610824_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เข้าถึงความสงบแบบพุทธอันลึกซึ้ง
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1__Ze5W1aZPFwd_XkW4BjJ-UrDIfmhLkbHC2_Z_Kzq8g/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1KWp1-RVtFxB5rxR2M90COyvFnJTL47ev
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม 2561 ที่ บวรราชธานีอโศก วันนี้เป็นวันที่มีการเข้าค่ายสัมมาอาริยมรรค เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเก่า “รินน้ำใจกลางสายฝน”
ครั้งที่ 31 ณ หมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก
ศุกร์ที่ 24 – อาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม 2561
รับสมัครผู้สนใจเข้าค่าย ฟรี! (จะอยู่กี่นาทีได้) และที่สุดจะได้ความเป็นอิสระเสรีความเป็นคนฟรีให้แก่ตัวเองเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ให้ทำได้ใน 3 วันนี้ทำได้ก็ถือว่าสุดยอด ถือว่าคุ้มค่าในการเข้าค่าย แต่ก่อนชาวอโศกไปอบรมครู ในร้อยคนสามารถเลิกอบายมุขได้หนึ่งคนก็ถือว่าประสบความสำเร็จ
ปัญหาเรื่องเงินในวัด ของคนข้างนอกเขาตอนนี้มีปัญหา จับเรื่องการโกงได้เต็มไปหมด ในชาวอโศกไม่มีปัญหาเรื่องนี้ เราอยู่ในระบบสาธารณโภคี นโยบายของชาวอโศกคือพามาจน ถ้ามาจนก็คือไม่มีสตางค์ ปัญหาเรื่องสตางค์มันก็ไม่มีมันก็ง่ายมาก ในสังคมโลกมีปัญหาสารพัดเกี่ยวกับเรื่องสตางค์ ทำให้ปวดหัวต่างๆนานา
เราอยู่ในกลุ่มชาวอโศก พ่อครูอยากให้เรามาอยู่รวมกัน เป็นวิสัยทัศน์ของพระโพธิสัตว์ ตอนนี้แค่คุณเดินผ่านบริเวณที่เขาฉีดเคมีก็อาจต้องเข้าโรงพยาบาลแล้ว จะกล่าวไปใยกับการเอาตัวเข้าไปสัมผัสจะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ในชาวอโศกมีความปลอดภัย แน่ๆคือภัยจากโลกีย์ย่างกรายเข้ามายาก พวกเราเป็นสนามแม่เหล็กที่เข้มข้น ขนาดถามเกษตรกรที่เขาได้เลิกอบายมุข แต่ก่อนเป็นคนขี้เมา ทุกวันนี้เริ่มถือศีลปฏิบัติธรรม คนเมาไม่กล้าเดินเข้ามาในบ้าน เหมือนมีพลังงานอย่างหนึ่งที่ทำให้เขาเข้ามาไม่ได้
ในบ้านราชฯนี้ มีคนที่เป็นพระอริยะตั้งแต่โสดาบันจนถึงพระโพธิสัตว์ระดับ 7 จึงมีพลังงานแห่งสนามแม่เหล็กเข้มข้น เราโชคดีที่สุดในชีวิต ที่ได้มาพบกับพระโพธิสัตว์รู้จักพระโพธิสัตว์ คนอีกหลายพันล้านคนไม่รู้จักทั้งที่ได้เกิดมาแล้ว แต่เราได้รู้จักจึงเป็นสิ่งประเสริฐสุดในชีวิต และได้รับการนำพาปฏิบัติธรรมลดละกิเลสจนเป็นอารยชน มารวมกลุ่มกันได้เป็นสิ่งมหัศจรรย์แห่งโลก ที่คนเขายังไม่เห็น แต่ถ้าเขารู้ขึ้นมาจะไม่ธรรมดา อาจแห่กันมาก็หลบกันดีๆ
คนที่มาเป็นอริยบุคคลเป็นคนที่ใจดีมาก เป็นคนที่ไม่คิดจะโกรธใคร ไม่ขี้โลภ ทำเพื่อให้อย่างเดียว เรามีแต่ได้ประโยชน์เพียงอย่างเดียวจากคนเหล่านี้ ถ้าเราเป็นคนเลวเขาก็ทำให้เราเป็นคนดี เป็นสิ่งประเสริฐในชีวิตมากที่ได้มาอยู่ในดินแดนแห่งนี้ มีความผาสุกแสนสบาย
สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน ปัจจุบันมีแต่ตอนลืมตาสัมผัสไม่หลับไหล
พ่อครูว่า…SMS 23 สิงหาคม 2561 (สำมะปี๋ ซีวิต)
_3867อดีตกับอนาคตทำอะไรกับมันไม่ได้!อดีตกับอนาคตเป็นประโยชน์แค่ใช้ระลึกมาประกอบประโยชน์เท่านั้น ถ้าฉลาดใช้มันเป็น!ถ้าไม่ฉลาดก็เป็นโทษต่อตน!..
พ่อครูว่า…ที่จริงแล้ว ศาสนาพุทธสอนให้รู้อดีตกับอนาคต และกำชับเลยว่า จริงๆแล้วความจริงมันอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น ผู้ที่มีปฏิภาณปัญญาฟังแล้วก็น่าจะเข้าใจ อดีตมันผ่านไปแล้ว แน่นอน มันไม่ใช่ความจริงที่จริงแท้เท่าปัจจุบัน ปัจจุบันเราสัมผัสอะไรอยู่ เราอยู่กับปัจจุบัน ปัจจุบันนี่คือสิ่งที่จริงที่สุด ส่วนอนาคตมันยังมาไม่ถึงมันก็ไม่มีความจริงนั้นเกิด
เพราะฉะนั้นถ้าเราจะปฏิบัติธรรม ใน 3 กาละ ปัจจุบันก็เป็นตัวสำคัญ พระพุทธเจ้าท่าน ย้ำเน้น นิพพาน ต้องเป็นปัจจุบันจึงชื่อว่า ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ
ผู้ใดมีความเห็น ทิฏฐิ ความรู้ความเข้าใจ ที่ชัดเจนว่า นิพพานนี่ มันอยู่ที่ปัจจุบัน ทิฏฐธรรมนิพพาน ไม่มีนิพพานอยู่ในที่อื่นเลย ในอดีตก็ไม่มีนิพพาน ในอนาคตก็ไม่มีนิพพาน และปัจจุบันนี่แหละคือจิตวิญญาณ จิตวิญญาณจริงๆความรู้สึกจริงๆ อารมณ์จริงๆมีความทุกข์ความสุขจริงๆ สิ่งที่จะจัดการกับมันจริงๆ ก็ประกอบอยู่ในปัจจุบันที่มีตาหูจมูกลิ้นกายของเราสัมผัสกับอะไรเกิดขึ้นมา แล้วก็จัดการมัน
จัดการได้แล้วมันเป็นของจริง ถ้าไปจัดการกับอดีตหรือจัดการกับอนาคตมันจัดการไม่ได้ด้วย อดีตไปจัดการมันไม่ได้ ใช้เพียงแค่ระลึกเป็นส่วนประกอบในการทำประโยชน์ที่เป็นความจริงตอนนี้ก็ได้ หรืออนาคต ก็จินตนาการเอาคิดเอาก็ได้ เอามาประกอบก็ได้ แต่จริงๆมันคือปัจจุบันในกรรมกิริยาของเรา ในปัจจุบัน ทำแล้วมันได้ผลเป็นความจริง
คุณรู้จักกิเลสคุณรู้ในปัจจุบันนี้เป็นกิเลสจริงๆ ส่วนในอดีตที่เราเคยมีกิเลส เราไปจัดการมันไม่ได้ หากสัมผัสกับมันและมันเกิดตอนนี้ก็จัดการมันได้ อนาคตมันก็ยังไม่มาไม่ถึงคุณไปจัดการมันไม่ได้ ถ้าเข้าใจอันนี้ให้ดีแล้ว คนเราจะเห็นความจริงว่า ธรรมะที่เราจะปฏิบัติประพฤติจริงๆโดยเฉพาะจัดการกับกิเลสนี้อยู่ในปัจจุบัน
คนที่ไปหลับตาปฏิบัติธรรม คุณก็จะได้แต่การระลึกถึงอดีต หรือ คุณก็จะนึกถึงแต่อนาคต ปัจจุบันของคุณ คุณนึกว่าคุณเป็นปัจจุบันในขณะนั่งหลับตา คุณก็อยู่ในภพชาติไหนก็ไม่รู้ ซึ่งมันไม่ได้เป็นความจริงของชีวิตจริงของมนุษย์สามัญ เหมือนคุณนอนหลับนี่ คุณมีความเจริญไหม ยิ่งนอนหลับอย่างไม่ได้มีสติควบคุมเลย ก็ฉันเดียวกัน แต่ถ้านอนหลับมีสติดีก็รู้อยู่กับอดีตและอนาคต ก็เหมือนกับนอนหลับก็ตกอยู่ในภพเหมือนกัน นอนหลับก็คือหลับตา ตกในภพเหมือนกัน เป็นแต่เพียงรู้สึกได้อยู่ แต่นอนหลับมันไม่มี มีแต่ความฟุ้งซ่านยิ่งชัดเจนว่าเป็นความจำเท่านั้น เยอะแยะเลอะเทอะ ต่ออะไรไม่ติดไม่เป็นรูปร่างในฝัน ก็จะไม่ชัดเจนเหมือนเราลืมตา ตอนเป็นๆนี่
_ปาลิตา ทองสุขนอก · ฉากรายการสัมปี๋ เป็นเรือทองคำงามมากเจ้าคะ เห็นพ่อครูแข็งแรงมีความสุขจังเจ้าคะ น้อมกราบนมัสการคะ
_เกือบตาย.. นมัสการท่านครับจะขอถามพ่อครูสักเรื่องหนึ่งครับเราเป็นผู้ถือศีลปฎิบัติธรรมเราไม่กินสัตว์และไม่ฆ่าสัตว์แล้วอย่างเมื่อเราจะกินข้าวมีข้าวกล้องกับข้าวขาวแล้วเราชาวอโศกจะกินข้าวอะไรที่มีประโยชน์กับมีแต่กากที่ไม่มีประโยชน์ครับ
ต่อไปถ้ามีคนจะให้สีข้าวสารขาวผมจะ ปฏิเสธ ผมจะทำเช่นนี้ได้มั้ยครับ
พ่อครูว่า…เอา ถ้าสีให้เขาได้ก็สีไปเถอะ ข้าวขาวก็มีคาร์โบไฮเดรตมีแป้งมีวิตามิน อยู่ทั้งนั้นแหละ เป็นแต่เพียงว่ามันไม่มีมาก ถ้าเผลอว่าไปสี สิ่งที่หุ้มข้าวสารอยู่ มันก็วิตามินลดลง ไม่ใช่หมายความว่าข้าวขาวข้าวสาร มันจะไม่มีสารอาหารเลย คนกินข้าวขาวมีสัก 90 เปอร์เซ็นต์กระมัง คนกินข้าวกล้องคงมีสัก 10 เปอร์เซ็นต์ ก็เห็นใจเขาหน่อยเถอะ
เฮี๊ยบกับเรื่องธรรมะสัจธรรม จัดเกินไป มันอยู่กับโลกเขาไม่ดีหรอก เราก็ต้องอยู่กับชาวโลกเขา ชาวอโศกมีชีวิตอยู่กับโลกของเรา เอียงโต่งมาทางธรรมะนี้มากมาทางโลกุตระนี้มาก ทางโลกเขาน่าสงสาร เขาไม่รู้ แล้วเขาไม่เข้าใจกรรมวิบากไม่เชื่อกรรมวิบาก
แม้ไม่เชื่อกรรมวิบาก แต่เขาไม่รู้จักเวทนา เขาไม่รู้จักความรู้สึก เขางมงายอยู่แต่กับความสุข มันเกิดอารมณ์ทุกข์ เขาก็ว่ากันไปตามทุกข์หยาบจัดจ้าน ทำไม่ดีไม่งามก็ทำไปคืองมงายอยู่กับอารมณ์ อารมณ์นี่มันมีกิเลสตัณหา มันก็บงการเราอยู่กับอารมณ์
ใครเจ้าอารมณ์นี้นะ ยิ่งเรามาปฏิบัติธรรมแล้วจะอยู่ด้วยยากมาก พวกเจ้าอารมณ์ จะอยู่กับคนที่เขาไม่ได้ปฏิบัติธรรมมันก็ยากทั้งนั้นสำหรับคนเจ้าอารมณ์ อยู่กับใครก็ยาก คนที่มาเข้าใจเวทนา เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกแล้ว แล้วก็ทำให้กิเลสมันออกจางคลายไป โดยไม่ใช่เป็นนั่งสะกดจิต
การตั้งสะกดจิตก็สามารถสะกดอารมณ์ได้เหมือนกัน พวกนักสะกดจิตเขาก็ รู้สึกว่าอารมณ์มันเกิดกิริยาไม่ดี เขาก็ชำนาญในการกดข่ม เขาก็กดอารมณ์ไว้ ไอ้กดอารมณ์ตัวเองแล้ว กดพฤติกรรมทางกายวาจามันมีอยู่ทุกคนเกิดมาในสัญชาตญาณ ใครก็เคยระมัดระวังกายวาจาของเรามันเป็นธรรมดาธรรมชาติ มากหรือน้อยเท่านั้น
ถ้าไปนั่งสะกดจิตมันจะกดข่มได้เก่งขึ้น ชำนาญมากขึ้นสะกดได้มากขึ้นก็เป็นประโยชน์อยู่บ้าง ที่ไม่แสดงอารมณ์ออกมาตามธรรมชาติ แต่ไม่ได้ล้างกิเลส ศาสนาพุทธนั้นล้างกิเลส รู้จักกิเลสที่มันเกิดพร้อมกับอารมณ์
ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ พระพุทธเจ้าให้เรียนตัวสังกัปปะ แยกให้ฟังเป็น 7
แล้วจัดการกับสังกัปปะ 7
จิตสัมผัส แล้วเกิดภาวะรูป จะมีธรรมะสองเป็นอิตถีภาวะ กับ ปุริสภาวะ ปรุงแต่งกันอยู่ เราก็พยายามแยก อิตถีภาวะ หรือ ไอ้ตัวที่มันเป็นตัวการดีดดิ้น
อิตถีภาวะก็เป็นสภาพรูปนามปรุงแต่งกันอยู่
นามหรือกิเลสที่เป็นตัวเหตุ ตัณหา แยกตัวนั้นให้ได้แล้วกำจัด เมื่อกำจัดได้ อิตถีภาวะก็หายไป กำจัดกิเลสตัวเหตุสำคัญ อิตถีภาวะหายไปเหลือแต่ปุริสภาวะเป็นธรรมะหนึ่ง
เมื่อมันปรุงแต่งเป็นเวทนา 2 อารมณ์เก๊ สุขหรือทุกข์ กับอารมณ์ที่รู้ความจริงตามความเป็นจริง สัมผัสกับอะไรก็แล้วแต่ ก็เกิดสภาพเวทนา 2 เพราะฉะนั้นจึงกำจัดเวทนา 1 ได้ ก็ทำให้เป็นเวทนาเดียว
ผู้กำจัดเหตุหรือกิเลสที่มันทำให้เกิดเวทนาเก๊นี้ได้ตลอดกาล เป็นพระอรหันต์ กำจัดได้ตลอดกาล เมื่อสัมผัสก็มีแต่เวทนาแท้ตลอดกาล เป็นปุริสภาวะ เป็นผู้หญิงก็เป็นปุริสภาวะ เป็นผู้ชายก็เป็น ปุริสภาวะ ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงผู้ชายก็เป็นอรหันต์ได้ภิกษุภิกษุณีก็เป็นอรหันต์ได้เป็นปุริสสภาวะ
ปุริสภาวะคืออารมณ์ของ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
อาตมาประกาศตัวว่าเป็นพระอรหันต์ไม่ได้พูดเล่นทั้งที่รู้ว่าเมืองไทยถ้ามีใครมาประกาศอรหันต์ เขาให้กากบาทกระดูกไขว้เลย ไม่มีใครกล้ามาประกาศอรหันต์หรอกในโลก ถ้าใครบอกว่ามีใครกล้าประกาศอรหันต์ ถ้าได้ยินพระโพธิรักษ์ประกาศ ก็นี่ไง ใคร ไม่มีใครกล้าประกาศอรหันต์ก็นี่ไง นี่คนนะ ไม่ใช่ช้างม้าวัวควายนะ เขาบอกว่าไม่มีใครแล้วก็นี่ไง
แต่เขาได้รับการศึกษาได้รับการ กรอกหูมา จนกระทั่งผู้ที่มีคนนับถือกันทั่วประเทศว่าเป็นปราชญ์ทางศาสนา มาได้ยินการประกาศอย่างที่อาตมาประกาศ ถึงกับขนาดต่อต้าน ใช้คำพูด ต้านออกมาว่า คนที่ประกาศตัวว่าเป็นอาริยะนั่นแหละไม่ใช่อาริยะ พูดขึ้นมาดื้อๆนี่แหละ
ในพระไตรปิฎกมีพระอริยะประกาศอรหันต์เยอะแยะ บอกว่าตนเป็นอรหันต์เยอะแยะ ท่านก็เป็นผู้ที่ศึกษาอ่านพระไตรปิฎกมาเยอะ แล้วพูดชื่อนี้แสดงว่าท่านจำไม่ได้เชียวหรือ อ่านมาก็มี แล้วมาบอกว่า ประกาศไม่ได้ ด้วยความคิด คิดว่าจะต้านจะว่า เอาล่ะตรงๆว่าอาตมานี่แหละ ว่านี่คนบ้าคนนอกรีต นอกธรรมะ บ้าเกินทฤษฎีพระพุทธเจ้าเกินความจริง เกินความถูกต้องด้วย มันไม่ถูกต้องหรืออย่างที่พูดนี้ มันเกินความถูกต้อง มันเกินไป จะด้วยอารมณ์ใดก็ตาม แต่เชื่อว่าถ้าท่านตั้งสติจริงๆท่านก็จะรู้ตัวว่าท่านกล่าวผิดพลาดไป เพราะท่านก็ได้ศึกษามามาก นี่ก็ขออภัยที่พูดพาดพิงสัจจะ
ในยุคนี้เป็นยุคที่น่าสงสารอย่างมากเลย ในความเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะในวงการศาสนาพุทธน่าสงสารมาก เพราะว่าศาสนาพุทธทุกวันนี้ ที่เป็นกันอยู่และก็ประพฤติกันอยู่ในวงการ เรียกว่าวงการธรรมะหรือวงการศาสนาพุทธ ก็ได้ประพฤติปฏิบัติกันอยู่แต่ กาก เศษ ของสิ่งที่ไม่ใช่พุทธ ไม่ใช่กากเศษของพุทธด้วยนะ เช่น
ไปนั่งหลับตา ไปเดินหนอย่างหนอ มันไม่ใช่วิธีปฏิบัติของพระพุทธเจ้า วิธีปฏิบัติของพระพุทธเจ้านั้น ท่านก็ได้ตรัสไว้ชัดเจนว่าให้ปฏิบัติตามมรรคมีองค์ 8 แล้วท่านก็บอกว่าการปฏิบัติตามหลักมรรคมีองค์ 8 นี่แหละ เป็นทางเดียว เอเสวมัคโค นัตถัญโญ เป็นทางเดียวไม่มีทางอื่น คนก็มาบอกว่าจะไปเชียงใหม่ไปได้หลายทาง อย่างนี้เป็นต้น ไปทางเครื่องบินไปทางรถ ไปทางรถจักรยาน
คนเราเกิดมามันไม่มีความสำคัญอะไรมากมายเลยในเรื่องของทรัพย์สินเงินทองบ้านช่องเรือนชาน อะไรต่างๆนานา มันไม่สำคัญ มันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องไปยึดมั่นถือมั่นว่าจะต้องเป็นเราเป็นของเรา ในชาวอโศกหรือในบ้านราชฯหรือที่ไหนก็แล้วแต่ เราไม่ได้สำคัญมั่นหมายในบ้านช่องเรือนชานที่นาว่าเป็นเราเป็นของเรา ใครจะมายึดถือ เกิดมันพังไป มีคนมาเอาไปก็จะไม่เดือดเนื้อร้อนใจเหมือนกับคนภายนอก
ทรัพย์สินเงินทองมันสูญเสียไปก็จะไม่เดือดร้อนเหมือนคนข้างนอก แม้แต่เราจะไปกอบโกย ไปสะสมไปหามามากๆ สะสมให้เป็นของตนมากๆไม่พอ ที่สะสมไว้ เอาไปลงทุนไปออกดอก ใส่กิจการนั้นนี้ ที่ได้เงินปันผลได้ดอกเบี้ยมาก ก็จะทำให้งอกเงยเพิ่ม ไม่รู้เขาจะตะกละไปถึงไหน
ทุกวันนี้คนที่รวยๆ ก็ไม่เห็นจะถึงร้อยปีก็ตาย ตายจากไปบางทีเกิดปัญหามาก ยิ่งยิงกัน คนที่สะสมไว้ให้คนทีหลังแย่งกันฆ่ากันด้วย ถ้าคนไหนสักคน ตายไปแล้วไม่มีสมบัติให้เขาแย่งกันฆ่ากัน กับคนที่มีสมบัติแล้วตายแล้วทำให้เขาฆ่ากันแย่งกัน อะไรมันดูดีกว่ากัน
สมณะฟ้าไทว่า…คนที่ตายแล้วทำให้คนไม่แย่งกันเป็นอิสระเสรีมีความสงบสุข
พ่อครูว่า…ประเด็นต่างๆที่ได้พูดไปนี้ มันเป็นแง่ที่จะฉลาดรู้ว่า จะไปทำเป็นพฤติกรรมทำคนให้เป็นคนที่จะเกิดปัญหา เกิดความยุ่งยาก ไปสะสมความรู้ ตายแล้วก็จะยุ่งยาก แย่งกัน
เพราะฉะนั้นชาวอโศกปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า พวกเรามีสมบัติน้อยจนถึงขั้น ไม่มีสมบัติ มีบ้างติดตัว พวกเราที่อยู่ในเป็นสมาชิก บ้านราชฯเอาอย่างนี้
อาตมาจะถาม คนบ้านราชฯ ใครมีเงินเป็นสมบัติในตัวตอนนี้ ไม่ถึง 1,000 บาทยกมือขึ้น …
เอาอย่างนี้เลย อย่าว่าแต่ติดตัวเลย แม้แต่ในแบงค์ มีเงินรวมแล้วไม่ถึง 1,000 มีกี่คน อย่างพวกเรานี่ เป็นฆราวาสมีบ้าง แต่นักบวชเรานี่ไม่มี นักบวชเราสามารถที่จะปฏิบัติประพฤติได้ แม้แต่สิกขมาตุของเรา นับถือศีล 10 ก็ไม่มีเงินไม่มีทอง ฝากแบงค์ไว้หรือฝากที่ไหนไว้เป็นของตัวของตนเลยบวชมา 30 40 ปีไม่มีเงินมีทองเลยก็ไม่เห็นจะเหี่ยวเฉา หรือว่าผอมแห้งแรงน้อย ไม่เห็นหมดเรี่ยวหมดแรง ก็เห็นว่าแข็งแรงสันทัดคน ไม่อ้วนไปไม่ผอมไปนี่แหละดีมากเลย ปราดเปรียวทำงานได้ดี อาตมาประสบผลสำเร็จในการพามาปฏิบัติธรรม
ที่สำคัญคืออาตมาเองมั่นใจว่าจิตใจอยากจะสึกกันไหมสิกขมาตุ…หรือว่าสึกไม่ไหวแล้ว แก่แล้ว
แล้วไม่สึกนี่ผาสุกไหม?…เป็นอยู่ผาสุก
ตายยิ่งไม่ต้องห่วงเลย ตายแล้ว พวกเราก็ช่วยกันเผาแน่ไม่ปล่อยให้เหม็นเน่าอยู่อย่างนี้หรอก เด็ดขาด สบายมากเลย เป็นใจที่วางใจได้ มีชีวิตที่เหลืออยู่ขนาดนี้ ไม่ต้องเอาใครถามขวัญรักก็ได้ อายุ 75 ปี รู้สึกกังวลไหม อยู่ได้จะตายหรือจะเจ็บป่วย ก็มาตั้งแต่เป็นสาวเป็นแส้ มาตั้งแต่อายุเท่าไหร่ 34 ปี ตอนนี้ก็ 75 แล้ว ตั้ง 41 ปีแล้ว ก็เป็นอยู่ผาสุก พออายุแก่แล้ว ไม่ต้องห่วงลูกเต้าไม่มี ไม่ต้องกังวลเลย บ้านช่องเขาก็มีฐานะเป็นไปได้แต่ไม่เห็นจะไป ก็อยู่กันมาตั้ง 41 ปีแล้ว คนอื่นๆก็เยอะแยะ พวกเราชาวอโศก
อาตมาพาปฏิบัติธรรม พิสูจน์ธรรมพระพุทธเจ้าได้จริงๆว่าเราพึ่งพาธรรมะ เป็นธรรมะที่เราได้ เราไม่ได้พึ่งพากองเงิน ชีวิตนี้ต้องหากองเงินไว้ แก่แล้วจะอยู่อย่างไรไม่มีกองเงินพึ่งหรือต้องพึ่งพาคนไหน แต่นี่ไม่ต้องเห็นพึ่งพาคนอื่น พึ่งพาหมู่กลุ่มนี่แหละ มันเป็นสังคมเป็นวัฒนธรรม พึ่งพฤติกรรมสังคม พึ่งพฤติบทของสังคม สังคมเรามีบทบาทตรงนี้เราก็อยู่ที่นี่พึ่งพฤติบทของสังคม เราก็พึ่งอันนี้ ไว้ใจบทบาทของชาวอโศกก็มีพฤติบทอย่างนี้เราก็พึ่งอันนี้
ไม่มีใครจะหมายว่า อยู่ไปนี่พึ่งคนนี้ พึ่งคนนั้น อาตมาคิดชื่อไม่ทัน จำชื่อไม่ค่อยได้ อาตมาคิดว่าพวกเรานี่คงไม่คิดอย่างนั้น อยู่ในนี้ พึ่งพฤติบทของคน อยู่ในบ้านราชฯก็พึ่งพฤติบทของชาวบ้านราชฯ
สมณะฟ้าไทว่า…ขนาดคิดพึ่งพ่อครูก็ไม่คิด
พ่อครูว่า…อันนี้ละเอียด จะพึ่งผมคือจะได้ฟังธรรมชีวิตจะได้สาระอันนี้ พึ่งอันนี้ ถ้าสำหรับผมนะ
สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน
สิกขมาตุรินฟ้า
สมณะเดินดิน
สมณะแสนดิน
พ่อครูว่า….พูดถึงความสงบ บาลีว่า สันตา เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งมากเลย พระพุทธเจ้าตรัสว่าธรรมะของท่านมีอยู่ คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ผยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
ธรรมะของท่านนั้นลึกซึ้ง คัมภีรา ทุททสา เห็นตามได้ยาก จริงๆที่สุดเลย อาตมาเหนื่อย ในการเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาขยายความ คนไม่เปลี่ยนตาม แม้ทุกวันนี้อาตมาอธิบายธรรมะมาเกือบจะ 50 ปีแล้ว ยังไม่ค่อย.. ทั้งๆที่เขาแสวงหากัน มีผู้เรียนมีผู้รู้ มีเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่น จบปริญญาเอก จบเปรียญ 9 จบการศึกษา เรียนศึกษาฝึกฝน 30 40 50 ปีก็มีเยอะ แต่ก็ไม่เห็นอย่างที่อาตมาอธิบาย ไม่เห็นตามไม่เข้าใจตาม มันยากจริงๆ อาจไม่เป๊ะเหมือนกับพระพุทธเจ้า แต่ก็เอาคำของพระพุทธเจ้ามาสื่อ
ทุรนุโพธา เห็น หมายความว่ามีสัมผัส ทุรนุโพธาคือรู้เข้าไปในจิต มีความสงบที่เป็น สันตา หรือสันติ สันตินี้จะรู้ง่ายกว่าสันตา
สันตะ สันตา สันติ อะ อา อิ หากเข้าใจในประเด็นชนะแล้ว สันตะนี่ก็สงบ สันตาที่พระพุทธเจ้าใช้คำกลางๆเป็นพหูพจน์ ความสงบนี้มันสงบอย่างเจี๊ยวจ๊าวครื้นเครง
สงบอย่างครื้นเครง สงบอย่างสนุกสนาน สงบอย่างรื่นเริงเบิกบาน แต่มันไม่เป็นแบบฮาร์ดร็อค ไม่เป็นแบบแร็พ เท่านั้น อาตมาว่าอาตมามีจิต สันตา มีจิตสงบ ร่าเริงเบิกบาน ไม่เหี่ยวเฉาสดใน ประภัสสร ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุตา เป็นตัวกลางเลย เป็นตัวคล่องแคล่วว่องไง จะทำการงานอะไรก็เบิกบาน เป็นประโยชน์ที่เหมาะควรกัมมัญญา เพราะมีปัญญากำกับอยู่ตลอดความสงบของพระพุทธเจ้ามีความมีปัญญากำกับหมด ไม่ไปในอกุศลที่ไม่สมควร จึงแปลว่าการงานอันเหมาะควร กรรมทุกกรรมที่ทำ กรรมไม่เหมาะควรไม่ทำ ทำแล้วก็สบาย ปภัสสรา เป็นผลประโยชน์ต่อตนต่อผู้อื่น เป็นคุณวิเศษของคนที่ประพฤติได้
พวกเราไม่ถึงขั้นอย่างที่อาตมาเป็นก็ตาม แต่ก็อยู่ในทางเดียวกัน อยู่ในคุณลักษณะ คุณธรรม คุณวิเศษ มาอันเดียวกัน แม้จะไม่ถึงขั้นอาตมา ไม่ได้ยกตัวยกตนแต่เป็นเช่นนั้นนะ
มันก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นอารมณ์ของอาตมากับอารมณ์ของพวกเรา อาตมาว่ามันไม่ได้ต่างกัน อารมณ์ที่อาศัยชีวิตใช้อาศัย อาตมาว่าพวกเรานี้ ที่อยู่กันมาแล้ว 30 40 ปี วันๆผ่านไปเรื่อยๆ มันไม่ห่วงไม่กังวล มันไม่กระดี๊กระด๊า ไม่กระสันอยากจะแย่งกับคนนั้นคนนี้อยากจะไปได้อย่างนั้นอย่างนี้มา มันเป็นอย่างอาตมาว่าไหม มันสงบ สันตา เดี๋ยวก็ตื่นมาอีกแล้วมีอะไรก็ว่ากัน พอถึงเวลาก็นอนพักอีกแล้ว แต่คนที่ไม่ติดนอน อาตมาก็เดี๋ยวก็ต้องนอนอีกแล้ว นอนไปพอสมควรเมื่อไหร่มันจะสว่างสักที คือมันพักพอแล้ว จะลุกขึ้นมาก็เดี๋ยวเขาว่า
ก็ต้องหกโมงนะ อาตมาจะออกมาจากมุ้งหกโมงทุกวัน มันก็ไม่เมื่อย แต่พอเป็นไป ทำไมต้องเมื่อย นอนเฉยๆหาเรื่องอะไร ไม่ได้ออกแรงอะไรมันก็
ชีวิตก็สบายสบาย ประมาณ 6 โมงก็ตื่นขึ้นมา ผู้ที่จะมาโอภาปราศรัยมาสังสรรค์ก็มาแล้ว เหมือนกันนัดกันเป็นรูทีนทุกเช้า 6 โมงก็มามาเจอหน้าเจมส์ เจอหน้าในน้ำคำ เจอหน้าท่านเดินดิน นอกนั้นก็อยู่ข้างๆ ท่านดินไท ท่านหนักแน่น ทานแสนดิน อยู่ข้างๆอยู่แล้ว ท่านเดินดินก็อยู่ห้องห่างไปหน่อย เดี๋ยวคนนั้นคนนี้ก็มา กว่าจะออกจากที่นั่น ทุกคนก็อยากจะคุย อาตมารู้สึกว่าก็มีประโยชน์นะ ถ้าเราพูดก็มีประโยชน์ อัดไว้หมดอาตมาพูดอะไร จะมีพูดที่ไหนจะต้องติดเครื่องที่ อัดเสียงไว้ เดี๋ยวก็เปลี่ยนไปเอาอันใหม่มาจนกว่าจะนอนก็เก็บ ถ้าจะนอนก็ได้เสียงกรนก็ไม่เอา ตลอดเลย ซึ่งก็รู้สึกว่าดีนะ มีค่านะ เรานี่พูดอะไรก็มีค่า พูดอะไรเขาก็อยากจะเอาไปฟังได้ประโยชน์ ให้ได้คิดอย่างนั้นอย่างนี้ มันก็มีค่า
มีสองนัย จริงๆแล้วเขาจับผิด อยากจะพูดอะไรที่ไม่ดีนะเดี๋ยวความลับเปิดเผยเขาจะจับผิดก็ไม่เป็นไร อาตมายอมอนุญาตให้จับผิด ก็นานมาแล้วกี่ปี รู้สึกตัวเมื่อไหร่ก็อัดไว้ข้างๆแล้ว ถ้ามีเครื่องดับจับความคิดก็คงให้แล้ว ให้ใส่ไว้ ดักความคิด คิดอะไร
ก็ดีนะ รู้สึกว่าดี จริงๆอาตมาก็ไม่ได้หนักใจอะไร ก็สบายใจ ก็เห็นว่าเรามีค่า อิริยาบถก็พยายามถ่ายไว้ กายกรรมก็ถ่ายวิดีโอไว้ ก็รู้สึกว่า เราเองมีชีวิตให้คนเขาเห็นว่ามีค่า แม้แต่จะไปนั่นมานี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งออกมาจากห้องของตัวเอง นอกจากจะมานั่งทำงานเลย นั่งเก้าอี้ทำงาน เดี๋ยวบางทีเขาก็ถ่ายไว้ เดี๋ยวก็ถ่าย ถ่ายอิริยาบถที่อาตมานั่งทำงาน บางทีก็เหมือนกับพูดอยู่คนเดียว คือ พยายามสรรหาคำความ อะไรที่ดีเอามาให้ มันเหมือนคนบ้า บางทีก็มีเสียงออกมานิดๆหน่อยๆ ท่านก็ถ่ายเอาไว้ก็เหมือนคนบ้า แต่ไม่ใช่หรอก เราทำงาน เรามีสติรู้ว่าทำอะไร ไตร่ตรองตรวจตราเลือกเฟ้น คืออาตมารู้สึกว่า เขียนธรรมะ มัน ละเอียดลึกซึ้งมาก มีการแก้ไขอยู่ตลอดเวลา
อย่าง หนังสือคนจนที่มีแบบ เขียนไว้แล้ว พิมพ์ออกมาแล้วก็เอามาแก้ ตอนนี้แก้ไปแล้ว แต่ก่อนนี้ 190 กว่าหน้า ตอนนี้ก็ 300 400 หน้าแล้ว ก็คงจะไม่ได้พิมพ์เล่ม 2 จะพิมพ์เล่ม 1 ออกในงานมหาปวารณาเดือนพฤศจิกายนนี้ เพราะว่าเล่ม 1 ก็มี 200 กว่าหน้าแล้ว ก็คิดว่าสมควร
ขอพูดถึงหนังสือเล่มนี้ อาตมาว่ามันจะเป็นหนังสือที่เปิดศักราช เปิดอะไรที่อยู่ในวงการศาสนา ถ้าคนไม่มีอคติอะไรกับอาตมา ก็จะได้รับประโยชน์มากทีเดียว เพราะไขความละเอียดลออในประเด็นที่อาตมาข้องใจ แต่ตอนนี้อาตมาเป็นคนไขข้อข้องใจเอง แต่ก่อนก็เคยสงสัย เช่นคำว่า บุญ คำว่า กาย คำว่า สิริมหามายา คำว่าคนจน
อาตมาก็ แหม ได้ไข ประเด็นต่างๆเหล่านั้นออกมาขยายความเยอะ ไม่ใช่ขยายความแต่น้อย ขยายแล้วก็ยังรู้สึกว่ามันยังไม่จุใจเลย ขยายแล้วมาอ่านทวนอีกแก้อีกเพิ่มอีก แม้แต่ที่สุดขณะนี้
พูดถึงเรื่อง สวดมนต์ อาตมาก็สะดุดๆ เรื่องวงการศาสนามีการสวดมนต์กัน ขอพูดด้วยใจจริง ศาสนาพุทธ ไม่มีการสวดทำนอง ไม่มีการสวดแล้วใส่ทำนอง อย่างชาวอโศกสวดไม่ได้มีทำนอง ไม่ได้ใส่ทำนอง พาหุงสะหัส สะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง เรียกว่า สวดสรภัญญะ
คำว่า สรภัญญะ อาตมาแจกแจงไว้ไม่รู้กี่หน้า สะ คืออะไร ระ คืออะไร ภัญญะ คืออะไร แล้วเอามาอ้างอิงประกอบกับที่พระพุทธเจ้าท่าน
หนึ่งท่านห้าม สองท่านอนุญาต สองนัยยะ สิ่งที่ท่านอนุญาตนี้ พุทธเจ้าท่านอนุญาตสรภัญญะ ท่านห้ามการสวดที่มีทำนอง หรือห้ามการสวดที่ลากเสียงอันยาว
สระ นี่ก็คือ สระ สระท่านก็กำกับเอาไว้ สระมันมีสองนัย หนึ่งรัสสระ อีกอันทีฆสระ
สระสั้น อะ อิ อุ ส่วน ทีฆสระคือ อา อี โอ เป็นต้น
ทีฆสระคือเสียงยาวแล้ว ท่านก็สวด นาโม….ผิดทั้งทำนองและลากยาว หากนามัวก็ผิดทำนองอีก ถ้านะโมะ ก็รัสสระ
ภควโต เป็นสรภัญญะ แต่ถ้า นะโมมตัสสสะ ภะคะวะโตตตต หรือรัสสะก็สั้น น้า โม ตัดดด สะ มันไม่ใช่แล้วมันลากยาว มันเป็นรัสสระที่ลากยาวหรือ ทีฆสระที่ลากยาว
อาตมาอยู่ในยุคพระพุทธเจ้าไม่เคยสวดอย่างที่เป็นแบบนี้ ที่เขาสวดกันไม่ใช่อย่างชาวอโศก ชาวอโศกอาตมาพาสวดอย่างสรภัญญะคือ นะโมตัสสะภะคะวะโตอะระหะโตสัมมาสัมพุทธัสสะ มันเป็นแบบสรภัญญะที่ถูกต้อง มีรัสสระกับทีฆสระที่ถูกต้อง
หากไม่เข้าใจก็จะลากเสียงอันยาวและใส่ทำนอง ทำไมพระพุทธเจ้าไม่ให้ทำเช่นนั้น ที่ไม่ให้ทำแบบนั้นเพราะว่า 1. มันผิดภาษา มันออกนอกกรอบของกำหนดที่มันถูกต้อง
-
โทษของการลากเสียงยาวหรือการใส่ทำนองก็มีห้าข้อ
พระไตรปิฎก เล่มที่ 7 พระวินัยปิฎก เล่มที่ 7 จุลวรรค ภาค 2
เรื่องสวดพระธรรมด้วยทำนอง
[20] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์สวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ สวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ เหมือนพวกเราขับ ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย …ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์จึงได้สวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาค … ทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายข่าวว่า … จริงหรือ
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียน … ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุสวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ มีโทษ 5 ประการนี้ คือ:-
-
ตนยินดีในเสียงนั้น
-
คนอื่นก็ยินดีในเสียงนั้น
-
ชาวบ้านติเตียน
-
สมาธิของผู้พอใจการทำเสียงย่อมเสียไป
-
ภิกษุชั้นหลังจะถือเป็นเยี่ยงอย่าง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย โทษ 5 ประการนี้แล ของภิกษุผู้สวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับรูปใดสวด ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
เดี๋ยวนี้เอามาแต่งเป็นแรพเป็นแหล่ ขออภัย แม้แต่เอาเป็นรัฐพิธี ก็สวดส่งแต่งกันออกนอกไป เป็นรูปแบบวิธีการอาตมาว่ามันไปกันใหญ่ ไม่ได้รู้สึกรู้สาว่าพระพุทธเจ้าสอนในพระวินัยเลย มันเสื่อมเพราะสิ่งเหล่านี้ มันไม่ได้ประโยชน์ ที่อาตมาพูดนี้ขออภัยเหมือนดูถูกตีทิ้ง
อาตมาว่าทุกวันนี้ไม่ต้องสวดหรอก เครื่องมือมันบันทึกไว้แล้วไม่ต้องใช้สมองจำ อาศัยตรงนี้ก็ไม่สูญหายไปแล้ว สมัยพระพุทธเจ้าต้องรักษาไว้ในความจำจะไม่ได้สูญหาย สมัยนี้มันไม่ต้องแล้ว จะเก็บไว้ไม่ให้สูญหาย ใส่ฮาร์ดดิส เดี๋ยวนี้มีที่เก็บเยอะแยะ คุณภาพก็ดีขึ้นเยอะ
การที่จะจำธรรมบทของพระพุทธเจ้าไว้ดี เดี๋ยวนี้เขาบันทึกไว้เยอะแล้วกดดูใน google ก็ได้ กดเมื่อไหร่ก็เยอะแยะ เดี๋ยวนี้สะดวกมากไม่ต้องกลัวว่าจะหายไป ไม่หาย ถึงวันนี้พูดได้เลยว่าไม่หาย
ยุคโน้นจะต้องท่องจำไว้ มันมีรายละเอียดของการท่องบทมนต์หรือธรรมบท อาตมาติดอยู่อันหนึ่ง พระพุทธเจ้าถือว่าวินัยเป็นอาบัติคือสวดตั้งแต่ 2 คนเป็นต้นไป ในมุสาวาทวรรค ข้อที่ 4 ที่ลงปาติโมกข์ ทุก 15 วันของพระภิกษุ มุสาวาทวรรคข้อที่ 4 ว่าอย่าเอามาสวดพร้อมกันตั้งแต่ 2 คนเป็นต้องไปกับอนุปสัมบัน กับฆราวาส ไม่เข้าใจเจตนารมย์ของพระพุทธเจ้า ที่สวดสองคนพร้อมกันขึ้นไป มันกลายเป็นพวกนักร้อง ควาอี้ choir มันกลายเป็นการแสดงเป็นอบายมุข แล้วก็ถือว่านี่คือได้แสดง จนเดี๋ยวนี้ก็คือได้แสดง สวดเป็นหมู่ สามคนสี่คน ถือว่าสี่คนขึ้นไปถือว่าครบองค์สงฆ์ จนธรรมกายก็เกณฑ์มาให้สวดกันเป็นล้านคน เป็นอาบัติข้อนี้
คิดดูสิพระพุทธเจ้าออกพระวินัยว่าเป็นอาบัติ แต่เขาไม่ได้รู้ว่าเป็นอาบัติก็ไม่ปลง ถือว่าเป็นพระ ปกตัตตะ คือไม่ปกติ ก็มีอาบัติข้อนี้ มุสาวาทวรรคข้อที่ 4 โดยเจตนารมณ์ของพุทธเจ้าไม่ให้ทำเพราะมันจะกลายเป็นการสวดหากินนักร้อง ควาอี้ ขออภัย พูดเดี๋ยวหาว่าเขาเป็น ควาย แต่อาตมามีสำเนียงพูดว่า choir นะ มันหมายถึงนักร้องหมู่ที่ประสานเสียงกัน สวดพร้อมกันเป็นการแสดง เป็นการแสดงของนักร้อง พวกนักร้องหมู่ ซ้อมกันดีๆ เพื่อเอาไปอวดทั้งนั้น ท่านก็กันเอาไว้ ไม่อยากให้พวกเราเป็นนักแสดงเป็นดาราแล้วเอาไปหากินนี่เป็นตัวร้ายที่สุดแล้วก็ทำกันไหม ทำกันทุกระดับเลยตั้งแต่สวด ในวงย่อย จนถึงวงราชพิธี รัฐพิธี นี่แหละสวด ควาอี้ นี่แหละ choir แล้วก็บอกว่าได้ทำงานแล้ว
งานสรภัญญะคือให้สวดคนเดียว คือมากล่าวคำกล่าว สรภัญญะคือ มากล่าวคำกล่าวโดยไม่ให้ใส่ทำนองคือ สาธยายธรรมด้วยภาษาที่กำหนดด้วย รัสสระ ทีฆสระ
พระพุทธเจ้าท่านเคยชมพระรูปหนึ่ง ว่าเป็นคนกล่าวได้ไพเราะ ในพระไตรปิฎกเล่ม 5 ข้อ 408 ถึง 423 พระพุทธเจ้าชม ชื่อว่าพระโสณกุฏิกัณณะ ท่านให้มากล่าวให้ฟังเป็นสรภัญญะ เป็นคำกล่าว ท่านก็กล่าวตั้งยาว ข้อ 408 ถึง 423
ท่านก็กล่าว แต่ภาษาไทยใช้คำว่าสวด พระโสณะ ขอสวดพระสูตรต่างๆให้ฟังเป็น สรภัญญะ คือกล่าวสรภัญญะ แต่ภาษาไทยแปลว่าสวดสรภัญญะ ในพระสูตรต่างๆ ก็มีแค่นั้น สระสั้นกับยาว พระพุทธเจ้าทรงว่ามีวาจาไพเราะ เพราะพริ้ง อันไม่มีโทษ ทำให้เข้าใจดี รู้ความได้แจ่มชัด ประเด็นคำว่ารู้ความได้แจ่มชัด นี่แหละ
ถ้าไม่ใส่ทำนองกับการใส่ทำนองอันไหนจะรู้ความได้แจ่มชัดกว่ากัน ก็ต้องการไม่ใส่ทำนองจะรู้ความได้ชัดกว่ากัน ใช้ รัสสระกับทีฆสระให้ถูก พระพุทธเจ้าก็ชมว่าเป็นถ้อยคำไพเราะ แล้วพระโสณะ เป็นเอตทัคคะในการกล่าวถ้อยคำอันไพเราะ นี่เขาก็พยายามติดตามคนมาให้ดู มีตั้งแต่ข้อ 480 423 เล่ม 5
ที่อาตมากล่าวคำนี้ เพราะทุกวันนี้พูดกันไม่เป็นภาษาคนแล้ว มันพูดกันเป็นทำนอง พูดกันเยอะ ออกเสียงยาวเกินกว่า ทีฆสระ ที่อาตมาพูดไปนี้ ก็ให้รู้เรื่องก็เป็นคำไพเราะดี เข้าใจดีชัดเจน ดี บางคำอาจเน้นยาวนิดนึง ก็ต้องดูเจตนารมย์ คำนี้ยาวไปนิดนึงก็ไม่ได้เกินอะไรนักหนาก็รู้จักเจตนารมณ์ ไม่ได้เจตนาให้เกิดการไพเราะ ที่ให้มีความพิสดารใส่เข้าไปแทนที่จะพูด มีแต่สรภัญญะ
อาตมาอ่านในเล่ม 7 ข้อ 20-21 ในพระวินัย อาตมาไม่ได้หยิบเล่มมา เรื่องการสวดสรภัญญะ
[21] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายรังเกียจในการสวดสรภัญญะ จึงกราบ ทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สวดเป็น ทำนองสรภัญญะได้ ฯ
[๒๑] เตน โข ปน สมเยน ภิกฺขู สรภฺเ กุกฺกุจฺจายนฺติ ฯ อถโข เต ภิกฺขู ภควโต เอตมตฺถ อาโรเจสุ ฯ อนุชานามิ ภิกฺขเว สรภฺนฺติ ฯ
พ่อครูว่า…ในพระบาลีไม่มีคำว่าทำนองเลย นี่แหละคือการแปลด้วยอัตโนมัติ ที่เราเองเข้าใจแล้วก็ทำให้ภาษาพระไตรปิฎกผิดออกไปจากสัจธรรม โดยเฉพาะพระวินัย พระวินัยต้องชัดเจนคมแม่น ไม่อย่างนั้นก็ต้องไปด้วยกันพระวินัยและพระธรรมมันก็ผิดก็ต้องเสื่อม
เพราะฉะนั้นผู้แปลมีความซื่อบื้อ พาซื่อก็ต้องสวดทำนอง สรภัญญะท่านอนุโลมให้ใส่ทำนอง คุณเข้าใจไปเองขออภัยอาตมาอยู่ในยุคพระพุทธเจ้าไม่เห็นมีเลยขึ้นมาพูดเอาเอง พูดอย่างนี้ยอมรับ อาตมาเปิดเผยทุกอย่างหมดแล้ว อาตมาจะอมพะนำไปทำไม?
สม.กล้าข้ามฝัน…
อาตมาว่าอาตมาชีวิตนี้ เกิดมาได้ทำสิ่งที่มีค่าตลอดเวลาแต่ละวันแต่ละวันทำมา 40 กว่าปีแล้วชีวิตมีค่า ไม่เหมือนเมื่อตอนที่อาตมาทำงานอยู่ 36 ปี ชีวิตไร้ค่า นอกจากไร้ค่าแล้ว เพียงเป็นชีวิตที่มีโทษมีภัยแก่ผู้อื่นไปแย่งชิงลาภยศสรรเสริญ แย่งความสุข แบบโลกๆเขามา พอเลิกแย่งแล้ว เราไม่ได้เป็นตัวแย่งในสังคม เป็นนักเศรษฐกิจชั้น 1 เราเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชั้น 1 ไม่ได้ไปแย่งสมบัติของใคร แย่งลาภยศสรรเสริญ เรื่องความสุขของคนที่โลกเขาต้องการแล้วเขาตะกรุมตะกรามแสวงหา เราก็ไม่ได้เป็นคนไปแย่ง เราเป็นคนช่วยเศรษฐกิจโลกเศรษฐกิจของชาติ เราไม่ได้เป็นตัวแย่ง ก็เท่ากับเราช่วยผู้บริหารประเทศ เราไม่ได้เป็นปัญหาทางเศรษฐกิจเลย ซึ่งชีวิตอาตมาว่า ชีวิตเรานอกจากจะได้เป็นคนมีค่าตรงที่ว่าเรามาทำงานมาพูด เรามาแสดงตัวแสดงตนแสดงคำกิริยาต่างๆ ก็เป็นประโยชน์แก่คน คนที่ติดตามศึกษาอย่าง สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน อย่างใครต่อใครที่พยายามมาเอา อาตมาก็ยังรู้สึก(พ่อครูไอตัดออกด้วย) รู้สึกสบายใจเพราะธรรมะของอาตมาที่แสดงนี้เป็นสิ่งที่ยาก ยากที่จะแสดงและยากจะมีคนฟัง แต่ยากขนาดนี้ก็ยังมีคนมานั่งฟังขนาดนี้ ถือว่าเต็มก็ได้นะ เก้าอี้เต็มนั่งข้างล่างด้วย บนเก้าอี้ทุกตัวเต็ม แสดงว่านักเรียนเต็มห้อง นักเรียนดีมีการศึกษา นักเรียนไม่มีชั่วโมงสอน เมื่อถึงเวลาชั่วโมงสอนก็มาเต็มห้องใช้ได้ ทั้งๆที่ธรรมะยาก ยากแน่นอนสูงลึกซึ้ง ไม่ใช่ธรรมสามัญทั่วไป อาตมาจึงเห็นว่าชีวิตมีค่าไม่สูญเปล่า ทำงานก็ยังมีผู้มารับ ไม่ใช่ว่าเราทำงานจะให้แล้วไม่มีใครมาเอาเลย อะไรต่างๆนานา
อย่างพวกเรารู้ค่าก็มาเอา คนข้างนอกอย่าว่าแต่มาเอาของอาตมาที่บรรยายเลย แม้แต่จัดค่าย ประกาศแล้วประกาศอีก 10 คน 20 คนยาก 30 คนก็โอ้โหถือว่า เฮงมาก ไม่เหมือนทางโลกเขาบอกว่า วัดไหนก็แล้วแต่ โยม จะจัดงานนะ จะมีการชุมนุมปฏิบัติธรรมเขาก็ไปกันเป็นฝูง นุ่งขาวห่มขาวกันไปเป็นฝูง ถือตะกร้าหมากพลูกันไปเต็มไปนั่ง คนก็ไปกันเยอะ อาตมาดูแล้วคนเขาก็ยังนิยมศาสนาอยู่นะ แต่น่าสงสารจังเลย โอ้โหคุณได้ศาสนาขี้หมาอะไร ขออภัยดูถูกดูแคลนเขา พากันไปนั่งสงบเหมือนฤาษีชีไพรต่างๆนานา เขาพาให้หาวิธีหยุดพักทำงาน พักทั้งกายวาจาหยุดการคิด นี่คือองค์รวมเลย ก็เท่านั้นเอง หยุดเองก็ได้ ไม่เห็นจะต้องมาวัดให้เมื่อยทำไมใช่ไหม แต่นี่แหละได้มาปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธมีอยู่แค่นี้แหละ
ทีนี้จะเข้าถึงเป้าลึก ศาสนาพุทธหลักปฏิบัติธรรมคือจะต้องเข้าสู่ตัวสงบ สันตา สันตานี้ความสงบจบด้วยพยัญชนะ 5 ตัวคือ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา นี่คือความสงบที่สูงสุดของศาสนาพุทธผู้ทำจิตได้เป็นอุเบกขา 5 เป็นคุณสมบัติสุดยอด อาตมาว่าอาตมามีอุเบกขา 5 นี้อยู่เป็นปกติ อย่าว่าแต่ตอนทำงานเลยทั้งการพูดการออกกายกรรม มีนัจจะ คีตะ วาทิตะ มีสำเนียงสุ้มเสียง คีตะ วาทิตะ สรรหาคำมากล่าวกับพวกคุณ ภาษาบางคำอาจจะสนุก ก็เป็นส่วนประกอบที่ทำให้คุณเข้าใจธรรมะได้ดียิ่งขึ้น ไม่ใช่ว่าจะมาตลกจ๊กมก นะ คำที่จะให้รู้สึกสนุกบ้างประกอบคำบรรยาย
อาตมาว่าจะมาเป็นผู้ที่มีความสงบมากเลยแต่คนไม่เข้าใจ สงบอะไร แสดงธรรมะก็มึงมาพาโวยแสดงเสียงดัง แสดงเสียงดุเสียงแรง อาตมาก็บอกไปหมดแล้ว ว่าอาตมามีข้อด้อย 10 ข้อ
“ข้อด้อย”ของอาตมาที่ต้องขออภัยอย่างยิ่งจริงๆ
อาตมามี“ข้อด้อย”อยู่มากมายหลายข้อจริงๆ ลองตรวจตนเองแล้วประมวลมาดู มีมากพอสมควร …. เช่น
1.มีความจริงใจสูง กับการแสดงออก ไม่ค่อยปิดบังอะไร ..ซื่อๆ ตรงๆ ไม่ลดเลี้ยว สุดโต่งตรงเกิน
2.แสดงออกเต็มที่ ต้องการให้คนรู้ คนเห็นชัดๆ ไม่ออมมือ ไม่เหยาะๆแหยะๆ จึงแรง
3.ไม่สำรวมกิริยาให้สวย เท่ๆ งามๆ สุภาพๆอะไรทำนองนั้น
4.ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าจริงจัง ไม่อนุโลมเท่าที่คนยุคนี้ ที่อ่อนแอ ล้มเหลวอยากให้อนุโลมเอาใจบ้าง
5.เป็นคนไม่กลัวเสียหน้า ถ้าจะแสดงอะไรออกมา จะว่ามารยาทไม่ค่อยดีก็ได้ หรือมารยาทไม่มีเลยก็ใช่
6.เป็นคนไม่กลัวว่า จะไม่มีใครมาเป็นหมู่พวกบริวาร
7.จึงไม่สร้างภาพ รังเกียจการสร้างภาพเอาด้วย เพราะเห็นการสร้างภาพเป็นการหลอกลวง
8.ไม่กลัวคนจะไม่ยกย่อง ไม่กลัวคนจะไม่นับถือ
9.ยึด(ที่จริงอาตมายืนหยัด)ความจริง ซื่อตรงต่อความจริง ต่อสัจธรรมสูง จนถูกเข้าใจผิดว่า ยึดมั่นถือมั่น ดื้อดึงดัน
-
เคร่งครัดกับคำตรัสที่ว่า นิคคัณเห นิคคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง เกินไป โดยเฉพาะนิคคัณเห นิคคหารหัง จนถูกเข้าใจผิดว่าคนอะไรเอาแต่ติเอาแต่ด่า
เวลาจะชมก็เหมือนกับชมแต่พวกตัวเองเวลาด่าว่าก็เหมือนกับไปว่าแต่คนอื่น เพราะจริงๆแล้วเขาก็ผิดจริง พวกเราก็ถูกจริง อาตมาพูดตรงๆนะ
ใครจะว่าอาตมามองโลกในแง่ร้าย เที่ยวไปพูดดูถูกเขาไปหมดแล้ว ตัวเองถูกอยู่คนเดียว ขออภัยเพราะว่าศาสนามันได้ผิดเพี้ยนไปหมดแล้ว ที่ผิดคือไม่มีโลกุตระ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาโลกุตระเป็นอเทวนิยม ซึ่งต้องเผยแพร่อันนี้ให้แก่ มนุษยชาติ ศาสนาอื่นก็มีถึงขั้นเป็นศาสนามีเป็นศาสนา มันเป็นศาสนาโลกีย์ เขาก็สอนไม่รู้กี่สิบศาสนาเป็นโลกีย์ทั้งนั้น มันมีโลกุตระเพียงแต่ศาสนาพุทธเท่านั้นมันมีเวลาเท่ากัน
ทางโลกก็เผยแพร่ศาสนาโลกีย์ไม่ได้วรรคเว้น เราโลกุตระนั้นไม่ควรจะวรรคเว้น ต้องทำให้ยิ่งกว่าเขา มันยังไม่ค่อยทันเท่าเขาเลย
มันน้อย และมันก็ดีด้วยนะ ไม่ใช่ว่าหลงตัวหลงตนมันเป็นธรรมะที่กอบกู้มนุษยชาติกอบกู้สังคมกอบกู้โลก เพราะถ้าได้ธรรมะแล้วจะไม่เกิดสงครามไม่เกิดการแย่งชิงฆ่าแกงกัน มันจะไม่เกิดโทษภัยแก่กันและกัน มันจะมีแต่ประโยชน์เกื้อกูลกัน มันจะเป็นเอกีภาวะ มันจะเป็นสังคมสามัคคี มันจะไม่มีการวิวาทกัน มันจะมีแต่การสงเคราะห์กัน สังคหะ เกื้อกูลช่วยเหลือกันทั้งนั้น จะมีแต่การเคารพกัน จะมีแต่การรักกัน จะมีแต่การระลึกถึงกัน เอาของพระพุทธเจ้ามาอธิบาย สวยๆเท่เสียไม่มี ใครไม่รู้ก็อาจจะหาว่าจะมาพูดเอาเองแต่เป็นของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น
เป็น
๑. สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ)
๒. ปิยกรณะ (รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน) .
๓. ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ)
๔. สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูลช่วยเหลือกัน) . . .
๕. อวิวาทะ (ไม่วิวาทแตกแยกกัน) .
๖. สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่) .
๗. เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน)
(โกสัมพีสูตร พตปฎ. ล.๒๒ ข.๒๘๒-๒๘๓)
เป็นจิตวิญญาณที่มีการระลึกถึงกัน แม้แต่ธัมมชโยอาตมายังระลึกถึง อยากให้เขาเลิกและหยุดสิ่งที่มันชั่วมันเลว แล้วมันหลอกจนกระทั่งคนหลงผิด เห็นความไม่ดีไม่งามของคุณที่มาหลอกมาโกหกเขา ว่ามันถูก เช่นคุณโกหกเขาว่า มันมีสวรรค์ คุณรู้ว่าสวรรค์ไม่มีอย่างนั้นคุณพูดเอาเอง เช่น คุณบอกว่าตายแล้วจะไปอยู่สวรรค์ชั้นนั้นชั้นนี้ แต่พอเขามาถามว่า มาทำบุญที่ธรรมกายและพ่อเขาไปอยู่ที่สวรรค์ชั้นไหน แล้ว ธัมมชโยก็บอกว่าไปอยู่สวรรค์ชั้นนั้นชั้นนี้ แต่คนนี้เขาบอกว่าพ่อเขายังไม่ตาย ก็เลยรู้ว่าธัมมชโยนี้โกหก
คุณเชื่อไหมว่าธัมมชโยมีจิตล่วงรู้สวรรค์ท่านนั้นท่านนี้เชื่อไหม …ไม่เชื่อ
ถ้าเผื่อว่าพระสายหลับตา สายอ.มั่นอาจปั้นนิรมาณกายว่ามีนะ อย่างอ.มั่นว่า เมื่อคืนนี้เทวดามาจากเยอรมัน เป็นตัวตนเป็นรูปร่างในฝัน เป็นตุเป็นตะ อาจารย์มั่นถือว่าเป็นนิมิตในฝัน คือฝันมีเทวดาเยอรมัน มาเล่าให้ลูกศิษย์ฟัง มหาบัว บันทึกในประวัติอาจารย์มั่น ซึ่งไม่ได้รู้เลยว่าวิญญาณไม่ได้เป็นเช่นนั้นวิญญาณไม่มีรูปมีร่าง
เข้าสู่สาระเลย…คือจิตวิญญาณ เป็นลักษณะของรูปนาม วิญญาณอยู่ในอาหาร 4 วิญญาณคือรูปนาม ถ้าเรียนรู้ก็จะรู้ว่ามันมีธรรมะ 2 ปรุงแต่งกันอยู่ คือเป็นธาตุรู้ กับสิ่งที่ถูกรู้
ถ้าปรินิพพานไปไม่มีธาตุรู้ ก็ไม่มีอะไรอีกแล้ว เขาก็ไม่มีวิญญาณ เพราะฉะนั้นวิญญาณจึงอยู่กับสภาพที่เป็นธรรมะ 2 เพราะฉะนั้นคนที่ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เป็นอรหันต์แล้วก็จะมีสิ่งนี้เป็น 2 แต่เขาไม่มีเวทนาเก๊ เขาเห็นความจริงตามความเป็นจริง สัมผัสด้วยตาก็เห็นเป็นรูป รูปฟักข้าว ลูกมะนาวใหญ่(หมากเหว่อ) เพราะฉะนั้นวิญญาณคือรูปธาตุกับนามธาตุทำงานร่วมกันอยู่ ยังไม่ปรินิพพานแม้พระอรหันต์ก็ยังมีอยู่ ยังมีธรรมะที่เป็นหนึ่งไม่เป็นธรรมะ 2 แล้ว
ทีนี้ วิญญาณที่ไม่เข้าใจที่มิจฉาทิฐิ หากยังไม่ตาย จิตวิญญาณก็อยู่ที่เรายังไม่ตาย คนที่ตายไปแล้ว วิญญาณของคนตาย คนตายที่หลงว่ามีภพของสวรรค์ ก็เหมือนฝันเป็นภพเป็นชาติ แต่จะไม่นาน เพราะว่าคนเรามีอกุศลเยอะกว่ากุศล ก็จะมีคุณสมบัติของพลังงานนรกมากกว่าพลังงานสวรรค์ มันจึงออกฤทธิ์มาก เพราะฉะนั้นคนที่ตายแล้ว จะไปสวรรค์ พระพุทธเจ้าตรัสว่าน้อยกว่าน้อยนัก ส่วนมากลงนรก เพราะฉะนั้นส่วนมากตายไปแล้วจิตวิญญาณเป็นนรก จิตวิญญาณเป็นนรกเป็นอย่างไร ในอัตภาพของคุณคือ
คุณฝันว่าคุณทุกข์ร้อน เหมือนนรก เหมือนเรื่องที่มันฝันร้าย คุณตายแล้ว ยังไงก็อย่างนั้น แต่จริงกว่านั้น คุณไม่มีรูปธรรมตา หู จมูก ลิ้น กายหน่วงไว้เลย มีแต่จิตสดๆของนรก แล้วมันอยู่ที่คุณคนเดียว ไม่มีใครไปร่วมนรกด้วยไม่มี คุณก็จมอยู่อย่างนั้น เพราะไม่มีอะไรช่วยเลย เป็นวิบากของคุณไม่มีอะไรจะช่วย …
สมณะฟ้าไท…สรุป คนทางโลกน่าสงสาร เขาอยู่กับกากเศษที่ไม่ใช่พุทธ ไปอยู่กับการนั่งหลับตาและประเพณีเนื้องอกอีกเยอะเลย …