็ทุกกฏ
คุณก็ต้องมาพิจารณา อันไหนควรอันไหนไม่ควร คุณจะเพิ่ม ต้องเพิ่มอย่างนี้ อย่างผมนี่ผมเพิ่มอยู่เรื่อยๆ เพิ่มสุคตังนี่ ถ้าคุณไม่ฉลาดพอที่จะรู้ว่าสุคตังคุณคืออะไร คุณต้องรู้จักมัตตัญญุตาประมาณให้พอควรตามสัดส่วน เกินก็ไม่ดี น้อยไปไม่พอก็ใช้ไม่ได้ มันต้องมีโคเอฟฟิเชี่ยน (coefficient) มีพัฒนาการที่ได้สัดส่วนดีพอเหมาะที่จะเพิ่ม ๆ ๆให้มีปฏิภาคทวีได้เท่าไหร่ ตัวเองกำหนดทั้งนั้น ไม่มีใครกำหนด ไม่มีตัวเลขให้คุณแล้ว คุณต้องกำหนดของคุณเอง ที่พูดนี่มันละเอียดกว่าตัวเลขแล้ว คุณต้องประมาณของคุณเอง มัตตัญญุตาเอง ถ้าคุณประมาณผิดแค่สัดส่วนคุณก็เสื่อมทรุดไม่เจริญ ถ้าถูกก็ได้ก้าวหน้าพอดี ตัวนี้ยิ่งกว่าปรมาณู มันคือสูญญาณู
ส.หนักแน่น อยู่ในหน้า ๑๗ เล่มใหม่
พ่อครู ท่านองค์นี้ เป็นตัวแทนท่านชัดแจ้ง บอกได้อะไรอยู่หน้าไหนเล่มไหน มีตัวตายตัวแทนแล้ว
จบ
ปานปั้น ถอดความ
[embedyt] https://www.youtube.com/watch?v=ZpSsV2TfdRo[/embedyt]