610826_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ทำไมต้องตำหนิสมาธิหลับตา
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1DhMM9oUhmEC5z6Aw8bh1y-8Px92Xuhww80hzyoMw9Pc/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1q_zL9pHIbx7-F2x8vs5AlW182ztLroF6
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม 2561 เข้าพรรษามาได้ 1 เดือน ชีวิตเราได้เจอพระโพธิสัตว์ 2 องค์ถือเป็นโชคมาก พระโพธิสัตว์องค์หนึ่งก็ได้จากพวกเราไปแล้ว เราก็ยังอยู่กับพระโพธิสัตว์อีกองค์หนึ่ง ที่ทำให้คนพัฒนาตนเองเป็นพระอาริยะตั้งแต่พระโสดาบัน สกทาคามี อนาคามีจนเป็นอรหันต์ได้ ท่านบอกว่า สามารถทำได้ในกาละนี้ แล้วมาอยู่รวมกันเป็นชุมชน เป็นชุมชนที่รู้จักพอ รวมกลุ่มกันขาดทุนเพื่อสังคม ได้ทุกวันทุกเวลา ทำงานเอาเข้าหาตัวเองน้อย เอาเข้าส่วนตัวนะ ตามลำดับ ถ้าเขาได้รู้ว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุด แต่ว่าหายไปแล้ว เขาจะรู้สึกเสียดายมากเลยถ้ารู้ความจริงว่าดีขนาดนี้หรือ ทำให้เกิดความมหัศจรรย์ได้ขนาดนี้หรือ ยิ่งเขารู้สัจจะความจริง ก็จะเสียดายที่ไม่ได้มา
ตอนพระพุทธเจ้าปรินิพพานคนก็เสียดายเสียใจกันมาก เสียดายอย่างไรก็ไม่คืนมา ไม่สามารถเอาพระพุทธเจ้าคืนมาได้ เช่นเดียวกัน หากพ่อครูตายไป คนจะเสียดายกันมาก ชาวอโศกที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมจริงจังจะเสียดายมาก คนที่ไม่ได้มาก็จะเสียดายมาก ตอนยังอยู่เรียกไปเถอะ ตอนตายทำเป็นร้องไห้ แค่เพชรแค่ทองเราหายไปก็ยังมีคนเสียดาย แต่นี่ยิ่งกว่ายอดเพชรยอดทองด้วย
พ่อครูว่า…จะมีอย่างคุณว่าหรือ ลองตายดูดีไหม?
สมณะฟ้าไทว่า…ถ้าพ่อครูตายแล้วฟื้นได้ก็น่าจะลองดูแต่ว่าฟื้นไม่ได้นี่ไม่เอาครับ
พ่อครูว่า…SMS วันที่ 24 – 25 สค.
_4208มีคำถามถึงพ่อครูค่ะ ถ้าเราปฏิบัติศีลเคร่งขึ้น โดยเฉพาะกินมังสวิรัติและกินมื้อเดียวได้ เท่ากับเราได้เพิ่มอธิจิตเช่นกันใช่ไหมคะ จนจิตเรายิ่งสงบ ยิ่งหมดกิเลสเพราะการปฏิบัติศีลเคร่ง จนจิตเป็นสมาธิ นิ่ง สงบมากขึ้น หมายถึงสงบจากกิเลสค่ะ จิตจะคล่องแคล่ว ว่องไว รู้จักอนิจจัง รู้ความจางคลายของกิเลส จิตตัวนี้คือตัวปัญญาใช่หรือไม่ค่ะ
พ่อครูว่า…นั่นแหละคือจิตคุณแข็งแรงขึ้น จิตยิ่งสงบ คือ ในขณะที่กินมังสวิรัติกินมื้อเดียว จิตก็ดิ้นไม่อยากกินเนื้อสัตว์ กินมื้อเดียวก็ไม่พอใจอยากจะกินมื้ออื่นอีกมันดิ้น จนกระทั่งมันไม่ดิ้นคือจิตเราสงบ จิตเรากินมังสวิรัติก็สบายไม่ดิ้น กินมื้อเดียวก็สบายไม่ดิ้น ยิ่งหมดกิเลส ทีนี้ รู้เลยว่า เราสามารถที่จะหยุดกินเนื้อสัตว์ กินมังสวิรัติได้ ไม่กินเนื้อสัตว์อีกแล้ว กินมื้อเดียวก็ไม่ได้กิน 2 มื้อ 3 มืออีกแล้ว ดูเลยว่าหมดกิเลสเพราะปฏิบัติศีลเคร่ง จนจิตเป็นสมาธิ จนจิตตั้งมั่น
สมาธิแปลว่าจิตตั้งมั่นจิตเป็นเช่นนั้นอยู่ถาวรนิรันดร จิตมันไม่ดิ้นอย่างนั้น สงบอยู่อย่างนั้น มันอยู่กับโลกที่เขามีเนื้อสัตว์ เกี่ยวกับเนื้อสัตว์สัมผัสกับเนื้อสัตว์ ใครจะเอาเนื้อสัตว์มาโฆษณายั่วยุอย่างไร นิ่งสงบ ตั้งมั่นสงบ ใครจะกินกี่มื้อไม่กี่มื้อก็ช่างเขาเราจะกินมื้อเดียว คนอื่นกินหลายมื้อเห็นยั่วยวนหลอกล่อ เราก็สงบตั้งมั่น นิ่งสงบมากขึ้น หมายถึงสงบจากกิเลส ก็ใช่
ถ้าเรารู้จักกิเลสแล้วก็ทำให้กิเลสมันลดลงถาวรได้ไปเลยกิเลสมันดับสนิท อย่างยั่งยืนถาวรนิรันดรไปเลย นั่นแหละจิตจะคล่องแคล่วว่องไว แน่นอน จิตไม่มีกิเลสเข้ามากวนจิตจะเข้าคล่องว่องไวเร็ว มุทุภูตธาตุ ยิ่งคล่องแคล่วว่องไว สมาธิจิตของคุณ ไม่ใช่จิตที่หยุดนิ่งไม่ทำอะไร จิตที่ไม่คิดอะไรไม่ทำอะไร นั่นก็ถือว่าเป็นสมาธินั้นไม่ใช่ จิตเป็นสมาธิจะยิ่งแคล่วคล่อง เพราะจิตที่มันมีกิเลสเป็นอกุศลจิตมันหายไป มันไม่มีอำนาจในจิต จิตก็ยังเป็นอิสระเสรีแคล่วคล่องว่องไว
รู้ความจางคลายของกิเลส จิตตัวนี้เป็นตัวปัญญา ใช่ไหม ถ้าเรามีจิตที่รู้ได้ว่ากิเลสที่มันขึ้นมานั้นเราทำให้มันไม่เที่ยงได้ มันเป็นตัวทำให้เราทุกข์ กิเลสมันหมดไปได้ไม่มีตัวตนมันเป็นอนัตตา มันหมดไปแล้ว หมดไปอย่างยั่งยืนถาวรด้วยคุณก็จะมีปัญญา จิตตัวนี้เป็นปัญญาเห็นสิ่งนั้นมันหมดไป
_3867วันนี้มีปาฐกถาลุงตู่ฯกบเข็ดกลียุคฯขออย่าคืนความทุกข์ให้ปชช.ในชาติด้วยความประมาทอำนาจนายใหญ่ ลี้ภัย?บทเรียนการเมืองข้ามชาตินำรัฐบาลนอมินีระบอบซุก หุ้นฯล้ม ..เผากรุงฯชาวนา แขวนคอฯชนวนไฟใต้ฯชนะทุกเกมมาหลายยุคคงไม่ทำให้คสช.มวลชนทุกสมัย ลืม?
พ่อครูว่า…ใครจะลืมก็ลืมไปคนไม่ลืมก็ไม่ลืม
_1614เมื่อทำความดี เราต้องลืมทุกสิ่งทุกอย่างหมด คือ ไม่เห็นแก่อะไรหมด นอกจากเห็นแก่ความดี #หอจดหมายเหตุพุทธทาส #BIA นอกจากเห็นแก่ความดี นี้ถ้าถูกตรง ควร เป็นอย่างไร
พ่อครูว่า…ลืมไปหมดก็โง่สิ มันจะไม่มีอะไรเปรียบเทียบ จริงๆแล้วเรื่องความดีเป็นสมมติสัจจะความดีความชั่ว ความดีความชั่วเป็นเรื่องความไม่เที่ยงไม่แน่นอนอะไร เปลี่ยนกันไปเปลี่ยนกันมาเดี๋ยวก็ว่าอย่างนั้นดีเดี๋ยวว่าอย่างนั้นไม่ดีเปลี่ยนไปไม่เที่ยง เพราะฉะนั้นถ้าสังคมมนุษย์มีความดี เราก็ทำไปสังคมเป็นแบบนี้ สังคมในยุคนี้เกิดมาใหม่ สังคมมันปรับเปลี่ยนอันนี้ไม่ดีมันเป็นชั่วก็ได้ ก็กลับไปกลับมาได้เป็นสมมติสัจจะ มันไม่เที่ยง
แต่ไม่เที่ยงคือทำให้จิตที่เป็นอวิชชามันโง่ คือทำจิตของเราให้ไม่มีกิเลส นี่เป็นเป้าหมายหลักสำคัญที่เป็นความจริงปรมัตถ์สัจจะ กิเลสมันคืออกุศลจิต คนทุกคนมีทุกคน ศาสนาไหนเขาไม่เรียนก็เรื่องของเขา แต่ศาสนาพุทธนั้นเรียนเลย อาการของจิตที่มีกิเลส แล้วเรียนรู้วิธีกำจัดกิเลสนี้ให้ได้จริงๆ แล้วทำได้จริงๆด้วยศาสนาพุทธยืนยันได้อย่างถาวรยั่งยืน นี่คือพระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้ แล้วทำสำเร็จ นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้า ถือเป็นเรื่องใหญ่ แล้วก็สอนเรื่องนี้ คือเรื่องทุกข์
เหตุของความทุกข์นี่แหละมันเกิดอกุศลเกิดความไม่ดีก็ดับเหตุแห่งทุกข์ มันก็ไม่ทำให้เกิดความเป็นอกุศลอีกแล้ว มันจึงปลอดภัย พระพุทธเจ้าท่านจับหัวใจของมนุษยชาติได้ มนุษยชาติดับกิเลสได้แล้ว ดับกิเลสได้แล้วปัญญาจะเกิดไปรู้โลกรู้อัตตา รู้โลก คือโลกวิทู รู้โลกที่ปรุงแต่งกันเป็นธรรมะ 2 หยาบ กลาง ละเอียด แล้วก็รู้ตัวตน ดูของเราและของคนอื่นที่เขาจะมีกิเลสก็จะรู้ตามบารมี หรือว่ามีกิเลสไม่มีกิเลส เราก็ไม่ควรจะไปวุ่นวายอะไรกับมัน หรือเราเห็นว่าเราควรจะวุ่นกับเขา เพราะเห็นว่าจะช่วยเขาได้ก็ช่วย เราช่วยเขาไม่ได้ ก็แล้วไป เรามีโอกาสเราจะว่าอย่างนี้ดีก็ว่าไป มันไม่ดีมันมีอย่างอื่นอีก ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ อาตมาพูดก็พูดด้วยเจตนาดี ไม่ได้มีเจตนาชั่ว
เจตนาดีคือไม่ได้หวังร้ายต่อผู้ใด แม้จะกล่าวจะพูดที่ไม่ดีที่ผิด ก็ไม่ได้หวังร้ายต่อผู้ที่ไม่ดีไม่ได้หวังร้ายต่อผู้ที่ผิด ปรารถนาจะให้เขารู้ตัวคนที่ไปนับถือเป็นลูกศิษย์ลูกหาของคนที่ทำผิด เขาจะได้แก้ไข ถ้าไม่บอกเขาก็ยึดมั่นถือมั่นอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครกระตุกเขา ไม่มีใครไปเตือนเขาเลยไม่มีใครไปบอกเขาเลย มันก็ไม่รู้
ขนาดบอกแล้ว ก็ยังยึดมั่นถือมั่นก็ต้องบอกนะ เพราะว่าคนที่ยึดมั่นถือมั่นพระอาจารย์เขาเชื่อมั่น มันก็เลยต้องว่าแรงๆเป็นเรื่องจริง
พระพุทธเจ้าต้องชื่อสิทธัตถะอาจารย์คนนี้ตั้งชื่อมั่น เพราะว่าจะมีคนที่หลงยึดมั่นถือมั่นเยอะ โดยเฉพาะตนเองยึดมั่นถือมั่นอย่างที่ผิดนั้น อาตมาก็กระตุก ตอนนี้อ.มั่นตายไปแล้วเตือนไม่ได้ แต่คนก็นับถือกันเยอะ อาตมาไม่มีสถิติว่าการยึดมั่นถือมั่นอาจารย์มั่นจะหายได้ไหม มีคนบอกอาตมาว่าอย่าไปติดอาจารย์มั่น พวกนี้ใครเป็นคนอโศกด้วย แม้จะอยู่ในหมู่บ้านอโศก ก็ยังไปติดอ.มั่น ทำไมอาตมาจะติไม่ได้
นอกจากกฎหมายห้ามไม่ให้ตำหนิแล้วต้องติดคุกก็ไม่ตำหนิ แต่อันนี้อาตมาตำหนิด้วยเจตนาดีก็ต้องทำ ก็เท่านั้นเอง สิ่งใดติไม่ได้ห้ามด้วยกฏหมายก็จำนน แต่ไม่ได้ห้ามด้วยกฏหมายก็อย่ามาห้ามเสียให้ยาก
_ประสิทธิ์ โอวาทวงษ์ · ชาวอโศกเศรษฐกิจดี เพราะชาวชุมชนไม่มีสตางค์
พ่อครูว่า…ถ้าพูดแค่นั้นมันก็ไม่เต็ม คิดตื้นๆง่ายว่า ไม่มีสตางค์แล้วจะกินอะไร คำตอบก็คือกินสิ่งที่เราทำ ในแผ่นดินถิ่นฐานนี้เราก็ปลูกพืชพรรณธัญญาหาร เราไม่ต้องกินสัตว์เรากินแต่พืช เราก็สบายไม่ต้องไปหาสัตว์มากิน เรารู้มากกว่านั้นว่ากินสัตว์ไม่ดีเราก็เลิก ยังสบายๆ กินพืชก็พอแล้วชีวิตนี้ชัดเจนเราไม่มีปัญหา เราก็กินพืชปลูกพืชมากิน จนทุกวันนี้พืชพันธุ์ธัญญาหารของเราเหลือเฟือ มีมากเกิน แล้วชีวิตของเราก็อาศัยพืชพรรณธัญญาหารอยู่กันได้ตลอดตายแล้ว ถ่ายมาอีกเกิดมาอีกก็ยังมีกินได้อีก สบม.ธมด.ปกต.หห.จจ.มชยลล
เราปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าแล้วรู้จุดสำคัญของชีวิต จุดสำคัญที่ท่านสอนเราคือให้เป็นคนเลี้ยงง่าย เป็นคนบำรุงง่าย เป็นคนมักน้อย หรือกล้าจน เป็นคนบำรุงง่าย เป็นคนสันโดษ อยู่กับหมู่ฝูงมีอยู่มีกินพอ จิตของเราสันโดษ ไม่ได้หมายความว่าอยู่คนเดียว แต่คุณสมบัติของสันโดษยิ่งจะมีหมู่กลุ่มที่แน่นหนา อาจจะเป็นหมู่กลุ่มที่ไม่โต เพราะคนไม่สันโดษก็ไม่มา แต่รวมกันอย่างผูกพันแน่นหนา เอกีภาวะ เป็นการพิสูจน์คำตรัสพระพุทธเจ้า ว่า วรรณะ The Classes เป็นคุณสมบัติชั้นสูงของมนุษย์เป็นวรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
เอาศีลของพระพุทธเจ้ามาจับก็เคร่งครัด มีศีลเหล่านั้นได้เป็นปกติ วันๆก็ขยันรู้จักพักรู้จักเพียรทำไม่เสียสุขภาพร่างกาย สุดยอดของคนเลย
อาตมาภูมิใจ ที่ได้นำธรรมะพุทธเจ้ามาให้พวกเราปฏิบัติได้ผลจนเกิดกลุ่มชุมชนชาวอโศกในประเทศไทยอยู่หลายแห่ง เป็นคนมีวัฒนธรรม คนประพฤติอย่างนี้เป็นคนทำให้เศรษฐกิจดีไม่ทำให้สังคมเศรษฐกิจของประเทศแม้แต่เศรษฐกิจของโลกเสีย
เพราะของเรายืนหยัดเป็นอย่างนี้แล้วก็แสดงว่า พวกเราก็เป็นสุขสบาย มาเป็นคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ มีอยู่มีกิน ไม่ต้องแย่งชิงใคร ไม่ก่อเรื่องวุ่นวาย สร้างสรรค์เผื่อแผ่ออกไป อะไรที่ควรทำออกไปก็สร้างไป ให้คนอื่นได้อาศัย ให้คนอื่นได้มาพักพิง อย่างที่เป็นนี่ คนอื่นได้มาอาศัยมากิน มาพักพิงพักผ่อน สุขสำราญเบิกบานใจ ตัวเองไม่ต้องไปเบียดเบียนใคร อาตมายิ่งเห็นพวกเรามาจนนะ แต่เราก็เหลือ เราจนแต่เหลือ เราก็สามารถทำได้ อาตมาก็ยังไม่รู้เลย ของราชการเขาทำสาธารณูปโภค เช่นการสร้างถนน ก็บอกว่าเราสร้างให้นะ ก็ประมาณป่านนี้ก็ยังไม่มา เราก็บอกว่าเรามีเงินจะสร้างเองได้ไหม เขาก็บอกว่าสร้างก่อนเลย เราก็สร้าง ก็ไม่ได้ข่าวเลยว่า ของรัฐบาลจะมาหรือยัง
เราก็สร้างไปได้พอสมควร ที่อาตมาให้งบฯไว้ก้อนหนึ่งสามล้าน ก็ทำได้ต่อ หากเขายังไม่มาอีกเราก็จะสร้างต่อไปเอง สร้างแถวนี้เสร็จก็จะไปสร้างที่อื่นต่ออีก เพราะว่ามันดี คนจีนเขาบอกว่าถ้ามาบริจาคสร้างถนนจะเป็นประโยชน์อย่างมาก เขาถือว่าเป็นบุญเป็นกุศลสูง เป็นสิ่งต้องใช้อาศัยในมนุษยชาติ เมื่อสร้างถนนเป็นคอนกรีตก็เดินขึ้นสบาย หน้าฝนถนนเละเทะมากหากเป็นดิน เราก็ทำให้ดีเป็นที่อาศัย อย่าว่าแต่ถนนเลย อะไรอื่นก็แล้วแต่ ใจเรานี่อาตมาว่าอาตมาใจใหญ่แต่เงินไม่อำนวย หากเงินมากกว่านี้ก็จะสร้าง
เราเองเรามีน้ำใช้ ทุกวันนี้อโศกเราสุดยอดเลย น้ำที่ใช้อยู่ในเป็นน้ำธรรมชาติ กินได้อาบได้ น้ำในก๊อกเปิดออกมา จากบ่อน้ำซับ ที่ใช้กันอยู่ทั่วหมู่บ้าน เป็นน้ำแร่นะ ล้างส้วมก็เป็นน้ำแร่นะ อาตมาเคยคิดว่า อยากจะต่อท่อให้กุดระงุม เขาก็ไม่เอา
เราเอาแรงงานมาสร้างสรรค์ ไม่ไปเต้นไปดีด ไปเสียพลังงานเสียแคลอรี่ เราใช้หมดแล้วไม่มีเสีย เราก็กินเท่านี้ใช้เท่านี้ ร่างกายเราก็มีแคลอรี่เท่านี้ มันก็ใช้ทำงาน สังขารร่างกาย อวัยวะต่างๆ ก็อยู่สมดุลสบายไม่อ้วนเกิน สังเกตชาวอโศกไม่มีใครอ้วนฉุ ไม่มีหรอก สันทัดคน หล่อทั้งนั้น ไม่มีอ้วนฉุฉะ ไม่มีผอมกระหร่อง ไม่มีอ้วนเป็นหมูตอนไก่ตอนไม่มี มันได้สัดส่วน ที่พูดนี้ เป็นเรื่องจริงไม่ใช่พูดเล่น เดี๋ยวนี้เป็นโรคสารพัดทั้งโรคอ้วนโรคผอม แต่ของเราไม่อ้วนไม่ผอมได้สันทัดคน นี่เป็นเรื่องจริง
เราสร้างโฮ่งปัว เป็นโรงเรือนสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ใหญ่กว่าทุกหมู่บ้านที่ของรัฐบาลสร้างให้ เท่ากับโรงพยาบาลเล็กๆ แต่ยังไม่มีหมอ พวกเรายังไม่มีปัญญาจ้างหมอมา ถ้ามีหมอมาฟรีก็เอา เราก็มีพยาบาลอยู่บ้าง พยาบาลสมัครใจ ไม่เดือดร้อนเรื่องหมอ เราก็พยายามขอร้องหมอบ้าง หรือเอาคนไข้ไปหาหมอ แล้วเราก็ไม่ได้เป็นอะไรมากมาย ไม่ได้ป่วยไข้อะไรเกินการ หากเป็นมากก็ไปโรงพยาบาลไม่เป็นมากก็อยู่ที่นี่ พวกเราไม่ค่อยป่วยไข้อะไรเท่าไหร่ ไปตรวจสอบเลยกับสังคมหมู่บ้านอื่น สุขภาพร่างกายของชาวหมู่บ้านเราดีกว่า
_หลำ มงคลอินทร์ · เป็นความสุขที่หายาก…ขอขอบคุณพ่อที่ทำบุญโปรดมวลมนุษย์ชาติ
_พรชัย จันทรสอน · สิกขมาตุหลายรูปพูดได้น่าฟัง เช่นท่านสิกขมาตุสัจฉิกตา,ท่านสิกขมาตุรินฟ้าและท่านสิกขมาตุกล้าข้ามฝัน,กราบนมัสการ สาธุ
_สีดิน ลี · นักเรียนเรียนวิชาโลกุตระเต็มห้องที่ราชธานีอโศก หากเชคแต่ละพุทธสถานทั่วประเทศไทย ส่วนใหญ่ก็กำลังฟังพ่อครูตามหน้าจอกันเยอะมาก และหากเชคตามบ้านญาติธรรมที่มีทั่วโลกก็มีมากเช่นกัน
_พันธุ์ พอเพียง · ก่อนละสังขาร อ.มั่น บอกว่า จะไม่ตายที่อุดร(บ้านผือ)ขอไปตายที่สกลฯ เหตุผลคือถ้าสิ้นที่อุดรสัตว์ที่เลี้ยงไว้จะถูกฆ่าในระหว่างงานศพ ส่วนที่สกลนั้น เขามีตลาดมีขายเนื้อเป็นปกติทุกวันอยู่แล้ว ท่านมหาบัวเล่าไว้ครับ
ที่กระผมเล่าเรื่อง อ.มั่น ก็ไว้เป็นข้อมูลถวายพ่อครูไดัรู้จักภูมิของ อ.มั่น อีกมุมหนึ่ง ผมไม่วิเคราะห์น้ะครับ คิดลึกๆในใจเรื่อง ดีมานด์ ซัพพลาย์ การค้าขายเนื้อสัตว์ในช่วงจัดงานหนะครับ นมัสการครับ
พ่อครูว่า…อ.มั่นที่สอนมา อ.มั่นมีความรู้ทางพระธรรมวินัย หมายความว่าอาจารย์มั่นให้กินเนื้อสัตว์ที่ไปซื้อตามตลาดได้ อย่าไปฆ่า อ.มั่นก็ยังกินเนื้อสัตว์ แต่ก็พูดว่าอย่าไปผิดกฎระเบียบพระวินัยที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ ไม่ได้มีความรู้มากกว่านี้ไม่ได้หมายความว่าอาจารย์มั่นไม่ให้กินเนื้อสัตว์ ให้รู้ภูมิของอาจารย์มั่น อาจารย์มั่นซื่อตรงต่อพระธรรมวินัยตีความพระธรรมวินัยอย่างนี้ข้อนั้นว่า
พูดถึงข้อที่ว่า เนื้อสัตว์ที่เอามาจากตลาดมากินมันบาปทั้งนั้น ทวนอีกเรื่องนี้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในชีวกสูตร ฟังให้ดีนะ ท่านตรัสไว้ว่า เรื่องบาปไม่ใช่บุญเป็นอันมากเลย ห้าข้อ ทั้ง 5 ข้อนี้เป็นบาปไม่ใช่บุญเป็นอันมากเลย เริ่มตั้งแต่ข้อที่
-
ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)
-
สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส
-
ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”
-
สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส
-
ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภติ โส อิเมหิ ปญฺจหิ ฐาเนหิ พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร ล.13 ข.60
การนำเนื้อสัตว์มาถวายตถาคตและสาวกตถาคต มันเป็น อกัปปิยะ เป็นสิ่งที่ไม่ควรอย่างยิ่งเลย ใครก็ตามไม่ควรเลย จะเอาเนื้อสัตว์มาถวายพระพุทธเจ้าและสาวกพระพุทธเจ้า นี่แหละสุดยอด ถ้าเข้าใจธรรมะพระพุทธเจ้า
คนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เอาอาหารเนื้อสัตว์ไปถวายพระพุทธเจ้าและสาวกพุทธเจ้านั้น บาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลย เป็นชั้นๆไป รู้เสียบ้าง อย่าปึกหลาย โง่ไม่คืบคลาน โง่ไม่เปลี่ยนแปลง มีแต่โง่หนักยิ่งขึ้น จะไปไหวหรือ นี่คืออาตมาพยายามย้ำ ทำไมพูดเช่นนี้
การที่เราจะยังชีพด้วยพืช พอแล้ว ไม่เป็นพิษภัยไม่เป็นโรคไม่เป็นบาปอกุศลด้วย โดยรูปธรรมไม่มีอะไรขาดแคลนแล้ว คนอวิชชา หลงผิด กินเนื้อสัตว์กันทั่วโลก
เมืองไทยเป็นเมืองที่มีพืชพรรณธัญญาหารบริบูรณ์มากกว่า ไม่จำเป็นจะต้องไปรบกวนให้มีบาป เป็นวิบากบาปอีกเลย กินแต่พืชพันธุ์ธัญญาหารก็สบายเพราะว่าเป็นแดนที่ดี
ทีนี้ดินแดนตะวันตกปลูกพืชพรรณธัญญาหารไม่ค่อยสมบูรณ์เท่าเมืองไทย เมืองไทยเป็นเมืองที่มีดินน้ำไฟลมแสงแดด อะไรต่างๆครบบริบูรณ์ตลอดเวลาเลย มีหน้าฝน ทำได้แม้แต่หน้าฝน หน้าฝนจะมากไปหน่อย แต่พอสมควรปานกลาง ร้อนจัดเกินไปไม่ดี หากเป็นหิมะจะปลูกอะไรไม่ได้เลย เป็นความจำนนของภูมิประเทศเขา ยิ่งไปขั้วโลกเหนือขั้วโลกใต้ ไปหาพืชที่จะกินมันไม่มีก็ต้องกินเนื้อสัตว์ ใครจะไปอยู่ขั้วโลกเหนือขั้วโลกใต้ก็ช่างศีรษะเขา คนที่มาเกิดในถิ่นที่ดีอุดมสมบูรณ์แล้วต้องฉลาดจะได้มีชีวิตที่ดี
_1614 ที่บอกว่าเผาบ้านเผาเมืองลืมๆซ่ะ มันลืมกันไม่ได้นะ ประวัติศาสตร์มันถูกบันทึกลงไปแล้วพร้อมๆกับซากปรักหักพังทางจิตวิญญาณของคนไทยผู้พบเห็นภาพหายนะนั้นๆบนแผ่นดินนี้ ที่ติดตาติดใจไปนานแสนนานชั่วกัลปาวสานเลยเชียวหละ
_1614 การ คบ เพื่อน ควรศีลเสมอกัน ไหมคะ
_1614 การปฎิบัติไม่ควรตั้งเป้าหมายว่าจะได้ อะไร ระดับ ไหน จริงแล้ว ควรมี Goal ถูกไหมคะ
พ่อครูว่า..แน่นอนต้องมี goal จุดหมายเป้าหมาย แน่นอนต้องมี คุณไม่มีจุดหมายไม่มี Goal หากไม่มีก็สะเปะสะปะ ชาวอโศกมีจุดหมายมามีชีวิต ให้เป็นชีวิตที่ดีที่สุด ให้ชีวิตไม่มีกิเลส จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ ถิ่นฐาน หลักปฏิบัติสังคมองค์รวมที่มี พฤติบท ปฏิบัติกัน พฤติบทคือมีการประพฤติ มีบทการศึกษา มีข้อจำกัด อย่างชาวอโศกมีข้อจำกัด เข้ามาอยู่ในชาวอโศกมีบทปฏิบัติ ที่เป็นพื้นฐานหลักคือ 1. มีศีล 5 2. ไม่มีอบายมุข 3. ไม่กินเนื้อสัตว์ เป็นต้น
การปฏิบัติ มันค้านแย้งกัน ควรมีเป้าหมาย มี goal แต่ถ้าไม่ตั้งก็ไม่สะเปะสะปะ คำถามย้อนแย้งกันในตัว ตั้งเป้าหมายก็ต้องมีสิ แล้วควรตั้งสิ ไม่ใช่ไม่ควรตั้ง จะมาย้อนแย้งกันในตัว
_1614 การ คบ เพื่อน ควรศีลเสมอกัน ไหมคะ
พ่อครูว่า..ศีลไม่เสมอกันหรอกแต่ท่านให้สมานกัน คนมีภูมิศีล 5 ก็อยู่ คนมีศีลสูงกว่าก็ถือศีล 5 ได้ คนไม่ไหวกดข่มก็ถือศีล 5 ก็ไม่สบาย แต่ถ้าถือศีล 8 ก็อยู่ได้สบาย ก็เคารพกัน คนนี้ถือศีล 5 8 10 จนเป็นนักบวช เป็นภิกษุภิกษุณีก็สามารถอยู่ร่วมกันเป็นศีลเสมอสมานกัน
_1614 อยากจะทำสมาธิ แต่ไม่เข้าใจสมาธิ วิกฤตพระพุทธศาสนา
พ่อครูว่า…ถูกต้อง พุทธศาสนานั้นมีวิกฤตปั่นป่วนแลอะเทอะไม่เข้าเรื่องเข้าราว แต่เขาว่าไม่วุ่นวายเพราะกำหราบไว้ กำหราบ 1.ด้วยวิธีบังคับ 2. ด้วยวิธีการตั้งคณะ ก็มีมากมายวิธี ก็พออยู่ได้เป็นไป แต่ที่จริงมันไม่สงบ ไม่ค่อยอยู่อย่างสบาย
ต้องอยู่กันอย่างไม่มีกิเลสมากและไม่ต้องใช้แคลอรี่ไปบังคับควบคุมมัน อาจกดข่มบ้างหรือต้องศึกษาลดกิเลสนั้น ชาวอโศกอยู่ได้อย่างสบายเพราะมีกิเลสน้อย คนมีกิเลสมากจะอยู่ไม่ได้นานหรอกต้องดิ้นรนออกไป
และไม่ง่ายที่จะเข้าใจสมาธิ สมาธินั้นมันสูงกว่าฌาน สมาธิ แปลว่าจิตตั้งมั่น จิตอะไรตั้งมั่น จิตที่ไม่มีกิเลสจิตที่ได้ทำลายกิเลสแล้วกลายเป็นจิตสะอาด จิตที่สะอาดก็ตกผลึกตั้งมั่น ขึ้นเป็นสมาธิ จะทำให้จิตไม่มีกิเลสก็ต้องทำ ฌาน
ฌาน แปลว่าไฟ เป็นอุณหธาตุ มีฤทธิ์เดชเรียกด้วยศัพท์ว่า ไฟไปสลายราคะโทสะโมหะได้ ราคะโทสะโมหะ ก็เป็นพลังงานไฟ แต่ฌานเป็นพลังงานทำลายกิเลส
ต้องสร้าง พลังงานที่เหนือกว่าราคะโทสะโมหะเรียกว่าพลังงาน ฌาน ให้มาเผาให้มาจัดการกับราคะโทสะโมหะได้ ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าสามารถทำอันนี้ได้ทำความเป็นฌาน
ทีนี้มันนานๆมา ฌานแปลว่าเพ่งให้สงบ สมาธิแปลว่าเพ่งให้สงบ ก็เป็นความรู้แค่สะกดจิต สะกดจิตให้หยุดอยู่กับอะไรสักอย่าง บังคับให้มันหยุดๆๆๆ คำว่าสมาธิ คำว่าฌาน แปลว่าเพ่ง คนก็เลยยึดคำว่าฌานไปใช้ในภาษาอังกฤษว่า เพ่ง
การเพ่ง ในภาษาของเขา สามัญคือ Concentrate เขาก็ศึกษาพวกนี้ ก็เป็นชาวอโศก แต่ไปอยู่ที่โน่นมีครอบครัว เขาก็รู้ภาษาอังกฤษภาษาไทย เขาเรียนทางนี้มามี talent ทางนี้ด้วย เขาก็ท้วงด้วยว่า ฌาน นี่นะ ไปแปลว่า meditation ก็เพ่ง แต่ของพุทธมี concentrate ไม่ใช่ meditation ที่แปลว่าการสะกดจิต แต่ Concentration ไม่ใช่การสะกดจิต
คุณดูฟักข้าวสีแดงก็เพ่งแล้ว เป็นธรรมชาติก็เป็น Concentration เป็นแต่เพียงว่าผนึกให้มันมีพลังรวม แน่วแน่แน่นดี แล้วก็ปล่อยได้ง่าย ก็เสร็จกิจของมันก็สนใจอันอื่นต่อ ก็คือการรู้จัก เรียนให้จิตมันมี Concentration เรียกจิตที่เพ่งดีไม่สัดส่ายไม่มีอะไรกวนได้ดีมาก จิตอันนี้เป็นสมาธิที่ดี เป็น Concentration ที่ดี สามัญก็พูดกันเป็นปกติ ถ้าเอาใจใส่ ก็สามารถฝึกได้ดีขึ้น หากไม่จดจ่อมาก Concentration เขาก็ไม่เจริญไปตามประสา เขาก็ได้แค่นั้น Concentration ของเขา
จะเอามาเป็นเรื่องราวให้มี Concentration ก็เลยมาเพ่งอยู่กับสิ่งเดียวไม่คิดอันอื่นให้เป็นชำนาญ กลายเป็นการศึกษาที่เขาเรียกว่าเป็นสมาธิ การเพ่งให้จิตสงบ ทีนี้คนอยู่ในโลกมันกวน ทำมาหากินแย่งชิงกันปรุงแต่ง คนก็เลยวุ่นวายมาก เพราะตนเองอยากได้ทำมาหากินมากเป็นลาภยศสรรเสริญโลกียสุขมาก เต็มหูเต็มหัวไปหมด มันก็เลยวุ่นวายสงบไม่ได้ หยุดจิตฟุ้งซ่านไม่ได้
เพราะฉะนั้นในสังคมที่ไม่มีการศึกษา ก็มีแต่การปรุงแต่งเพื่อให้ได้ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข จัดจ้าน จัดการกับจิตไม่ได้จิตมันก็สะเปะสะปะไปมาก
ที่ไหนก็แล้วแต่สงสารในโลกธรรม จิตจึงไม่สงบจิตจึงเมื่อย ก็เลยหาวิธีการทำให้จิตสงบ คนก็สามารถทำให้จิตพักจิตสงบ โดยไปจดจ้องกับอะไร เป็นการสะกดจิต hypnotize
อาตมาตอนเป็นหนุ่มก็ไปผสมโรงกับเขา เราไม่ได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ไม่เป็นแพทย์ เขามีสมาคมค้นคว้าทางจิต แพทย์เป็นส่วนใหญ่ เขาก็ไปศึกษาค้นคว้าว่า ของเขาเป็นวิทยาศาสตร์ การนั่งสมาธิเป็นการสะกดจิตหรือเปล่า ตอนนั้นอาตมาไม่ประสีประสาเท่าไหร่แต่ทุกวันนี้ชัดเจนว่าการนั่งหลับตาทำสมาธิเป็นการสะกดจิต 100% ไปจดจ้องอะไรให้มันหยุด เท่านั้นเอง ทำได้ก็สำเร็จ เป็นสมาธิ ทำได้เก่งไม่ต้องฟุ้งซ่าน จิตใจไม่ออกไปเลยนี่คือถือว่าเก่งก็ได้สงบอย่างนั้น แต่ทีนี้สมาธิของพระพุทธเจ้านั้นไม่เป็นเช่นนั้น
อันนี้เป็นอจินไตย เป็นเรื่องรู้อย่าง ฌานวิสัย สมาธิวิสัย
สมาธิของพระพุทธเจ้าคือจิตตั้งมั่น สามารถที่จะไม่ให้จิต สัดส่าย มีธาตุจิต สำเร็จรวมเป็นจิตที่เป็นจุดจัดการ เจ้าของกิจการกับจิตได้อย่างเป็น มุทุภูตธาตุ เป็นธาตุที่ควบคุมได้อย่างไรไว้ให้เป็นหนึ่ง
เป็นหนึ่งได้อย่างเล็กละเอียดอย่างสนิทเลย จนกระทั่ง 1 ที่ว่านี้คือ สะอาดจากจิตที่ไม่ต้องการ เรียกมันว่ากิเลส กิเลสเล็กกิเลสน้อยกิเลสใหญ่ไม่มี จึงเป็นจิตสะอาด จิตไม่มีกิเลสเลย นี่แหละเป็นหนึ่ง ปริสุทธา
แม้แต่จิตที่สะอาดนี้จะไปเกี่ยวข้องกระทบกระแทกกระเทือนไปร่วมกับอะไรต่างๆนานาก็ยัง ปริโยทาตา เท่าไหร่ๆ จิตนี้ก็เป็นหนึ่งอยู่ เข้าไปร่วมทำด้วยคิดด้วยทำงานด้วยก็จัดการได้ ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากซึ่ง ฌานทั้ง 4 จัดการได้หมดเลยและรวมจิต มุทุ
จิตมุทุภูตธาตุ จึงเป็นจิตที่ เร็วไวมีประสิทธิภาพสูง แล้วไปทำกรรมการงานก็ยังเป็น กัมมัญญา เข้าไปจัดการควบคุมกับกรรมที่ทำ จึงเป็นการกระทำที่มี อัญญธาตุหรืออัญญา ยอดปัญญานี่ ควบคุมกรรมการงาน
การงานที่ทำนี้เป็นการงานที่ดีเหมาะควรวิเศษประเสริฐ เพราะไม่มีกิเลสมาปรุงแต่งร่วมไม่มีอกุศลจิตมาร่วมเลย แม้ทำงานแล้วจิตก็ยังประภัสสร ยังสะอาดผ่องแผ้วอยู่ตลอดกาลนาน นี่คือผลสำเร็จของพระพุทธเจ้าด้วยจิต ไม่จำเป็นต้องจดจ่อจดจ้อง แต่ปฏิบัติตามมรรคมีองค์ 8
ปฏิบัติไปตามลำดับ ปฏิบัติสมาธิของพระพุทธเจ้านั้น ต้องมีศีลเป็นข้อกำหนด
-
เกี่ยวข้องกับสัตว์ คุณอยู่ในโลก คุณมีชีวิตอยู่กับสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์ที่เป็นคนด้วยกัน สัตว์ทั้งหลายมันก็อยู่ของมัน คุณไม่ต้องไปเกี่ยวข้องกับมันได้เลย ไม่ต้องเอามันมาใช้งาน ไม่ต้องเอามันมากิน ไม่ต้องเอามันมาเลี้ยง สัตว์มันก็อยู่ของมันไป นี่คือศาสนาพุทธ สัตว์มันอยู่อิสระเสรีของมันแล้ว มันเป็นไปตามธรรมชาติ มันจะจัดการของมัน เราไม่ต้องไปเกี่ยวข้อง ไม่ต้องไปฆ่าแกง ไม่ต้องไปเลี้ยง ไม่ต้องกลัวมันจะเต็มโลก มันจะจัดการของมันเอง ไม่ต้องไปเก่งกว่าธรรมชาติเขาหรอก ธรรมชาติเขาจัดการกันเอง เพราะฉะนั้นชีวิตของคน พระพุทธเจ้าจึงไม่ต้องไปยุ่งกับสัตว์ ยุ่งแต่กับของ ดิน น้ำ ไฟ ลม กับพืชก็พอ ชีวิตนี้เราต้องเกี่ยวข้องกับพืช ดิน น้ำ ไฟ ลม สัตว์ไม่ต้องเกี่ยวเลย
โดยเฉพาะอยู่กับคนนี่ มีพฤติกรรมมีพฤติบทให้อยู่กับมนุษย์ได้อย่างดีก็แล้วกัน อยู่กันอย่างสมัครสามัคคี อยู่อย่างมีประโยชน์แก่กันและกัน ไม่ก่อโทษภัย อะไรให้แก่กันและกันเลย โดยเฉพาะกับคน สัตว์เราไม่เกี่ยวข้อง พืชเราก็จัดการสร้างสรร ดิน น้ำ ไฟ ลมเราจัดการได้บางส่วน เอามาใช้ได้ ก็เท่านั้นเอง จึงอยู่ร่วมกับทุกอย่างในโลก อย่างเป็นผู้รู้
จึงรู้ว่าของคือดินน้ำไฟลมพืช สมควรที่จะสร้าง สมควรที่จะใช้ สมควรที่จะร่วมประโยชน์กันอยู่เท่าใดๆ ก็ทำ ก็ใช้ ชีวิตก็ง่ายขึ้นเยอะเลย ชีวิตไม่ต้องยุ่งกับสัตว์
มีคนที่ทำเรื่องสัตว์อยู่แล้ว เพราะแต่ละคนมีจิตวิญญาณที่มีกิเลสที่จะไปจัดการตามประสา ยิ่งเราอยู่กับโลกเขา เราเป็นผู้ที่ขาดทุน เป็นผู้ที่เป็นผู้ให้ เป็นผู้ไม่เอา เป็นผู้ไม่เอาเปรียบ เป็นผู้ที่ไม่อยากได้เปรียบ ก็สงบ ทำไมเราอยู่อย่างไม่เอาเปรียบ ไม่ได้เปรียบเราอยู่สงบ เพราะเรามีกินมีใช้อาศัยในชีวิต เราสบายอุดมสมบูรณ์มีกินมีใช้เหลือเฟือ ถ้าไม่มีก็ทำขึ้นมาสร้างสรรขึ้นมา
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาของสัตว์โขลง ไม่ใช่สัตว์เดี่ยว ศาสนาพุทธไม่ใช่ปลีกเดียวออกป่าเขาถ้ำ ไปนั่งสะกดจิตแล้วจะบรรลุธรรม อย่างนั้นเป็นโมฆะบุรุษ ศาสนาเดียรถีย์ พุทธอยู่กับหมู่ ทำงาน สัมมาอาชีพ สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ แล้วจัดสรรให้เหมาะสมตั้งแต่การงานอาชีพการกระทำทุกอย่าง การพูดจาการคิดนึก ก็พยายามดูแลให้มีสติ มีสัมมาวายามะ อย่าให้มันไม่ปกติ อย่าให้จิตของเรามันมีกิเลส เข้าไปทำอาชีพก็เป็นอาชีพที่อยากให้เป็นมิจฉา อาชีพขี้โกง อาชีพหลอกลวง หรืออาชีพที่มีกิเลส เข้าไปทำให้เรามีกรรมกิริยาไม่ดี ก็เรียนรู้ตรงนี้เรียก เนมิตกตา
กุหนา หยาบคาย ลปนา ก็โกง เนมิตกตามาปฏิบัติธรรมเรียนรู้กิเลส ล้างกิเลสไปตามลำดับ แล้วจะเจริญไป เจริญแล้วก็อย่าไปมอบตัวในทางที่ผิด เรียก นิปเปสิกตา เพราะฉะนั้นชีวิตของเรา แม้เราบริสุทธิ์แล้วแต่ยังร่วมมือร่วมไม้ กับพวกที่ไม่ดีอยู่ มอบตัวในทางชั่ว ไปอยู่กับคนกับหมู่คณะที่ทำงานไม่ดีเป็นบาปก็อย่าไปทำ อยู่กับหมู่
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาหมู่สัตว์โขลง มากเป็นประเทศเลย หรือร่วมกันทั้งโลก คือมนุษย์ คนที่รวมกัน
มิจฉาชีพข้อที่ 5 สุดยอด ในความคิดของคน คือเป็นคนทำงานฟรีทำงานไม่ใช้แลกเปลี่ยนอะไรกับมาเลย อาตมาพูดถึงตรงนี้แล้วภูมิใจที่เอามิจฉาชีพข้อที่ 5 นี้มาให้คนปฏิบัติในยุคนี้ ที่ไม่ใช่สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไม่ใช่ยุคทาส เป็นยุคที่ ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพสมบูรณ์แล้ว จึงมาปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าได้อย่างพ้นมิจฉาชีพทั้ง 5 ข้อ อยู่ร่วมกันทำงานอย่างไม่ต้องเอาอะไรแลกเปลี่ยนเลย แล้วมาอยู่กับกองกลาง กินใช้ร่วมกันสุขสำราญเบิกบานใจ สุดยอดของนักการเมือง สุดยอดของการบริหารประเทศ เป็นเศรษฐกิจที่สูงสุด สาธารณโภคี ทำงานแล้วก็เอามาไว้กองกลางที่ใช้ร่วมกันทุกคนก็ได้ปฏิบัติเป็นคนมักน้อยสันโดษ เป็นคนเลี้ยงง่ายบำรุงง่าย เป็นคนมีวรรณะ 9 จึงอยู่กันอย่างสงบสบายมากเลย สังคมสาธารณโภคีสังคมที่มีวรรณะ 9 อย่างที่ชาวอโศกเป็น
อาตมาเอามาให้ทำ จนเป็นชุมชนชาวอโศกกระจายอยู่ทั่วประเทศ ทุกแห่งมีวรรณะ 9 มีสาธารณโภคีทั้งนั้น เรียกว่าเราสามารถทำให้ประชาชนคนไทยนั้น มาเป็นคนมีเศรษฐกิจอย่างนี้ มาเป็นคนมีการเมืองสังคมแบบนี้ อาตมาได้ช่วยประเทศชาติสำเร็จ ช่วยทำให้เกิดสังคมที่มีเศรษฐกิจที่ดีเยี่ยม การเมืองที่ดีเยี่ยม สังคมที่ดีเยี่ยม ผู้บริหารประเทศไม่ต้องเป็นภาระอะไรมากมาย อาตมาช่วยทำส่วนนี้แล้ว ถ้ายิ่งมาเอาทฤษฎีพระพุทธเจ้านี้ ทำได้เหมือนอาตมาทำได้ นักบริหารประเทศก็ทำให้เกิดกลุ่มสาธารณโภคีได้ เป็นชุมชนเหมือนอย่างที่อาตมาและชาวอโศกทำได้ ประเทศไทยก็เจริญ
มีสาธารณโภคีมากเพราะว่ารัฐบาลส่งเสริมผู้คนผู้บริหารเข้าใจ เมืองไทยก็เป็นเมืองพุทธ 95% ด้วย ก็เอาตามรัฐธรรมนูญไทย เอาตามพระพุทธเจ้าท่านคิดไว้ก่อนแล้ว ก็จะกลายเป็นหมู่บ้านสาธารณโภคี
จะต้องมีศีลจะต้องไม่มีอบายมุข ถ้ายิ่งไม่กินเนื้อสัตว์ อย่างที่ชาวอโศกทำได้เกี่ยวกับสัตว์ ถ้าหากประเทศเป็นประเทศมังสวิรัติทั้งประเทศ คิดดูสิว่าจะเป็นอย่างไร
ประเทศที่ใหญ่ อินเดียหรือจีน เขาต้องพยายามที่จะไม่ให้กินเนื้อสัตว์ อินเดียเขาทำได้ อินเดียก็สงบกว่าจีน จีนก็พยายามไม่ให้กินเนื้อสัตว์ กินเจกันก็ได้แค่นั้น แต่ประเทศจีนมีประชากรมากที่สุดในโลก แต่เป็นประเทศที่ไม่กินเนื้อสัตว์มากก็คืออินเดีย เขาจึงสงบกว่าเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนยืนยันได้เลย บางทีเขาก็มองว่าอินเดียสงบยังไม่เจริญเท่าจีน
ความเจริญของคุณคืออะไร สังคมมนุษยชาติที่สงบคือเจริญไหม
เอาอย่างนี้ อาตมาเองอาตมาไม่มีความรู้ว่า อินเดียกับจีนนี้ใครจะเป็นหนี้มากกว่ากัน จีนพยายามกอบกู้ประเทศ เพราะฉะนั้นดูในเงินสะพัดปัจจุบัน ที่หมุนเวียนเงินเข้าเงินออกทุกวันนี้ อาตมาไม่รู้รายละเอียดและไม่เก่ง ทางด้านเศรษฐศาสตร์ที่เขาจะคิดกันลึกซึ้งอะไรมากมาย อาตมาเอาเศรษฐศาสตร์แบบง่ายๆ พูดตามประสาความรู้แบบไส้เดือนกิ้งกือ ยังไม่งูๆปลาๆนะ
มีเงินออกเงินเข้า หรือ แต่ละประเทศสังคมพุทธชาวอโศกก็มี เงินออกเงินเข้า แต่เราอาศัยเงินออกเงินเข้าน้อยมาก เงินออกเงินเข้าน้อยแต่อยู่ดีกินดีมีความสงบ มีความสุข ไม่มีเรื่องทะเลาะวิวาทไม่มีเรื่องแย่งชิง ไม่มีเรื่องที่จะเดือดร้อนอะไรมากมาย จนค่อนข้างจะกลายเป็นเมืองขี้เกียจชุมชนขี้เกียจ เพราะอะไรก็มีกินใช้แล้วใจมันก็เลยพอ
ในหลวงร.9 เอาคำว่า พอเพียงมาใช้ ไปร่วมกับ คำว่าเศรษฐกิจก็เป็นเศรษฐกิจพอเพียง
เศรษฐกิจคือความเป็นอยู่ของมนุษย์ เสฏฐะ คือ ความเจริญความประเสริฐ เศรษฐศาสตร์คือความรู้ที่ทำให้เกิดความเจริญ มีพออยู่พอกิน
อโศกพออยู่พอกินเพราะจิตมีสันโดษมีความพอเพียง มีความสำเร็จ ทฤษฎีเหล่านี้พระพุทธเจ้าตรัสรู้มาตั้งแต่ยุคพระพุทธเจ้า เป็นทฤษฎีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกที่ไม่มีใครสามารถจะทำขึ้นมาได้ เป็นทฤษฎีที่มนุษย์จะต้องพึ่งพาอาศัย เรียนรู้ให้แตกฉานในทฤษฎีของท่าน แล้วเอาทฤษฎีแตกฉานนี้ ไปประพฤติที่เป็นจริงได้
อาตมาก็จะพูดแล้วพูดอีก ภูมิใจที่อาตมาได้เอาทฤษฎีของพระพุทธเจ้ามาให้มนุษย์ได้ปฏิบัติได้จำนวนหนึ่ง ในสังคม ในประเทศ ก็ช่วยคนได้แล้ว จำนวนหนึ่งที่ไปเห็นดีเห็นงามกับเราก็มาศึกษาแบบนี้ตาม ก็เชิญเลย มีตำราให้ดู ถ้าเป็นได้ก็จะดีมาก ผู้ใดที่เห็นดีเห็นงาม ว่าสังคมมนุษย์จะอยู่กันอย่างมี พฤติบท อย่างนี้ ถ้าใช้ บถ แปลว่าลงตัวแล้ว แต่บท คือ เป็นตัวปฏิบัติอยู่ continuing อยู่ เป็นพฤติของคน มีอย่างนี้เห็นได้ชัดเจน ว่าชาวอโศก มาดูได้สัมผัสได้ แล้วเขาสงบไหม สงบ มีอยู่มีกินไม่เดือดร้อน มีความสุขสำราญเบิกบานใจ สุดยอด
พูดแล้วก็อบอุ่นใจ เพราะฉะนั้นในการเกิดมาเป็นชีวิต อาตมาว่าอาตมาได้ทำตนให้เป็นผู้สบายสงบ อยู่คนเดียว อาตมาเคยคิด ถ้าอาตมาพูดกันกับใครไม่รู้เรื่องแล้วก็จำเป็นต้องอยู่คนเดียว อาตมาก็ว่าอาตมาสบาย จะสร้างบ้านหลังนิดหน่อย ถ้าหากบ้านหลังโตก็จะถูเมื่อย อยู่แค่สบายนอนพักนั่งพัก ข้าวของไม่มีมาก เสร็จแล้วก็ปลูกเผือกปลูกผักอะไรอยู่ที่บ้าน กินเผือกกินมัน วันนี้ก็ขุดตรงนี้กิน แล้วก็ขุดไป ปลูกต่อไป ขุดไปปลูกต่อไป กว่าจะรอบมาถึงตรงนี้ ก็ได้กินต่ออีก สบาย ชีวิตนี้สบาย ชีวิตนี้ง่าย
ถ้าอาตมาสอนใครไม่ได้ ทำงานกับสังคมไม่ได้ก็จะอยู่อย่างนี้ แต่นี่ มันยังสอนคนให้รู้ได้ ก็แบ่งกันทำ แทนที่เราจะทำคนเดียวก็ช่วยกันทำทำให้เหลือกินเหลือใช้แล้วแพร่สะพัดให้คนใช้ด้วย ขายให้ถูก ไล่แจกด้วย
อาตมาเดินอยู่ในราชธานีอโศก มันมีความอุดมสมบูรณ์ มีอยู่มีกิน พืชกินได้ทั้งนั้นเลย กล้วยอ้อยสร้อยปีบักหุ่ง
_นิวรณ์ 5 รูปฌาน อรูปฌาน ในวิโมกข์ 8 จะเกิดขึ้นในปัจจุบันเท่านั้นหรือไม่
พ่อครูว่า…รูปฌาน อรูปฌาน จะเกิดในวิโมกข์ 8 ปัจจุบันเท่านั้น ฌาน เกิดในปัจจุบัน ฌาน ไม่มีนอกปัจจุบัน
ฌานคือพลังงาน ปัจจุบันนั้น ฌานคือพลังงานจิต ทำพลังงานนั้น คุณต้องสร้างพลังงานจิต ให้เป็นพลังงานขึ้นมา จนสามารถทำลาย ไฟ ราคะ โทสะ โมหะให้ได้เรียกว่าฌาน อันหยาบเรียกรูปฌาน กำจัดกิเลสที่หยาบได้แล้วก็หมด แล้วกิเลสที่ละเอียดก็เรียกว่าอรูปฌาน เรียกกระบวนการว่าเป็นวิโมกข์ 8 เกิดขึ้นได้ในปัจจุบันเท่านั้นก็ใช่
นิวรณ์ 5 คือกิเลสที่จะต้องเผาไหม้ แต่มันแจกราคะโทสะโมหะออกไปก็เป็นนิวรณ์ 5 เป็นกาม พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะ แล้วไม่ชัดเจนก็วิจิกิจฉา ก็ต้องให้ชัดเจน อาการจิตที่ไม่ชัดเจนก็ต้องทำให้ชัดๆ
หนึ่งมันต้องเป็นกาม พยาบาท ต้องให้ชัดเจน พ้นความไม่ชัดเจน แล้วก็มาอันที่เป็น ถีนมิทธะ อุทธัจจะ
กามก็ฟุ้งซ่านไปในทวารทั้ง 5 ไปติดรสชาติ
พยาบาทไปทำลาย ก็สองทิศทางเท่านั้นเอง
ถ้าเราไม่สามารถรู้สภาวะนี้ชัด
1 สติสัมปชัญญะไม่ค่อยรู้เรื่อง ก็เลยเกาะตัวกัน หรือสติฟุ้งซ่านไปไม่มีสัดส่วนที่ดีก็ได้ว่าฟุ้งซ่าน อุทธัจจะ กับถีนมิทธะ
อุทธัจจะ กับถีนมิทธะ คนที่รู้สภาวะมันแล้วก็อย่าให้มันตก พระพุทธเจ้าตรัสในสำนวนว่า สังขิตตังจิตตัง กับวิกขิตตังจิตตัง ฟุ้งซ่านกับเป็นก้อนตีไม่แตก
สังขิตตังก็เป็นก้อน หรือถีนนังมิทธัง ฟุ้งซ่านเป็น วิกขิตตังจิตตัง
ก็ดูให้ชัดเจน หากไม่รู้หรือรู้ไม่เต็มมันก็ไม่ชัดเจนไม่มีสติมันตกมากไป ไม่ให้มันฟุ้งมาก แล้วก็ใช้งานมันทำงาน เรียนรู้ตัวกิเลสให้ชัด แล้วก็กำจัดให้ชัดด้วยปัญญา
การกำจัดที่ดีที่จะชัดเจน ด้วยธาตุรู้ด้วยปัญญา ที่รู้ว่า พวกนี้ ซ้ำซากวนเวียน มันไม่ใช่พลังงานที่เที่ยง มันเป็นพลังงานที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ แล้วก็ไปติดยึดมัน มันเป็นธรรมชาติของมัน
เรียกมันว่ากาม เราก็อย่าให้มันมีอาการกาม อาการพยาบาท ก็อย่าให้มันมีอาการพยาบาท ยากอะไร
ไม่ทำก็ไม่ได้คนมันมีตัวโง่ ให้มันเกิดอยู่ในจิต เกาะเกี่ยวอยู่ในจิต จนเป็นอนุสัยอาสวะ มันไม่ออกไป เราต้องทำให้เกิดปัญญา ล้างมันออกไปไม่ให้มันเกิด ซึ่งเป็นงานที่เรียกว่า ถ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้าพาทำนะ ไม่มีใครมาพาทำหรอก แต่พระพุทธเจ้าค้นพบว่านี่เป็นเหตุแห่งความไม่ดีของมนุษย์ ถ้าหากลดความไม่ดีที่เป็นตัวเหตุนี้หมดไปได้ มนุษยจะเป็นคนดีอยู่ในโลกแล้วโลกจะสุขสบายมากทั้งโลกเลย
เพราะฉะนั้นสังคมใดที่มนุษย์ทำให้พวกนี้ลดลง ก็จะเป็นสุขสงบเย็นอย่างเช่นชาวอโศก
พูดไปแล้วน่าหมั่นไส้ยกตัว อวดดี มาดูตัวอย่างแล้วทำให้ได้ตามนี้ หากชุมชนในโลก ในประเทศไทย ได้ตัวอย่างชุมชนนี้ หมู่บ้านกุดระงุม หมู่บ้านคำกลาง ก็เหมือนกับหมู่บ้านนี้ หมู่บ้านท่ากกเสียว ก็เป็นอย่างนี้ได้เป็นต้น
ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ ประเทศไทยจะสบายมาก จะเจริญ เจริญอย่างไร เจริญเพราะว่ามีเศรษฐกิจเหมือนกับชาวอโศก คือมีวรรณะ 9 เป็นสังคมคนจน
สังคมคนจนคือสุดยอดสังคมเศรษฐกิจที่ดีที่สุด พูดไปแล้ว จบดอกเตอร์ทางเศรษฐศาสตร์มา 100 ใบ ฟังแล้วหูหัก สังคมอะไรเป็นสังคมคนจนและเจริญทางเศรษฐกิจ มันเป็นความลึกซึ้งมากเลยนะ
เพราะฉะนั้นอาตมาว่า ไม่รู้จะทำยังไงที่จะบอก ดร.สมคิดก็ดี ตอนนี้ที่รับหน้าที่ดูแลเรื่องนี้ในประเทศ ทำอย่างไรจะเข้าใจทฤษฎีสำคัญของพระพุทธเจ้า แล้วก็เอามาวิจัยเอามาใช้ให้มันเหมาะสมกับสังคมในประเทศไทย มีเป้าหมายมี goal ที่ว่านี้ทำให้เป็นคนจนอย่างนี้ แล้วจะสุขสำราญเบิกบานใจ เป็นประโยชน์ต่อโลกต่อสังคม ประเทศไหนๆก็เอา
จริงๆแล้วประเทศไทยอาตมาทำงานมา 40 กว่าปี มันเกิดอันนี้แล้ว แล้วก็มีคนพอรู้พอเข้าใจ แล้วมาเอาอย่างชาวอโศกบ้าง มีไม่มากมีน้อยก็ไม่เป็นไร ไม่มากก็น้อย แต่มี จึงเกิดความจริงขึ้นมาในสังคมประเทศชาติ ผลนี้ เกิดจริงแล้วไม่ใช่ไม่เกิด
ประเทศไทยเราอยู่กันอย่างสุขสบายพอสมควร จริงๆแล้วไม่ใช่อาตมามีอิทธิพล ในหลวงรัชกาลที่ 9 มีอิทธิพลเพราะในหลวงรัชกาลที่ 9 อันเดียวกับของอาตมา เพราะมันอันเดียวกับของพระพุทธเจ้า ให้คนมามีทิฏฐิ อย่ากลัวความจนเกลียดความจน จงยินดีในความจน และมีเงื่อนไขว่าจนอย่างอุดมสมบูรณ์ จนอย่างมีวรรณะ 9 ให้ถูกต้องก็แล้วกัน ถ้าเป็นได้จริงๆแล้วมันก็จะยืนยัน ไม่ต้องเป็นอื่น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง”
เปลี่ยนเศรษฐกิจอย่างชาวอโศก ถามว่าใครอยากจะไปเป็นเศรษฐกิจแบบอื่นบ้างยกมือขึ้น …ไม่มี
_นักรบธรรมว่า…สังคมที่ พ่อครูพาทำอย่างนี้ ไม่ใช่แค่กุดระงุม คำกลาง วังกางฮุงนะ แต่มันครอบคลุมไปทั้งโลก เขาไม่มาได้ แต่คนจะมาต้องเป็นคนที่มีวาสนาปัญญาบารมีจึงจะมาเป็นอย่างนี้ได้
พ่อครูว่า…อาตมาก็ว่า คนงานที่มาทำงานในราชธานีอโศก ให้ผู้ที่ควบคุมดูแลช่วยเอาภาระหน่อยจะได้ไม่มาอู้งานในที่นี้ มันก็ซับซ้อน จะให้เขาเจริญมันก็ไม่เจริญ แต่อย่างน้อยเขาก็ได้อาศัยทำมาหากิน เราเองเป็นหมู่บ้านสังคมที่ หาเงิน เราก็หาบ้าง ไม่ได้มากหรอกแต่พอกินพอใช้เพราะว่าพวกเราใช้น้อย เหลือก็เอามาเผื่อแผ่ให้คนรอบข้าง ให้คนมีสัมมาอาชีพ เขาจะอู้งานนิสัยเสียบ้างก็มี เข้ามาทำงานในนี้เป็น 5 ปี 10 ปี อย่างช่างจากอยุธยามาทำเรือบางคนก็เป็นอิสลามก็มี พวกเราทำงานมีพอกินพอใช้ เขามาทำงานช่วยกัน เราก็ต้องอาศัยเขาทำบ้างเพราะเราไม่เก่งเหมือนเขา ช่างจากอยุธยาบ้าง ก็มาช่วยกันทำ เราก็มีภาระเดือน 1 เดือน 1 จ่ายค่าแรงงานมาก เรือมันก็ต้องบูรณเพราะมันเสื่อมไป ตามเวลา ก็ไม่เป็นไร เพราะได้ชื่อว่าบ้านราชเมืองเรือ มีทั้งเรือที่อยู่บนบกที่อยู่ในน้ำ ว่ากันไป ก็ไม่เป็นไรชีวิตเราก็อาศัยสิ่งเหล่านี้ทำมาหากินเลี้ยงดูกันไปช่วยเหลือกันไปมีสังคหะ มีการเกื้อกูลกัน ร่วมกันกินร่วมกันใช้ไป
_หากเขาว่าเราผิด แต่เราไม่ได้ทำผิดเราก็ไม่เป็นไร เราก็บอกเขาว่าเราไม่ผิด หากเขาว่าผิดก็ต้องเอาเข้ากลุ่มคณะกรรมการ ถ้ากรรมการบอกผิด ตามที่เขาว่าผิด เราก็เปลี่ยนแปลงมาทำอันนี้ ตามที่กรรมการเขาว่า เราเข้าใจผิด กรรมการหลายหัวย่อมดีกว่าหัวเดียวแน่นอน จะไปถือดีว่าเราถูก จนกระทั่งกรรมการก็ยังไม่ยอมเชื่อ ความถูกผิด เป็นสมมติสัจจะคุณเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม เป็นสัจจะในโลกจะไปทำเกินกว่านี้ไม่ได้หรอก
_จะทราบได้อย่างไรว่าการปฏิบัติธรรมที่เราทำไปเป็นสัมมาทิฏฐิ
พ่อครูว่า…ก็สอนแล้วสอนอีกจนปากจะฉีก ก็เรียนเอาบ้างเอาแต่ถาม เมื่อไหร่มันจะรู้ ขอโทษที่เป็นสัมมาทิฏฐิทั้งนั้น ปฏิบัติให้เป็นสัมมาทิฏฐิ แม้แต่เอาของพระพุทธเจ้ามาเปิดตำราสอนว่า สัมมาทิฏฐิที่ต้องรู้ 1. มีทาน 2.ศีล 3. ผลของทานของศีลก็มีเท่านี้ 3 ข้อนี้แหละ ข้อที่ 4 ก็คือกรรมกิริยามันเข้าหลักเกณฑ์ในทานศีลหรือไม่ สุกตทุกฏานังกัมมานังผลังวิปาโก
คุณก็เปลี่ยนจากความที่อยู่โลกโลกียมาอยู่โลกโลกุตระ เป็นโลกใหม่ปรโลกจากโลกเก่า คุณก็ต้องเข้าใจให้ได้ แล้วเลื่อนเปลี่ยนอัตตาตัวตนมาอยู่โลกใหม่ให้ได้ นี่แหละคือ สัมมาทิฏฐิ จะทำได้ต้องมีศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อ มาตาปิตา ทำให้โลกคือโอปปาติกะจิต มาเปลี่ยนจากโลกเก่ามาเป็นโลกใหม่ปรโลก ทำได้คุณก็มีสัมมาทิฏฐิ คุณจะทำได้ต้องฟังสมณพราหมณ์ กำลังพูดอยู่นี่ ใครจะย้ายมาอยู่โลกใหม่ไหมนี่ยกมือ ยกมือกันอย่างไม่สงสัยลังเลยเลย
_การจัดการกับทุกข์ให้ถึงต้นเหตุต้องทำอย่างไร
พ่อครูว่า…ถามที่อาตมาพูดจนปากเปียกปากแฉะนี่แหละให้ฟังบ้าง
_เราจะสามารถขจัดความกลัวได้อย่างไร
พ่อครูว่า…
หนึ่งคุณจะขจัดความกลัวได้คือคุณต้องรู้สิ่งนั้น ว่ามันคืออะไรแท้ แล้วคุณจะไม่กลัว คุณรู้ว่าเสือ รู้จักสันดานเสือ รู้จักท่าทีของเสือ รู้จักหัวใจเสือด้วย คุณจะอยู่กับเสือได้ เสือมันก็อยู่กับคุณ คุณจะอยู่กับอะไรก็แล้วแต่ คุณจะไม่กลัวหากว่าคุณเองกลัวความมืด เพราะว่าคุณไม่รู้ว่าในความมืดมีอะไร แต่ถ้าคุณรู้ว่าในความมืดไม่มีอะไรมันปลอดภัยคุณก็ไม่กลัวความมืดนั้น คุณกลัวเพราะว่าคุณไม่รู้ว่าอะไรมันปลอดภัยไหม จะอยู่กันยังไงกับตรงนั้นอยู่กับอันนั้น นั่นแหละ คุณก็เลยกลัว เพราะฉะนั้นคุณก็ต้องทำความแจ่มแจ้งชัดเจนให้ได้ว่า ชาวอโศกนี้อยู่ได้ปลอดภัยไหม คุณก็มาศึกษาดูว่ามันปลอดภัยดี คุณไปอยู่กับกลุ่มไหนที่ไม่ปลอดภัยคุณก็กลัว คุณยังไม่รู้
ทีนี้ คุณไม่รู้นึกว่ามันไม่เป็นภัย คุณก็นึกว่ามันไม่ปลอดภัย ถ้าคุณมีปัญญา คุณไปอยู่กับคนข้างนอก แล้วคุณก็มาอยู่กับคนข้างในอโศก คุณจะรู้เลยว่า ข้างนอกน่ากลัวกว่า หมู่นี้ไม่น่ากลัวเลยหมู่นี้อบอุ่นกว่า
ถ้าคุณศึกษาเสือให้รู้เสือคุณก็จะอยู่กับเสือได้อย่างสบาย จนกระทั่งเสือมันดมกลิ่นของคุณได้กลิ่นของคุณแล้วก็รู้ว่าเป็นพวกของมันเลย
_เช่น กลัวว่าคนอื่นทำงานได้ไม่ดีเท่าเรา เลยไม่ค่อยชอบ เลยไม่ค่อยชอบขอความช่วยเหลือจากใคร จนบางครั้งงานก็ล้นมือ
พ่อครูว่า…อย่าหลงตัวเองเลย งานล้นมือสมน้ำหน้า ดูถูกคนอื่น คุณก็ทำคนเดียวไป ไม่ว่าคนอื่นเขาจะทำไม่ได้ดี เราก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง คุณไม่ต้องกลัวมันเสีย ก็ค่อยๆสอนแนะนำเขา ถ้าเขาทำเสียก็บอกว่ามันเสียแล้วนะ มันไม่ดีแล้วอย่าทำอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ค่อยๆใจเย็นๆบอกเขาไป เขาจะรู้ว่าเราปรารถนาดีกับเขาให้เขาแก้ไข แต่ถ้าเขาทำดีแล้วคุณก็จะได้ช่วยกันทำ เขาก็ทำดีแล้วคุณก็ต้องการให้เขาช่วย ก็ช่วยกันไปก็ดีมันก็เท่านั้นเอง
_กลัวจิ้งจกตุ๊กแก
พ่อครูว่า…คุณไปยุ่งอะไรกับมัน มันก็อยู่ของมัน อย่าไปยุ่งกับมัน มันก็ไม่ทำอะไรคุณ มันก็อยู่ของมันจิ้งจกตุ๊กแก คุณไม่อยากให้มันอยู่เท่านั่นแหละ ก็มันจะไปรู้อย่างไร มันเห็นว่าเป็นที่ควรไปของมัน คุณไม่อยากเจอมันก็ไปอยู่ในอวกาศสิ มันไม่ไป แต่มันรู้ว่าที่นี่มันอยู่ได้มันก็มา ก็เป็นธรรมดา มันเป็นสัตว์โลกร่วมกัน อยู่ด้วยกันได้ก็อยู่ ไม่รู้ทำไม ที่อาตมาอยู่ ท่านดินไทก็เช็ดขี้มันทุกวัน แล้วมันขี้อยู่ที่เดิมด้วยนะทุกวัน มันก็ต้องขี้ ตุ๊กแกมันก็ต้องขี้ จิ้งจกมันไม่ขี้เป็นที่เท่ากับตุ๊กแก คือเรื่องพวกนี้ เราจะไปจุกจิกกับมันก็ทุกข์ตาย มันก็เป็นเช่นนั้นของมันเราก็อยู่ร่วมกันมันไป หากไม่ต้องการอยู่ร่วมมันก็ต้องไปหาที่ใหม่ บอกแล้วไปอยู่อวกาศ
_เราจะสามารถขจัดความขี้เกียจได้อย่างไร
พ่อครูว่า..อยู่กับชาวอโศก ชาวอโศกจะไม่พยายามให้คุณขี้เกียจหรอก ก็จะค่อยๆพากันทำ ก็จะไม่ขี้เกียจอะไรมากมายหรอกมาอยู่ที่นี่ อยู่ไปคุณจะค่อยๆดีขึ้นเอง คุณดีแล้วจะรู้สึกว่าจะทำอย่างไรให้ขจัดความขี้เกียจ รู้สึกอย่างนี้แล้วก็พยายามช่วยเหลือตัวเอง
_เรียนถามเรื่องพลังงาน E=mc2+A
กรณีที่ผม มีความศรัทธาในตัวพ่อครูและคำสอนพระครู
-
ตัวสัมประสิทธิ์ C จะมีส่วนช่วยส่งเสริมหรือไม่
-
พลังงาน A จะช่วยอย่างไร