610819_กายจะแข็งแรงและสะอาดดีต้องมีหมู่กลุ่มช่วยให้เกิดสัมประสิทธิ์
ปู่สะอาดดี เป็นอดีตนายตำรวจ มาปฏิบัติธรรมเป็นชาวอโศกมาก็นานหลายสิบปี มาเป็นสมาชิกหนึ่งในพันของบ้านราชฯและยังเป็นนิสิต ว.นบ.อีกด้วย
เมื่อต้องมาเป็นนิสิต ว.นบ. ซึ่งมีกิจกรรมวันบวร ทุกวันจันทร์ ต้องร่วมกับกลุ่ม ออกไปทำงานร่วมกัน ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นงานกสิกรรมด้วย เมื่อปู่สะอาดดี นึกถึงสังขารร่างกายตนเองทีไร ตอนนี้อายุอานามก็ปาเข้าไปตั้ง 70 กว่าแล้ว ร่างกายก็ไม่ค่อยแข็งแรง ถ้าต้องออกไปทำงานกลางแจ้ง ออกแรงมากๆ ก็เกรงจะหกล้ม กลัวจะเหนื่อยแน่นหน้าอก หายใจไม่ทัน ก็เลยไม่ค่อยอยากจะออกไปกับหมู่กลุ่มสักเท่าไหร่นัก
แต่ The show must go on! ว่างั้นนะ เมื่อได้ลองไปร่วมงานวันบวร ทุกวันจันทร์ กับแปลงกสิกรรมในหน้าฝน ทั้งในแดดร้อน ฝนตก เฉอะแฉะ ย่ำดินโคลน ลงเกี่ยวข้าวในแปลงนา ถางหญ้า ถอนหญ้า หรือแม้แต่เข็นปุ๋ยที่โรงปุ๋ยพลังชีวิต ปู่สะอาดดีก็พร้อมลุยไปกับหมู่กลุ่ม แต่แปลก ที่ปู่กลับได้พบว่า ร่างกายของปู่กลับกระฉับกระเฉงขึ้น แข็งแรงขึ้น การทรงตัวดีขึ้นได้อย่างน่ามหัศจรรย์ เดินเหินได้อย่างดี ความกังวลที่จะหกล้มก็ลดลงไปด้วย อาการแน่นหน้าอกก็ไม่มี ไม่ค่อยเหนื่อยแล้วทำงานได้ทนขึ้นอีกต่างหาก
ที่สำคัญ ปู่สะอาดดี ได้ออกจากภพเดิมๆของตนเอง ไปทำงานกับหมู่กลุ่ม หมู่กลุ่มก็พาทำงานอย่างเบิกบานร่าเริง มีการย่อยธรรมะไปทำงานไปด้วยความเพลิดเพลิน
ปู่ได้สลายอัตตาที่เป็นภพ ออกมาพบกับเพื่อนนักปฏิบัติธรรม ทำให้เกิดพลังงานสัมประสิทธิ์ coefficient ที่เกิดจากการซึมซับ osmosis
พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ได้เคยให้ ความหมายของ “สัมประสิทธิ์” ไว้อย่างหนึ่งว่า
“สัมประสิทธิ์” ต้องมี “บวร” ที่มีการซึมซับ “Osmisis”
พ่อครูได้เทศนาไว้ตอนหนึ่งว่า….บวร คือ บ้าน วัด โรงเรียน
บ้าน คือ สังคม ชุมชน ทั้งหมดที่เราอยู่ร่วมกัน
วัด คือ คุณธรรม คือธรรมะ
โรงเรียน คือ การศึกษาเพื่อที่จะให้เกิดความรู้ตาม Goal ตามเป้าหมาย ตามจุดหมายที่เราต้องไปให้ถึง ได้ทำอย่างนั้นเกิดอย่างนั้น เกิดสภาพของบ้านวัดโรงเรียนขึ้นจริงๆ ศาสนาโดยเฉพาะศาสนาพุทธต้องมี สามเส้านี้ บ้านวัดโรงเรียน
แต่ทุกคนนี้ศาสนาพุทธไม่เป็นเช่นนี้ วัดก็อยู่เฉพาะพระ อย่าข้ามเขตไปเลยนะ คือเข้าไม่ได้ สปาร์ค ทนไม่ได้ เพราะมันอ่อนแอ แต่ศาสนาพุทธนั้นไม่อ่อนแออย่างนั้นหรอก สัมผัสสัมพันธ์อยู่ร่วมกันแล้วจะ ออสโมซิส มีจิตวิญญาณ ออสโมซิส ซึมซับไหลเข้าหากันโดยไม่ต้องรู้ตัว มันเป็นคุณภาพมีประโยชน์
แต่สำคัญคือ ตัวพลังงานที่จะออสโมซิส ซึมซับนั้น หนึ่ง ต้องมีตัวตั้ง ผู้ที่นำพาจะต้องเป็นสภาวะ ความ ควบแน่น คงที่ เป็นหน่วยธรรมะ มีภาวะควบแน่น คงที่ เพื่อที่จะกระจายพลังงานนั้น แล้วก็มีพลังงานนั้นเกิดจริงๆ จึงเรียกว่ามีทั้ง Static Dynamic
Static คือตัวตั้งคงที่ Dynamic คือพลังงานจะสะพัดรอบ ทำงานจากต้นทาง เป็นนิวเคลียส เป็นทั้งนิวเคลียร์ 2 สภาพ บวกกับลบ แล้วถ้าเผื่อว่า พลังงานบวกลบ 2 อันนี้ ทำปฏิกิริยา มีคุณภาพ มีประสิทธิภาพ สูงถึงขั้น อัตราคูณ การก้าวหน้าสูง ถึงระดับขั้นคูณหรือยกกำลัง
มีตัวคงที่เป็นแกนหลัก แล้วพร้อมที่จะทำงานเต็มที่ สอง พลังงานนั้นต้องมีพลังงานสูงถึงขั้น คูณ สามอันนี้เรียกว่า Coefficient สัมประสิทธิ์ ถ้ามี Coefficient นี้ได้ คือเกิดการก้าวหน้าเกิดการพัฒนาการได้ ถ้าไม่ถึงขั้นนี้จะมีแต่เสื่อมไม่มีพัฒนาการ ไม่ก้าวหน้ามีแต่ถอยหลังและลงเหวไป แต่ถ้ามีพลังงานดังกล่าว พลังงานของธรรมะพลังงานของพุทธธรรม นี่คือสภาพธรรมที่อาตมาอาศัยภาษาทางวิทยาศาสตร์มาประกอบขยายความให้ฟัง ก็ไม่รู้จะเอาภาษาอะไรเป็นตัวสื่อ มันก็ไม่ได้ตั้งภาษามา ก็ต้องอธิบายกันยืดยาว ถ้าใช้ภาษาก็จะสั้น
นั่นคือสภาพสามเส้า ทุกอย่างถ้าเกิดองค์รวม สามเส้า จะเกิดปฏิกิริยาอย่างดี เส้าที่สาม เป็นตัวแปร หากไม่มีพลังงานก้าวหน้า มีแต่การเสื่อมถอยสุดท้ายก็สูญหายหมดเกลี้ยงไป แต่ถ้าเผื่อว่า ให้พลังงานที่ก้าวหน้าก็จะเจริญไปถึงที่สุด
ทีนี้ ภาวะซับซ้อน คือ ศาสนาพุทธให้เรียนรู้ในจิตของเรา จะต้องรู้ปฏิกิริยา สามเส้านี้ ที่มันจับตัวเป็นกิเลส ซับซ้อนนะ กิเลสเป็นพลังงาน อกุศลจิต หรืออกุศลเจตสิก
พลังงานนี้มันก็ สามเส้าของมัน กิเลสก็มี Static และ Dynamic มี Coefficient ของมันเหมือนกัน แล้วเราต้องจับตัว Coefficient ของมัน แล้วทำให้มันถอยหลังลงไป ให้มันเสื่อมลงไป จนหมด
ลักษณะ สามเส้าของอะไรต่ออะไรทุกอย่าง ในการเกิดพลังงานร่วมกันขึ้นมา ทำงาน จะเกิดพลังงานสามลักษณะใหญ่ๆนี้ทั้งนั้น พลังงานหนึ่งคงที่ 2 ตัวเคลื่อนไหวทำงานร่วมกันอย่างสำคัญ 3 มีพลังงานพิเศษเป็นตัวแปร จะก้าวหน้าหรือถอยหลัง
ผู้ใดสามารถอ่านพลังงานดังกล่าวนี้ได้ คนนั้นคืออาริยะ ปฏิบัติธรรมพัฒนาการไปได้ บรรลุธรรม ถึงขั้นอรหันต์แน่ ยิ่งรู้ชัดและทำได้ด้วย จัดการกับพลังงานกิเลสของเรา แม้กิเลสจะมากก็ต้องชนะ ได้พากเพียรแล้วต้องชนะทุกคน
บ้านคือสังคมทั้งหมด ที่เราอยู่ร่วมกัน วัดคือคุณธรรม คือธรรมะ โรงเรียนคือการศึกษา สามเส้า บ้าน วัด โรงเรียน จะซึมซับหากัน อย่างละเอียดมีสภาวะจริง ความจริง ความรู้ ที่เป็น โลกุตรธรรม ก็จะแทรกซึมเข้าไป ให้กับทุกคน นี้คือสัจจะของ บวร บวรคือบ้านวัดโรงเรียน
รายการซึมซับมันมีพลังงานในตัวของมันเอง ถ้าแกนหรือกลุ่มคน เป็นแกนหรือกลุ่มคนที่มีคุณธรรม อาริยธรรม โลกุตรธรรมในคนจริงๆ อย่างในชุมชนสันติอโศก มีทั้งสมณะ สิกขมาตุ คนวัดต่างๆ หรือผู้ที่มาร่วมงานทุกวัน มาร่วมกันจิตใจของแต่ละคน มีจิตโลกุตรจิตจริงๆ
โลกุตรจิตนั้นก็จะมีพลังไหลเวียนซึมซับ กระจายเป็นรังสีราศีเป็นพลังงานออกไปสู่ภายนอก มันไม่มีคำพูดไม่มีรูปร่างตัวตน แต่เป็นพลังงานที่แพร่กระจายโดยไม่ต้องคิดไม่ต้องนึก เป็นโดยธรรมชาติ นั่นที่หนึ่ง
สองมีเจตนารมย์ ตัวบุคคลมีเจตนารมณ์มีความตั้งใจ พยายามที่จะให้ พยายามจะกระจายออก พยายามสื่อสารออกให้ เผื่อแผ่ออกให้จริงๆด้วย มันก็ยิ่งจริง พลังงานนั้นจะปลูกฝังเผื่อแผ่ต่อคนอื่นได้จริง ยิ่งมีวิธีการถูกต้องผู้รับก็มีความตั้งใจรับผู้ให้ก็มีความฉลาดให้ ก็ยิ่งได้ผล ไม่ฉลาดเลยไม่ตั้งใจเลยก็ไม่ได้ ถ้าตั้งใจบ้างแม้ไม่ฉลาดก็จะได้
สถานที่เป็นสัปปายะ 4 นั้นยิ่งใหญ่นะ มันพาให้เจริญเร็วที่สุด อาตมาพยายามอธิบายลักษณะของบวร สามเส้า ที่มีคุณภาพของบ้าน และมีคุณภาพของคุณธรรม มีโรงเรียนให้การศึกษา ไม่มีครบแกนของมนุษยชาติ มีมนุษย์มีสัจจะของคุณธรรม มีพฤติกรรมของคุณธรรม มีการศึกษาเผยแพร่ให้คนอื่นรู้ตามเรียกว่ามีโรงเรียน แล้วก็มีธรรมะที่เป็นโลกุตรธรรมอยู่ พยายามที่จะทำ มันมีบทบาท 3 อย่างนี้อยู่ คนที่เข้ามาในนี้ก็เหมือนกับเข้ามาในสนามแม่เหล็กของ 3 อย่างนี้ คนเข้ามาก็ตกอยู่ในโมเลกุลแท่งหนึ่ง ที่เข้าไปในสนามแม่เหล็กบวร อย่างไรถ้าคุณดิ้นแรงมันก็ถูกดีดออกกรุณาออกไปนอกจากวงกลม นอกเขตเทศบาล แต่ถ้าคุณเข้าได้มันก็เป็นเนื้อเดียวกัน ไม่เจริญเท่าไหร่หรอกแต่คุณก็อ่อนน้อมถ่อมตนยอมให้เขานวด บีบบี้ สนามนี้แหละ คุณก็ยอม ที่บีบบี้ก็พอทำเนาแต่เขากระทืบเอาก็ยอม เพราะช่างปั้นหม้อ ก็ต้องเหยียบต้องกระทืบต้องบีบนวด เจตนาให้เป็นแบบนี้คุณเอาไหมล่ะ ถ้าเอาก็จะได้รูปนี้นะ เอารูปแบบนี้นะ
เรายืนยัน ฟีโนมีน่า คือ ปรากฏการณ์ที่มันเกิดจริงมาแล้ว ในมนุษยชาติคือพวกเรา พวกเราเป็นมนุษยชาติที่ได้เกิดความเจริญใหม่ ที่เป็นความเจริญในระดับโลกุตระ ที่มันสูญหายไปนานแล้ว อาตมาก็ไม่มีปัญญารู้ว่ามันเร่ิมเสื่อมอย่างไม่เหลือเชื้อ พลังงานCoefficient พลังงานที่จะก้าวหน้านี้ เมื่อไหร่พลังงานนี้มันDrop ไม่มีการก้าวหน้า แล้วแถมน้อยลงๆๆ ก็เลยเกิดชรตา เป็นความเสื่อม แล้วก็จะสูญไปในที่สุด แต่อาตมามาคว้าเอาไว้ทัน และพยายามสืบทอดสืบต่อ ซึ่งพวกเราก็พยายามใส่ใจ พากเพียรเอาจริงจนเห็นเป็นรูปธรรม จนเป็นสังคม
ที่อาตมาอ้างอิงว่า เป็นสังคม สาราณียธรรม 6 โดยมีรากฐานของ พุทธพจน์ 7 คือ สาราณียะ เจตสิก คุรุกรณะ เจตสิก ปิยกรณะ สังคหะเจตสิก อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ เป็นจริงมากเลยน้อยก็อยู่ที่บุคคลจะปฏิบัติได้จริง
สิ่งที่ จะพัฒนาไปได้จริงมันต้องเกิดจากการ ออสโมซิส จากสิ่งที่จะซึมซับประสานสัมพันธ์กันอยู่ สิ่งที่ไม่ประสานสัมพันธ์กันอยู่ไกลกันก็ซึมไม่ถึง เดินทางไปก็หมดพลังก่อน แต่นี่มันต้องสัมผัส
มันต้องสัมผัสและกระทบกันอยู่ แตะต้องรวมกันอยู่ จึงจะต้องมีตัวจริงของตัวบุคคล รวมทั้งการกระทบสัมผัส
มันจะต้องมีตัวจริงของคนและมีการสัมผัสกระทบกัน สัมพันธ์กัน ทำให้เกิดปฏิกิริยามีสัมผัสแล้วมีเวทนา แล้วจึงจะเกิดพัฒนาการของเวทนา เพราะพวกเราได้เรียนรู้เวทนา 108 ทำให้เวทนา 108 เป็น geometric progression ได้ไม่ใช่แต่ Arithmetic เท่านั้น ถ้าทำได้อย่างนี้จะไม่มีการลดลงมีแต่การก้าวหน้า
[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row]